Tuesday, 6 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ประกาศศักดา!! '4MIX' บอยแบนด์สัญชาติไทย... สุดปัง!! โชว์พลัง T-POP ทะยานไกลถึงเม็กซิโก

ไม่นานมานี้​ นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กชื่นชมวงบอยแบนด์ไทยที่กำลังดังไกลในต่างแดน​ ว่า...

ในฐานะที่เคยดูแลด้าน Soft Power สมัยยังอยู่ที่ กต. ขอชื่นชมกับน้องๆ​ วง 4MIX ศิลปิน Boy Band ของไทย ที่สามารถไปแสดงคอนเสิร์ตได้ถึงประเทศเม็กซิโก

โดยมีแฟนคลับวัยรุ่นชาวเม็กซิกันส่งเสียงเชียร์และร้องเพลงเป็นภาษาไทย

ย้ำ!! เป็นภาษาไทยตามไปด้วย เป็นอะไรที่ขนลุกและตื้นตันมาก

นี่แหละ Soft Power T-Pop ของไทยที่ผมฝันอยากเห็นมาตลอดชีวิต

ตรึงจิต...ให้คิดถึง | MEET THE STATES TIMES EP.46

📌 ตรึงจิต...ให้คิดถึง
📌 น้อมรำลึก คิดถึงพ่อ!! วันคล้ายวันพระราชสมภพ ‘ในหลวง รัชกาลที่ 9'

👄 ในรายการ MEET THE STATES TIMES ข่าวคุยเพลิน

💻 ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

.

.

รู้จัก 'เวลลิงตัน คอลเลจ' โรงเรียนนานาชาติสุดคูล สภาพแวดล้อมสุขใจ ที่ 'พ่อแม่คนดัง' พร้อมใจเลือกให้คุณหนูๆ

พ่อแม่ยุคใหม่ตระหนักดีว่า การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างแท้จริงนั้นไม่ได้หมายถึงการมุ่งสร้างทักษะทางวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการปลูกฝังทักษะชีวิตที่จำเป็นผ่านประสบการณ์ที่หล่อหลอมให้เด็ก ๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีอิสระ และมีความมั่นใจในแบบของตัวเอง

ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่โรงเรียนนั้นมีบทบาทสําคัญในชีวิตของเด็ก พ่อแม่ทุกคนจึงอยากมีส่วนร่วม!!

ในประสบการณ์อันมีค่านี้ เพื่อให้มั่นใจว่าบุตรหลานอันเป็นที่รักได้รับการเติมเต็มประสบการณ์อย่างดีที่สุดและมีความสุขอย่างแท้จริง ดังนั้นสิ่งที่ผู้ปกครองคาดหวังจึงมีมากกว่า “สิ่งอํานวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาส” ผู้ปกครองของเด็กเล็กส่วนใหญ่อาจมองหาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของลูกน้อยผ่านการเล่นอย่างสนุกสนาน ในขณะที่ผู้ปกครองของบุตรหลานวัยมัธยม มองหาแนวทางที่สนับสนุน “การคิดนอกกรอบ” ที่เอื้อต่อการศึกษาที่ครอบคลุม ทันสมัย มีความหลากหลาย ให้เด็ก ๆ ได้ค้นพบตัวตน เรียนรู้ความชอบ สร้างจุดแข็ง และสามารถกําหนดเส้นทางอนาคตของตนเองได้ในวันหน้า

พ่อแม่และผู้ปกครองย่อมคาดหวังให้ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ที่โรงเรียน เป็นช่วงเวลาที่บุตรหลานได้รับประสบการณ์อันหลากหลายทั้งในและนอกห้องเรียน แล้วสภาพแวดล้อมแบบไหนที่จะให้พ่อแม่คนดังจะสามารถไว้วางใจ อุ่นใจสบายใจ ว่าจะทำให้ลูก ๆ เรียนรู้ได้อย่างมีความสุข และการเฝ้ามองบุตรหลานที่ต้องเรียนออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมานั้น ทำให้มุมมองเปลี่ยนไปหรือไม่ ลองมาฟังความคิดเห็นของพ่อแม่คนดัง ที่ตบเท้ากันมาร่วมกิจกรรม “Senior School Special Private Viewing” ซึ่งโรงเรียนนานาชาติเวลลิงตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ เปิดบ้านต้อนรับผู้ปกครองของนักเรียนระดับซีเนียร์แบบเอ็กซคลูซีฟ เข้าเยี่ยมชมและแนะนำอาคารเรียนใหม่สำหรับนักเรียนระดับเยียร์ 7 ขึ้นไป ที่ผสมผสานระหว่างพื้นที่การเรียนรู้และการใช้ชีวิต (Learning & Living Space) ไว้ในพื้นที่เดียวกันอย่างลงตัว ซึ่งมีเหล่าพ่อแม่คนดังตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างอบอุ่น

นท-นทชาติ จินตกานนท์ ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) คุณพ่อของน้องน็อบบี้ นักเรียนระดับชั้นซีเนียร์ บอกว่า “ถ้าเราพูดในมุมทั่วไป สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดีคือที่ที่ทำให้เด็กรู้สึก “สบาย” ได้ใช้ชีวิตสนุก ๆ ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ ทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากเรียนไปโดยธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ความรู้ที่ได้มานั้นดีที่สุด อย่างอาคารเรียนระดับชั้นซีเนียร์ (Senior School) ของที่เวลลิงตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ก็จะเต็มไปด้วยพื้นที่ที่เดินเข้ามาแล้วรู้สึกสบายและมีการเรียนรู้แฝงอยู่ในทุกซอกมุม ซึ่งผมเชื่อว่าสภาพแวดล้อมที่ดีจะช่วยดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเด็กแต่ละคน ถ้าคุณมีศักยภาพเด่นตรงไหน โรงเรียนจะสามารถดึงสิ่งนั้นออกมาได้  ยิ่งวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้ต้องเรียนออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้ตระหนักว่าสังคมเป็นสิ่งที่ยังสำคัญมาก ถึงแม้เทคโนโลยีจะทำให้เรามีทางเลือกในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น แต่การที่ลูกเราได้มาเรียน มาเจอเพื่อน ๆ มาอยู่สภาพแวดล้อมที่ดีในโรงเรียนนั้นยังคงสำคัญมาก”

เช่นเดียวกับ นัท-ชิณทัต ศิริชนะชัย และออม-นวดี โมกขะเวส คุณพ่อคุณแม่น้องมังกร วัย 11 ปี ต่างก็ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า รู้สึกดีที่โรงเรียนที่เลือกให้ลูกนั้นมีการทุ่มเทให้กับสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ ให้ความรู้สึกที่ไม่ใช่แค่โรงเรียน หากแต่เป็น “เมือง ๆ หนึ่ง” ที่เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ได้อย่างไร้ขอบเขต ไปอยู่มุมไหนก็เกิดไอเดียได้ มากกว่าสมัยก่อนที่ครูต้องเป็นศูนย์กลางในการเรียนการสอน  

“พอได้เรียนในที่ที่ให้ความอิสระ คล่องตัวมากขึ้น ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กก็จะตามมาด้วย เป็นโลกที่พวกเขาจะได้คิดได้ใช้พื้นที่อย่างเต็มที่ อย่างเมื่อก่อนลูกผมจะไม่ได้ชอบวิทยาศาสตร์ แต่พอมาอยู่ในสถานที่ที่มันเอื้อ บรรยากาศมันได้ มองไปนอกหน้าต่างก็มีต้นไม้  ในห้องก็มีครู มีเพื่อน ๆ มีอุปกรณ์ครบถ้วน ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงกลายเป็นกลับบ้านทุกวันมาเขาพูดถึงวิชาวิทย์ฯ ว่าสนุกขึ้น ตอนนี้อยากไปห้องแล็บที่สุด” คุณนัทเล่าพร้อมรอยยิ้มแห่งความภูมิใจที่ส่งผ่านแมสก์ออกมา

 

 

อนาคต 'โควิด'​ มิตรสหายคู่โลก​ ที่ไม่มีวันลาจาก | MEET THE STATES TIMES EP.45

📌อนาคต 'โควิด'​ มิตรสหายคู่โลก​ ที่ไม่มีวันลาจาก!
📌เรื่องจริงที่อาจต้อง ‘ทำใจ’ เมื่อโควิด-19 อาจไม่มีวันจากลา!!

ในรายการ MEET THE STATES TIMES

ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES

.

.

ตร. เตือน!! กลลวงคอลเซ็นเตอร์ ขอให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ ย้ำ “หน่วยงานรัฐไม่เคยทำ” ห้ามโอนเด็ดขาด!!!

วันที่ 9 ธ.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนว่ามีกลุ่มคนร้ายมีพฤติการณ์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ บริษัทขนส่งสินค้า โดยแจ้งว่าบัญชีของท่านหรือพัสดุสิ่งของของท่านที่ส่งไปต่างประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ก่อการร้ายฯลฯ มีการข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีในอัตราโทษสูง จะมีการออกหมายจับ ถ้าไม่อยากถูกดำเนินคดี ต้องโอนเงินมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีพี่น้องประชาชนได้รับโทรศัพท์ในลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งที่มิได้มีส่วนกับการกระทำความผิดตามที่มิจฉาชีพกล่าวอ้าง นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ธนาคาร และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้เจ้าของบัญชีธนาคารโอนเงินมาให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบ เพราะหากพบว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายในการยึด อายัดบัญชีธนาคาร

โดยจะเป็นผู้ติดต่อกับทางธนาคารโดยตรง จึงขอให้พี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อ และหากมีผู้ใดอ้างว่าต้องให้ท่านโอนเงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเข้มข้นต่อไป

 

‘ผช.รมว.แรงงาน’ มอบนโยบายอาสาสมัครแรงงานจังหวัดชลบุรี 280 คน ร่วมกันพัฒนาประเทศก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกัน!!

วันที่ 9 ธันวาคม 2564 เวลา 09.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานมอบนโยบายแก่อาสาสมัครแรงงานจังหวัดชลบุรี ณ ห้องประชุมชลบุรี ศาลากลางจังหวัดชลบุรี โดยกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเมื่อต้นปี 2564 ที่เกิดการแพร่ระบาดกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจของสถานประกอบกิจการหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ที่ต้องถูกรัฐสั่งปิดการให้บริการ รวมไปถึงสถานประกอบกิจการรายเล็กที่แบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวทำให้ต้องปิดกิจการลงในที่สุด ก่อให้เกิดปัญหาการว่างงานเป็นจำนวนมาก

ซึ่งจากฐานข้อมูลของจังหวัดชลบุรี พบว่า มีสถานประกอบกิจการปิดกิจการชั่วคราว จำนวน 562 แห่ง ลูกจ้างได้รับผลกระทบ จำนวน 159,644 คน สูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กิจการประเภทการผลิต 140 แห่ง การขายส่งขายปลีก 165 แห่ง ที่พักและบริการด้านอาหาร 62 แห่ง ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ กระทรวงแรงงานโดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี ได้ดำเนินการจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย จำนวน 1.33 แสนราย คิดเป็นเงิน 1,527 ล้านบาท และได้มีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อโรคโควิด 19 ให้กับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 จำนวน 171,153 ราย

สำหรับในปีงบประมาณ 2565 กระทรวงแรงงาน โดยท่านรัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ได้แถลงนโยบายเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ประกอบด้วย นโยบายเร่งด่วนที่ต้องเร่งดำเนินการ ได้แก่ 1.ยกระดับกระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเศรษฐกิจ 2.กระตุ้นการจ้างงานตามความต้องการในระบบเศรษฐกิจใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3.บริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ 4.เร่งรัด ปรับปรุง แก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคมให้สอดคล้องกับบริบทสถานการณ์ปัจจุบันและรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และ 5.ดูแลให้แรงงานและนายจ้างสามารถทำงาน ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัยและเป็นปกติสุข และนโยบายสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

1.พัฒนาทักษะแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศและรองรับเศรษฐกิจใหม่

2.บริหารจัดการแรงงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และในอุตสาหกรรมเป้าหมาย

3.ต่อยอดการประกอบอาชีพ ยกระดับรายได้ และเศรษฐกิจชุมชน รวมทั้งในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

4.ยกระดับการป้องกันแก้ไขปัญหาหารค้ามนุษย์ด้านแรงงานเพื่อปลดล็อก Tier 2 Watch List

5.พัฒนา ปรับปรุง และส่งเสริมการคุ้มครองแรงงาน ระบบสวัสดิการ และหลักประกันทางสังคม และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัย ในการทำงานให้สอดคล้องกับสภาวะสังคม เศรษฐกิจ และรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป

6.บริหารจัดการแรงงานนอกระบบ แรงงานกลุ่มเปราะบาง แรงงานสูงอายุและคนพิการให้ได้รับสิทธิและคุ้มครองด้านแรงงาน สวัสดิการและหลักประกันทางสังคมอย่างเท่าเทียม มีรายได้ที่เหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ของประเทศ นำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน และ

7.พัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านแรงงานกระทรวงแรงงาน (Big Data) และบูรณาการข้อมูลภาครัฐเพื่อการบริหาร วางยุทธศาสตร์ด้านแรงงานและหลักประกันทางสังคมอย่างเป็นระบบ

อาสาสมัครแรงงาน คือ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย และมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของกระทรวงแรงงาน ได้แก่

1.กระตุ้น ส่งเสริม รักษาการจ้างงาน และการขยายตลาดแรงงานในต่างประเทศ ได้แก่ การประกอบอาชีพอิสระ การรับงานไปทำที่บ้านให้แก่ผู้ว่างงานและผู้จบการศึกษาใหม่

2.ส่งเสริมการจ้างงานแรงงานคนไทยและบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ

3.ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เชิงรุกในกลุ่มแรงงาน และสถานประกอบการโดยใช้มาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เช่น การดำเนินโครงการ Factory Sandbox

4.ยกระดับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน Up-skill Re-skill New skill โดยการอบรมให้กับแรงงานกลุ่มว่างงานให้มีความรู้เพียงพอต่อการทำงานเป็นการเพิ่มผลิตภาพแรงงานเพื่อกลับเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยการส่งเสริมการเรียนรู้วิธีการทำงานใหม่ ๆ ผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์

5.พัฒนาทักษะอาชีพให้กับเยาวชน คนรุ่นใหม่ที่นิยมทำงานรูปแบบแรงงานอิสระไม่ขึ้นกับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง

6.ส่งเสริมอาชีพอิสระที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นหลักในการประกอบอาชีพ ตอบรับภาคการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและชุมชนที่ยั่งยืน

7.บูรณาการทำงาน สร้างความรู้ความเข้าใจแก่แรงงาน ผู้ประกอบการและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ทุกมิติ และ

8.ยกระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานให้ดีขึ้น และส่งเสริมให้มีการพัฒนาแรงงานที่ยั่งยืนโดยคนหางานทุกคนมีโอกาสในการทำงานตามความสามารถของตน มีรายได้ที่เหมาะสม ได้รับการพัฒนาฝีมือที่ได้มาตรฐาน ได้รับความคุ้มครองตามสิทธิพื้นฐาน มีสวัสดิการเพิ่มขึ้น มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีและมีหลักประกันทางสังคมที่สอดคล้องกับความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีพ

 

นราธิวาส - ศอ.บต.นำร่องโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลครัวเรือนที่มีฐานะยากจนเพื่อช่วยเหลือ

นายธารธรรม คำแป้น นิติกร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วย นายอับดุลเลาะ สือรี กำนัน ต.รือเสาะ นายอัสรี หะยีสือนิ ผู้ใหญ่บ้าน ม.10  ต.รือเสาะ และบัณฑิตอาสา ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ได้เดินทางไปยังบ้านของนางเจ๊ะมะ สะอิ อยู่บ้านเลขที่ 292/3 ม.10 บ้านบาซาบาตอ ต.รือเสาะ อ.รือสา จ.นราธิวาส เพื่อสำรวจข้อมูลครัวเรือนที่มีฐานะยากจน ตามโครงการ นำร่องโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของ ศอ.บต.ที่บูรณาการขจัดความยากจนพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ประชุมคณะกรรมการศูนย์บูรณาการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงจังหวัดชายแดนภาคใต้วางแผนการดำเนินงานนำร่องให้ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง ศอ.บต. เป็นข้าราชการนำร่องประกบครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งมีจำนวนนำร่อง 379 ครัวเรือน ใน 43 อำเภอ จากจำนวนสำรวจทั้งสิ้น 37,395 ครัวเรือน โดยพิจารณาจากเกณฑ์ความยากจนทับซ้อน 5 มิติ คือ มิติความจนด้านสุขภาพ รายได้ การศึกษา ความเป็นอยู่ และความจนด้านมิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ หวังขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดเผยว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จชต. โดย ศอ.บต. ในฐานะหน่วยนำการพัฒนา จะเป็นหน่วยขับเคลื่อน เสริม และเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน โดยจะมี การนำร่องโครงการ ให้ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง ศอ.บต. ลงพื้นที่ประกบครัวเรือนเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายงานเรียบร้อยแล้ว และเตรียมลงพื้นที่ตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ประกบ ช่วยเหลือประชาชนในโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจนในครั้งนี้ เป็นการนำร่องเพื่อค้นหารูปแบบที่ดีที่สุด ในการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นเกณฑ์ ความยากจนอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าให้เห็นเป็นรูปธรรมในไตรมาสที่จะถึงนี้

 

ชาวนา - ชาวสวนยางได้เฮ!! "จุรินทร์" คิกออฟจ่ายเงินประกันรายได้ "ข้าว-ยาง" พร้อมกันทั่วประเทศวันนี้!!

วันที่ 9 ธันวาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย นางกุลฤดี พัฒนะอิ่ม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้บริหารกรมข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)แถลงข่าว จ่ายเงินประกันรายได้ ข้าว-ยาง ปี 3 ที่ห้องบุรฉัตรไชยากร ตึกสำนักงานปลัด กระทรวงพาณิชย์

นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่สำคัญสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับผู้ปลูกยางพารา เนื่องจากมีนโยบายสำคัญคือนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมันและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยดำเนินการมาแล้ว 2 ปี ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ 3

สำหรับประกันรายได้ข้าวกับยางนั้น รัฐบาลได้ค้างจ่ายเงินส่วนต่างที่จะต้องจ่ายให้กับเกษตรกร เพื่อชดเชยกับราคาตลาดที่ไม่ถึงรายได้ที่ประกัน สำหรับข้าวค้างจ่าย 5 งวด และยางค้างจ่าย 2 งวด แต่หลังจากท่านนายกรัฐมนตรีขยายเพดานตามพระราชบัญญัติวินัยการคลัง เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2564  มีผลให้เพดานเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 35% สามารถนำเงินที่มีอยู่มาจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกับยางพาราได้

สำหรับข้าว ปีที่ 3 เงินที่เกษตรกรจะได้รับ มี 3 ก้อน

>> ก้อนที่หนึ่ง เงินส่วนต่าง โดยงวดที่ 1-2 กับงวดที่ 3 บางส่วน ได้จ่ายให้กับเกษตรกรไปแล้ววงเงินประมาณ 13,000 ล้านบาท ส่วนงวดที่ 3 ที่เหลือ จะมาจ่ายให้ครบโดยเริ่มจ่ายวันนี้ (9 ธ.ค. 2564) โดยจ่ายงวดที่ค้างอยู่ 5 งวดพร้อมกัน คือ งวดที่ 3 บางส่วนและงวด 4-7 รวมเป็นเงิน 64,847 ล้านบาท

ส่วนงวดที่ 8 จะจ่ายวันที่ 14 ธ.ค.เป็นเงิน 3,720 ล้านบาท  และงวดที่ 9-33 จะทยอยจ่ายทุก 7 วันจนครบ โดยงวดสุดท้าย วันที่ 27 พ.ค. 2565   

เกษตรกรครัวเรือนที่ได้รับเงินส่วนต่างสูงสุดสำหรับผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ สูงสุด 58,988 บาท  ข้าวหอมนอกพื้นที่สูงสุด 60,086 บาท ข้าวหอมปทุม สูงสุด 36,358 บาท ข้าวเปลือกจ้าว สูงสุด 67,603 บาท ข้าวเหนียว 71,465 บาท สามารถช่วยชาวนาได้ประมาณ 4.7 ล้านครัวเรือน

>> เงินก้อนที่สอง คือเงินในมาตรการคู่ขนานซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมโครงการ เช่น เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางเป็นเวลา 5 เดือนเพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ตลาดมากจนเกินไป ช่วยตันละ 1,500 บาท หรือสหกรณ์เก็บไว้จะช่วยตันละ 1,500 บาท และช่วยเหลือดอกเบี้ย ถ้าสหกรณ์เก็บข้าว 12 เดือน ช่วยดอกเบี้ย 3% ถ้าโรงสี เก็บข้าว 6 เดือน จะช่วยดอกเบี้ย 3% เพื่อไม่ให้ข้าวออกสู่ตลาดมากเกินไปและไปกดราคาข้าวในตลาด

>> ก้อนที่สาม คือ ช่วยค่าบริหารจัดการหรือปรับปรุงคุณภาพข้าว ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท โดยจ่ายวันที่ 13 ธ.ค. 2564 เป็นต้นไป เป็นเงิน 53,871 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.7 ล้านครัวเรือน

ส่วนชาวนาที่น้ำท่วมเสียหายจะได้เงินอีกก้อนหนึ่ง คือ เงินชดเชยความเสียหายจากอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติ

โดยชาวนาที่ปลูกข้าวแล้วน้ำท่วม จะยังได้รับเงินส่วนต่างจากโครงการประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว เพราะขอให้ปลูกจริง ไปขึ้นทะเบียนแม้พืชผลจะเสียหายเพราะภัยธรรมชาติจะยังได้รับเงินช่วยเหลือส่วนต่างเช่นกัน

สำหรับยางพาราจะเริ่มจ่ายงวดที่ 1-2 ในวันนี้ ( 9 ธ.ค. 2564) เช่นเดียวกัน โดยงวดที่ 1 วงเงินประมาณ 900 ล้านบาท งวดที่ 2 วงเงิน 540 ล้านบาท รวม 1,440 ล้านบาทโดยประมาณ และจะจ่ายงวดที่ 3-6 ทุกเดือนจนถึงเดือน เม.ย. 2565 โดยงวดที่ 3 จะเริ่มจ่ายวันที่ 7 ม.ค. 2565 วงเงิน 8,626 ล้านบาท  สำหรับยางพารามีเงินเตรียมไว้  10,065 ล้านบาท

โดยวงเงินสูงสุดที่ได้รับเฉพาะงวดที่ 1-2 ยางแผ่นดิบสูงสุด 3,835 บาทต่อครัวเรือนน้ำยางข้น 2,975 บาท และยางก้อนถ้วยจะไม่ได้รับเงินส่วนต่าง ที่ผ่านมายางราคาดีกว่าช่วงก่อน สำหรับน้ำยางข้น ประกันรายได้ที่กิโลกรัมละ 57 บาท ตอนนี้ราคาไปกิโลกรัมละ 60 บาทแล้ว ยางก้อนถ้วย ประกันที่กิโลกรัมละ 23 บาท ตอนนี้ 25-26 บาทแล้วภาคอีสานมากกว่าภาคใต้ 1 บาทเพราะอยู่ใกล้แหล่งการส่งออก ซึ่งยางก้อนถ้วยราคาสูงกว่ารายได้ที่ประกันมาเป็นปีแล้ว

 

‘มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง’ ห่วงใยผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์และบ้านพักผู้สูงอายุ จัดโครงการเสริมสร้างความปลอดภัย ใส่ใจผู้สูงอายุ (นำร่อง) มอบวอคเกอร์และไม้เท้ารวม 10 แห่ง

ระหว่างวันที่ 3 และ 7 ธันวาคม 64 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ ห่วงใยผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์และบ้านพักผู้สูงอายุ นำทีมแผนกสังคมสงเคราะห์ นำโดย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่มอบวอคเกอร์และไม้เท้า ให้กับผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ และบ้านพักผู้สูงอายุ ในโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้างความปลอดภัย ใส่ใจผู้สูงอายุ (นำร่อง) รวม 10 แห่ง  ประกอบด้วย

ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จ.ชลบุรี / สถานสงเคราะห์คนพิการและทุพพลภาพพระประแดง จ.สมุทรปราการ / สถานสงเคราะห์เฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อลำใยอุปถัมภ์) จ.กาญจนบุรี / สถานสงเคราะห์คนชรานครปฐม จ.นครปฐม / สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี จ.นนทบุรี / สถานสงเคราะห์คนชราปทุมธานี / สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จ.ปทุมธานี / สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหญิงธัญบุรี จ.ปทุมธานี / สถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว จ.นครสวรรค์ และ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา

รวมวอคเกอร์จำนวน 335 อัน และไม้เท้า 4 ขา จำนวน 195 อัน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 281,300 บาท (สองแสนแปดหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน) โดยมี นางศิริพร โอภาสวงศ์ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ ร่วมในพิธี พร้อมด้วย  ผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ แต่ละแห่งเป็นผู้รับมอบ

 

ชุมพร - สนข. เดินหน้าพัฒนาโครงการ Land Bridge ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาคอาเซียน

นายกองเอกพุทธ กฤชคงพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อแนะนำโครงการและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ณ ห้องพุทธรักษา โรงแรมมรกตทวิน อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร

ด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ณ ห้องพุทธรักษา โรงแรมมรกตทวิน จังหวัดชุมพร เพื่อนำเสนอความเป็นมาของโครงการ วัตถุประสงค์โครงการ และขอบเขตการดำเนินงาน โดยมีคณะผู้บริหารและสื่อมวลชน เข้าร่วมงานดังกล่าว

ปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดีย ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้า ทั้งนำเข้าและส่งออกผ่านช่องแคบมะละกา (สิงคโปร์) ซึ่งเส้นทางดังกล่าว เป็นเส้นทางที่อ้อมและมีระยะไกล การจราจรทางน้ำคับคั่ง จากข้อมูลปี 2561 ช่องแคบมะละกามีความหนาแน่นของปริมาณเรือสูงถึง 85,000 ลำ/ปี และในอีก 10 ปีข้างหน้า ปริมาณเรือจะเพิ่มขึ้นกว่า 128,000 ลำ ซึ่งเกินกว่าความจุของช่องแคบมะละกาที่รองรับได้ 122,000 ลำต่อปี ก่อให้เกิดปัญหาการติดขัดและเสียเวลาในการเดินทาง กระทรวงคมนาคม จึงมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ดำเนินการศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Landbridge) โดยมีขอบเขตการศึกษา ประกอบด้วย

1.ศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเงิน วิศวกรรม สังคม ของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เช่น ท่าเรือ รถไฟ ถนน เป็นต้น ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

2.ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้น และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

3.จัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ ตามพระราชบัญญัติการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

4.วิเคราะห์จัดทำรูปแบบการพัฒนาและการลงทุน (Business Development Model) ของโครงการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เช่น ท่าเรือ รถไฟ ถนน เป็นต้น ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน และ สร้างความเข้าใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านตลอดระยะเวลาดำเนินงาน โดยมีระยะเวลาศึกษาโครงการ 30 เดือน ซึ่งคาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2566

โดยแนวคิดการพัฒนาสร้างท่าเรือชุมพร กำหนดให้เป็นท่าเรือน้ำลึกที่ทันสมัย โดยนำระบบออโตเมชั่นมาใช้เพื่อยกระดับท่าเรือสู่ Smart Port  ส่วนแนวคิดการพัฒนาท่าเรือระนอง กำหนดให้เป็นท่าเรือสินค้าคอนเทนเนอร์และเป็นประตูการค้าฝั่งอันดามัน เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือระนองกับท่าเรือกลุ่มประเทศแถมเอเชียใต้

นอกจากนี้จากการศึกษาความเหมาะสมเพื่อพัฒนาท่าเรือเชื่อมอ่าวไทย-อันดามันแล้ว โครงการฯ ยังได้ศึกษาความเหมาะสมเพื่อบูรณาการการขนส่งทางท่อ ทางบก และทางราง เพื่อให้เชื่อมต่อกับ 2 ท่าเรืออย่างไร้รอยต่อ โดยศึกษาความเหมาะสมเพื่อพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) และรถไฟทางคู่ และการขนส่งทางท่อ โดยจะก่อสร้างคู่ขนานบนเส้นทางเดียวกัน เพื่อลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินของภาคประชาชน

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top