Tuesday, 6 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ชุมพร - จัดโครงการ “สวมหมวกนิรภัย 100 % ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร” เคารพต่อกฎหมาย- เคารพกฎจราจร ด้วยการสวมหมวก!!

วันที่ 16 ธันวาคม 2564 เวลา 09.30 น.นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรให้เกียรติมาเป็นประธานในกิจกรรมโครงการสวมหมวกนิรภัย 100 % ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ร่วมกับพลตำรวจตรี วิรุฬ สุวรรณวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร / พันตำรวจเอกประสิทธิศักดิ์ ศรีสุข รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร / พันตำรวจเอกเทเวศร์ ปลื้มสุทธิ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองชุมพร / นายประมูล อุ่นเรือน ท้องถิ่นจังหวัดชุมพร / นางสาวสุนารี บุญชุบ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดชุมพร / นายนักรบ ณ ถลางนายอำเภอเมืองชุมพร / นายภาสกร ชาญกสิกร เลขานุการ อบจ. และ นายศรีชัย วีรนรพานิช นายกเทศมนตรีเมืองชุมพร

โดย พันตำรวจโทสมชาย มากอำไพ กล่าวว่า ท่านพลตำรวจโทอำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งเห็นความสำคัญว่าปัจจุบันอุบัติเหตุทางถนน ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต ต่อทรัพย์สินและความสูญเสียต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อุบัติเหตุทางถนนจะเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นส่วนมาก ท่านจึงดำริให้จัดทำโครงการสวมหมวกนิรภัย 100 % ขึ้นทุกสถานีตำรวจในสังกัด ตำรวจภูธรภาค 8 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตระหนักถึงความสำคัญในการสวมหมวกนิรภัย ซึ่งจะช่วยป้องกันให้ลดการบาดเจ็บ ลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางถนน เป็นการปลูกจิตสำนึกของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ให้เคารพต่อกฎหมาย เคารพกฎจราจร ด้วยการสวมหมวก

จากนั้น พันตำรวจเอกเทเวศร์ ปลื้มสุทธิ์ กล่าวว่า โครงการสวมหมวกนิรภัย 100 %เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร การปลูกจิตสำนึกของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ให้เคารพต่อกฎหมาย เคารพกฎจราจร ด้วยการสวมหมวก นิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ขั้นตอนการปฏิบัติ มี 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงเริ่มต้นรณรงค์ คือตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2564 ถึง 31 มกราคม2565  ช่วงกวดขันเข้มข้น มีด้วยกัน 3 ระยะ สำหรับผู้กระทำผิดข้อหา "ไม่สวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์" และข้อหา "เป็นผู้ขับขี่ยินยอมให้ผู้โดยสารไม่สวม หมวกนิรภัยในขณะโดยสารรถจักรยานยนต์ จะมีอัตราเปรียบเทียบปรับต่างกัน ผู้กระทำผิดระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 จะเปรียบเทียบปรับในอัตรา 200 บาท ผู้กระทำผิดระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 จะเปรียบเทียบปรับในอัตรา 300 บาท ผู้กระทำผิดระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป จะเปรียบเทียบปรับในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมมอบหมวกนิรภัยให้แก่ผู้กระทำผิด

 

‘กอ.รมน.ภาค 4 สน.’ ร่วมกับ ‘กรมป่าไม้’ ประชุมแนวทางป้องกัน "การบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้" ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมกำหนดมาตรการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

วันนี้ 16 ธันวาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี “นายสุรชัย อจลบุญ” อธิบดีกรมป่าไม้ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานในสังกัดกรมป่าไม้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเป็นประธานการประชุมแนวทางการป้องกันการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยมี พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมประชุม พร้อมด้วยนายชีวะภาพ ชีวะธรรม รองอธิบดีกรมป่าไม้, พลตรีอนุสรณ์ โออุไร เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, คณะผู้บังคับบัญชา และส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้

สำหรับการประชุมแนวทางการป้องกันการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ เพื่อให้ส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมร่วมกันเสนอแนวคิด แนวทางการปฏิบัติ และการแก้ไขปัญหาที่ตรวจพบจากการปฏิบัติงานของทุกหน่วยที่ผ่านมา ทั้งปัญหาการลักลอบการตัดไม้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส และการบุกรุกที่ดินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานกองอำนวยการรักษาความมุั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าในการช่วยกันทำให้ทรัพยากรธรรมชาติ และป่าไม้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความสมบูรณ์ และคงอยู่ตลอดไป

นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า "จากข้อห่วงใยของรัฐบาลในการบุกรุกการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้กรมป่าไม้ ร่วมกับกองทัพภาคที่ 4 กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาการลักลอบการตัดไม้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จึงได้ลงพื้นที่มาในวันนี้ สำหรับวันนี้ได้หารือพร้อมกำหนดมาตรการร่วมกับกองทัพภาคที่ 4 ในการดำเนินการการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าโดยใช้ช่องว่างของกฎหมายในรูปแบบต่าง ๆ มีมาตรการเร่งด่วน ในการดำเนินการการเข้าตรวจสอบว่าไม้นั้นมาจากที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์หรือไม่ มีการออกเอกสารสิทธิ์โดยชอบทางกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และตรวจสอบปลายทาง ทั้งโรงเลื่อยไม้ โรงแปรรูปไม้ ไม่ให้มีการนำมาแปรรูป หรือไม้ท่อนที่ผิดกฎหมายเข้ามายังโรงงาน"

ด้าน พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวว่า "ในห้วงที่ผ่านมา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้าได้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนหน่วยทหารในพื้นที่ในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการติดตามดำเนินคดีผู้ที่กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ตลอดจนการปฏิบัติงานเชิงรุกในการฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรป่าไม้ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดนราธิวาส พบว่ายังคงมีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิด กองทัพภาคที่ 4 โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งให้การสนับสนุน ทางกรมป่าไม้ในเรื่องการดูแลทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ ในขณะนี้ได้มีการเตรียมพร้อมการปฏิบัติการเชิงรุกจะดำเนินการร่วมกัน

 

ตร.เตือน!! คิดก่อนลงทุน ‘เงินสกุลดิจิทัล’ เสี่ยงถูกหลอก - สูญเงินนับล้าน!!

วันที่ 16 ธ.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เข้าจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนในธุรกิจขุดบิตคอยน์ (Bitcoin)

โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนโดยทั่วไป โดยผู้เสียหายจะต้องโอนเงินทุนเป็นบิตคอยน์มาให้กับคนร้ายก่อน จากนั้นเมื่อคนร้ายได้เงินก็จะหลบหนีไปพร้อมเงินดังกล่าวและไม่สามารถติดต่อได้  ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 14 ล้านบาท จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังการชักชวนลงทุนเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะการลงทุนที่มีการอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงผิดปกติ หรืออ้างว่าจะได้ผลกำไรแน่นอน เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นการฉ้อโกง และหากพี่น้องประชาชนท่านใดมีความประสงค์ที่จะลงทุนเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ขอให้พี่น้องประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบุคคลที่ชักชวนให้ลงทุนและรูปแบบของการลงทุนดังกล่าว ก่อนที่จะลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง และหากผู้ที่ชักชวนให้ลงทุนมีการอ้างว่าได้รับใบอนุญาตในการประกอบกิจการดังกล่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย พี่น้องประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อของบุคคลและบริษัทที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/App/BOTLicenseCheck/ ซึ่งจะสามารถตรวจสอบข้อมูลใบอนุญาตหรือใบขึ้นทะเบียนให้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยได้

 

‘มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์’ ร่วมกับ ‘บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด(มหาชน)’ สนับสนุน! เครื่องผลิตออกซิเจน ภายใต้โครงการ "ออกซิเจนเป็นความหวัง" ให้กับโรงพยาบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

วันที่ 16 ธันวาคม 2564 เวลา 10.30 น. มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ โดยนางสุรีย์ วศินพิตรพิบูล ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ และ ตัวแทน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนหลักในโครงการ "ออกซิเจนเป็นความหวัง" ร่วมมอบเครื่องผลิตออกซิเจนจำนวน 23 เครื่อง ให้กับโรงพยาบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

โดยมี พญ.สุนันทา จินดารัตน์ รองผู้อำนวยการด้านปฐมภูมิและองค์รวม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เป็นผู้รับมอบ ณ อาคารอำนวยการ โรงพยาบาลอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจต่อไป

‘บูลเทค ซิตี้’ ร่วมกับ ‘อำเภอบางปะกง’ บริจาคเงินสนับสนุน “วันรวมน้ำใจ สู่กาชาด ประจำปีงบประมาณ 2565”

วันที่ (16 ธ.ค.2564) ที่ห้องประชุมอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา นายไมตรี ไตรติลานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย นางจันทรรัตน์ ไตรติลานันท์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดฉะเชิงเทรา และคณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดฉะเชิงเทรา ร่วมรับมอบเงินและสิ่งของ ในงาน “วันรวมน้ำใจ สู่กาชาด ประจำปีงบประมาณ 2565”

โดยมีทีมงานฝ่าย CSR ของโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ พ่อค้า และประชาชนชาวจังหวัดฉะเชิงเทรารวมใจร่วมบริจาคเงินและสิ่งของเป็นจำนวนมาก

 

"กรณ์ - สุชาติ" เริ่มแล้ว!! ลงพื้นที่เขต 6 สงขลา เปิดตัว "พงศธร" ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ย้ำเดินหน้าสร้างการเมืองสร้างสรรค์ในอุดมคติ เดินหน้าสร้างโอกาส เดินหน้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า , พันเอกสุชาติ จันทรโชติกุล สมาชิกพรรคกล้า ประธานยุทธศาสตร์ภาคใต้ ลงพื้นที่เขต 6 จ.สงขลา ที่ศาลาอเนกประสงค์บ้านยูงทอง อ.คลองหอยโข่ง และวัดยางทอง อ.สะเดา เพื่อพบปะประชาชนและเปิดตัวนายพงศธร สุวรรณรักษา (ทนายอาร์ม) ในฐานะว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่เขต 6

นายกรณ์ กล่าวกับประชาชนในพื้นที่ว่า ต้องการทำให้ประเทศไทยเราดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีโอกาสเหมือนกับที่ตนเองเคยได้รับมา วิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่อ้างหรือแสดงความเป็นเจ้าของคำว่าประชาธิปไตย และไปรังควานผู้เห็นต่าง นั่นไม่ได้ทำให้การเมืองดีขึ้นได้ และไม่ใช่ประชาธิปไตย การทุจริต ซื้อสิทธิ์เลือกตั้ง หรือการจับตัวผู้เห็นต่าง เพื่อไม่ให้แสดงความเห็นต่อไปในอนาคต ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เราอยากเห็น

"ผมไม่ได้เป็นคนโลกสวย ผมเป็นนักปฏิบัติที่มีความฝันอยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น เชื่อว่าพี่น้องทุกคนอยากเห็นบ้านเมืองดีขึ้น นั่นคือสาเหตุที่พวกเรามารวมตัวกัน มาช่วยกันสร้างพื้นที่ พื้นที่ให้คนมีความหวัง มีกลุ่มคนพร้อมต่อสู้เพื่อการเมืองในอุดมคติ การเมืองสร้างสรรค์ จุดเริ่มต้นคือที่นี่ การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ มันมีความสำคัญ" นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า ปัญหาทุกเรื่องที่เราประสบในชีวิต ลูกหลานเข้าเรียน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การฉีดวัคซีน การดูแลด้านสาธารณสุข ถนนหนทาง ราคายาง ทุกอย่างเป็นเรื่องการเมืองหมด บางครั้งเราไม่ได้ประโยชน์ที่ควรจะได้ เพราะถูกผลประโยชน์การเบียดบัง

 

‘สวนนงนุช’ มอบสวนหย่อม! สร้างปอดใจกลาง‘ชุมชนคลองเตย’

วันนี้ 16 ธ.ค. 64 พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้เป็นประธาน ส่งมอบบ้าน และสวนหย่อม ตามโครงการ ปรับปรังซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ให้กับผู้ยากไร้และด้อยโอกาส ณ ชุมชนคลองเตย ล๊อค 4-5-6 กรุงเทพมหานคร โดยมี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมประชาชนจิตอาสา ร่วมในพิธี

พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า โครงการ “จิตอาสา เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ตามพระราโชบายของ สมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ และบรรเทาความเดือดร้อน โครงการดังกล่าวจัดทำขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างสุขอนามัยที่ดีให้แก่ประชาชนในชุมชนแออัด ดำเนินโครงการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย สร้างสวนหย่อม เพื่อให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน ให้กับผู้มีฐานะยากจน และด้อยโอกาส ตามชุมชนแออัดในเขตพื้นที่ กรุงเทพมหานคร เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างสุขอนามัยที่ดี ให้ประชาชนในชุมชน ตามพระราโชบายของ สมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ให้กับผู้อาศัยในชุมชนแออัด โดยตั้งเป้า 100 ชุมชน

 

กาฬสินธุ์ - สองสามีภรรยาเกษตรกร ต้นแบบเลี้ยงโคขุน - ทอผ้าขาย สร้างรายได้ตลอดปี!!

สองสามีภรรยาเกษตรกรต้นแบบชาวอำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทิ้งอาชีพทำนา ปลูกอ้อย และมันสำปะหลัง หันมาทำฟาร์มเลี้ยงโคขุน 3 สายพันธุ์ เลี้ยงง่าย รายได้ดี และสบายกว่าทำการเกษตรที่ต้นทุนสูงราคาขายผลผลิตไม่แน่นอน ทั้งยังมีเวลาว่างรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้านทอผ้าไหมแท้เป็นสไบแพรลายตาคู่  ซึ่งเป็นลายประจำตำบล จำหน่ายสร้างรายได้ตลอดปี

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพของประชาชน ที่มีพื้นที่ทำกินนอกเขตใช้น้ำชลประทานในช่วงฤดูแล้ง หลังเก็บเกี่ยวผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลังเสร็จสิ้น ซึ่งพบว่าส่วนมากว่างงาน เนื่องจากขาดแหล่งน้ำทำการเพาะปลูกพืชประจำฤดู เป็นสาเหตุของการอพยพแรงงานออกนอกพื้นที่ ปล่อยผู้สูงอายุอยู่เฝ้าบ้าน เลี้ยงหลาน และทำอาชีพเสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ พอมีรายได้และอาหารจุนเจือครอบครัว

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้ง มีครอบครัว 2 สามีภรรยา ชาวบ้านโพนสวาง หมู่ 4 ต.นามะเขือ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ได้หันหลังให้กับอาชีพการเกษตร ทั้งทำนา ปลูกอ้อย และมันสำปะหลัง โดยได้เปลี่ยนอาชีพใหม่ คือการทำฟาร์มเลี้ยงโคขุน 3 สายพันธุ์ ทั้งบรามันห์ ชาโรเลส์และแองกัส ใช้เวลาเพียง 3 ปีประสบความสำเร็จ กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านปศุสัตว์ระดับอำเภอ ทั้งยังมีเวลาว่างปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้าไหมจำหน่าย สร้างรายได้ตลอดปี โดยในแต่ละวันจะมี “นายฮ้อย” และผู้ประกอบการค้าขายโค รวมทั้งมีคณะศึกษาดูงานจากต่างถิ่น แวะเวียนมาติดต่อและสอบถามอย่างต่อเนื่อง

นายประเสริฐ นครชัย อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 155 หมู่ 4 บ้านโพนสวาง กล่าวว่า เดิมครอบครัวตนทำนา 9 ไร่ ปลูกอ้อย 10 ไร่ และปลูกมันสำปะหลัง 10 ไร่ ระยะหลังประสบปัญหาขาดทุน เนื่องจากปุ๋ยแพง ค่าแรงสูง บางปีฝนทิ้งช่วง ผลผลิตตกต่ำ ไม่คุ้มทุน ทำมากี่ปี ๆ ก็ย่ำอยู่กับที่ เมื่อปี 2561 จึงคิดหาทางออกที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความชอบของตนเอง คือการเลี้ยงโคเนื้อ เนื่องจากเนื้อโคเป็นที่นิยมของผู้บริโภคตลอดปี และราคาซื้อขายเริ่มขยับสูงขึ้น เริ่มแรกตัดสินใจหาซื้อแม่โคลูกผสม สายพันธุ์บราห์มันที่กำลังตั้งท้องมา 5 ตัว เพื่อประหยัดเวลาในการเลี้ยงและเห็นผลผลิตเร็ว

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า เมื่อแม่โคทั้ง 5 ตัวออกลูกมา ก็ได้จำนวนโคในคอกเพิ่มขึ้นเป็น 10 ตัว ก็เลี้ยงมาเรื่อยๆ มีโอกาสก็หาซื้อแม่โคที่กำลังตั้งท้องเพิ่มเข้ามา จำนวนโคก็ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็กลายเป็นฟาร์มโคย่อมๆขึ้นมาเพียงเวลาไม่นาน ทั้งนี้เมื่อลูกโคโตขึ้นได้ขนาดและน้ำหนักพอขาย ก็จะขายเพศผู้ออกไป เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนซื้อโคเพศเมียเข้ามา เพิ่ม โดยจะเลี้ยงและรักษาโคตัวเมียเพื่อขยายพันธุ์ในฟาร์ม ทั้งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค นอกจากจะเลี้ยงหรือขุนโคสายพันธุ์บรามันห์แล้ว ยังนำสายพันธุ์ชาโรเลส์ และแองกัส ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วไปมาเลี้ยงด้วย

“การเลี้ยงโคขุนของตนทำง่าย ๆ โดยขังอยู่ในคอกและอยู่ในบริเวณจำกัด ไม่ได้ปล่อยเลี้ยงกลางทุ่ง อาหารมีทั้งหญ้าสด ฟาง และอาหารเสริม ซึ่งมีกินพอเพียงตลอดปี เนื่องจากเปลี่ยนพื้นที่ทำนา 9 ไร่ เป็นนาหญ้า 8 ไร่ ขุดบ่อกักเก็บน้ำ 1 ไร่ เพื่อหล่อเลี้ยงนาหญ้า ขณะที่พื้นที่ที่เคยปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง รวม 20 ไร่ ให้เพื่อนบ้านเช่าทำกิน จึงมีเวลาดูแลโคขุนในฟาร์มอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ได้ลงนามความร่วมมือกับผู้ประกอบการรับซื้อโคขุน โดยขายทั้งตัวราคาซื้อขายทุกสายพันธุ์ราคาเดียวกัน คือกิโลกรัมละ 100 บาท โดยโคอายุ 2 ปี น้ำหนักตัวละประมาณ 400-500 กิโลกรัมเริ่มจำหน่าย ซึ่งจะได้ราคาตัวละ 40,000-50,000 บาท” นายประเสริฐกล่าว

ด้านนางเกสร ฆารไสย อายุ 52 ปี ภรรยานายประเสริฐ กล่าวว่า หลังจากเปลี่ยนอาชีพจากการทำเกษตรมาเลี้ยงโคอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งมองเห็นอนาคตการเลี้ยงโคขุนจะมีอนาคตดีกว่าทำนา ปลุกอ้อยและมันสำปะหลัง จึงได้ร่วมกับเพื่อนบ้านที่ต้องการเลี้ยงโค ไปขอคำปรึกษากับทางปศุสัตว์ อ.สหัสขันธ์ และ ธ.ก.ส.สาขาสหัสขันธ์ จากนั้นเข้าร่วมโครงการสร้างอาชีพ เพื่อขอสินเชื่อเป็นทุนจัดซื้อแม่โคมาเลี้ยงและขยายพันธุ์ ซึ่งที่ผ่านมามีการเลี้ยงโคเนื้อและโคขุน จำหน่ายหมุนเวียนเรื่อยมา ทำให้มีรายได้ใช้หนี้และจัดซื้อแม่โคเพิ่มเข้ามา ปัจจุบันมีโคในฟาร์ม 40 ตัว

นางเกสรกล่าวต่อว่า การเลี้ยงโคขุนเลี้ยงง่าย ไม่ต้องปล่อยเลี้ยงกลางทุ่ง ไม่ยากลำบาก ไม่เหนื่อย เหมือนทำการเกษตร เพียงแต่ไปตัดหญ้าที่นาหญ้า และซื้อฟางข้าวอัดก้อนมาตุนไว้ให้โคกิน ถึงเวลาก็ให้อาหารเสริมเท่านั้น จึงมีเวลาว่างเยอะ ทำให้มีโอกาสที่จะทำอาชีพอื่นเสริมมากขึ้น ซึ่งการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้า ถือเป็นภูมิปัญญาที่ชาวบ้านเราทำกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายอยู่แล้ว เพียงแต่หาเวลาทำไม่ได้เท่านั้น ดังนั้น หลังจากเลิกทำนา เลิกปลูกอ้อย และมันสำปะหลัง จึงมีเวลาที่จะสานต่ออาชีพทอผ้าอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ โดยการสนับสนุนของทางอำเภอสหัสขันธ์ และพัฒนาชุมชน จ.กาฬสินธุ์ ได้รวมกลุ่มแม่บ้านตั้งกลุ่มปลูกหม่อนไหมเหลืองบ้านโพนสวาง มีสมาชิกกลุ่ม 16 คน กิจกรรมกลุ่มมีปลูกหม่อน เลี้ยงไหม รวมทั้งทุกกระบวนการทั้งสาวไหม เข็นไหม ทอผ้า ตัดเย็บและแปรรูป

 

‘ผบ.ตร.’ นำทีมแถลงผลการช่วยเหลือ ‘เหยื่อค้ามนุษย์’ ในต่างประเทศ!!

ในรอบปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือผ่านทางสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย ว่ามีคนไทยถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในต่างประเทศ และได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการไทยและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จนสามารถเข้าให้ความช่วยเหลือคนไทยดังกล่าวและเดินทางกลับประเทศไทย ตามที่ทราบแล้ว นั้น

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือเหยื่อคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ พร้อมทั้งขยายผลถึงเครือข่ายผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการตัดวงจรการกระทำผิดของกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ ที่ได้ใช้โอกาสที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 หลอกลวงคนไทยไปบังคับใช้แรงงานและค้าประเวณีในต่างประเทศ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์ กระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปในสังคมในวงกว้าง

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. ในการดำเนินการประสานงานหน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กองต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กรมการกงสุล กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น NGO ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ข้อมูลของคนไทยที่ร้องขอความช่วยเหลือ จนสามารถช่วยเหลือคนไทยซึ่งถูกหลอกลวงกลับมาได้อย่างปลอดภัยจำนวนทั้งสิ้น 364 คน แบ่งเป็นการช่วยเหลือจากประเทศกัมพูชาจำนวน 361 คน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จำนวน 3 คน นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวได้เป็นจำนวนมาก โดยมีการออกหมายจับผู้กระทำผิดที่หลอกลวงคนไทยไปบังคับใช้แรงงานในกัมพูชาได้ทั้งสิ้น 32 ราย จับกุมแล้ว 15 ราย คงเหลือ 17 ราย และออกหมายจับผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนไทยไปค้าประเวณีที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ทั้งสิ้น 25 ราย จับกุมแล้ว 6 ราย คงเหลือ 19 ราย

กรณีผู้เสียหายจากกัมพูชานั้น เป็นกรณีที่ผู้เสียหายได้ถูกหลอกลวงจากข้อมูลการรับสมัครงานทางโซเชียลมีเดียเหมือนปกติทั่วไป ตั้งแต่งานรับจ้างทั่วไป จนถึงงานในคาสิโน โดยมีการใช้ตัวเลขรายได้ที่สูงมาล่อใจ เพื่อให้ผู้เสียหายมีความสนใจสมัครไปทำงานดังกล่าว แต่แท้จริงแล้วได้มีการนำพาผู้เสียหายข้ามชายแดนโดยผิดกฎหมายตามช่องทางธรรมชาติ และมีการยึดหนังสือเดินทาง และบังคับให้ทำงานที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลอกลวงให้คนไทยลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง หรือคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเสียหายมูลค่าหลายล้านบาท หากใครไม่ยอมทำงานดังกล่าวก็จะถูกบังคับทุบตี ทำร้ายร่างกาย กักขัง และอดอาหาร จะต้องหาทางร้องขอความช่วยเหลือจากทางการไทยเพื่อช่วยเหลือกลับประเทศไทย

 

‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิด “งานกาชาดประจำปี 2564” บนแพลตฟอร์มออนไลน์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากวังสระปทุม ไปยังห้องประชุม 1210 Auditorium ชั้น 12 อาคารภูมิสิริ มังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ไปทรงเปิดงานกาชาดประจำปี 2564 บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “ประสบการณ์สนุก สร้างสุขทุกมิติ #Fun(D) Fair x Sharing” โดยมี นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาด พร้อมด้วยผู้บริหารสภากาชาดไทยและกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาด เฝ้าฯ รับเสด็จ

ในโอกาสนี้ นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย ประธานกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาด กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์การจัดงานกาชาดประจำปี 2564 จากนั้น นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย กรรมการ และเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาด เบิกผู้ชนะการประกวดร้านกาชาดออนไลน์เข้ารับพระราชทานเกียรติบัตร จำนวน 12 ราย และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานกาชาดเข้ารับพระราชทานเกียรติบัตร จำนวน 11 ราย

จากนั้นเสด็จฯ ไปยังโถงหน้าห้องประชุม ทรงสัมผัสหุ่นยนต์น้องแสนสุขเปิดงานกาชาดออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “ประสบการณ์สนุก สร้างสุขทุกมิติ #Fun(D) Fair x Sharing” จากนั้นทอดพระเนตรการแสดงโขน ชุด “หนุมานเถลิงสุข สนุกทุกมิติ” และก่อนทอดพระเนตรกิจกรรมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทรงเลือก AVATAR ไปยังร้านโครงการส่วนพระองค์ ประกอบด้วย ร้านสมเด็จองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย ร้านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ร้านสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ร้านองค์อุปนายิกาสภากาชาดไทย ร้านโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา ร้านมูลนิธิชัยพัฒนา (ร้านภัทรพัฒน์  และร้านโครงการทหารพันธุ์ดี) มูลนิธิสายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร้านมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย ร้านที่ชนะการประกวดออกแบบร้านงานกาชาดออนไลน์ ร้านกิจกรรมสภากาชาดไทย และกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น

การจัดงานกาชาดประจำปี 2564 บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “ประสบการณ์สนุก สร้างสุขทุกมิติ #Fun(D) Fair x Sharing” ระหว่างวันที่ 14 – 27 ธันวาคม 2564 รวม 14 วัน ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถเข้าร่วมงานได้ที่ www.งานกาชาด.com และ www.redcrossfair.com โดยในปีนี้ได้พัฒนารูปแบบและกิจกรรมภายในงาน ให้มีความหลากหลายสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความชื่นชอบของผู้เที่ยวชมงานทุกวัยมากยิ่งขึ้น ลดขั้นตอนการเข้าแพลตฟอร์มแบบไม่ต้อง Log in เข้าระบบ กรอกข้อมูลเพียงครั้งเดียวเมื่อถึงขั้นตอนชำระสินค้าหรือการบริจาคเงิน โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ เมื่อเข้าแพลตฟอร์มแล้วจะพบกับหน้า Lite Version สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อสินค้าโดยเฉพาะ และหน้า Full Version ที่ Main map สำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยวชมงาน ร่วมกิจกรรม เล่นเกม ลุ้นรับของรางวัลและซื้อสินค้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top