Sunday, 15 June 2025
Hard News Team

'พาณิชย์' ขานรับนโยบาย 'นายกฯ' ชูไทยเป็นคลังอาหารของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เสริมความมั่นคงทางอาหารโลก (Food Security) พร้อม ‘ผลิตสินค้า-เก็บรักษา-ส่งทันที 24 ชม.’ 

'นายพิชัย นริพทะพันธุ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุม ACD summit ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงบทบาทผู้นำของประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม และเป็นที่ชื่นชมของผู้นำต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งมีผู้นำหลายประเทศมาขอร่วมถ่ายภาพด้วย ล่าสุดติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสาร TIME ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ โดยเสนอว่าในภาวะที่ความไม่สงบและมีความผันผวนในบริเวณกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นได้ จึงได้เสนอแนวคิดความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) 

โดยประเทศไทยจะเสนอเป็นประเทศที่จะผลิตอาหารเพื่อจำหน่าย อีกทั้งเก็บรักษาพร้อมส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางทันทีภายใน 24 ชม. หากมีความรุนแรงและความขาดแคลนในอาหารในกลุ่มประเทศดังกล่าว ซึ่งสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าประชาชนในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางจะไม่ขาดแคลนอาหาร ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆให้ความสนใจอย่างมาก เช่น UAE,  Qatar, Kuwait, Oman เป็นต้น โดยประเทศไทยจะสามารถขายสินค้าเกษตร และ อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานและเก็บรักษาในประเทศไทยพร้อมส่งมอบทันทีให้กับประเทศในตะวันออกกลาง

รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อไปว่า ท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์​ สานต่อความร่วมมือด้านการสร้างคลังอาหารกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพื่อรับมือกับความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ต่อไปให้สำเร็จ โดยตนได้มีโอกาสหารือกับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศโอมาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและส่งเสริมโอกาสความร่วมมือการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งแสดงความพร้อมของไทยในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพเพื่อเป็นคลังอาหารให้แก่ทั้งสองประเทศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร

นอกจากนี้นายพิชัย ได้หารือกับดร.ธานี บินอาเหม็ด อัลเซ ยูดี (Dr. Thani Bin Ahmed Al Zeyoudi) รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกล่าวว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทยในตะวันออกกลาง และไทยได้แสดงความพร้อมและศักยภาพที่จะเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จึงได้เชิญชวนมาลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรของไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังแสดงเจตนารมน์ที่จะสรุปผลการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ยูเออี ในโอกาสแรก

โดย รมว.พาณิชย์ ยังได้หารือกับ ดร. ซาอิด โมฮัมเหม็ด (Dr. Said Mohammed Al-Saqri) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจโอมาน เพื่อพูดคุยหารือแนวทางการขยายการค้าระหว่างกัน ทางฝ่ายโอมานได้ชื่นชมพัฒนาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจของไทย และเห็นว่าสองฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยฝ่ายโอมานแสดงความสนใจต่อบทบาทการเป็นคลังอาหารให้แก่โอมาน พร้อมทั้งเชิญชวนโอมานเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายโอมานแสดงความประสงค์ที่จะจัดทำความตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างกันเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนอีกด้วย 

“กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของท่านนายกฯ ซึ่งได้เชิญชวน และแสดงความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นคลังอาหารให้กับประเทศตะวันออกกลาง โดยในการหารือทวิภาคีวงต่าง ๆ ระหว่างผมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ก็ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของไทยในการผลิตอาหารและการมีสินค้าฮาลาลคุณภาพสูง โดยประเทศต่าง ๆ มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย และใช้ไทยเป็นคลังอาหารเพื่อจัดหาและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร” นายพิชัยกล่าว

'นายกฯ อิ๊งค์' ติดลิสต์ ‘Times 100 Next’ ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต ‘นิตยสารไทม์’

(4 ต.ค.67) นิตยสารไทม์ (Time) ประกาศรายชื่อ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต Times 100 Next ที่แบ่งแยกออกเป็น 5 หมวดหมู่ ประกอบด้วย ศิลปิน (Artists) ผู้สร้างปรากฏการณ์ (Phenoms) ผู้สร้างนวัตกรรม (Innovators) ผู้นำ (Leaders) และผู้ให้การสนับสนุน (Advocates) โดยในปีนี้ มีชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ติดอันดับในประเภทผู้นำ (Leaders)

ไทม์ ได้เขียนถึง น.ส.แพทองธารว่า เธอได้สร้างประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ไม่กี่วันก่อนวันเกิดปีที่ 38 ของเธอ ด้วยการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และเป็นนายกรัฐมนตรีผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดในเอเชียที่เคยมีมา

การขึ้นตำแหน่งของเธอ ไม่เป็นเรื่องน่าตกใจนัก เธอเป็นบุตรสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและมหาเศรษฐีแห่งวงการสื่อสาร ของไทยในปี 2544 และ ถูกรัฐประหารในอีก 5 ปีต่อมา กระนั้นยังมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นลุง และ อา ที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในประเทศไทย แต่ถูกแทรกแซงโดยตุลาการและทหาร

น.ส.แพทองธาร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากศาลรัฐธรรมนูญไทย ได้มีคำตัดสินให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

“ประเทศไทย จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง” น.ส.แพทองธาร บอกกับไทม์ เมื่อปีก่อน

อย่างไรก็ตาม 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต Time 100 Next นี้ มี 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็เคยติดอันดับเมื่อปี 2019 และ 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ติดอันดับในปี 2023 เช่นกัน

สำหรับนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นครั้งแรกที่ติดอันดับ Time 100 Next แต่ในแง่ของการได้รับการจัดอันดับในระดับสากล 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' เคยถูกจัดอันดับอยู่ใน 'ผู้ทรงอิทธิพล' เช่นกัน แต่เป็นการจัดอันดับโดย นิตยสารฟอร์บส์ที่จัดอันดับ 100 สตรีทรงอิทธิพลของโลก (The Most Powerful Women) ประจำปี 2011 โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ลำดับที่ 59 ในปี 2011 และในปี 2012 ยิ่งลักษณ์ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 31 จาก 100 ผู้หญิงทั่วโลก

ประธานศาลปกครองสูงสุด แถลงนโยบาย เน้นย้ำการบริหารจัดการคดีและบังคับคดีด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว พร้อมยกระดับการปฏิบัติงานด้วยเทคโนโลยี ก้าวสู่ศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์

เมื่อวานนี้ (3 ต.ค.67) เวลา 09.30 น. นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด ได้แถลงนโยบายการบริหารงานศาลปกครอง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2570 เพื่อให้ตุลาการศาลปกครอง ข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ตลอดจนบุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 อาคารศาลปกครองถนนแจ้งวัฒนะ และถ่ายทอดสัญญาณผ่านระบบLive Streaming และระบบ Cisco WebexMeetings ให้แก่บุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองทั้งในส่วนกลางและในภูมิภาค ได้ร่วมรับฟังโดยพร้อมเพรียงกัน

ประธานศาลปกครองสูงสุดได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญกับการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว ทันสมัย เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคม พร้อมทั้งขับเคลื่อนศาลปกครองเป็นระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์ และมีมาตรฐานการบริหารจัดการคดีที่เป็นสากลจึงได้กำหนดนโยบายหลัก
ในการดำเนินงานของศาลปกครอง 

ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2570 ดังนี้
1. บริหารจัดการคดีและบังคับคดีด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว โดยการเร่งรัดและติดตาม
การบริหารจัดการคดีให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายในแผนปฏิบัติราชการของสำนักงานศาลปกครอง
พ.ศ. 2566-2570 ในส่วนของการบริหารจัดการคดีค้างนั้น ตั้งเป้าหมายว่า เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 จะไม่มีคดีค้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ลงไป และคดีค้างของปี พ.ศ. 2565-2567 จะคงเหลือไม่เกินร้อยละ 25 ของคดีค้างทั้งหมด สำหรับกรณีคดีรับเข้าใหม่และคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินการจะต้องพยายามบริหารจัดการคดีให้แล้วเสร็จในกรอบระยะเวลาตามประกาศศาลปกครอง เรื่อง กำหนดระยะเวลาดำเนินงานคดี
ในศาลปกครอง พ.ศ. 2566 

ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายดังกล่าว จะต้องเร่งรัดขั้นตอนการกลั่นกรอง
ร่างคำวินิจฉัยที่ค้างอยู่จำนวนมาก รวมถึงจัดทำแนวคำวินิจฉัยต้นแบบ เพื่อเป็นแนวทางในการเรียบเรียง
คำพิพากษาหรือคำสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมทั้งพัฒนา ปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาพิพากษาคดี

นอกจากนี้ จะต้องรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการใช้ระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์
พร้อมส่งเสริมให้บุคลากรศาลปกครองขับเคลื่อนการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองโดยใช้ระบบงาน
คดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมบูรณ์ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการสัมมนาปัญหากฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้บุคลากรศาลปกครอง ปฏิรูประบบงาน โดยการสนับสนุนให้วิเคราะห์ปัญหาที่ส่งผลต่อการพิจารณาคดีที่ล่าช้า และนำมาสู่
การกำหนดแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน รวมถึงส่งเสริมให้ตุลาการศาลปกครองนำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ในคดีปกครองมาใช้ในการระงับข้อพิพาททางปกครอง และส่งเสริมความร่วมมือของคู่กรณีให้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย เพื่อยุติข้อพิพาทด้วยความเรียบง่าย รวดเร็ว 

รวมทั้งผลักดันการใช้ระบบไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทในคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้คดีเสร็จจากศาลโดยเร็ว และปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ
ที่เกี่ยวข้องให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินการ ปัญหาอุปสรรค ข้อขัดข้องเกี่ยวกับรูปแบบของกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองให้เหมาะสมกับประเภทและลักษณะของคดี

ในขณะเดียวกันก็จะพัฒนาระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อมของศาลปกครองที่ยั่งยืน เป็นธรรม โดยผลักดันการปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ที่เกี่ยวข้องกับ
คดีปกครองด้านสิ่งแวดล้อม และยกระดับความรู้ของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมสิ่งแวดล้อม
ทั้งบุคลากรศาลปกครอง หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งส่งเสริมระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อมของศาลปกครองให้มีมาตรฐาน

ในส่วนของการบังคับคดีปกครอง จะเร่งรัดการบังคับคดีปกครองให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลา และต้องนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบังคับคดี รวมทั้งส่งเสริมให้บุคลากรศาลปกครองใช้ระบบการบังคับคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิธีพิจารณาคดีปกครองทางอิเล็กทรอนิกส์ชั้นบังคับคดี และศึกษาเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองชั้นบังคับคดีด้วย

2. เสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคม โดยการส่งเสริมสนับสนุนการวิเคราะห์เหตุแห่งการฟ้องคดี เพื่อเสนอแนวปฏิบัติราชการที่ดีจากคำวินิจฉัยของศาลปกครอง เผยแพร่ต่อหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้แพร่หลายส่งเสริมให้ศูนย์การเรียนรู้ศาลปกครองออนไลน์(ALL Cloud) เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักกฎหมายปกครองและแนวทางการปฏิบัติราชการที่ดีจากคำวินิจฉัยของ
ศาลปกครองเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงเสริมสร้างกลไกภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของศาลปกครองในการอำนวยความยุติธรรมทางปกครอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแพร่หลายและครอบคลุมทุกภาคส่วน

3. ส่งเสริมผลักดันระบบศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ (e-Admincourt) ในประเด็นนี้เป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญ โดยจะผลักดันให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาและยกระดับ
การปฏิบัติงานของศาลปกครองและขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์
(e-Admincourt) ที่สมบูรณ์ ทั้งในส่วนของระบบที่สนับสนุนการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน (e-Service) ระบบการใช้งานของศาลปกครอง (e-Court) ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการทั้งการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาท การพิจารณาพิพากษาคดี และการบังคับคดีปกครอง และระบบการใช้งานของสำนักงาน
ศาลปกครอง (e-Office) ให้มีความพร้อมสอดคล้องกัน 

นอกจากนี้ จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ระบบเครือข่าย การเชื่อมโยงข้อมูล และระบบความมั่นคงปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนในการใช้ระบบศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเพิ่มจำนวนห้องพิจารณา/ไต่สวนคดี
ทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Courtrooms) เพื่อรองรับปริมาณการใช้งานที่มากขึ้น เสริมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลและใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อวางระบบและรากฐานของศาลปกครองที่จะก้าวสู่การเป็นศาลปกครองอัจฉริยะ (Smart Admincourt)ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2571-2575 ต่อไป

4. พัฒนาองค์กรให้ทันสมัย มีมาตรฐานในระดับสากล โดยการพัฒนาระบบวิธีการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองให้มีความทันสมัย โปร่งใส และยึดหลักธรรมาภิบาล โดยผสานการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงาน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก ถูกต้อง และรวดเร็ว
นอกจากนี้ จะเร่งรัดการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองในภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครองได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น 
ในด้านการพัฒนาบุคลากร 

ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนภาระงานต่าง ๆ ก็จะส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ และทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งปลูกฝังวัฒนธรรม
ศาลปกครอง (TRUST) ให้บุคลากรทุกคนสามารถดำรงตนได้อย่างเหมาะสม มีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในการทำงาน

สำหรับการพัฒนาองค์กรให้มีมาตรฐานในระดับสากล จะเสริมสร้างความร่วมมือทางการศาลและวิชาการกับองค์กรในประเทศและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ให้กับบุคลากรของศาลปกครองและเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีของศาลปกครอง รวมถึงสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนามาตรฐานการบริหารจัดการคดีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเป็นสากล

ท้ายนี้ ประธานศาลปกครองสูงสุดขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะมุ่งมั่นและทุ่มเทในการนำพาศาลปกครองให้ไปสู่การบรรลุเป้าหมายสำคัญ นั่นคือศาลปกครองเป็นระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์ และมีมาตรฐานการบริหารจัดการคดีที่เป็นสากล ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยขอให้บุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองทุกคน ร่วมกันขับเคลื่อนงานของศาลปกครองตามนโยบายสำคัญข้างต้น
ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ เพื่อให้ศาลปกครองเป็นที่พึ่งของประชาชน และเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมไทยต่อไป

4 ตุลาคม พ.ศ. 2313 ‘พระเจ้าตากสินมหาราช’ สถาปนาราชธานีแห่งใหม่ ทรงพระราชทานนามว่า ‘กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร’

ย้อนกลับไปเมื่อที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2313 ‘เมืองธนบุรี’ ได้ถูกสถาปนาเป็น ‘ราชธานีแห่งใหม่’ หลังจาก ‘สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี’ หรือ ‘สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’ สามารถกู้เอกราชคืนมาจากพม่า  

ในเวลานั้นสภาพบ้านเมืองของกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมาก ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นเมืองหลวง เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาถูกทำลายและยากแก่การบูรณะ นอกจากนี้กรุงศรีอยุธยายังมีพื้นที่กว้างขวางยากแก่การรักษาบ้านเมือง และอยู่ห่างจากปากแม่น้ำไม่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้ต้องสถาปนาราชธานีแห่งใหม่

สำหรับสาเหตุที่พระเจ้าตากสินมหาราชเลือก ‘กรุงธนบุรี’ เพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก เหมาะสมกับกำลังป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ โดยตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ และยังสะดวกในการควบคุมการลำเลียงอาวุธและเสบียงต่าง ๆ ไปตามหัวเมืองเมื่อเกิดศึกสงคราม 

นอกจากนี้ หากข้าศึกยกกำลังมามากเกินกว่ากำลังจะต้านทานก็ยังสามารถย้ายไปตั้งมั่นที่จันทบุรีได้โดยอาศัยทางเรือ อีกทั้งยังมี 2 ป้อมปราการทั้งป้อมวิไชยประสิทธิ์ และป้อมวิไชเยนทร์ อยู่ทั้งสองฟากแม่น้ำที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชใช้ป้องกันข้าศึกที่จะเข้ามารุกรานโดยยกกำลังมาทางเรือ 

โดยเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2313 พระราชทานนามว่า ‘กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร’ และทรงสร้างพระราชวังขึ้นทางทิศใต้ของกรุงธนบุรี ขนาบข้างด้วยวัดแจ้ง หรือวัดมะกอก (ปัจจุบันคือ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร) และวัดท้ายตลาด (ปัจจุบันคือวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร)   

อย่างไรก็ดี ‘อาณาจักรธนบุรี’ เป็นอาณาจักรเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ ระหว่างปี 2310 - 2325 หรือเพียง 15 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ ‘สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี’ และต่อมาสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

‘พีระพันธุ์’ ให้การต้อนรับพร้อมรายงานต่อ ‘องคมนตรี’ โครงการสนับสนุนการดำเนินงาน รพ.สมเด็จพระยุพราช

รองนายกฯ ‘พีระพันธุ์’ รายงานความก้าวหน้าโครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติฯ ภายใต้การดำเนินงานของ ก.พลังงาน และ กฟผ. ต่อ องคมนตรี ในโอกาสเยี่ยมชมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จ.ปัตตานี

(3 ต.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวรายงานความก้าวหน้าของโครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช คนที่ 2 ในโอกาสเยี่ยมชมโครงการดังกล่าว ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานี โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายแพทย์ศักดา อัลภาชน์ รองปลัด กระทรวงสาธารณสุข น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร หน่วยงานราชการ ในพื้นที่ ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมงาน

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ได้รายงานถึงความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการนี้ว่า โครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 21 แห่ง ทั่วประเทศ เป็น 1 ใน 10 โครงการสืบสานพระราชปณิธานองค์ราชัน ที่กระทรวงพลังงานและ กฟผ. จัดทำขึ้นในโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยเริ่มดำเนินการและส่งมอบโครงการฯ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา

ปัจจุบัน การดำเนินโครงการได้มีความคืบหน้าภายใต้กิจกรรมส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและคุณภาพอากาศ กิจกรรมส่งเสริมงานด้านสาธารณสุข และกิจกรรมส่งเสริมด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยมีการล้างเครื่องปรับอากาศไปแล้ว 3,357 เครื่อง มีการติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ หรือ City Tree ครบจำนวน 21 เครื่อง มีการสนับสนุนเลนส์เทียมสำหรับผู้ป่วยต้อกระจกและผู้สูงอายุ ไปแล้ว 1,200 คู่  และออกหน่วยให้บริการแว่นตาในโรงพยาบาล ไปแล้ว 11 แห่ง จำนวน 16,500 แว่นตา รวมทั้งการปลูกต้นรวงผึ้งในโรงพยาบาล ซึ่งจากการดำเนินโครงการฯ คาดว่าจะสามารถลดการใช้พลังงานได้ 2.75 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1,420 ตันต่อปี รวมถึงก่อให้เกิดคุณภาพอากาศที่ดีภายในโรงพยาบาล และเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านการมองเห็นให้กับผู้สูงอายุและผู้เข้ารับบริการด้วย

ในโอกาสนี้ องคมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมหน่วยให้บริการตรวจวัดสายตา แก้ปัญหาสุขภาพตา และประกอบแว่นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน  ร่วมปลูกต้นรวงผึ้ง พรรณไม้ประจำสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเยี่ยมชมการสาธิตล้างเครื่องปรับอากาศ และ นวัตกรรม City Tree ซึ่งนำไปติดตั้งที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เป็นนวัตกรรมลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย สามารถกรองฝุ่นได้ถึง 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ช่วยสร้างอากาศให้มีความสดชื่นเหมือนอยู่ในธรรมชาติ อีกทั้งเป็นที่พักผ่อนให้แก่ผู้ใช้บริการโรงพยาบาล

นอกจากนี้ องคมนตรียังได้มอบถุงของขวัญพระราชทานแก่ผู้ป่วย ประกอบด้วยเครื่องบริโภค จำนวน 100 ชุด และมอบโล่เกียรติยศให้แก่กระทรวงพลังงานในการสนับสนุนการดำเนินงานแก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้รับมอบ

'เอกนัฏ' สั่งยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี 35,108 โรงงาน พร้อมเร่งเยียวยา-ฟื้นฟูความเสียหายหลังสถานการณ์ดีขึ้น

(3 ต.ค.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการโรงงานในพื้นที่น้ำท่วม เร่งเยียวยาความเสียหายหลังสถานการณ์น้ำดีขึ้น โดยมอบหมายกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ดำเนินการรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีโรงงานจำพวกที่ 2 และจำพวกที่ 3 และจากข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมใน 57 จังหวัด คาดการณ์ว่าโรงงานจำพวกที่ 2 และ จำพวกที่ 3 ที่จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี จำนวน 35,108 โรงงาน มูลค่ากว่า 176 ล้านบาท

กรอ. ได้จัดทำประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง การช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการโรงงาน กรณีโรงงานได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567 ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 สามารถแจ้งข้อมูล ตามแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567 โดยดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้

1.โรงงานที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติน้ำท่วมนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 สามารถแจ้งข้อมูลตั้งแต่บัดนี้ - 31 ตุลาคม 2567
2.ดาวน์โหลดแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วมพ.ศ.2567ได้ที่ https://www.diw.go.th/webdiw/25092567-01/
3.กรอกแบบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับโรงงานและความเสียหายที่โรงงานได้รับจากภัยธรรมชาติน้ำท่วม พ.ศ. 2567
4.กำลังแรงม้าเครื่องจักร / จำนวนคนงาน ต้องกรอกให้ตรงกับ ร.ง.2 หรือ ร.ง.4
5.แนบสำเนา ร.ง.2 หรือ ร.ง.4 พร้อมแนบภาพถ่าย/ข้อมูลความเสียหาย (ถ้ามี)
6.ยื่นเอกสารด้วยตนเอง ณ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่โรงงานตั้งอยู่

“การยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่เจ้าของกิจการโรงงาน เป็นหนึ่งในมาตรการให้ความช่วยเหลือ ในการฟื้นฟูกิจการภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย เพื่อให้สามารถพลิกฟื้นจนก้าวเดินต่อได้อย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากวันที่ 31 ตุลาคม 2567 กรอ.จะรวบรวมข้อมูลความเสียหายและตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีให้แก่ผู้ประกอบการที่มีรายชื่อได้รับการยกเว้น สำหรับผู้ประกอบการที่ชำระค่าธรรมเนียมรายปีในปี 2567 แล้ว จะได้รับการยกเว้นในปี 2568” นายพงศ์พล กล่าวปิดท้าย

‘เท้ง ทั่วไทย’ vs ‘อิ๊งค์ อินเตอร์’ งานหนัก ‘พรรคส้ม’..งานหิน ‘เพื่อไทย’

เมื่อวันที่ (1 ต.ค. 67) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ  หัวหน้าพรรคประชาชน หรือพรรคส้มคนล่าสุด..ได้ทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร  ด้วยความเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ   เจ้าตัวประกาศที่ทำหน้าที่ด้วยความเข้มแข็งเข้มข้นคุ้มกับภาษีของประชาชน..

น่าสนใจ วันนี้นายกฯก็เป็นคนรุ่นใหม่ วัย 38 เป็นหัวหน้าพรรคใหญ่(เพื่อไทย)141 เสียง ขณะที่ผู้นำฝ่ายค้านก็วัยเดียวกัน เป็นหัวหน้าพรรค 143 เสียง..

ถ้าเป็นมวย..ก็เป็นมวยถูกคู่คนดูถูกใจว่า สมัยหน้าพรรคไหนใครจะเป็นแชมป์และมากกว่านั้น ใครจะเป็นนายกฯ และที่สุดของที่สุดสองพรรคที่มาจากเทือกเถาวัลย์พันธุ์สีแดงด้วยกัน จะจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาลได้หรือไม่...

คำตอบจากวันนี้..ฟันธงว่ายาก  แต่โอกาสที่พรรคประชาชนของ 'เท้ง ณัฐพงษ์' ที่กำลังเริ่มแคมเปญ 'เท้งทั่วไทย' สัญจร 20 จังหวัด โดยเริ่มต้นที่ภูเก็ต ที่จะเป็นฝ่ายค้านในสมัยหน้าอีกครั้งนั้นฟันธงว่า..มีสูงยิ่ง..

ต้องบอกว่า 'เท้ง ณัฐพงษ์' ผู้เรืองปัญญา และเอก ธนาธร ชื่นชมเป็นที่สุดนั้น ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคภายใต้สถานการณ์ 'ขาลง' และมากมรสุม ต่างจาก 'นายกอิ๊งค์' แพทองธาร ชินวัตร ที่มีเงื่อนไขและโอกาสให้โชว์ฝีมือ..ตั้งแต่กดปุ่มแจกเงินหมื่นบาท และวิกฤตภัยพิบัติภาคเหนือ...

อย่าได้แปลกใจที่ 'นิด้าโพล' ล่าสุด ให้คะแนนนายกฯอิ๊งค์ ร้อยละ 31.35 หัวหน้าเท้ง 22.90 ต่างกับคะแนนพรรค ที่พรรคส้มได้ ร้อยละ 34.25 พรรคเพื่อไทย 27.15

เฉพาะหน้าแรงกดดันของพรรคประชาชนก็คือ..ทำอย่างไรจะปักธงนายกอบจ.นำร่องได้สัก 1 จังหวัด...หลังจากที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ 'แพ้ซ้ำซาก' ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่ราชบุรี และเลือกซ่อมสส.เขต1พิษณุโลก ที่พรรคส่งโดยตรง..

นับนิ้วดูแล้ว เลือกนายกอบจ.11จังหวัดที่ผ่านมา มีผู้สมัครในนามพรรคประชาชน และสมาชิกพรรคลงแข่ง 6 จังหวัด แพ้ราบเรียบ...เบื้องหน้าที่ต้องจับตามองก็คือ เลือกนายกฯอบจ.ขอนแก่น และสุโขทัย  วันที่ 3 พ.ย. พรรคประชาชนจะส่งใครลงสมัครหรือไม่ โดยเฉพาะที่สุโขทัย ที่โอกาสแพ้สูงแต่ถ้าไม่ส่งก็เสียฟอร์ม  

เหตุเพราะเลือกตั้งปี 2566 แม้พรรคส้มไม่ส่งสส.เขต แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์เป็นลำดับ 2 จำนวน 115,750 คะแนน จี้ติดพรรคเพื่อไทยที่ชนะสส.เขตยกจังหวัด ได้ 125,832 คะแนน...และคิวต่อไปสนามที่พรรคส้มตั้งเป้าจะปักธงให้ได้ก็คือสนามอุดรธานี..เมืองหลวงของคนเสื้อแดง(เพื่อไทย)  ที่พรรคส้มกินแดนไปได้หลายส่วนแล้ว...

วันก่อน.. 'ติ่ง' ศรายุทธ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคส้ม ให้สัมภาษณ์ทางไทยโพสต์ ทีวีว่า..ตัวเลขขั้นต่ำจะปักธงการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยขั้นต่ำนายกฯอบจ. ภาคละ 1 จังหวัดและนายกเทศบาลนคร ภาคละ 1 จังหวัด เช่นกัน...

ตอนแรก ๆ ที่พรรคส้มประกาศจุดยืน จะปักธง..ก็ดูเหมือนจะเป็นไปได้ไม่น้อย แต่ที่สุดเจอวิทยายุทธบ้านใหญ่ที่รวมหัวกันกินส้ม พรรคประชาชนก็ไปไม่ค่อยเป็น...เพราะนี่คือการเลือกตั้งท้องถิ่นที่หนักไปในทางใช้กระสุนไม่ต้องอาศัยกระแส เหมือนการเลือกตั้งระดับชาติ(สส.)ที่หลายพื้นที่ต้องอาศัยกระแส เช่นกทม.เป็นต้น

สรุปว่านาทีนี้..ณัฐวุฒิก็ต้อง 'เท้งทั่วไทย' ไปก่อน ส่วน 'นายกฯอิ๊งค์' โกอินเตอร์ทั้งในต่างประเทศและในบ้านตัวเอง..

- 2-4 ต.ค.นี้ ประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD-Asia  Cooperation  Dialogue) ครั้งที่ 3 ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์

- 4 ต.ค.เวลา18.00-21.00น. นายกฯจะไปร่วมงานดินเนอร์ ทอล์ค ของTNNในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 17 ที่สยามพารากอนแสดงวิสัยทัศน์ประเด็น EMPOORERING THAILAND LEADERSHIP FOR A NEW ECONOMY
- 7 ต.ค. แสดงวิสัยทัศน์ 'พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยผงาดอาเซียน -ASEAN  ECONOMIC OUTLOOK 2025' จัดโดยนสพ.กรุงเทพธุรกิจ

-8-11 ต.ค.ประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 ณ สปป.ลาว

ที่ผ่าน ๆ มานายกฯอิ๊งค์ ยังอาการน่าห่วง แต่จากนี้ถ้าทุกงานสอบผ่านแบบไม่โกงหรืออวยกันเอง..นายกฯอิ๊งค์ก็จะไปโลด..ซึ่งดูเหมือนเธอจะขอโอกาสพิสูจน์..วันก่อนถึงได้ตอบคำถามนักข่าว “เพิ่งทำงานเดือนเดียวเอง อย่าเพิ่งมาไล่กันเลย(ลุงสนธิ)..”

Molly Tea ชานมมะลิสัญชาติจีนบุกตลาดไทย ดึง ‘ปอร์เช่-ชาช่า’ 2 ศิลปินดัง ร่วมฉลองเปิดสาขาแรกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

(3 ต.ค.67) เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Molly Tea แบรนด์เครื่องดื่มชานมมะลิสัญชาติจีน พรีเมียม ต้นกำเนิดจากเมืองเซินเจิ้น ที่มีกว่า 800 สาขาทั่วโลก โดยสาขาแรกที่ไทย ได้บุกใจกลางสยามอย่าง เซ็นเตอร์พอยท์สยามสแควร์ชั้น 1

สำหรับ Molly Tea สาขาแรก ได้เปิดให้ทุกคนมาสัมผัสประสบการณ์ชานม มะลิที่มากับเอกลักษณ์แบรนด์สีชมพูสุดคิวท์ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา

ขณะที่ภายในงานมี 'ปอร์เช่ ธนธรณ์ เจริญรัตนพร' หนุ่มหล่อนักแสดงนำจากซีรีส์ MY STAND-IN ตัวนาย ตัวแทน และ 'ชาช่า กนกรักษ์งาม ลิขิตเลิศ' เด็กฝึกตัวเต็ง 30 คนสุดท้าย จากรายการ CHUANGASIA THAILAND 2024 มาร่วมโชว์การแสดงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมลิ้ม รสชาติเครื่องดื่มสุดพิเศษ อีกทั้งยังมีสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมากมายมาร่วมสัมผัส ประสบการณ์ ชานมมะลิพรีเมียม ที่ Molly Tea สาขาแรก ในไทย อีกด้วย

สำหรับจุดเด่นและความพิเศษของ Molly Tea ที่ไม่เหมือนใคร คือ ความหอมของกลิ่นมะลิที่ส่งตรงมาจากจีนแบบพรีเมียม พร้อมส่งมอบความสดชื่นตลอดการดื่มด่ำ ไปกับรสชาติแบบต้นตำรับ มากไปกว่านั้นยังมีเมนูคริสปี้ครีม เพิ่มความคลาสสิกได้อย่างลงตัว

ACD มั่นใจวิสัยทัศน์นายกฯของคนไทยย้ำบทบาทไทยในเวที ACD จะสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคและส่งเสริมสันติภาพ พร้อมผลักดันวาระ 'ศตวรรษแห่งเอเชีย'

(3 ต.ค.67) เวลา 10.30 น. เวลาท้องถิ่นกรุงโดฮา หรือเวลา 14.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย ณ โรงแรม Ritz-Carlton Doha กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) ครั้งที่ 3 และขึ้นกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ ท่ามกลางผู้นำประเทศสมาชิก 35 ประเทศ

โดยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณ เจ้าภาพกาตาร์ ที่ต้อนรับอย่างอบอุ่น และกล่าวถึงความสำเร็จของการจัดการประชุม ACD ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ 'การทูตผ่านกีฬา' (Sports Diplomacy) ซึ่งชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการใช้การกีฬา ที่สามารถเชื่อมความแตกต่างและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของโลก ซึ่งความสำเร็จจากการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกของกาตาร์ เมื่อปี 2022 เป็นตัวอย่างที่สำคัญและแนวคิดนี้สอดคล้องกับจุดยืนของประเทศไทยที่จะะส่งเสริมสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก

ส่วนในประเด็นสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาค ประเทศไทยมีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์  และด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับประชาคมระหว่างประเทศ ไทยขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใช้ความระมัดระวังอย่างที่สุด และขอให้ยุติการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งหมดโดยทันที เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน และปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงบทบาทสำคัญของ ACD ท่ามกลางสถานการณ์โลกปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและต้องการการแก้ไข เช่นความขัดแย้งทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในฐานะผู้นำของประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่นำพาและสร้างความร่วมมือเพื่อเสถียรภาพและการเติบโตของประเทศ และในภูมิภาคอาเซียน ขณะเดียวกัน ศตวรรษที่ 21 นี้ได้ถูกกล่าวขานว่าเป็น 'ศตวรรษแห่งเอเชีย' และเอเชียมีประชาชนกว่าร้อยละ 60 ของประชากรโลกอีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และความมั่นคงทางอาหารของโลก เปรียบเสมือน 'แหล่งพลังงาน' และ 'ครัวของโลก'
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไป ว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านการเกษตรและอาหาร ซึ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจและการตอบสนอง ต่อความต้องการอาหารทั่วโลก และประเทศไทยเห็นว่าการประชุมในครั้งนี้สมาชิก ACD จะได้ร่วมมือกันเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายทางการค้า และปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกัน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในห่วงโซ่อุปทานอาหารโลก โดยประเทศไทยอยู่ในภูมิศาสตร์ที่สำคัญ สามารถเป็นประตูสู่การเชื่อมต่อในโลกตะวันออก กับโลกตะวันตกได้เป็นอย่างดี  รัฐบาลไทยจึงได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการคมนาคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการขนส่งทางบก การขนส่งทางราง และทางน้ำให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และยังพร้อมเพิ่มสนามบินใหม่ ๆ และพัฒนาศักยภาพสนามบินที่มีอยู่เพื่อรองรับทั้งผู้โดยสาร และการขนส่งสินค้าต่าง ๆ ทั้งนี้ประเทศไทยขอเชิญชวน ประเทศสมาชิก ACD มาร่วมกันพัฒนาเส้นทางการค้าใหม่ ๆ เพื่อเชื่อมต่อและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วทั้งเอเชียในฐานะที่เอเชียเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก
 
ปัจจุบันบทบาทของ ACD มีความสำคัญมากขึ้น โดยเป็นกรอบความร่วมมือระดับทวีปแห่งแรกและแห่งเดียวของเอเชีย ซึ่งรวมภูมิภาคต่าง ๆ ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน นายกรัฐมนตรีมุ่งหวังที่จะสานต่อแนวคิดนี้ในการดำรงตำแหน่งประธาน ACD ในวันที่ 1 มกราคม 2568 นี้โดยเล็งเห็นว่า ACD  จะเป็น 'เวทีหารือของเอเชีย' (converging forum of Asia) และเน้นย้ำว่า ไทยในฐานะผู้เป็นสะพานเชื่อม ACD มุ่งหวังที่จะทำงานร่วมกับทุกประเทศสมาชิก เพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ทั้งนี้ ในการเป็นประธาน ACD ของไทยในต้นปีหน้านี้ ประเทศไทยจะขับเคลื่อการทำงานภายใต้การขับเคลื่อนในกรอบ 6 เสาความร่วมมือ (pillar of cooperation ) กันอย่างมียุทธศาสตร์ ผนวกกับความร่วมมือของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่น ได้แก่ ASEAN GCC (Gulf Cooperation Council: GCC) BRICS CICA และ SCO เพื่อร่วมกันสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจโลก 

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความสำคัญของการทบทวน สถาปัตยกรรมทางการเงิน โดยบทเรียนจากประสบการณ์ในอดีตจากวิกฤตการเงิน ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการมีระบบการเงินที่มีความสมดุลและยืดหยุ่น ประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะสร้าง 'สถาปัตยกรรมการเงินที่สมดุล' ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งภายใต้การเป็นประธาน ACD ในปีหน้า ประเทศไทยจะจัดการประชุมเพื่อพิจารณาการพัฒนาสถาปัตยกรรมทางการเงิน 

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐกาตาร์ที่เป็นเจ้าภาพการประชุม และสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านในการทำหน้าที่อย่างแข็งขันในฐานะประธานการประชุมปีนี้ พร้อมแสดงความยินดีที่ได้ร่วมงานกับเลขาธิการ ACD คนใหม่ โดยการประชุมนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของ ACD ที่พร้อมร่วมมือกัน มากกว่าการแข่งขันและความขัดแย้ง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศของสมาชิก ACD และยกระดับชีวิตประชาชนหลายล้านคน นำไปสู่การฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ในฐานะที่ประเทศไทยจะเป็นประธานในปีหน้า ไทยมุ่งมั่นที่จะผลักดันวาระของ ACD เพื่อสร้างเอเชียที่แข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น พร้อมกับเน้นความร่วมมือเพื่อทำให้ศตวรรษนี้เป็น 'ศตวรรษแห่งเอเชีย' อย่างแท้จริง โดยมี ACD เป็น 'เวทีหารือแห่งเอเชีย' (Forum of Asia) ที่พร้อมจะร่วมกันผลักดัน 'วาระของเอเชีย' (Asia’s agenda) ต่อไปให้ก้าวหน้า เพื่อการพัฒนาที่สำคัญของประเทศสมาชิกต่อไปนายจิรายุกล่าว

อนึ่ง กรอบ ACD มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อน 6 เสาความร่วมมือ (pillar of cooperation) ได้แก่ (1) ตุรกีและรัสเซีย เป็นประธานร่วมคณะทำงานด้านความเชื่อมโยง (2) อินเดียเป็นประธานคณะทำงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (3) อิหร่านเป็นประธานคณะทำงานด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4) จีนเป็นประธานคณะทำงานด้านความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน และน้ำ (5) อิหร่านเป็นประธานคณะทำงานด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว (6) ไทยเป็นประธานคณะทำงานด้านการส่งเสริมแนวทางไปสู่การพัฒนาอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดยประธานของแต่ละคณะทำงานมีภารกิจในการจัดประชุมเพื่อหารือ และจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือโดยประธานคณะทำงานดังกล่าวมีวาระ 1 ปี และต้องสรรหาใหม่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนประธาน ACD ทั้งนี้ ประเทศสมาชิก ACD อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดตั้งเสาความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน

‘รัสเซีย’ ปักธงชัยเหนือ ‘เมืองวูห์เลดาร์’ ยึดฐานที่มั่นแหล่งพลังงานสำคัญ ‘ยูเครน’

(3 ต.ค. 67) ยูเครน เกินต้าน ยอมถอนกำลังออกจากวูห์เลดาร์ เมืองสำคัญทางตะวันออกในแคว้นโดเนตสค์ให้แก่กองทัพรัสเซียแล้วเมื่อวันพุธ (1 ต.ค 67) ที่ผ่านมา หลังจากที่สู้รบกันมานานหลายเดือน 

สื่อตะวันตกได้ยืนยันชัยชนะของรัสเซียเหนือเมืองวูห์เลดาร์ ด้วยภาพของกองกำลังรัสเซียที่ปักธงชาติบนยอดเขาที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของเมืองที่เคยเป็นแหล่งเหมืองถ่านหิน และเขตเศรษฐกิจที่สำคัญทางภาคตะวันออกของยูเครน 

แต่เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เมืองนี้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของการสู้รบเพื่อชิงเมืองของทั้งสองฝ่ายนานกว่า 2 ปี จนตอนนี้ ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างที่เหลือแต่เศษซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน และในที่สุดเมืองนี้ถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซียได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา 

ด้านกองทัพยูเครนออกมาแถลง ยอมรับความพ่ายแพ้ และประกาศถอนกำลังออกจากพื้นที่เมืองวูห์เลดาร์ เพื่อรักษาชีวิตทหาร และยุทโธปกรณ์ที่จำเป็น

เมืองวูห์เลดาร์ ตั้งอยู่ในโดเนตสค์ แคว้นที่รัสเซียประกาศผนวกดินแดนไปเป็นของตนในปี 2022 แม้จะยังไม่ได้ยึดครองพื้นที่ทั้งหมดของแคว้นเลยก็ตาม ซึ่งวูห์เลดาร์ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่พยายามต่อต้านการยึดครองของรัสเซียมาตลอด และกลายเป็นสนามรบที่มีการเผชิญหน้าปะทะกันหนักที่สุดจุดหนึ่งของทั้ง 2 ฝ่าย 

ความพิเศษของเมืองนี้ นอกจากจะเป็นเหมืองถ่านหิน แหล่งพลังงานที่สำคัญแล้ว ยังเป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สำคัญ มีเส้นทางรถไฟสู่ไครเมีย และภูมิภาคดองบาสทั้งหมด ที่ประกอบด้วยโดเนตสค์ และ ลูฮันสค์ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกรัสเซียผนวกดินแดนไปแล้ว

ดังนั้น การยึดครองเมืองวูห์เลดาร์ได้ จึงเป็นก้าวสำคัญของรัสเซียในมุ่งหน้าสู่การครอบครองแคว้นโดเนตสค์ในส่วนที่เหลือได้ทั้งหมดที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้ออย่างสาหัสเช่นกัน

แน่นอนว่า ความพ่ายแพ้ในวูห์เลดาร์สะเทือนกองทัพยูเครนไม่น้อย หลังจากที่เคยได้เอาคืนรัสเซียด้วยการบุกยึดพื้นที่ในเมืองคูสค์ ดินแดนของรัสเซียได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน ที่ทำให้โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนกล้าที่จะเดินหน้าขอใช้ขีปนาวุธของพันธมิตรตะวันตกโจมตีดินแดนรัสเซีย

แต่เมื่อวูห์เลดาร์ถูกตีแตกโดยรัสเซีย ทำให้ฝ่ายยูเครนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกครั้ง และต้องรวบรวมสรรพกำลังลงมาป้องกันไม่ให้กองทัพรัสเซียขยายเขตยึดครองรุกคืบเข้ามาทางด้านตะวันตกมากขึ้น และยังต้องรับมือกับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ในวันที่ยูเครนได้สูญเสียเมืองสำคัญที่เป็นแหล่งผลิตถ่านหินให้แก่รัสเซียไปแล้ว

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้ใกล้เคียงกับเลยสิ่งที่เซเลนสกี้เคยกล่าวผ่านสื่อสหรัฐฯ ว่า สงครามในยูเครนนั้นใกล้จบแล้ว สันติสุขจะกลับคืนสู่ยูเครนในไม่ช้า และสิ่งที่กองทัพยูเครนต้องเผชิญต่อจากนี้ อาจหนักกว่าที่คิด 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top