Sunday, 15 June 2025
Hard News Team

ศูนย์บริบาลช้างแม่แตง แจ้งข่าวน้ำท่วมศูนย์หนัก ต้องการเรือ-กรงสัตว์ ขนย้ายสัตว์หนีน้ำขึ้นเขา

(4 ต.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศูนย์บริบาลช้าง แม่แตง-เชียงใหม่ หรือ 'Elephant Nature Park' ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ของศูนย์ ว่า

สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เป็นครั้งที่หนักที่สุด ! 
น้ำป่าลงมาจากเขาเร็วมากเข้าท่วมพื้นที่ของศูนย์บริบาลเวลานี้ หนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา บางพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมก็ท่วมแล้ว ควาญช้างและอาสาสมัครของเราทำงานกันอย่างหนักในการขนย้ายทุก ๆ ชีวิตขึ้นพื้นที่ปลอดภัย

และล่าสุดเมื่อประมาณ 10.00 น. ทางศูนย์บริบาลช้าง แม่แตง-เชียงใหม่ ได้โพสต์ว่า 

ต้องการอาสาสมัครและกรงค่ะ เพราะต้องย้ายสัตว์ไปบนเขาด่วน เนื่องจากถนนถูกตัดทั้งสองทาง

ดังนั้นจึงขอความช่วยเหลือเรื่องเรือค่ะ เพราะอาสาจะเข้าพื้นที่ไม่ได้เลย ถนนบางจุดสองเมตรแล้วค่ะ ถนนที่ปางไม้แดงเป็นเส้นทางเดียวที่ยังจะไปได้ แต่ตอนนี้ดินสไลด์ถนนปิด 

ดิฉันได้ประสานงานท่านรองผู้ว่าจังหวัดเชียงใหม่เพื่อให้ช่วยเหลือเปิดทาง เส้นทางที่จะไปได้คือสายบ้านช้างปางไม้แดง 

สิ่งที่เราต้องการที่สุดในเวลานี้คือ เรือ และกรงขนสัตว์เล็ก และผ้าเต้นท์กันฝน ค่ะ เพราะน้ำท่วมหมดต้องย้ายพวกเขาไปอยู่บนเขาเท่านั้น 

ถ้าท่านใดต้องการเข้าไปช่วยในพื้นที่ ติดต่อพนักงานที่ออฟฟิศตามเบอร์ข้างล่างนี้ เพราะในพื้นที่สัญญาณอ่อนมากค่ะ

คุณดาด้า 098-6566685
064-44688989
คุณยุ้ย 095-361515
คุณเปรี้ยว 095-3615156
คุณไพลิน 088-9172668
สำนักงานมูลนิธิ 053-272855
ขอความช่วยเหลือด่วนค่ะ

ดร.สุวินัย ชี้ใกล้ถึงจุดตัดสินเหตุการณ์ปะทะ ‘อิหร่าน-อิสราเอล’ ในตะวันออกกลาง พี่ใหญ่ ‘สหรัฐ’ ไม่เอาสงครามภูมิภาค หวั่น! จีน-รัสเซีย-อิหร่าน เกาะกลุ่มแน่น

(4 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักเขียนชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความวิเคราะห์สถานการณ์ระหว่างอิสราเอล-อิหร่านในชื่อ ‘ตุลาคม คือคำตอบ’ บนเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

‘ตุลาคม’ คือคำตอบ

อิสราเอลต้องการทำสงครามโดยมีส่วนร่วมของสหรัฐอเมริกา อิหร่านกำลังพยายามป้องกันสงครามใหญ่

‘ยูเครนและอิสราเอล’ ต้องการดึงสหรัฐฯ เข้าสู่ความขัดแย้ง แต่พวกเขาจะพบว่าตัวเองติดกับดัก ต้องการสงครามแต่ทำเนียบขาวไม่ขี่ม้าขาวส่งกองกำลังผสมมาช่วย 

หลังจากนั้นปลายเดือนนี้รัสเซีย​และจีน พร้อมชาติ BRICS ที่ ‘คาซาน’ จะม้วนเสื่อ กรอบความคิดเกี่ยวกับ ‘ทฤษฎีพันล้านทองคำ’ โลกาภิวัตน์และรัฐลึก ไว้ใต้พรมตลอดชีวิต

‘ทฤษฎีพันล้านทองคำ’ เป็นทฤษฎีสมคบคิดที่กลุ่มคนชั้นสูงระดับโลก กำลังใช้เส้นสายเพื่อสะสมความมั่งคั่งให้กับคนรวยที่สุดจำนวนหนึ่งของโลก โดยไม่คำนึงถึงมนุษยชาติที่เหลือ ทฤษฎีนี้เป็นคำศัพท์ที่นิยมใช้กันในโลกที่พูดภาษารัสเซีย

>>>การยับยั้งสงครามใหญ่ ชนวนแห่งสงครามโลกครั้งที่สาม
(1) การโจมตีในพื้นที่มีความหมาย​เฉพาะของอิหร่านบนดินแดนอิสราเอล​ไม่ได้สร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อย การโจมตีสำนักงานใหญ่ของ Mossad ในเทลอาวีฟ และหน่วยที่อยู่รอบนอกเพียงครั้งเดียวจะมีผลยับยั้งและไม่น่าจะนำไปสู่สงครามใหญ่

ขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอากาศของอิสราเอลใน Nevatim ซึ่งมีเครื่องบินของอเมริกาและอิสราเอล 30 ถึง 50 ลำประจำการอยู่ พื้นที่นี้ทางการอิสราเอล พยายามปกปิดความเสียหายอยู่

โดยที่อิหร่านไม่ได้ใช้ขีปนาวุธจำนวนมาก แค่บางส่วนเพียงเท่านั้น แต่สามารถเอาชนะระบบป้องกันทางอากาศ/ป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอลและพันธมิตรได้ มีรายงานว่าขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงเกือบทั้งหมดไปถึงเป้าหมาย

การโจมตีที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น ที่จะมีผลยับยั้งต่ออิสราเอลและสหรัฐฯ จึงเป็นการยากที่เทลอาวีฟจะเดินหน้าเพิ่มระดับความรุนแรง

อิสราเอลกำลังทำเช่นนี้ เพื่อดึงสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ความขัดแย้ง แต่เตหะรานกำลังพยายามอย่างดีที่สุดที่จะตอบสนองต่อพวกเขา ในลักษณะที่จะป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลาย

(2) อิหร่านกำลังจัดปาร์ตี้เดือนตุลาคม และการนิ่งของเตหะรานต่อการถูกลอบสังหาร ผู้นำหลายท่านในช่วงที่ผ่านมาไม่ใช่ความอ่อนแอ 

ส่วนสงครามในยูเครนและชายแดนรัสเซียจะจบลงในเดือนตุลาคม หรืออย่างช้าคือสิ้นปีนี้แหละ เพราะ... 

เป็นความจริงที่อิสราเอลตั้งใจที่จะประสานแผนกับสหรัฐฯ เพื่อเปิดฉากโจมตีบนดินแดนของอิหร่านโดยจะต้องอาศัยความร่วมมือเชิงป้องกันกับกองบัญชาการกลางของสหรัฐฯ รวมทั้งอาวุธเพิ่มเติมสำหรับกองทัพอากาศอิสราเอล และอาจต้องได้รับการสนับสนุนปฏิบัติการประเภทอื่น ๆ จากสหรัฐฯ 

แต่ในเดือนหน้า วอชิงตันไม่ต้องการเพิ่มระดับความรุนแรงในตะวันออกกลาง เพราะผลที่ตามมาจากการแลกเปลี่ยนการโจมตี อาจไม่เป็นตามที่อิสราเอลคาดหวัง ไม่ว่าจะผลจะเป็น บวกหรือลบ

ชาติในตะวันออกกลาง อาจมองว่าอิสราเอลเป็นภัยคุกคามระดับใหม่ ซึ่งจะต้องต่อต้านทันที เตหะรานจะกระชับความสัมพันธ์กับมอสโกและปักกิ่งให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ซึ่งมันเป็นผลดีกับทำเนียบขาวตรงไหน วอชิงตันอยากแยกพวกเขาทั้งสามออกจากกัน ไม่ใช่สร้างสถานการณ์​เพื่อให้เกิด สามประสาน และทำลายยาก

สิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้นี้ คือความจำเป็นในการแทรกแซงในระดับใหญ่ การส่งทรัพยากรและกระสุนเพิ่มเติมให้กับอิสราเอล และก็ยังต้องแก้ไขกลยุทธ์และวาทกรรมในทิศทางของยูเครนเพื่อรักษาพื้นที่เดิม 

และหากสหรัฐฯ ต้องเข้าแทรกแซงความขัดแย้งโดยตรงในเดือนหน้า (พฤศจิกายน)​ ที่จะมีการเลือกตั้ง รัฐลึกก็จะเปลี่ยนสภาพไปอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมผลการเลือกตั้งไม่ได้อย่างสิ้นเชิง 

ดังนั้น วอชิงตันจะพยายามแก้ไขความขัดแย้งด้วยพลังทั้งหมด ไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่รับประกันการยืดเวลาการโจมตีซึ่งกันและกัน

ขณะนี้ สหรัฐฯ 'ห้ามปราม' อิสราเอลไม่ให้ตอบโต้อิหร่าน และจนถึงขณะนี้ สถานการณ์ดูเหมือนทั้งสองฝ่ายมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรง 

เหตุผลนั้นชัดเจน ... การปะทะดังกล่าวอาจกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ ทำลายแผนการทางการเมืองทั้งหมด และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง รวมถึงห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากการสื่อสารเคเบิลใต้น้ำทางทะเลในตะวันออกกลางมีบทบาทในการสั่งการเป็นอย่างมาก

แต่สงครามระหว่างอิสราเอลและฮิซบุลเลาะห์ยังคงดำเนินต่อไป 

ณ เวลานี้ ตัวเลือก "สหรัฐฯ กำลังจัดตั้งกองกำลังผสมเพื่อโจมตีอิหร่าน" ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ใช่

แทบจะรับประกันได้เลยว่าผู้นำนาโต้จะไม่รวมอยู่ในกองกำลังผสมดังกล่าว และการร่วมมือกันของอิสราเอลและราชวงศ์อาหรับในอ่าวเปอร์เซียต่ออิหร่านก็ถูกตัดออก เนื่องจากทัศนคติเฉพาะเจาะจงของชาวอาหรับที่มีต่อเปอร์เซีย ดีขึ้นในช่วงหลัง

สหรัฐอเมริกาเองก็ไม่ต้องการสงครามในตะวันออกกลาง 

และในระหว่างนี้สหรัฐอเมริกาไม่อยากกระตุ้นให้อิหร่าน​กลายเป็นสมาชิกโดยพฤตินัยของ 'Club Nuclear' อย่างรวดเร็ว 

การแก้ปัญหาทางการทูตเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา เพราะวอชิงตันเน้นย้ำว่าอิหร่านเป็นอำนาจนิวเคลียร์ 'ที่ซ่อนอยู่' ซึ่งเป็นอำนาจที่ยังคงไม่ใช้นิวเคลียร์ตามความใจชอบ 

แต่เมื่อเตหะรานตัดสินใจที่จะเพิ่มความเข้มข้นยูเรเนียมเป็นอาวุธ อิหร่านจะกลายเป็นสมาชิกโดยพฤตินัยของ 'Club Nuclear' ไปแล้ว

ผลที่ตามมาจะทำให้เตหะรานมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ 

ตะวันออกกลางเป็นจุดตัดระหว่างการค้าโลก โทรคมนาคม และการจัดหาพลังงานให้กับยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ภูมิภาคนี้มีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และอิทธิพลของอิหร่านจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก 

อย่างน้อยที่สุด อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานในสหรัฐฯ 

อีกทั้งการคว่ำบาตรอิหร่านจะยากขึ้นมากเนื่องจากไพ่เด็ดด้านนิวเคลียร์สามารถใช้ได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ตะวันออกกลาง 

ความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลกทั้งหมด อิหร่านยังไม่ได้ครอบงำภูมิภาคนี้ แต่ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ อิหร่านจะกลายเป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ ในทางภูมิศาสตร์ทันที

สิ่งเหล่านี้คือความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก​ของทำเนียบขาว เหตุผลที่ทำไมเตหะรานรอเดือนตุลาคม โดยชะลอการโจมตีอิสราเอล ปิดปากอยู่เงียบ ๆ จนโลกชี้หน้าว่า อ่อนแอ ไม่แก้แค้นเสียที 

เตหะรานต้องแก้แค้นแน่นอน แต่ต้องควบคุมวิถีของสงครามให้อยู่ในวงจำกัดได้อีกด้วย และส่งไม่ให้ ปูตินและลุงสี ปลายเดือนนี้ในการล้มกรอบความคิดเกี่ยวกับ 'ทฤษฎีพันล้านทองคำ' ของโลกาภิวัตน์และรัฐลึก ไว้ใต้พรมตลอดชีวิต ที่เมืองคาซาน สหพันธรัฐ​รัสเซีย

~ AnneHya

>>>อิหร่านมีรายได้หลักจากการค้าน้ำมัน (แม้จะอยู่ภายใต้มาตรการแซงชันของตะวันตก) ทำให้มีรายได้ สำหรับการพัฒนาด้านกองทัพ และ สนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในตะวันออกกลาง
>>>หากสถานีน้ำมันของอิหร่านถูกอิสราเอลโจมตี จะสร้างผลกระทบแรง ต่อราคาน้ำมันที่จะพุ่งขึ้น และจะกระทบกับการขนส่งทางทะเลในอ่าวเปอร์เซีย

>>>เศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบ เงินเฟ้อจะพุ่งแรง (ราคาทองคำ และ น้ำมันจะพุ่งขึ้นด้วยกันสวนทางกับ ตลาดหุ้น และ ตลาดบอนด์ ที่ถูกหนุนเอาไว้ ด้วย พันธบัตรอเมริกาที่จะดิ่งลง)
>>>ความตึงเครียดที่ยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ ในตะวันออกกลาง จากการเปิดศึกของอิสราเอล ที่หนุนหลังโดย อเมริกา และกลุ่ม G7 รวมทั้งตอนนี้ คือการเปิดหน้า โจมตีกันไปมา ระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน

>>>ผู้คุมเกม/ผู้รู้เท่าทัน ได้เล็งเห็น ผลลัพธ์ล่วงหน้าแล้วว่าความขัดแย้งเหล่านี้ จะต้องนำไปสู่สงครามขั้นแตกหัก (สงครามใหญ่ระดับสงครามโลก) และการพังทลายของระบบเศรษฐกิจโลก ที่หนุนด้วย พันธบัตรอเมริกา
>>>ขั้วอำนาจตะวันออก ... ได้ถือกำเนิดกลุ่ม BRICS และสกุลเงินใหม่ที่อิงด้วยทองคำ (BRICS Unit) โดยไม่ต้องอาศัย ดอลลาร์... ที่จะมีการประกาศความชัดเจนมากขึ้น ในการประชุมใหญ่ BRICS Summit ในวันที่ 24 ตุลาคม 2024 ที่รัสเซีย... อิหร่าน และ กลุ่ม East จึงมีการเพิ่มการสะสมทองคำ เพื่อใช้อ้างอิงสกุลเงินใหม่แบบดิจิทัล (Digital payment system)... ที่ท้าทาย ดอลลาร์ (ซึ่งกำลังเสื่อมอำนาจซื้อลงเรื่อย ๆ)

>>>ขั้วอำนาจตะวันตก ... โดยกองทุนจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก คือ BlackRock ซึ่งมี AUM (Asset Under Management ) 10.65 T(rillion dollars) ใน Q2 2024 

รองลงมาคือ Vanguard มี AUM ที่ 8.7T... เพื่อปกป้องความเสี่ยงจากระบบการเงินของโลก ที่มีดอลลาร์เป็นเงินสำรองหลัก ที่กำลังจะล่มสลาย

ด้วยการที่ BlackRock ได้ก่อตั้ง BUIDL (กองทุนเพื่อสภาพคล่องแห่งสถาบันแบบดอลลาร์ดิจิทัล) (BlackRock USD Institutional Digital Liquidity Fund)... โดยแปลง ดอลลาร์ เป็นเหรียญโทเคน (Tokenised fund) บน Ethereum Blockchain (ในความร่วมมือกับ Ethena Labs)... ซึ่งจะจ่ายผลตอบแทนจากดอลลาร์ ผ่านเหรียญโทเคน (Stablecoin UStb) ที่อิงด้วยกองทุน BUIDL ซึ่งลงทุนใน US Dollars, US Treasury bills และ Repo (Repurchase agreements)

รายใหญ่ เขาเตรียมเรือชูชีพ/ทางรอด/Hedging เอาไว้แล้ว เพราะเล็งเห็นแล้วว่า 'เรือใหญ่ดอลลาร์' กำลังจะจม

ย้อนมาดูตัวเล็ก ๆ เช่นเรา ตอนนี้ เราต้องตกผลึกทางความคิดกันแล้วว่า..เรือชูชีพของเรา คือ ปัจจัย 4 ที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบ, ที่หลบภัย, และทองคำแท่งในกำมือ

ศิษย์เก่า-ปัจจุบัน อุเทนถวาย เกือบ 100 ชีวิต ยกพลขึ้นเชียงราย ช่วยเหลือชาวบ้าน  

อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบันขอเป็นพลังอาสาฟื้นฟูชุมชนหลังน้ำท่วมใหญ่ ศิษย์เก่า-ปัจจุบัน อุเทนถวาย เกือบ 100 ชีวิต ยกพลขึ้นเชียงราย ช่วยเหลือชาวบ้าน เยาวชนจากศูนย์ฝึกบ้านกาญจนาภิเษก กว่า 20 ชีวิต เดินทางมาร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา ลงพื้นที่ฟื้นฟู ตักโคลนล้างบ้าน ด้านนายวิศาล ประธาน กมธ.วิสามัญ พรบ.คุมเหล้า ลงพื้นที่ให้กำลังใจ พร้อมหนุนเสริมภารกิจเยาวชนช่วยชาวเชียงรายสู้ภัยพิบัติ

เมื่อวันที่ (29 ก.ย.67) ที่ผ่านมานายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คณะกรรมาธิการฯ ซึ่งเดินทางมาศึกษาดูงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่จังหวัดเชียงราย และเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ (27-29 กย.) ได้เดินทางมอบถุงยังชีพให้กับประชาชน ผู้ประสบภัยในพื้นที่ และได้เดินทางไปมาเยี่ยมให้กำลังใจนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวาย และศิษย์เก่า ที่ประจำการอยู่ที่สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนเงินและสิ่งของกับโครงการ 'หมดตัวไม่หมดใจ เพราะยังมีอีจัน' และหลังจากนั้นกรรมาธิการฯได้เดินทางไปยังบ้านเกาะลอย อ.เมือง จ.เชียงราย 

เพื่อพบปะกับนักศึกษาอุเทนถวายที่ทำงานกันอยู่ในพื้นที่ ได้มอบอาหารให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม และทานข้าวกับน้อง ๆ นักศึกษา “ในฐานะที่เป็นคนเชียงราย ต้องขอบคุณน้อง ๆ ชาวอุเทนถวายและรุ่นพี่ทุกคน ที่เดินทางไกลเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบกับความทุกข์ยากในเวลานี้ ทราบมาว่าในแต่ละวันทุกคนมีภารกิจที่หนักหน่วงกันมาก ทั้งที่จุดจัดการของบริจาคร่วมกับเพจอีจัน และในพื้นที่ประสบภัย ทำงานกันชนิดแทบไม่ได้พัก ได้เห็นภาพที่น้อง ๆ นอนพักกลางวันทั้งที่เนื้อตัวยังเต็มไปด้วยโคลนแล้ว ยังต้องลุกขึ้นมาทำงานต่อ ยิ่งรู้สึกเห็นใจและชื่นชมในความเป็นนักสู้ของทุกคน หากต้องการความช่วยเหลือให้ประสานงานมาได้ตลอด” นายวิศาล กล่าว  

นายเตชาติ์ มีชัย ประธานมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัวมกล่าวว่า ท่ามกลางความโกลาหลหลังเกิดภัยพิบัติฝนตกถล่มเชียงรายในหลายพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 9-14 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับสิบราย บ้านเรือนเสียหายมากกว่าห้าหมื่นครัวเรือน หลายหน่วยงานเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูความเสียหายที่มาพร้อมกับความรุนแรงของกระแสน้ำและดินโคลนจำนวนมหาศาล กลุ่มคนเล็กๆสองกลุ่มที่เข้าพื้นที่มาปฏิบัติภารกิจอย่างเงียบ ๆ และสม่ำเสมอ เรียกได้ว่าสายตัวแทบจะขาดในแต่ละวัน กลุ่มแรกพวกเขาคือคนหนุ่มสาวชาวอุเทนถวาย ที่ในอดีตมักถูกสังคมตัดสินตีตรา ในนามเด็กอาชีวะที่มักจะมีข่าวทะเลาะวิวาทต่างสถาบัน แต่วันนี้พวกเขาทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง และศิษย์เก่าเกือบ 100 ชีวิต พร้อมใจกันมาทุ่มเทแรงกายแรงใจเข้ามาฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมเชียงราย แม้จะรู้ว่าต้องมาเจองานที่ยากและหนักยิ่งก็เต็มใจที่จะมา และอีกกลุ่มคือเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กว่า 20 คน พร้อมเจ้าหน้าที่ ก็เดินทางเข้าพื้นที่ด้วยเช่นกัน  

ซึ่งเป็นภารกิจที่ถูกจัดขึ้นแทบทุกครั้งที่มีภัยพิบัติครั้งใหญ่ ๆในประเทศ เช่น กรณี คลื่นยักษ์สึนามิที่พังงา ดินถล่มที่ลับแล เป็นต้น โดยเป็นการตัดสินใจร่วมกันของเยาวชนในศูนย์ฝึกแห่งนี้ ซึ่งทุกคนต้องการใช้พลังกายพลังใจตอบแทนคืนสู่สังคมในยามที่ยากลำบากแบบนี้ มูลนิธิฯเป็นเพียงลมใต้ปีกผู้ที่คอยสนับสนุนภารกิจของทั้งสองกลุ่มนี้ให้ลุล่วง และพยายามระดมทรัพยากรช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้  

นายศุภชัย ลิ้มพิพัฒนโสภณ นายกสมาคมศิษย์เก่าอุเทนถวาย กล่าวว่า ช่วงมีข่าวน้ำท่วมหนักที่เชียงราย พวกเรารุ่นพี่รุ่นน้องอุเทนถวาย ได้จัดทำโครงการอาสารวมน้ำใจคนไทย กู้วิกฤตภัยน้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย โดยเบื้องต้นระดมเงินจากรุ่นพี่ ๆ หน่วยงานห้างร้าน องค์กรเครือข่ายเพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม โคลนถล่มในจังหวัดเชียงราย เราเดินทางเข้าพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แบ่งภารกิจเป็นสองส่วนคือส่วนแรกประจำการที่สนามกีฬากลาง อบจ.เชียงราย สนับสนุนภารกิจจัดการกับของบริจาค ในโครงการ 'หมดตัวไม่หมดใจ เพราะยังมีอีจัน' ที่จะส่งมอบอุปกรณ์ของใช้จำเป็นให้บ้านที่ได้รับผลกระทบหนัก ช่วยเหลือตัวเองได้ยากลำบาก เช่น 

ที่นอน หม้อหุงข้าว เตาแก๊ส ฯลฯ ส่วนที่สองจะเข้าไปในพื้นที่ที่น้ำท่วมโคลนถล่ม ไปช่วยตักโคลน ล้างบ้าน ทำความสะอาดบ้าน อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ให้มีสภาพพร้อมใช้งาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในพื้นที่เป็นอย่างดีทำให้ภารกิจที่วางไว้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี  

ด้านนายอนนทกรณ์ นาดี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก เขตพื้นที่อุเทนถวาย กล่าวว่า รู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนที่ยากลำบาก พวกเขาลำบากเราก็เห็นใจ พวกเราทุกคนมีความสุขได้รับการต้อนรับจากคนในพื้นที่เหมือนลูกเหมือนหลาน น้อง ๆ ที่มาช่วยก็เต็มใจมา รู้สึกดี  เห็นแววตาที่ชาวบ้านมองเราอย่างเอ็นดู อยากชักชวนเพื่อนคนนักเรียนนักศึกษามาใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ มาช่วยเหลือชาวบ้านในยามที่ทุกคนกำลังแย่ ผมคิดว่าการมีกิจกรรมแบบนี้ เป็นเรื่องที่ดีจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาและน้อง ๆ ที่มาร่วมด้วย แม้ว่าเราจะเหนื่อย หนัก และได้พักผ่อนน้อย แต่เราก็มีความสุขทุกครั้งที่ออกไปทำงาน เวลาที่ได้ยินเสียงขอบคุณ แววตาของความเมตตาจากชาวบ้านที่มองเรา การโอบกอดเราอย่างลูกหลานคือพลังใจที่เราได้กลับมา

ด้านนายเอ นามสมมุติ เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า พวกเราเดินทางมาเชียงรายด้วยความสมัครใจ กว่า 20 ชีวิต และยังมีเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งอยู่ที่บ้านกาญ คอยไปเป็นอาสาสมัครช่วยจัดการของบริจาคของมูลนิธิกระจกเงาที่กรุงเทพ ตามที่ได้รับแจ้งภารกิจมา ก่อนการตัดสินใจทำภารกิจในครั้งนี้ ป้ามล ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกฯบ้านกาญจนาภิเษก ได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้พูดคุยกัน หาข้อมูล ตัดสินใจร่วมกันว่าจะไปช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่เชียงราย ส่วนคนที่ไม่ได้ไปจะต้องพร้อมสแตนบายสำหรับภารกิจอาสาที่กรุงเทพ เราได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือ จากพี่ๆที่เคยเป็นศิษย์เก่าบ้านกาญ มูลนิชนะใจ มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว และเครือข่ายที่เป็นกัลยาณมิตรกับบ้านกาญจนา พวกเรารู้ดีว่าการมาในครั้งนี้ต้องเจองานใหญ่แน่นอน  

ซึ่งในความจริงที่มาก็เจองานหนักจริง ๆ ในแต่ละวันการเข้าพื้นที่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย งานตักโคลน ล้างบ้าน ทำความสะอาดทุกอย่าง ต้องใช้พลังกายพลังใจอย่างมาก มีเวลาพักน้อยต้องทำงานแข่งกับเวลา แต่สิ่งที่ตอบแทนกลับมามันมีคุณค่ามากๆสำหรับพวกเราคือรอยยิ้ม คำขอบคุณและความเมตตาของลุงป้าน้าอา ที่เราเข้าไปช่วย เหมือนกับพวกเราเป็นลูกหลานจริง ๆ หลายๆบ้านคุณตาคุณยายร้องไห้บอกให้เราแวะมาเยี่ยมด้วยนะถ้ามีโอกาส เรารู้สึกได้เลยว่านี่คุณค่า คือความหมายที่พวกเราตามหามานาน  และไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจมาที่นี่แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม

'กลุ่ม ปตท.' ชู 3 แนวทาง สู่ Net Zero ตอกย้ำ 'ความยั่งยืนอย่างสมดุล

แนวทาง 3C ของกลุ่ม ปตท. ไม่เพียงช่วยนำสู่เป้าหมาย Net Zero แต่ยังเป็นโอกาสให้เกิดเป็นธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และธุรกิจไฮโดรเจน ด้วย 

1. Climate Resilience Business 
ปรับ Portfolio พิจารณาเรื่องการปลดปล่อยคาร์บอน ควบคู่กับการเติบโตทางธุรกิจ 

2. Carbon-Conscious Asset 
-การปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาด อาทิ Hydrogen 
-การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในกระบวนการผลิต 
-การนำคาร์บอนไดออกไซด์แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (Carbon Capture and Utilization: CCU) 
 
3. Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All 
-ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเป็นแกนหลักของประเทศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก 
-ใช้เทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) 
-การเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีทางธรรมชาติ ผ่านการปลูกและบำรุงรักษาป่า 

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' เสริมสร้างอนาคตเด็กไทย ลงพื้นที่ภาคใต้ มอบทุนการศึกษาในระดับชั้นประถม และทุนฯ ทุกระดับปีสุดท้าย (ทุนสัญจร) แก่เยาวชนรวม 53 สถาบัน มูลค่ากว่า 2.28 ล้านบาท

เมื่อวานนี้ (3 ต.ค.67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมด้วย นายนิพนธ์ ลีละศิธร กรรมการ  นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม และนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ  ลงพื้นที่มอบทุนการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษา และทุนฯ ทุกระดับปีสุดท้าย (ทุนสัญจร) ประจำปี พ.ศ. 2567 แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ภาคใต้ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพัทลุง สงขลา นครศรีธรรมราช ตรัง และสตูล 

โดยมี จังหวัดพัทลุงเป็นศูนย์กลางในการมอบทุนฯ รวม 53 สถาบัน 265 ทุน รวมเป็นเงินจำนวน 2,280,000 บาท (สองล้านสองแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมตามที่มุ่งหวัง เติบโตพร้อมมีวิชาความรู้ สร้างอนาคตของตนเองและครอบครัว เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง โดยมี นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะพัทลุงการกุศลมูลนิธิฯ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ ศูนย์ประชุม โรงเรียนพัทลุง ตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง

การมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน นิสิต และนักศึกษา เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของงานสังคมสงเคราะห์ ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ดำเนินการมาแล้วเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยในปี พ.ศ. 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดสรรงบประมาณในการมอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 18,345,000 บาท (สิบแปดล้านสามแสนสี่หมื่นห้าพันบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” 

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก 
แฟนเพจ http://www.facebook.com/pohtecktungofficial

'พาณิชย์' ขานรับนโยบาย 'นายกฯ' ชูไทยเป็นคลังอาหารของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เสริมความมั่นคงทางอาหารโลก (Food Security) พร้อม ‘ผลิตสินค้า-เก็บรักษา-ส่งทันที 24 ชม.’ 

'นายพิชัย นริพทะพันธุ์' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุม ACD summit ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงบทบาทผู้นำของประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม และเป็นที่ชื่นชมของผู้นำต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งมีผู้นำหลายประเทศมาขอร่วมถ่ายภาพด้วย ล่าสุดติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสาร TIME ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ โดยเสนอว่าในภาวะที่ความไม่สงบและมีความผันผวนในบริเวณกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นได้ จึงได้เสนอแนวคิดความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) 

โดยประเทศไทยจะเสนอเป็นประเทศที่จะผลิตอาหารเพื่อจำหน่าย อีกทั้งเก็บรักษาพร้อมส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางทันทีภายใน 24 ชม. หากมีความรุนแรงและความขาดแคลนในอาหารในกลุ่มประเทศดังกล่าว ซึ่งสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าประชาชนในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางจะไม่ขาดแคลนอาหาร ซึ่งทำให้ประเทศต่างๆให้ความสนใจอย่างมาก เช่น UAE,  Qatar, Kuwait, Oman เป็นต้น โดยประเทศไทยจะสามารถขายสินค้าเกษตร และ อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานและเก็บรักษาในประเทศไทยพร้อมส่งมอบทันทีให้กับประเทศในตะวันออกกลาง

รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อไปว่า ท่านนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์​ สานต่อความร่วมมือด้านการสร้างคลังอาหารกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพื่อรับมือกับความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ต่อไปให้สำเร็จ โดยตนได้มีโอกาสหารือกับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศโอมาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและส่งเสริมโอกาสความร่วมมือการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งแสดงความพร้อมของไทยในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพเพื่อเป็นคลังอาหารให้แก่ทั้งสองประเทศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร

นอกจากนี้นายพิชัย ได้หารือกับดร.ธานี บินอาเหม็ด อัลเซ ยูดี (Dr. Thani Bin Ahmed Al Zeyoudi) รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกล่าวว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทยในตะวันออกกลาง และไทยได้แสดงความพร้อมและศักยภาพที่จะเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จึงได้เชิญชวนมาลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรของไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังแสดงเจตนารมน์ที่จะสรุปผลการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ยูเออี ในโอกาสแรก

โดย รมว.พาณิชย์ ยังได้หารือกับ ดร. ซาอิด โมฮัมเหม็ด (Dr. Said Mohammed Al-Saqri) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจโอมาน เพื่อพูดคุยหารือแนวทางการขยายการค้าระหว่างกัน ทางฝ่ายโอมานได้ชื่นชมพัฒนาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจของไทย และเห็นว่าสองฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยฝ่ายโอมานแสดงความสนใจต่อบทบาทการเป็นคลังอาหารให้แก่โอมาน พร้อมทั้งเชิญชวนโอมานเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายโอมานแสดงความประสงค์ที่จะจัดทำความตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างกันเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนอีกด้วย 

“กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของท่านนายกฯ ซึ่งได้เชิญชวน และแสดงความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นคลังอาหารให้กับประเทศตะวันออกกลาง โดยในการหารือทวิภาคีวงต่าง ๆ ระหว่างผมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ก็ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของไทยในการผลิตอาหารและการมีสินค้าฮาลาลคุณภาพสูง โดยประเทศต่าง ๆ มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย และใช้ไทยเป็นคลังอาหารเพื่อจัดหาและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร” นายพิชัยกล่าว

'นายกฯ อิ๊งค์' ติดลิสต์ ‘Times 100 Next’ ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต ‘นิตยสารไทม์’

(4 ต.ค.67) นิตยสารไทม์ (Time) ประกาศรายชื่อ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต Times 100 Next ที่แบ่งแยกออกเป็น 5 หมวดหมู่ ประกอบด้วย ศิลปิน (Artists) ผู้สร้างปรากฏการณ์ (Phenoms) ผู้สร้างนวัตกรรม (Innovators) ผู้นำ (Leaders) และผู้ให้การสนับสนุน (Advocates) โดยในปีนี้ มีชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ติดอันดับในประเภทผู้นำ (Leaders)

ไทม์ ได้เขียนถึง น.ส.แพทองธารว่า เธอได้สร้างประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ไม่กี่วันก่อนวันเกิดปีที่ 38 ของเธอ ด้วยการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และเป็นนายกรัฐมนตรีผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดในเอเชียที่เคยมีมา

การขึ้นตำแหน่งของเธอ ไม่เป็นเรื่องน่าตกใจนัก เธอเป็นบุตรสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและมหาเศรษฐีแห่งวงการสื่อสาร ของไทยในปี 2544 และ ถูกรัฐประหารในอีก 5 ปีต่อมา กระนั้นยังมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นลุง และ อา ที่ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในประเทศไทย แต่ถูกแทรกแซงโดยตุลาการและทหาร

น.ส.แพทองธาร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากศาลรัฐธรรมนูญไทย ได้มีคำตัดสินให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

“ประเทศไทย จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง” น.ส.แพทองธาร บอกกับไทม์ เมื่อปีก่อน

อย่างไรก็ตาม 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต Time 100 Next นี้ มี 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็เคยติดอันดับเมื่อปี 2019 และ 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ติดอันดับในปี 2023 เช่นกัน

สำหรับนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แม้จะเป็นครั้งแรกที่ติดอันดับ Time 100 Next แต่ในแง่ของการได้รับการจัดอันดับในระดับสากล 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' เคยถูกจัดอันดับอยู่ใน 'ผู้ทรงอิทธิพล' เช่นกัน แต่เป็นการจัดอันดับโดย นิตยสารฟอร์บส์ที่จัดอันดับ 100 สตรีทรงอิทธิพลของโลก (The Most Powerful Women) ประจำปี 2011 โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ลำดับที่ 59 ในปี 2011 และในปี 2012 ยิ่งลักษณ์ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 31 จาก 100 ผู้หญิงทั่วโลก

ประธานศาลปกครองสูงสุด แถลงนโยบาย เน้นย้ำการบริหารจัดการคดีและบังคับคดีด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว พร้อมยกระดับการปฏิบัติงานด้วยเทคโนโลยี ก้าวสู่ศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์

เมื่อวานนี้ (3 ต.ค.67) เวลา 09.30 น. นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด ได้แถลงนโยบายการบริหารงานศาลปกครอง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2570 เพื่อให้ตุลาการศาลปกครอง ข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ตลอดจนบุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 10 อาคารศาลปกครองถนนแจ้งวัฒนะ และถ่ายทอดสัญญาณผ่านระบบLive Streaming และระบบ Cisco WebexMeetings ให้แก่บุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองทั้งในส่วนกลางและในภูมิภาค ได้ร่วมรับฟังโดยพร้อมเพรียงกัน

ประธานศาลปกครองสูงสุดได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญกับการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว ทันสมัย เพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคม พร้อมทั้งขับเคลื่อนศาลปกครองเป็นระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์ และมีมาตรฐานการบริหารจัดการคดีที่เป็นสากลจึงได้กำหนดนโยบายหลัก
ในการดำเนินงานของศาลปกครอง 

ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2570 ดังนี้
1. บริหารจัดการคดีและบังคับคดีด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว โดยการเร่งรัดและติดตาม
การบริหารจัดการคดีให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายในแผนปฏิบัติราชการของสำนักงานศาลปกครอง
พ.ศ. 2566-2570 ในส่วนของการบริหารจัดการคดีค้างนั้น ตั้งเป้าหมายว่า เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 จะไม่มีคดีค้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ลงไป และคดีค้างของปี พ.ศ. 2565-2567 จะคงเหลือไม่เกินร้อยละ 25 ของคดีค้างทั้งหมด สำหรับกรณีคดีรับเข้าใหม่และคดีที่อยู่ระหว่างดำเนินการจะต้องพยายามบริหารจัดการคดีให้แล้วเสร็จในกรอบระยะเวลาตามประกาศศาลปกครอง เรื่อง กำหนดระยะเวลาดำเนินงานคดี
ในศาลปกครอง พ.ศ. 2566 

ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายดังกล่าว จะต้องเร่งรัดขั้นตอนการกลั่นกรอง
ร่างคำวินิจฉัยที่ค้างอยู่จำนวนมาก รวมถึงจัดทำแนวคำวินิจฉัยต้นแบบ เพื่อเป็นแนวทางในการเรียบเรียง
คำพิพากษาหรือคำสั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกัน พร้อมทั้งพัฒนา ปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพิจารณาพิพากษาคดี

นอกจากนี้ จะต้องรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการใช้ระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์
พร้อมส่งเสริมให้บุคลากรศาลปกครองขับเคลื่อนการอำนวยความยุติธรรมทางปกครองโดยใช้ระบบงาน
คดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมบูรณ์ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการสัมมนาปัญหากฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้บุคลากรศาลปกครอง ปฏิรูประบบงาน โดยการสนับสนุนให้วิเคราะห์ปัญหาที่ส่งผลต่อการพิจารณาคดีที่ล่าช้า และนำมาสู่
การกำหนดแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน รวมถึงส่งเสริมให้ตุลาการศาลปกครองนำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ในคดีปกครองมาใช้ในการระงับข้อพิพาททางปกครอง และส่งเสริมความร่วมมือของคู่กรณีให้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย เพื่อยุติข้อพิพาทด้วยความเรียบง่าย รวดเร็ว 

รวมทั้งผลักดันการใช้ระบบไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาทในคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้คดีเสร็จจากศาลโดยเร็ว และปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ
ที่เกี่ยวข้องให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครอง ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินการ ปัญหาอุปสรรค ข้อขัดข้องเกี่ยวกับรูปแบบของกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองให้เหมาะสมกับประเภทและลักษณะของคดี

ในขณะเดียวกันก็จะพัฒนาระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อมของศาลปกครองที่ยั่งยืน เป็นธรรม โดยผลักดันการปรับปรุงพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ที่เกี่ยวข้องกับ
คดีปกครองด้านสิ่งแวดล้อม และยกระดับความรู้ของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมสิ่งแวดล้อม
ทั้งบุคลากรศาลปกครอง หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งส่งเสริมระบบยุติธรรมสิ่งแวดล้อมของศาลปกครองให้มีมาตรฐาน

ในส่วนของการบังคับคดีปกครอง จะเร่งรัดการบังคับคดีปกครองให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลา และต้องนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบังคับคดี รวมทั้งส่งเสริมให้บุคลากรศาลปกครองใช้ระบบการบังคับคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิธีพิจารณาคดีปกครองทางอิเล็กทรอนิกส์ชั้นบังคับคดี และศึกษาเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในคดีปกครองชั้นบังคับคดีด้วย

2. เสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคม โดยการส่งเสริมสนับสนุนการวิเคราะห์เหตุแห่งการฟ้องคดี เพื่อเสนอแนวปฏิบัติราชการที่ดีจากคำวินิจฉัยของศาลปกครอง เผยแพร่ต่อหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐให้แพร่หลายส่งเสริมให้ศูนย์การเรียนรู้ศาลปกครองออนไลน์(ALL Cloud) เป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักกฎหมายปกครองและแนวทางการปฏิบัติราชการที่ดีจากคำวินิจฉัยของ
ศาลปกครองเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงเสริมสร้างกลไกภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของศาลปกครองในการอำนวยความยุติธรรมทางปกครอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแพร่หลายและครอบคลุมทุกภาคส่วน

3. ส่งเสริมผลักดันระบบศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ (e-Admincourt) ในประเด็นนี้เป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญ โดยจะผลักดันให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาและยกระดับ
การปฏิบัติงานของศาลปกครองและขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์
(e-Admincourt) ที่สมบูรณ์ ทั้งในส่วนของระบบที่สนับสนุนการให้บริการและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน (e-Service) ระบบการใช้งานของศาลปกครอง (e-Court) ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการทั้งการไกล่เกลี่ย
ข้อพิพาท การพิจารณาพิพากษาคดี และการบังคับคดีปกครอง และระบบการใช้งานของสำนักงาน
ศาลปกครอง (e-Office) ให้มีความพร้อมสอดคล้องกัน 

นอกจากนี้ จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ระบบเครือข่าย การเชื่อมโยงข้อมูล และระบบความมั่นคงปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนในการใช้ระบบศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเพิ่มจำนวนห้องพิจารณา/ไต่สวนคดี
ทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Courtrooms) เพื่อรองรับปริมาณการใช้งานที่มากขึ้น เสริมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลและใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อวางระบบและรากฐานของศาลปกครองที่จะก้าวสู่การเป็นศาลปกครองอัจฉริยะ (Smart Admincourt)ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2571-2575 ต่อไป

4. พัฒนาองค์กรให้ทันสมัย มีมาตรฐานในระดับสากล โดยการพัฒนาระบบวิธีการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองให้มีความทันสมัย โปร่งใส และยึดหลักธรรมาภิบาล โดยผสานการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงาน เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก ถูกต้อง และรวดเร็ว
นอกจากนี้ จะเร่งรัดการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองในภูมิภาค เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครองได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น 
ในด้านการพัฒนาบุคลากร 

ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนภาระงานต่าง ๆ ก็จะส่งเสริมและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ และทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งปลูกฝังวัฒนธรรม
ศาลปกครอง (TRUST) ให้บุคลากรทุกคนสามารถดำรงตนได้อย่างเหมาะสม มีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในการทำงาน

สำหรับการพัฒนาองค์กรให้มีมาตรฐานในระดับสากล จะเสริมสร้างความร่วมมือทางการศาลและวิชาการกับองค์กรในประเทศและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ให้กับบุคลากรของศาลปกครองและเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีของศาลปกครอง รวมถึงสนับสนุนการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนามาตรฐานการบริหารจัดการคดีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเป็นสากล

ท้ายนี้ ประธานศาลปกครองสูงสุดขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะมุ่งมั่นและทุ่มเทในการนำพาศาลปกครองให้ไปสู่การบรรลุเป้าหมายสำคัญ นั่นคือศาลปกครองเป็นระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์ และมีมาตรฐานการบริหารจัดการคดีที่เป็นสากล ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยขอให้บุคลากรของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองทุกคน ร่วมกันขับเคลื่อนงานของศาลปกครองตามนโยบายสำคัญข้างต้น
ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ เพื่อให้ศาลปกครองเป็นที่พึ่งของประชาชน และเป็นกำลังสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมไทยต่อไป

4 ตุลาคม พ.ศ. 2313 ‘พระเจ้าตากสินมหาราช’ สถาปนาราชธานีแห่งใหม่ ทรงพระราชทานนามว่า ‘กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร’

ย้อนกลับไปเมื่อที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2313 ‘เมืองธนบุรี’ ได้ถูกสถาปนาเป็น ‘ราชธานีแห่งใหม่’ หลังจาก ‘สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี’ หรือ ‘สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’ สามารถกู้เอกราชคืนมาจากพม่า  

ในเวลานั้นสภาพบ้านเมืองของกรุงศรีอยุธยาทรุดโทรมมาก ไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นเมืองหลวง เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาถูกทำลายและยากแก่การบูรณะ นอกจากนี้กรุงศรีอยุธยายังมีพื้นที่กว้างขวางยากแก่การรักษาบ้านเมือง และอยู่ห่างจากปากแม่น้ำไม่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้ต้องสถาปนาราชธานีแห่งใหม่

สำหรับสาเหตุที่พระเจ้าตากสินมหาราชเลือก ‘กรุงธนบุรี’ เพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก เหมาะสมกับกำลังป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ โดยตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ และยังสะดวกในการควบคุมการลำเลียงอาวุธและเสบียงต่าง ๆ ไปตามหัวเมืองเมื่อเกิดศึกสงคราม 

นอกจากนี้ หากข้าศึกยกกำลังมามากเกินกว่ากำลังจะต้านทานก็ยังสามารถย้ายไปตั้งมั่นที่จันทบุรีได้โดยอาศัยทางเรือ อีกทั้งยังมี 2 ป้อมปราการทั้งป้อมวิไชยประสิทธิ์ และป้อมวิไชเยนทร์ อยู่ทั้งสองฟากแม่น้ำที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชใช้ป้องกันข้าศึกที่จะเข้ามารุกรานโดยยกกำลังมาทางเรือ 

โดยเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2313 พระราชทานนามว่า ‘กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร’ และทรงสร้างพระราชวังขึ้นทางทิศใต้ของกรุงธนบุรี ขนาบข้างด้วยวัดแจ้ง หรือวัดมะกอก (ปัจจุบันคือ วัดอรุณราชวรารามราชวรวิหาร) และวัดท้ายตลาด (ปัจจุบันคือวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร)   

อย่างไรก็ดี ‘อาณาจักรธนบุรี’ เป็นอาณาจักรเพียงแค่ช่วงสั้น ๆ ระหว่างปี 2310 - 2325 หรือเพียง 15 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ ‘สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี’ และต่อมาสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน

‘พีระพันธุ์’ ให้การต้อนรับพร้อมรายงานต่อ ‘องคมนตรี’ โครงการสนับสนุนการดำเนินงาน รพ.สมเด็จพระยุพราช

รองนายกฯ ‘พีระพันธุ์’ รายงานความก้าวหน้าโครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติฯ ภายใต้การดำเนินงานของ ก.พลังงาน และ กฟผ. ต่อ องคมนตรี ในโอกาสเยี่ยมชมโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จ.ปัตตานี

(3 ต.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวรายงานความก้าวหน้าของโครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงพลังงานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช คนที่ 2 ในโอกาสเยี่ยมชมโครงการดังกล่าว ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จังหวัดปัตตานี โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นายแพทย์ศักดา อัลภาชน์ รองปลัด กระทรวงสาธารณสุข น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร หน่วยงานราชการ ในพื้นที่ ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมงาน

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ได้รายงานถึงความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการนี้ว่า โครงการสนับสนุนการดำเนินงานโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จำนวน 21 แห่ง ทั่วประเทศ เป็น 1 ใน 10 โครงการสืบสานพระราชปณิธานองค์ราชัน ที่กระทรวงพลังงานและ กฟผ. จัดทำขึ้นในโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยเริ่มดำเนินการและส่งมอบโครงการฯ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา

ปัจจุบัน การดำเนินโครงการได้มีความคืบหน้าภายใต้กิจกรรมส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานและคุณภาพอากาศ กิจกรรมส่งเสริมงานด้านสาธารณสุข และกิจกรรมส่งเสริมด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม โดยมีการล้างเครื่องปรับอากาศไปแล้ว 3,357 เครื่อง มีการติดตั้งนวัตกรรมระบบหมุนเวียนและบำบัดอากาศ หรือ City Tree ครบจำนวน 21 เครื่อง มีการสนับสนุนเลนส์เทียมสำหรับผู้ป่วยต้อกระจกและผู้สูงอายุ ไปแล้ว 1,200 คู่  และออกหน่วยให้บริการแว่นตาในโรงพยาบาล ไปแล้ว 11 แห่ง จำนวน 16,500 แว่นตา รวมทั้งการปลูกต้นรวงผึ้งในโรงพยาบาล ซึ่งจากการดำเนินโครงการฯ คาดว่าจะสามารถลดการใช้พลังงานได้ 2.75 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1,420 ตันต่อปี รวมถึงก่อให้เกิดคุณภาพอากาศที่ดีภายในโรงพยาบาล และเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านการมองเห็นให้กับผู้สูงอายุและผู้เข้ารับบริการด้วย

ในโอกาสนี้ องคมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมหน่วยให้บริการตรวจวัดสายตา แก้ปัญหาสุขภาพตา และประกอบแว่นโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน  ร่วมปลูกต้นรวงผึ้ง พรรณไม้ประจำสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเยี่ยมชมการสาธิตล้างเครื่องปรับอากาศ และ นวัตกรรม City Tree ซึ่งนำไปติดตั้งที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่ง เป็นนวัตกรรมลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 และกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย สามารถกรองฝุ่นได้ถึง 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ช่วยสร้างอากาศให้มีความสดชื่นเหมือนอยู่ในธรรมชาติ อีกทั้งเป็นที่พักผ่อนให้แก่ผู้ใช้บริการโรงพยาบาล

นอกจากนี้ องคมนตรียังได้มอบถุงของขวัญพระราชทานแก่ผู้ป่วย ประกอบด้วยเครื่องบริโภค จำนวน 100 ชุด และมอบโล่เกียรติยศให้แก่กระทรวงพลังงานในการสนับสนุนการดำเนินงานแก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้รับมอบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top