Monday, 12 May 2025
Hard News Team

โควิดพังดัชนีเชื่อมั่น!! ลดต่อเนื่องเดือนที่ 3 'อุตฯ' วอนรัฐเร่งฉีดวัคซีนให้ถึง 70% ด่วน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ระดับ 80.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 82.3 ในเดือนพฤษภาคม 2564 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563

สำหรับปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกสาม ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต รวมทั้งการแพร่ระบาดในแคมป์คนงานก่อสร้างในหลายพื้นที่ จนภาครัฐต้องยกระดับมาตรการควบคุม COVID-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้ง 4 จังหวัดภาคใต้ อาทิ...

>> มาตรการสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นเวลา 30 วัน

>> มาตรการห้ามนั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในร้านอาหาร เป็นต้น

>> นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนยังทำได้อย่างจำกัด และไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ ด้านการส่งออกสถานการณ์การขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ ทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้ายานยนต์ ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือ (Freight) ที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ยังเป็นปัจจัยที่ผู้ส่งออกมีความกังวล

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกของไทยที่มีทิศทางดีขี้น สะท้อนจากดัชนีฯ คำสั่งซื้อและยอดขายต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัว และสถานการณ์ COVID-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย ทำให้อุปสงค์ในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาท ที่อ่อนค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เป็นปัจจัยบวกต่อผู้ส่งออกทำให้สินค้าไทยถูกลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ขณะเดียวกันผู้ส่งออกยังมีรายได้ในรูปเงินบาทมากขึ้น

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,364 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2564 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 59.6 สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ร้อยละ 47.4 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 37.2 ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 58.2, และอัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 43.5 ตามลำดับ

สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 90.8 จากระดับ 91.8 ในเดือนพฤษภาคม 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานานในการควบคุม รวมทั้งการกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดอาจทำได้ยาก

ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังชะลอตัวลง ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย เนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการลดลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องจากการขาดเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

 

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ

1.) เร่งการจัดหาวัคซีนคุณภาพและเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรทั้งประเทศในทุกกลุ่มอาชีพก่อน พิจารณาเปิดประเทศเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

2.) ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างจนกระทบต่อภาคการผลิตการส่งออก

3.) ออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ COVID-19 ให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งกิจการทุกประเภทเพื่อบรรเทาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ

4.) ภาครัฐควรจัดหา Soft loan พิเศษ ช่วยเหลือ SMEs กลุ่ม NPLs โดยอาจกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ SMEs กลุ่มนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น อาทิ กำหนดดอกเบี้ยพิเศษ หรือจัดทำเกณฑ์พิจารณาสำหรับ NPLs ที่มีโอกาสรอด เป็นต้น

5.) ออกมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภคร้อยละ 30 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อนุทิน” เผยข่าวดี ครม.อนุมัติจัดหาไฟเซอร์ โมเดอร์นาแล้ว 

ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ สธ. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้า การจัดหาวัคซีนโควิด 19 ว่า ได้มีการนำเรื่องการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาตามนโยบายของ ศบค.และรัฐบาลเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในที่ประชุมได้ซักถามข้อสงสัย และมีการชี้แจงถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่สุดแล้ว ทางคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบ และให้กรมควบคุมโรค ลงนามสัญญาจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ และรับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา 
ร่างสัญญาเรื่องวัคซีน ที่ให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา ทั้งของกรมควบคุมโรคกับไฟเซอร์ และขององค์การเภสัชกรรมกับโมเดอร์นา ทางกระทรวงสาธารณสุขได้รับทราบความเห็นกลับมาแล้ว แน่นอนว่ากระทรวงสาธารณสุขจะเดินหน้าเรื่องนี้ให้ดีที่สุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหาเงื่อนไขที่เหมาะสมก่อนลงนาม ซึ่งทั้งหมด ยังอยู่ในเงื่อนเวลาที่จะเจรจาได้ โดยมีเวลาพอสมควร หลังจากที่ลงนามใน Term Sheet ไปแล้วก่อนลงนามสัญญาจัดซื้อ อย่างไรก็ตาม จะไม่กระทบเวลาส่งมอบวัคซีนตามแผน เมื่อถามถึงข้อเรียกร้องเรื่องการจัดหาวัคซีนแบบ mRNA อย่างเร่งด่วน นายอนุทิน กล่าวว่า พร้อมรับฟัง และหาทางออกแน่นอน ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า การพิจารณาวัคซีนของไทย ตั้งอยู่บนหลักการพิจารณาจากหลักฐานข้อมูล และทางวิชาการเป็นสำคัญ ส่วนข้อเสนอต่างๆ จากหลายๆ ฝายนั้น ทางภาครัฐไม่ปิดกั้นแน่นอน สามารถเสนอเข้ามาได้ และเมื่อมีข้อสงสัย ภาครัฐ ก็พร้อมจะชี้แจง 

“ผบ.ทสส.” ตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทยส่วนหน้า ควบคุมอำนวยการและสนับสนุนศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ จ.สมุทรปราการ ในการช่วยเหลือปชช. และควบคุมเพลิงไหม้โรงงานกิ่งแก้ว

พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทย (ผบ.ทสส./ผอ.ศบภ.ทท.) สั่งการให้ พล.อ.นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทยส่วนหน้า (ศบภ.ทท.สน.) เพื่อควบคุมอำนวยการและสนับสนุนศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ จังหวัดสมุทรปราการ ในการช่วยเหลือประชาชนและควบคุมเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.64 เป็นต้นมา 

โดยมี พล.ต.เพชรพนม  โพธิ์ชัย ปฏิบัติหน้าที่ ผอ.ศบภ.ทท.สน. พร้อมนี้ นทพ. ได้จัดกำลังพลและยานพาหนะจากศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ศฝภ.นทพ.) อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เข้าช่วยเหลืออพยพประชาชน รวมทั้งจัดชุดดับเพลิงจากหน่วยบรรเทาสาธารณภัยมือพิเศษ ศบภ.สสน.นทพ. นำรถดับเพลิงโฟมเคมีขนาดใหญ่ จำนวน 1 คัน รถดับเพลิงอเนกประสงค์ จำนวน 2 คัน และรถยนต์บรรทุกโฟมดับเพลิง จำนวน 1 คัน เข้าร่วมดับเพลิง

การสนับสนุนช่วยเหลือยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการฉีดโฟมเลี้ยงเพื่อป้องกันการปะทุและเตรียมความพร้อมไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย พร้อมนี้ได้รับเครื่องอุปโภค/บริโภคจากโรงพยาบาลบุษราคัมมามอบให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ณ ศูนย์อพยพประชาชน โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย โดย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จะใช้ศักยภาพที่มีในการสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไปจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติต่อไป

“พงศ์พรหม” ฝากนายกฯ ดูระเบิดโรงงานย่านกิ่งแก้ว บทเรียนระบบราชการล้มเหลว ปล่อยโรงงานใกล้ชุมชน-สนามบิน 

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองหัวหน้าพรรคกล้า ตั้งคำถามหลังเกิดเหตุระเบิดโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 ว่า ดูจากจุดระเบิดแล้ว คำถามคือมีการก่อสร้างโรงงานแบบนี้ รวมถึงเก็บวัตถุอันตรายจำนวนมหาศาลแบบนี้ในเขตชุมชน และใกล้สนามบินสำคัญขนาดนี้ได้อย่างไร 1.) ท้องถิ่นฝ่าฝืนผังเมือง แอบอนุญาตอุตสาหกรรมอันตรายให้มาตั้งอย่างผิดกฏหมายหรือไม่ 2.) โรงงานนี้เคยมีอยู่ก่อน แต่ชุมชนหนาแน่นย้ายเข้ามาโดยได้รับอนุญาตอย่างผิดกฏหมายหรือไม่ 

นางพงศ์พรหม กล่าวต่อว่า แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร 2 กรณีนี้มีคนทำผิดกฏหมายแน่ๆ การระเบิดครั้งนี้จึงฟ้องถึงระบบราชการแบบผิดกฏหมายที่แผ่กระจายไปทั่ว เพราะอุตสาหกรรมอันตรายไม่อนุญาตให้ตั้งในเขตชุมชนหนาแน่น หรือจุดเดินทางสำคัญของประเทศ ปัญหาจะเป็นกรมโยธาธิการ และผังเมือง หรือราชการ-การเมืองท้องถิ่น ฝากท่านนายกหยิบเป็นกรณีศึกษาถึง “ระบบราชการที่ล้มเหลว” ครับ 

ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4437784932898277&id=100000004424101

ศรีสุวรรณ ยื่น ป.ป.ช. สอบ รมว.คมนาคม-อธิบดีกรมการขนส่งทางบก-ขนส่งจังหวัด-ผู้ว่าฯภูเก็ต ฐานทุจริตต่อหน้าที่ ปล่อยให้มีแท็กซี่โขกค่ารถแพง 

ที่สำนักงาน ป.ป.ช.สนามบินน้ำ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ขอให้ไต่สวนสอบสวน รมว.คมนาคม อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ขนส่งจังหวัดภูเก็ต และผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่ กรณีปล่อยให้มีรถยนต์บริการ หรือรถป้ายเขียวที่สนามบินภูเก็ตโขกสับราคาที่แพงเกินสมควร

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากโลกออนไลน์มีการแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊กของนายณัฐธกร เรืองโรจน์ ระบุว่า “ปัญหาเดิมๆปัญหาคลาสสิก เบาได้เบาครับ ท่านผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวทุกประเภท นักท่องเที่ยวชุดแรกๆ คือนางเอก-พระเอกหนังโฆษณาการท่องเที่ยวภูเก็ต ต้องจ่ายเงินให้เรานะครับ แท็กซี่แพงไปใครจะช่วยเราล่ะ” พร้อมลงภาพการแสดงความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเข้ามาแจ้งราคาแท็กซี่สุดแพง บางรายเรียกเที่ยวเดียวราคาสูงถึง1,000บาท  ซึ่งถูกสื่อมวลชนนำไปรายงานข่าวจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั่วประเทศหรือทั่วโลก

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แต่ทว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนความหมักหมมของปัญหาซึ่งเป็นที่น่าเบื่อระอาของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาก ซึ่งไม่สอดคล้องกับการเปิดประเทศของรัฐบาลในกิจกรรมภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์แต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ปัญหาดังกล่าวกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงกลับปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ เสมือนหนึ่งว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีอิทธิพล หรือขาใหญ่ในจังหวัดภูเก็ต จึงไม่กล้าแตะหรือแก้ปัญหาดังกล่าว ทั้งๆที่มีกฎหมายบังคับใช้อยู่แล้ว

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โดยในจังหวัดภูเก็ตนั้นกระทรวงคมนาคม ได้ออกประกาศกําหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารและค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจากค่าจ้างบรรทุกคนโดยสาร สําหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คนที่จดทะเบียนในจังหวัดภูเก็ตไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2557 ซึ่งกำหนดอัตราค่าจ้างระยะทาง 2 กม.แรก 50 บาท กม.ที่ 2 ขึ้นไปถึง กม.ที่ 15 กม.ละ 12 บาท ระยะทาง กม.ที่ 15 ขึ้นไปกม.ละ 10 บาท และกระทรวงคมนาคมยังออกประกาศ เรื่อง กําหนดอัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารและค่าบริการอื่น สําหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนแบบพิเศษ 2560 ออกมารองรับสำหรับรถยนต์ที่นำมาใช้บริการอาจจะเป็นรถยนต์หรูที่มีราคาแพง โดยกำหนดอัตราค่าจ้าง ระยะทาง 2 กม.แรก 150 บาท ระยะทางเกินกว่า 2 กม.ขึ้นไป กม.ละ 12-16 บาท และถ้าเป็นกรณีการจองล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง ให้เรียกเก็บเพิ่มอีกไม่เกิน 100 บาท

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แม้รถยนต์ที่มารับนักท่องเที่ยวเป็นรถยนต์บริการป้ายเขียว แต่ก็ต้องบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมาย คือ พรบ.รถยนต์ 2522 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง มิใช่ปล่อยให้ผู้ประกอบการดำเนินการกันโดยตามชอบเยี่ยงนี้ ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของ รมว.คมนาคมและผู้ใต้บังคับบัญชา และจังหวัดภูเก็ตโดยชัดแจ้ง สมาคมฯจึงต้องนำความมาร้อง ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการไต่สวนสอบสวนชี้มูลความผิดตามกฎหมาย

ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดตามคาดจากโควิดระลอกสาม

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิ.ย. 2564 พบว่า ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกสาม ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต รวมทั้งการแพร่ระบาดในแคมป์คนงานก่อสร้างในหลายพื้นที่ จนภาครัฐต้องยกระดับมาตรการควบคุม ทำให้ดัชนีปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 80.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 82.3 ในเดือนก่อน โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนก.ค. 2563

ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,364 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือนมิ.ย. 2564 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมัน 59.6% สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ 47.4% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 37.2% ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก 58.2% และอัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ 43.5%

สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 90.8 จากระดับ 91.8 ในเดือนพ.ค. 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด ที่ยังไม่คลี่คลายซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานานในการควบคุม รวมทั้งการกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดอาจทำได้ยาก ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังชะลอตัวลง ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย เนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการลดลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้องเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องจากการขาดเงินทุนหมุนเวียน

คลายความสงสัย ก้อง ห้วยไร้ รถฉีดน้ำที่ถามหา พังไปแล้ว

จากกรณีเกิดเหตุระเบิดและไฟไหม้ "โรงงานกิ่งแก้ว" บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา และในเฟซบุ๊ก ก้อง ห้วยไร่ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ระบุ "หดหู่นะเว้ย คุณค่าชีวิตพวกเรามันไม่มีในสายตาเลยหรอ รถฉีดน้ำที่มันแรง ๆ อะ ฉีดทีคนกระเด็นอะ อยู่ไหน"

ล่าสุด ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ว่า...

คำถามที่คุณก้อง ห้วยไร่ถาม

มีคำตอบชัดเจนอยู่แล้วครับ

"จีโน่" หรือรถน้ำแรงดันสูง 5 คัน ถูกมวลชนม็อบราษฎร/ปลดแอกทุบ พ่นสี ถังน้ำมันโดนกรอกทราย เครื่องพัง แผงควบคุมการฉีดน้ำถูกน้ำราดไฟช็อต และสายไฟถูกตัด จนหมดสภาพไปตั้งแต่ปีที่แล้วละครับ

 

อ้างอิง : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4271183856279074&id=100001625041497

https://www.komchadluek.net/news/regional/473033

https://www.thairath.co.th/news/crime/1979028


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

 

ตำรวจ เตือนประชาชนระวังตกเป็นเหยื่อวายร้ายในคราบนักบุญ แอบอ้างขอรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเพลิงไหม้โรงงานที่สมุทรปราการ เตือนคนคิดทำชั่ว ระวังโทษหนัก ทั้งจำทั้งปรับ

จากกรณีเหตุ "โรงงานกิ่งแก้วไฟไหม้" ซึ่งเป็นของบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2564 ที่ผ่านมา และได้เกิดเหตุเศร้า เมื่อเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่กำลังฉีดน้ำสกัดเพลิงอยู่ถูกไฟคลอกทั้งตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายกรสิทธิ์ ลาวพันธ์ หรือ น้องพอส อาสาสมัครฯ หน่วยสมเด็จเจ้าพระยา ธน 28-18 ฐานเทคโน

ภายหลังเกิดเหตุ ในโลกออนไลน์ได้โพสต์ข้อความแสดงความอาลัยต่อการสูญเสียเจ้าหน้าที่กู้ภัยในปฏิบัติการครั้งนี้ อย่างกว้างขวาง

ขณะเดียวกัน ยังมีคนบางกลุ่มที่ฉวยจังหวะความสูญเสียดังกล่าว ใช้เป็นช่องทางหากิน ด้วยการเปิดบัญชีขอรับบริจาค โดยอ้างว่าเป็นบัญชีของมารดา ผู้เสียชีวิต

โดยผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายหนึ่ง ชื่อ Sayjai Chanaasvang ได้โพสต์ข้อความ แจ้งเตือนว่า ไม่ใช่เฟสคุณแม่นะคะ จิตใจทำด้วยอะไรตอนนี้ทางครอบครัวยังไม่ได้ขอรับบริจาคเงินทำบุญให้น้องนะคะ เดี๋ยวถ้าทางเราคุยรายละเอียดกันเรียบร้อยแล้วจะแจ้งอีกทีนะคะ เพื่อเป็นสะพานบุญให้กับผู้ที่อยากร่วมทำบุญให้กับน้องนะคะ ขอบคุณทุก ๆ คนจริง ๆ ค่ะ

ด้าน พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานย่านกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัย ที่เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่เกิดเหตุจนเสียชีวิตนั้น ปรากฎว่าในสื่อสังคมออนไลน์ มีมิจฉาชีพแอบอ้างขอรับการบริจาคเงินจากประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ขอความช่วยเหลือให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นภัยสังคม เป็นการฉวยโอกาสก่อเหตุโดยอาศัยความเดือดร้อนของผู้อื่น และจะได้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชน โปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลแอบอ้างดังกล่าว หากประสงค์จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์ดังกล่าวในทุกกรณี ขอให้ตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน โดยเฉพาะข้อมูลการขอรับการบริจาคผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพราะอาจมีการแอบอ้างโดยมิจฉาชีพได้ ถ้าเป็นไปได้ขอให้ตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือจากแหล่งข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท ฯ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ที่มา : https://www.facebook.com/ploy.sayjai/posts/505117990726385


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘วิษณุ’ แจง เหตุต้องนำสัญญาซื้อไฟเซอร์ ถกครม. เพราะรัฐต้องควักเงินซื้อเป็นวัคซีนหลัก ระบุเงื่อนไขผู้ผลิตสุดโหด ส่งช้าไม่รับผิดชอบ ไม่คืนเงิน ห้ามฟ้องร้อง ยัน รัฐไม่โกหกข้อมูล แต่มีเงื่อนไขล็อกไว้

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีที่กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอสัญญาจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์เข้าหารือในที่ประชุมครม. ก่อนทำสัญญา ว่า ยังไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ ทราบจากข่าวว่าเป็นอย่างนั้น ถ้าเรื่องนี้เข้าหารือในครม. จริงจะได้พิจารณา สาเหตุที่ต้องนำเข้าที่ประชุมครม. เพราะต้องขอเงินจากรัฐบาล แต่ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อทุกครั้งต้องมาขอ หากเป็นกรณีเอกชนจ่ายเงินเองโดยรัฐบาลเป็นผู้จัดซื้อให้ไม่ต้องนำเข้าครม.

ทั้งนี้ การซื้อวัคซีนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่เหมือนกับการซื้อของทั่วไป เพราะอำนาจอยู่ที่ฝ่ายผู้ผลิตหรือผู้ขาย และตนได้มีโอกาสดูสัญญาบางฉบับ ที่กระทรวงสาธารณสุขนำมาให้ตรวจดูก็รู้สึกแปลกใจ เพราะฝ่ายผู้ขายหรือผู้ผลิตบอกว่า ถ้าไม่เซ็นสัญญา ไม่ต้องซื้อของจากเขา และมีเงื่อนไขว่าถ้าส่งล่าช้า จะไม่รับผิดชอบ และบางยี่ห้อบอกไม่คืนเงินและเราไปคิดค่าปรับ ยึดทรัพย์ หรือฟ้องร้องอะไรไม่ได้ และไม่รับผิดชอบความเสียหายใด ๆ ที่สำคัญคือระบุว่า ห้ามเปิดเผยสัญญา เนื่องจากการขายให้แต่ละประเทศเขียนสัญญาไม่เหมือนกัน มีทั้งเอื้ออารี และเข้มงวด ถ้าใครเอาไปเปิดเผยจะขายให้ครั้งเดียวและไม่ขายให้อีกเลย

ดังนั้น จะเห็นว่าที่ผ่านมาฝ่ายรัฐบาลจะไม่พูดเรื่องสัญญาการซื้อวัคซีนเลย แต่ยืนยันว่ารัฐไม่ได้โกหกหรือหลอกลวง แต่ในบางเรื่องพูดไม่ได้ ทำให้บางคนที่พยายามพูดให้ดูดี จนกลายเป็นทำให้รัฐถูกมองว่าพูดกลับไปกลับมา

นายวิษณุ กล่าวว่า ทั้งนี้ การจัดซื้อวัคซีนยี่ห้อโมเดอร์นา ไม่ได้เป็นวัคซีนหลักที่รัฐประกาศ โดยคำว่าวัคซีนหลักคือ รัฐบาลจัดหาให้และฉีดประชาชนฟรี ซึ่งมีอยู่ 5 ห้อ คือ ซิโนแวค แอสตราเซนเนก้า สปุตนิก วี ไฟเซอร์ และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ส่วนซิโนฟาร์ม ที่จัดหาโดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ก็ไม่ใช่วัดซีนหลักเช่นกัน เพราะวิทยาลัยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และเป็นนายกสภาวิศวกร เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมืองไทย ไม่เคยไกลจากภัยพิบัติ พี่เอ้มีคำตอบ

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และเป็นนายกสภาวิศวกร เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมืองไทย ไม่เคยไกลจากภัยพิบัติ พี่เอ้มีคำตอบ

เพราะการป้องกัน #จะทำก็ทำได้

....อีกครั้ง เช้ามืดวันนี้ โรงงานระเบิดกลางพื้นที่ชุมชนถนนกิ่งแก้ว ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และเส้นทางบางนาสายหลักเข้ากรุงเทพฯ ไฟไหม้รุนแรง และปล่อยก๊าซมลพิษ สร้างความเสียหายรุนแรงต่อสุขภาพคนเมือง

...เมื่อปลายปีที่แล้ว ท่อแก๊สระเบิด แถวขอบกรุงเทพฯ-สมุทรปราการ กลางวันแสก ๆ มีผู้เสียชีวิต บ้านเรือนหลายหลังถูกเผาวอดวาย...

พี่เอ้ ในฐานะนายกสภาวิศวกร (และชาวบ้านคนหนึ่งที่มีครอบครัว) ขอเสนอ.

1.) การกำหนดพื้นที่เสี่ยง ที่มีโรงงานทำสารเคมี หรือบรรจุสารเคมีในกทม. หรือแนวที่ท่อแก๊สพาดผ่าน ให้ชาวบ้านได้รับรู้รับทราบ และได้พึงระวัง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ ได้มีการป้องกันตน และการเตรียมการอพยพได้อย่างรวดเร็ว

อีกทั้งหน่วยงานดับเพลิงของกทม. และจังหวัดปริมณฑลในพื้นที่เสี่ยง ที่มีโรงงานเคมี จะต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันสารเคมีแก่นักดับเพลิง ให้พร้อม!

2.) อาจถึงจุดเปลี่ยน ที่โรงงานอันตราย ควรย้ายออกจากพื้นที่เมือง แน่นอนโรงงานเขาอาจมาก่อน ชุมชนเมืองขยายตามมาเอง...

...แต่รัฐและเมือง ในต่างประเทศ ได้เสนอความช่วยเหลือทางภาษีและอื่น ๆ หากโรงงานเต็มใจย้าย (ที่จริง ขายที่ก็กำไรอภิมหาศาล แล้วนำกำไรไปขยายโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมได้!)

3.) สำนักงานเขต หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ต้องขึ้นทะเบียนโรงงานทุกประเภท เพื่อจำแนกประเภทเสี่ยงมาก เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงน้อย (ทุกโรงงานมีความเสี่ยง) เพื่อตรวจสอบ ประเมินทุก 6 เดือน และให้โรงงานส่งรายงานการประเมินตนเอง แบบนี้ได้ความกระตือรือร้น ความเสี่ยงต่อชาวบ้าน ลดน้อยลงทันที!

4.) ต้องรายงานมลพิษ และสารก่อมะเร็งในอากาศ อย่างตรงไปตรงมา เพื่อประชาชนได้ป้องกันสุขภาพตนเองและครอบครัว เพราะสารอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่เกิดจากเพลิงไหม้เม็ดพลาสติก อันตรายถึงชีวิต

5.) ถึงเวลาพัฒนานวัตกรรม การควบคุมเพลิงสารพิษ เพราะในอดีตเกิดความสูญเสียของนักดับเพลิงจำนวนมาก เพราะฉีดน้ำช่วยลดความร้อนเท่านั้น มิได้ผลยับยั้งเพลิงจากสารเคมี แต่ต้องใช้โฟมดับเพลิง

ระเบิดในกทม.และปริมณฑลแบบนี้ เราเจอมาตั้งแต่เด็ก ไม่อยากให้ลูกหลานเรา ต้องพบเจอต่อ ๆ ไปครับ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top