Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

นายไกรเสริม โตทับเที่ยง ทายาทปลากระป๋อง “ปุ้มปุ้ย” เสียชีวติแล้ว

วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 “ภัทร จึงกานต์กุล” ผู้ประกาศข่าว แจ้งข่าวการเสียชีวิตของ นายไกรเสริม โตทับเที่ยง ทายาทปลากระป๋อง “ปุ้มปุ้ย” ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ข้อความว่า...

“แด่ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน .. ไกรเสริม โตทับเที่ยง ได้จากพวกเราไปอย่างสงบ เมื่อคืนนี้ … เดี๋ยวรายละเอียดเพิ่มเติม จะรีบมาแจ้งนะครับ เสริม … หลับให้สบายนะเพื่อน … ยังไม่รู้จะเขียนถึงว่ายังไงดี มันเยอะแยะไปหมด …. เฮ้อ รอแปปนะ … คิดถึงมึงนะ”

ทั้งนี้ นายไกรเสริม โตทับเที่ยง อายุ 43 ปี เป็นทายาทรุ่นที่ 2 ของบริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่าย ปลากระป๋องตรา ปุ้มปุ้ย จบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาเทคโนโลยีธุรกิจและนวัตกรรมการจัดการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนเข้าดูแลกิจการของครอบครัว

ต่อมาในปี 2562 ลงชิงตำแหน่ง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 24 พื้นที่ ทุ่งครุ-ราษฎร์บูรณะ และได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอด ล่าสุดดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษา รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)

ก่อนหน้านี้ นายไกรเสริม ได้เข้ารับการรักษาจากอาการป่วยโรคมะเร็งที่โพรงจมูก ที่โรงพยาบาลศิริราช

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ครอบครัวของนายไกรเสริม จะตั้งศพสวดพระอภิธรรม ณ ศาลา 10 วัดมกุฎกษัตริยารามราชวรวิหาร แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร วันที่ 6-8 กรกฎาคม 2564 และทำพิธีฌาปนกิจในวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 เวลา 17.00 น.


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.ไฟเขียว ให้ทำสัญญาซื้อวัคซีน ‘โมเดอร์นา - ไฟเซอร์’

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชาชนในประเทศไทยเพิ่มเติม จำนวน 10.9 ล้านโดส (Sinovac) กรอบวงเงิน 6,111.412 ล้านบาท โดยจะจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยีอื่นและสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สูงกว่าควบคู่ไปด้วยในจำนวนการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 10.9 ล้านโดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน ตามแผนการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในส่วนที่เหลือเพื่อให้สามารถจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชนให้ครบ 150 ล้านโดส ภายในไม่เกินไตรมาสที่ 2 ของ ปี 2565

รูปแบบโครงการฯ เป็นการจัดหาวัคซีนโควิด-19 สำหรับสร้างภูมิคุ้มกันโรคแก่บุคลากรและประชาชนกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม ได้แก่

1.) บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข

2.) ประชาชนที่มีโรคประจำตัวตามที่กำหนด

3.) ประชาชนที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป

4.) เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย

ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน (กรกฎาคม-สิงหาคม)

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคกำหนดจัดหาวัคซีนโควิด-19 ในเดือนกรกรกฎาคม จำนวน 3,894.8000 ล้านบาทและเดือนสิงหาคม จำนวน 2,169.9600 ล้านบาท โดยมีค่าบริการจัดการวัคซีนโควิด-19 และในส่วนที่เกี่ยวข้องอีก 46.6520 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 6,111.4120 ล้านบาท

“สำหรับวัคซีนจากบริษัท Sinovac จำนวน 10.9 ล้านโดส เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล สร้างภูมิคุ้มกันโรคแก่ประชาชน ลดอัตราการป่วย/เสียชีวิต รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วย”

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมครม. ยังเห็นชอบวัคซีน “ไฟเซอร์” (Pfizer) ซึ่งเป็นวัคซีนหลักฉีดฟรีให้ประชาชน โดยกระทรวงสาธารณสุขมอบหมายอธิบดีกรมควบคุมโรคดำเนินการ และนำข้อสังเกตของอัยการสูงสุด ไปการเจรจาจัดหา จำนวน 20 ล้านโดส แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในสัญญาได้ รวมถึงการรับมอบวัคซีนบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วย

นอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบจัดซื้อวัคซีน “โมเดอร์น่า” (Moderna) ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือก โดยซื้อกับเอกชน ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ให้องค์การเภสัชฯ เป็นตัวกลางจัดหา และผู้อำนวยการองค์การเภสัช (อภ.) เป็นผู้ลงนามในสัญญา ซึ่งยังไม่ได้ระบุจำนวน รอยืนยันยอดจัดซื้อจากเอกชนก่อน ซึ่งเร็ว ๆ นี้จะได้ข้อสรุป


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.ออกสินเชื่ออิ่มใจ ช่วยร้านอาหารรายละแสน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบมาตรการสินเชื่ออิ่มใจ ช่วยผู้ประกอบการร้านอาหารหรือเครื่องดื่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารที่เปิดในห้องแถวหรืออาคารพาณิชย์ ภัตตาคาร ร้านที่มีลักษณะเป็นบูธ ไม่ใช่เป็นร้านแบบเคลื่อนที่ได้ เช่น หาบเร่ แผงลอย รถเข็น โดยธนาคารออมสินจะสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท 
โดยให้วงเงินสินเชื่อต่อรายสูงสุด 100,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 3.99% ต่อปี ระยะเวลากู้ ไม่เกิน 5 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก โดยไม่ต้องค้ำประกัน

ทั้งนี้ในการดำเนินการตามมาตรการครั้งนี้รัฐบาลจะชดเชยความเสียหายที่เกิดจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 100% สำหรับเอ็นพีแอล ที่ไม่เกิน 50% ของสินเชื่อที่อนุมัติทั้งหมด 2,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,000 ล้านบาท  โดยธนาคารออมสินจะทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปี ตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ซึ่งมาตรการนี้ จะเริ่มต้นตั้งแต่ครม.เห็นชอบไปจนถึงวันที่  31 ธ.ค. 64 คาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมประมาณ 4 หมื่นราย

สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ เผย นาวาโทหญิงมายูร บุณยรัตพันธุ์ ทหารเรือหญิงคนแรกแห่งราชนาวีไทย ถึงแก่กรรมแล้วด้วยวัย 97 ปี 6 เดือน 8 วัน

ทางกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ เผย นาวาโทหญิงมายูร บุณยรัตพันธุ์ ทหารเรือหญิงคนแรกแห่งราชนาวีไทย และคนแรกของสำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ ผู้ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยระเบียบเครื่องแต่งกายทหารเรือหญิง ถึงแก่กรรมแล้วด้วยวัย 97 ปี 6 เดือน 8 วัน

นาวาโทหญิงมายูร บุณยรัตพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2466 เป็นบุตรของ เรือเอกเมศร์กับนางเยื้อน บุณยรัตพันธุ์ สมรสกับนาวาตรีจรัส จรัสกุล มีบุตรธิดา 3 คน คือ นางจุฬามาศ จรัสกุล พลเรือตรีหญิงจันทรวิมล จรัสกุล และนายจิรยศ จรัสกุล

นาวาโทหญิง มายูร บุญยรัตพันธ์ุ เป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รุ่นที่ 1 เลขประจำตัว 2 (เลขประจำตัว 1 คือ ชอุ่ม ปัญจพรรค์) จบการศึกษาจาก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบการศึกษา ได้เข้าทำงานที่กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 ในตำแหน่งประจำสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (เป็นทหารเรือหญิงคนแรกของกองทัพเรือ)

ต่อมาได้ไปช่วยปฏิบัติราชการที่กรมเสมียนตรา ทำหน้าที่ดูแลการร่างหนังสือของปลัดกระทรวงและรัฐมนตรี รวมทั้งการจดบันทึกการประชุม จนถึงปี พ.ศ. 2497 ได้ขอย้ายมารับราชการที่กองทัพเรือเพราะปรารถนาจะเจริญรอยตามบิดาและน้าชายที่เป็นทหารเรือ โดยโอนย้ายจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มาอยู่กองทัพเรือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 โดยทำงานที่สำนักงานปลัดทัพเรือ (สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือในปัจจุบัน)

หลังจากรับราชการในกองทัพเรือ 5 ปี นาวาโทหญิงมายูร ได้ย้ายกลับไปอยู่กระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าแผนกระเบียบการกรมสารบรรณ กระทรวงกลาโหม ได้เลื่อนยศเป็นนาวาโทเมื่ออายุ 45 ปี ซึ่งต้องแปรสภาพไปเป็นข้าราชการพลเรือน (สมัยนั้นทหารหญิงตั้งครรภ์, หรืออายุ 45 ปี หรือเป็นนาวาเอกเต็มขั้น จะต้องถูกปรับเป็นข้าราชการพลเรือน)

ต่อมาได้ไปประจำสำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตำแหน่งสุดท้ายของ นาวาโทหญิงมายูร อยู่ในกรมการศึกษาวิจัย (กรมยุทธศึกษาทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยในปัจจุบัน) ก่อนลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525

นาวาโทหญิงมายูร เป็นผู้เสนอเปลี่ยนเครื่องแบบทหารเรือหญิงจากเดิมเป็นชุดสีกากีเหมือนเครื่องแบบทหารเรือชาย ใส่ถุงเท้าสั้น รองเท้าเหมือนทหารชาย ใช้หมวกแก๊ป ซึ่งท่านเห็นว่าไม่สวยงาม พลเรือโทพิษณุ ณ ถลาง ปลัดทัพเรือ ในขณะนั้น ได้แนะให้นำเครื่องแบบชุดเล็กของทหารเรืออเมริกามาเป็นแบบอย่างเป็นชุดติดกันสีขาวผูกโบว์ยาวที่คอ โดยท่านได้นำมาดัดแปลงเป็นท่อนบนใช้เสื้อสีขาวคอบัวปลายปกแหลมผูกโบว์สั้น ท่อนล่างเป็นกระโปรงสีน้ำเงินติดกระดุมทหารเรือ เมื่อออกงานใช้กระโปรงขาว รองเท้ายาว ถุงเท้ายาว ชุดใหญ่ก็มีเสื้อนอกใส่รองเท้าส้นสูงสูงไม่เกิน 2 นิ้วครึ่ง

นอกจากนั้น นาวาโทหญิงมายูร ยังเป็นผู้ร่างระเบียบเครื่องแบบของทหารเรือหญิง และผ่านการพิจารณาของสภากลาโหมออกเป็นกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบทหารเรือหญิงปี พ.ศ. 2494

ทั้งนี้ นาวาโทหญิงมายูร ยังเคยเป็นผู้นำขบวนทหารหญิงในการสวนสนามเมื่อครั้งที่ จอมพลเรือหลวงยุทธศาสตร์โกศล ผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้น ได้เลื่อนยศเป็นจอมพลเรือ โดยจัดให้มีการสวนสนามทั้งทหารชายทหารหญิง และการสวนสนามก็ผ่านไปได้ด้วยดี รวมถึงได้มีโอกาสเป็นอาจารย์พิเศษโรงเรียนนายเรือ โดยสอนวิชาการร่างหนังสือราชการ และระเบียบงานสารบรรณ ให้แก่นักเรียนนายเรือ

นาวาโทหญิง มายูร เคยเล่าถึงความภาคภูมิใจในความเป็นทหารเรือว่า ภูมิใจในเครื่องแบบทหารเรือหญิงที่ท่านเป็นผู้คิดริเริ่มออกแบบ และเป็นผู้ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบทหารเรือหญิงฉบับที่ 1 ซึ่งต่อมาก็มีการปรับปรุงแก้ไข และการได้มีส่วนร่วมในการรื้อฟื้นการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในปี พ.ศ. 2500 และภูมิใจที่ได้เป็นอาจารย์สอนนักเรียนนายเรือ ซึ่งต่อมาลูกศิษย์ของท่านหลายคนได้เป็นผู้บริหารระดับสูงของกองทัพเรือ

“ถึงแม้จะอยู่ในกองทัพเรือน้อยแค่ 5 ปี แต่เราก็มีความภูมิใจเราได้แต่งเครื่องแบบทหารเรือตามรอยพ่อตามรอยตระกูลของเรา พ่อก็เป็นทหารเรือ น้องก็เป็นทหารเรือ ลูกก็เป็นทหารเรือเป็นพลเรือตรีหญิง”

นาวาโทหญิงมายูร บุณยรัตพันธุ์ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ด้วยวัย 97 ปี 6 เดือน 8 วัน นับเป็นการสูญเสียทหารเรือหญิงคนแรกแห่งราชนาวีไทย และคนแรกของสำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ

ทั้งนี้ กำหนดสวดพระอภิธรรม ณ วัดเครือวัลย์วรวิหาร ศาลา 5 ระหว่างวันที่ 5 - 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 และฌาปนกิจในวันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 16.00 น.


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'กรณ์' ลงพื้นที่แคมป์คนงานต่อเนื่อง ย้ำแรงงานเดือนร้อนยอมทำตามมาตรการรัฐ ต้องได้รับการเยียวยา แต่รัฐบาลประกาศแล้ว 1 สัปดาห์ เงินยังมาไม่ถึง ร้องเยียวยาต้องครอบคลุมกลุ่มที่ไม่ได้เป็นสมาชิกประกันสังคม-แรงงานต่างด้าวด้วย ขอเร่งดำเนินการอย่าล่าช้า

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร กรรมการบริหารพรรค, นายวิรุจน์ เอกสิทธิผล ผู้เสนอตัวสมัครรับเลือกตั้ง ส.ก.วังทองหลาง ลงพื้นที่ส่งมอบข้าวกล่อง อาหารแห้ง ของใช้จำเป็น หน้าแคมป์คนงาน ซอยสถานทูตลาว เขตวังทองหลาง ที่มีแรงงานกว่า 400 ชีวิต อยู่ระหว่างกักตัวไม่สามารถออกนอกพื้นที่ตามมาตรการของรัฐ

นายกรณ์ กล่าวว่า แรงงานเป็นผู้เสียสละ กักตัวในแคมป์ ระงับการแพร่เชื้อ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น ต้องเดือนร้อนไม่มีโอกาสทำมาหากิน แม้บริษัทต้นสังกัดดูแลแต่อาจไม่พอ จึงนำของมาแจกเพื่อลดภาระคนงานในแคมป์ และหวังว่าเงินเยียวยาจากภาครัฐโดยกองทุนประกันสังคมจะมาถึงแรงงานโดยเร็ว เพราะรัฐบาลประกาศแล้ว 1 สัปดาห์ แต่เงินยังมาไม่ถึง

เบื้องต้น ถามบริษัทนายจ้างบอกว่าอยู่ในช่วงทำเรื่องรวบรวมชื่อคนงาน เพื่อที่จะส่งให้กองทุนประกันสังคม จึงขอให้ช่วยเร่งรัดดำเนินการ ระบบราชการอย่าล่าช้า ทุก ๆ วันมีค่าสำหรับคนมีรายได้น้อย มีภาระค่าใช้จ่ายค่าอาหารอย่างน้อยวันละ 100 บาท เพราะฉะนั้นถือเป็นภาระที่หนักหนาจริง ๆ

นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า ในแคมป์นี้ มีคนงานอย่างน้อยร้อยกว่าคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม หวังว่านายจ้างช่วยดูแลด้วย แต่ต้องยอมรับว่าอาจไม่ทั่วถึง ดังนั้น สถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนกักตัวทำตามมาตรการ รัฐบาลอาจต้องยอมให้ผู้ที่ไม่ได้ประกันตนสามารถรับสิทธิเยียวยาได้ ย้ำว่าต้องเห็นใจกันช่วงนี้ เงินจริง ๆ โดยรวมก็ไม่ได้เยอะ แต่มีผลต่อคนที่อยู่ที่นี่อย่างมาก ซึ่งตามข้อมูลที่ได้รับแคมป์นี้ประกอบด้วยแรงงานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือคนไทย เมียนมาร์ และกัมพูชา ทุกคนมาทำมาหากิน ซึ่งต้องได้รับการดูแล


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม. ไฟเขียว จัดหา 3 วัคซีน Sinovac – Pfizer - Moderna

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชาชนในประเทศไทยเพิ่มเติม จำนวน 10.9 ล้านโดส  (Sinovac) กรอบวงเงิน 6,111.412 ล้านบาท  โดยจะจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใช้เทคโนโลยีอื่นและสามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์สูงกว่าควบคู่ไปด้วยในจำนวนการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 จำนวน 10.9 ล้านโดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน ตามแผนการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในส่วนที่เหลือเพื่อให้สามารถจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชนให้ครบ 150 ล้านโดส ภายในไม่เกินไตรมาสที่ 2 ของ ปี 2565  

รูปแบบโครงการฯ เป็นการจัดหาวัคซีนโควิด-19 สำหรับสร้างภูมิคุ้มกันโรคแก่บุคลากรและประชาชนกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 2. ประชาชนที่มีโรคประจำตัวตามที่กำหนด 3. ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 4. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด -19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย  ระยะเวลาดำเนินการ 2 เดือน (กรกฎาคม-สิงหาคม) 

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคกำหนดจัดหาวัคซีนโควิด-19 ในเดือนกรกรกฎาคม จำนวน 3,894.8000  ล้านบาทและเดือนสิงหาคม จำนวน 2,169.9600 ล้านบาท โดยมีค่าบริการจัดการวัคซีนโควิด-19 และในส่วนที่เกี่ยวข้องอีก 46.6520 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 6,111.4120 ล้านบาท  

“สำหรับวัคซีนจากบริษัท Sinovac จำนวน 10.9 ล้านโดส เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19  ตามนโยบายรัฐบาล สร้างภูมิคุ้มกันโรคแก่ประชาชน ลดอัตราการป่วย/เสียชีวิต รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วย” 

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมครม. ยังเห็นชอบวัคซีน “ไฟเซอร์” (Pfizer) ซึ่งเป็นวัคซีนหลักฉีดฟรีให้ประชาชน โดยกระทรวงสาธารณสุขมอบหมายอธิบดีกรมควบคุมโรคดำเนินการ และนำข้อสังเกตของอัยการสูงสุด ไปการเจรจาจัดหา จำนวน 20 ล้านโด๊ส แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในสัญญาได้ รวมถึงการรับมอบวัคซีนบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐฯ ด้วย

นอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบจัดซื้อวัคซีน “โมเดอร์น่า” (Moderna) ซึ่งวัคซีนทางเลือก โดยซื้อกับเอกชน ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ให้องค์การเภสัช เป็นตัวกลางจัดหา และผู้อำนวยการองค์การเภสัช (อภ.) เป็นผู้ลงนามในสัญญา ซึ่งยังไม่ได้ระบุจำนวน รอยืนยันยอดจัดซื้อจากเอกชนก่อน ซึ่งเร็ว ๆ นี้จะได้ข้อสรุป

คืนนี้ อิตาลี พบ สเปน รับประกันความมันส์ระดับ 5 ดาว!

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

คืนนี้ เกมฟุตบอลยูโร 2020 รอบรองชนะเลิศ คู่แรก อิตาลี พบ สเปน จะลงดวลกันในเวลาตีสองบ้านเรา งานนี้ประกันความมันส์ 5 ดาว

แมทซ์นี้ถือเป็นการพบกันถูกที่ ถูกเวลา เพราะต่างฝ่ายต่างมีช่วงเวลาของการ ‘เปลี่ยน’ ที่เห็นกันได้ชัดเจน ใครที่ติดตามสองทีมกันมาตั้งแต่รอบแรก คงสัมผัสได้ถึงความ ‘เปลี๊ยนไป๋’ ของทั้งอิตาลีและสเปน

อิตาลี ในการคุมทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เล่นดีผิดหูผิดตา จนแฟน ๆ ที่ตามเชียร์อิตาลีพากันแปลกใจ โค้ชมันชินี่แอบไปอัป iOS ใส่ผู้เล่นอิตาลีกันตอนไหน จึงทำให้นักเตะอิตาลีชุดนี้ บุกได้สนุก และเล่นกันเนียนตา เกมดูไปข้างหน้าตลอดเวลา ไม่เหมือนอิตาลียุคเก่า ที่แท็คติกสูง เกมเคี่ยว เน้นชัวร์

ด้านสเปน อย่างที่แฟนบอลเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน สเปนมาในยุค ‘นัดเตะเลือดใหม่’ กว่าครึ่งทีม ใครที่ติดตามลาลีกา ลีกสเปน อาจจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่ใช่เป็นแฟนตัวยง คงต้องนั่งดูไปถามไปว่า ‘ไอ้คนนี้มันคือใคร?’

สเปนเปลี่ยนนักเตะใหม่ ในการคุมทีมของ หลุยส์ เอ็นรีเก้ ที่ขอมาวัดใจ ‘สร้างทีมใหม่’ ในทัวร์นาเม้นท์นี้ ซึ่งทีแรกทำท่าจะไม่รอด แต่ทำไปทำมา ผ่านเข้ามาถึงรอบรอง และดูเหมือนเส้นกราฟผลงานของทีมชุดนี้ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เด็ดขาด!

เมื่อสองทีมที่ ‘เปลี่ยนไป’ โคจรมาเจอกันพอดี มันจึงเป็นความตื่นตาตื่นใจแฟนบอลอย่างแน่นอน สเปนอาจจะเป็นรองนิด ๆ ในเรื่องประสบการณ์นักเตะ และใช้แรงไปกับเกม 120 นาทีติดกันถึง 2 นัด แต่อย่าลืมว่า นักเตะสเปนหนุ่มแน่นกันทั้งทีม เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหา แถมรูปแบบการเล่นของสเปนก็มีความหลากหลายขึ้น ไม่ใช่เล่นแต่ชิ่งบอล เท้าสู่เท้า หรือที่เรียกว่า สไตล์ติกิ-ตาก้า อย่างในอดีตอีกแล้ว

ด้านอิตาลี เป็นต่อด้วยฟอร์มการเล่นที่ดุดันมาก ๆ ถึงตรงนี้ยังเป็นทีมที่ชนะ 100% ทีมเดียวในบรรดา 4 ทีมที่เข้ารอบรองชนะเลิศด้วยกันมา และ 5 เกมที่ผ่านมาก็ยิงได้ทุกนัด เกมแดนหน้าอิตาลีเล่นกันได้หลากหลายดีเหลือเกิน และที่สำคัญ ไม่รู้ใครสัมผัสได้เหมือนเราหรือเปล่า อิตาลีชุดนี้มีทีมสปิริตที่ดีมาก ๆ ช่วยกันไล่ ช่วยกันเล่นกันทั้งทีม

คืนนี้เกมสนุก ไม่มีใครยอมใครแน่นอน มีโอกาสต่อเวลาสูง จุดเปลี่ยนอยู่ที่ใครออกตัวนำก่อน ถ้าสเปนนำ อิตาลีเหนื่อย แต่ถ้าอิตาลีนำ สเปนโคตะระเหนื่อย เฉือนกันไม่เกิน 1 ลูก และโปรดหาเครื่องดื่มยาโด๊ปกันไว้เลย ดึกแน่นอน!


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โควิดพังดัชนีเชื่อมั่น!! ลดต่อเนื่องเดือนที่ 3 'อุตฯ' วอนรัฐเร่งฉีดวัคซีนให้ถึง 70% ด่วน

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ระดับ 80.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 82.3 ในเดือนพฤษภาคม 2564 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563

สำหรับปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกสาม ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต รวมทั้งการแพร่ระบาดในแคมป์คนงานก่อสร้างในหลายพื้นที่ จนภาครัฐต้องยกระดับมาตรการควบคุม COVID-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้ง 4 จังหวัดภาคใต้ อาทิ...

>> มาตรการสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นเวลา 30 วัน

>> มาตรการห้ามนั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในร้านอาหาร เป็นต้น

>> นอกจากนี้ การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนยังทำได้อย่างจำกัด และไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ ด้านการส่งออกสถานการณ์การขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ ทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้ายานยนต์ ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือ (Freight) ที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ยังเป็นปัจจัยที่ผู้ส่งออกมีความกังวล

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกของไทยที่มีทิศทางดีขี้น สะท้อนจากดัชนีฯ คำสั่งซื้อและยอดขายต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัว และสถานการณ์ COVID-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย ทำให้อุปสงค์ในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาท ที่อ่อนค่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค เป็นปัจจัยบวกต่อผู้ส่งออกทำให้สินค้าไทยถูกลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ขณะเดียวกันผู้ส่งออกยังมีรายได้ในรูปเงินบาทมากขึ้น

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,364 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2564 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 59.6 สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ร้อยละ 47.4 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 37.2 ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 58.2, และอัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 43.5 ตามลำดับ

สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 90.8 จากระดับ 91.8 ในเดือนพฤษภาคม 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งอาจต้องใช้ระยะเวลานานในการควบคุม รวมทั้งการกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดอาจทำได้ยาก

ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังชะลอตัวลง ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย เนื่องจากไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการลดลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญปัญหาขาดสภาพคล่องจากการขาดเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

 

ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ

1.) เร่งการจัดหาวัคซีนคุณภาพและเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมร้อยละ 70 ของประชากรทั้งประเทศในทุกกลุ่มอาชีพก่อน พิจารณาเปิดประเทศเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

2.) ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างจนกระทบต่อภาคการผลิตการส่งออก

3.) ออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ COVID-19 ให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งกิจการทุกประเภทเพื่อบรรเทาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ

4.) ภาครัฐควรจัดหา Soft loan พิเศษ ช่วยเหลือ SMEs กลุ่ม NPLs โดยอาจกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อให้ SMEs กลุ่มนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น อาทิ กำหนดดอกเบี้ยพิเศษ หรือจัดทำเกณฑ์พิจารณาสำหรับ NPLs ที่มีโอกาสรอด เป็นต้น

5.) ออกมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟ และค่าสาธารณูปโภคร้อยละ 30 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อนุทิน” เผยข่าวดี ครม.อนุมัติจัดหาไฟเซอร์ โมเดอร์นาแล้ว 

ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ สธ. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้า การจัดหาวัคซีนโควิด 19 ว่า ได้มีการนำเรื่องการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาตามนโยบายของ ศบค.และรัฐบาลเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในที่ประชุมได้ซักถามข้อสงสัย และมีการชี้แจงถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่สุดแล้ว ทางคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบ และให้กรมควบคุมโรค ลงนามสัญญาจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ และรับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา 
ร่างสัญญาเรื่องวัคซีน ที่ให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา ทั้งของกรมควบคุมโรคกับไฟเซอร์ และขององค์การเภสัชกรรมกับโมเดอร์นา ทางกระทรวงสาธารณสุขได้รับทราบความเห็นกลับมาแล้ว แน่นอนว่ากระทรวงสาธารณสุขจะเดินหน้าเรื่องนี้ให้ดีที่สุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหาเงื่อนไขที่เหมาะสมก่อนลงนาม ซึ่งทั้งหมด ยังอยู่ในเงื่อนเวลาที่จะเจรจาได้ โดยมีเวลาพอสมควร หลังจากที่ลงนามใน Term Sheet ไปแล้วก่อนลงนามสัญญาจัดซื้อ อย่างไรก็ตาม จะไม่กระทบเวลาส่งมอบวัคซีนตามแผน เมื่อถามถึงข้อเรียกร้องเรื่องการจัดหาวัคซีนแบบ mRNA อย่างเร่งด่วน นายอนุทิน กล่าวว่า พร้อมรับฟัง และหาทางออกแน่นอน ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า การพิจารณาวัคซีนของไทย ตั้งอยู่บนหลักการพิจารณาจากหลักฐานข้อมูล และทางวิชาการเป็นสำคัญ ส่วนข้อเสนอต่างๆ จากหลายๆ ฝายนั้น ทางภาครัฐไม่ปิดกั้นแน่นอน สามารถเสนอเข้ามาได้ และเมื่อมีข้อสงสัย ภาครัฐ ก็พร้อมจะชี้แจง 

“ผบ.ทสส.” ตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทยส่วนหน้า ควบคุมอำนวยการและสนับสนุนศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ จ.สมุทรปราการ ในการช่วยเหลือปชช. และควบคุมเพลิงไหม้โรงงานกิ่งแก้ว

พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทย (ผบ.ทสส./ผอ.ศบภ.ทท.) สั่งการให้ พล.อ.นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทยส่วนหน้า (ศบภ.ทท.สน.) เพื่อควบคุมอำนวยการและสนับสนุนศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ จังหวัดสมุทรปราการ ในการช่วยเหลือประชาชนและควบคุมเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่วันที่ 5 มี.ค.64 เป็นต้นมา 

โดยมี พล.ต.เพชรพนม  โพธิ์ชัย ปฏิบัติหน้าที่ ผอ.ศบภ.ทท.สน. พร้อมนี้ นทพ. ได้จัดกำลังพลและยานพาหนะจากศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ศฝภ.นทพ.) อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เข้าช่วยเหลืออพยพประชาชน รวมทั้งจัดชุดดับเพลิงจากหน่วยบรรเทาสาธารณภัยมือพิเศษ ศบภ.สสน.นทพ. นำรถดับเพลิงโฟมเคมีขนาดใหญ่ จำนวน 1 คัน รถดับเพลิงอเนกประสงค์ จำนวน 2 คัน และรถยนต์บรรทุกโฟมดับเพลิง จำนวน 1 คัน เข้าร่วมดับเพลิง

การสนับสนุนช่วยเหลือยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการฉีดโฟมเลี้ยงเพื่อป้องกันการปะทุและเตรียมความพร้อมไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย พร้อมนี้ได้รับเครื่องอุปโภค/บริโภคจากโรงพยาบาลบุษราคัมมามอบให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ณ ศูนย์อพยพประชาชน โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย โดย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จะใช้ศักยภาพที่มีในการสนับสนุนช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไปจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top