Monday, 12 May 2025
Hard News Team

‘วิษณุ’ แจง เหตุต้องนำสัญญาซื้อไฟเซอร์ ถกครม. เพราะรัฐต้องควักเงินซื้อเป็นวัคซีนหลัก ระบุเงื่อนไขผู้ผลิตสุดโหด ส่งช้าไม่รับผิดชอบ ไม่คืนเงิน ห้ามฟ้องร้อง ยัน รัฐไม่โกหกข้อมูล แต่มีเงื่อนไขล็อกไว้

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีที่กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอสัญญาจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์เข้าหารือในที่ประชุมครม. ก่อนทำสัญญา ว่า ยังไม่เห็นเรื่องนี้อยู่ ทราบจากข่าวว่าเป็นอย่างนั้น ถ้าเรื่องนี้เข้าหารือในครม. จริงจะได้พิจารณา สาเหตุที่ต้องนำเข้าที่ประชุมครม. เพราะต้องขอเงินจากรัฐบาล แต่ไม่ได้หมายความว่าจะซื้อทุกครั้งต้องมาขอ หากเป็นกรณีเอกชนจ่ายเงินเองโดยรัฐบาลเป็นผู้จัดซื้อให้ไม่ต้องนำเข้าครม.

ทั้งนี้ การซื้อวัคซีนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่เหมือนกับการซื้อของทั่วไป เพราะอำนาจอยู่ที่ฝ่ายผู้ผลิตหรือผู้ขาย และตนได้มีโอกาสดูสัญญาบางฉบับ ที่กระทรวงสาธารณสุขนำมาให้ตรวจดูก็รู้สึกแปลกใจ เพราะฝ่ายผู้ขายหรือผู้ผลิตบอกว่า ถ้าไม่เซ็นสัญญา ไม่ต้องซื้อของจากเขา และมีเงื่อนไขว่าถ้าส่งล่าช้า จะไม่รับผิดชอบ และบางยี่ห้อบอกไม่คืนเงินและเราไปคิดค่าปรับ ยึดทรัพย์ หรือฟ้องร้องอะไรไม่ได้ และไม่รับผิดชอบความเสียหายใด ๆ ที่สำคัญคือระบุว่า ห้ามเปิดเผยสัญญา เนื่องจากการขายให้แต่ละประเทศเขียนสัญญาไม่เหมือนกัน มีทั้งเอื้ออารี และเข้มงวด ถ้าใครเอาไปเปิดเผยจะขายให้ครั้งเดียวและไม่ขายให้อีกเลย

ดังนั้น จะเห็นว่าที่ผ่านมาฝ่ายรัฐบาลจะไม่พูดเรื่องสัญญาการซื้อวัคซีนเลย แต่ยืนยันว่ารัฐไม่ได้โกหกหรือหลอกลวง แต่ในบางเรื่องพูดไม่ได้ ทำให้บางคนที่พยายามพูดให้ดูดี จนกลายเป็นทำให้รัฐถูกมองว่าพูดกลับไปกลับมา

นายวิษณุ กล่าวว่า ทั้งนี้ การจัดซื้อวัคซีนยี่ห้อโมเดอร์นา ไม่ได้เป็นวัคซีนหลักที่รัฐประกาศ โดยคำว่าวัคซีนหลักคือ รัฐบาลจัดหาให้และฉีดประชาชนฟรี ซึ่งมีอยู่ 5 ห้อ คือ ซิโนแวค แอสตราเซนเนก้า สปุตนิก วี ไฟเซอร์ และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ส่วนซิโนฟาร์ม ที่จัดหาโดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ก็ไม่ใช่วัดซีนหลักเช่นกัน เพราะวิทยาลัยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และเป็นนายกสภาวิศวกร เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมืองไทย ไม่เคยไกลจากภัยพิบัติ พี่เอ้มีคำตอบ

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และเป็นนายกสภาวิศวกร เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก ระบุว่า เมืองไทย ไม่เคยไกลจากภัยพิบัติ พี่เอ้มีคำตอบ

เพราะการป้องกัน #จะทำก็ทำได้

....อีกครั้ง เช้ามืดวันนี้ โรงงานระเบิดกลางพื้นที่ชุมชนถนนกิ่งแก้ว ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และเส้นทางบางนาสายหลักเข้ากรุงเทพฯ ไฟไหม้รุนแรง และปล่อยก๊าซมลพิษ สร้างความเสียหายรุนแรงต่อสุขภาพคนเมือง

...เมื่อปลายปีที่แล้ว ท่อแก๊สระเบิด แถวขอบกรุงเทพฯ-สมุทรปราการ กลางวันแสก ๆ มีผู้เสียชีวิต บ้านเรือนหลายหลังถูกเผาวอดวาย...

พี่เอ้ ในฐานะนายกสภาวิศวกร (และชาวบ้านคนหนึ่งที่มีครอบครัว) ขอเสนอ.

1.) การกำหนดพื้นที่เสี่ยง ที่มีโรงงานทำสารเคมี หรือบรรจุสารเคมีในกทม. หรือแนวที่ท่อแก๊สพาดผ่าน ให้ชาวบ้านได้รับรู้รับทราบ และได้พึงระวัง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ ได้มีการป้องกันตน และการเตรียมการอพยพได้อย่างรวดเร็ว

อีกทั้งหน่วยงานดับเพลิงของกทม. และจังหวัดปริมณฑลในพื้นที่เสี่ยง ที่มีโรงงานเคมี จะต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันสารเคมีแก่นักดับเพลิง ให้พร้อม!

2.) อาจถึงจุดเปลี่ยน ที่โรงงานอันตราย ควรย้ายออกจากพื้นที่เมือง แน่นอนโรงงานเขาอาจมาก่อน ชุมชนเมืองขยายตามมาเอง...

...แต่รัฐและเมือง ในต่างประเทศ ได้เสนอความช่วยเหลือทางภาษีและอื่น ๆ หากโรงงานเต็มใจย้าย (ที่จริง ขายที่ก็กำไรอภิมหาศาล แล้วนำกำไรไปขยายโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมได้!)

3.) สำนักงานเขต หรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ต้องขึ้นทะเบียนโรงงานทุกประเภท เพื่อจำแนกประเภทเสี่ยงมาก เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงน้อย (ทุกโรงงานมีความเสี่ยง) เพื่อตรวจสอบ ประเมินทุก 6 เดือน และให้โรงงานส่งรายงานการประเมินตนเอง แบบนี้ได้ความกระตือรือร้น ความเสี่ยงต่อชาวบ้าน ลดน้อยลงทันที!

4.) ต้องรายงานมลพิษ และสารก่อมะเร็งในอากาศ อย่างตรงไปตรงมา เพื่อประชาชนได้ป้องกันสุขภาพตนเองและครอบครัว เพราะสารอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่เกิดจากเพลิงไหม้เม็ดพลาสติก อันตรายถึงชีวิต

5.) ถึงเวลาพัฒนานวัตกรรม การควบคุมเพลิงสารพิษ เพราะในอดีตเกิดความสูญเสียของนักดับเพลิงจำนวนมาก เพราะฉีดน้ำช่วยลดความร้อนเท่านั้น มิได้ผลยับยั้งเพลิงจากสารเคมี แต่ต้องใช้โฟมดับเพลิง

ระเบิดในกทม.และปริมณฑลแบบนี้ เราเจอมาตั้งแต่เด็ก ไม่อยากให้ลูกหลานเรา ต้องพบเจอต่อ ๆ ไปครับ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ บิ๊กตู่” ลั่น แม้ควบคุมเพลิงโรงงานหมิงตี้ ได้ แต่ยังไม่ประมาท สั่งเร่งสำรวจและจำกัดความเสียหายที่จะตามมา เร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบพร้อมเตรียมแผนป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดในอนาคตอีก

ระหว่างเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโพสต์ข้อความและภาพบนเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงสถานการณ์ระเบิดและไฟไหม้รุนแรง ที่ จังหวัดสมุทรปราการ ว่า “สถานการณ์ล่าสุดเหตุเพลิงไหม้โรงงานหมิงตี้เคมีคอล จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ เราสามารถควบคุมการลุกไหม้ของเพลิงได้ที่ต้นตอได้ก่อนเที่ยงคืนเมื่อวาน ทั้งนี้สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการที่จะเข้าถึงคือ เป็นเพลิงที่เกิดจากสารเคมี (สารสไตรีนโมโนเมอร์และสารพอลิสไตรีน) ซึ่งเป็นของเหลวไวไฟสูง 

ดังนั้นการต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง และต้องใช้วิธีการโปรยโฟมดับเพลิงจากทางอากาศและระดมฉีดโฟมจากภาคพื้นดินจนสามารถปิดวาล์วถังสารเคมีทั้ง 3 จุดได้ ด้วยความสามารถและการผสานพลังของเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญด้านการระงับเหตุจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงทีมโดรนของสมาคมตอบโต้ภัยพิบัติ และทีมจิตอาสาโดรน NOVY ในการส่งภาพเหตุการณ์จากทางอากาศได้แบบ Real time ทำให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี และความร่วมมือจากหลายๆ หน่วยงานที่ผมได้กล่าวถึงในโพสต์ก่อนหน้านี้ 

โดยในขณะนี้ เราสามารถดับเพลิงได้แล้ว แต่ยังมีความจำเป็นต้องฉีดโฟมเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการปะทุขึ้นใหม่ และฉีดน้ำเพื่อลดอุณหภูมิ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ได้คอยดูแลเฝ้าระวังในพื้นที่อย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด
 
การทำงานครั้งนี้ เราได้พยายามดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุดตั้งแต่ได้รับแจ้งเหตุ เริ่มจากการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ โดยจังหวัดสมุทรปราการในทันที เพื่อระดมทรัพยากรทั้งปวงจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งเครื่องมือขนาดใหญ่-เครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญทุกแขนง กำลังพลทุกฝ่ายทั้งในการดับเพลิง การอพยพ การรักษาพยาบาล ไปจนถึงการจัดการจราจร เพื่อไม่ให้เกิดการจลาจล เป็นต้น ส่วนด้านการดูแลพี่น้องประชาชนและแรงงานที่ได้รับผลกระทบหลายพันคน องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ ได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนเป็นการด่วน โดยได้จัดหาที่พักพิงชั่วคราว และอาหารที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นโรงครัวพระราชทานสำหรับทุกคนในพื้นที่ เพื่อให้มีขวัญและกำลังใจในการดำรงชีวิตกลับคืนมาโดยเร็ว 

“ผมเชื่อว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การรับมือกับสถานการณ์ในครั้งนี้ได้ ก็คือ ความสามารถของบุคลากร และการระดมอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆจำนวนมากเข้าร่วมระงับเหตุได้ โดยรัฐบาลได้ผลักดันและเริ่มดำเนินการแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2558 ทำให้เรามีการฝึกซ้อมในสถานการณ์ฉุกเฉินในระดับใหญ่ หลากหลายรูปแบบมาแล้วหลายครั้ง และปรับรูปแบบ เพิ่มเติมอุปกรณ์จำเป็น ที่ทันสมัยและได้มาตรฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังเช่นเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย KA-32 ที่นำมาใช้สำหรับภารกิจป้องกันสาธารณภัยโดยเฉพาะ ทำให้เจ้าหน้าที่มีความชำนาญในการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการกันภายใต้ศูนย์บัญชาการเดียวกันในครั้งนี้"

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้จะควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่งานของเรายังไม่จบ ผมได้สั่งการให้มีการสำรวจและจำกัดความเสียหายในเรื่องอื่นๆ ที่อาจจะตามมา เช่น การตรวจสภาพปนเปื้อนในดิน น้ำ น้ำใต้ดิน แม่น้ำ แหล่งน้ำ น้ำประปา และอากาศในพื้นที่โดยรอบ เพื่อลดและบรรเทาผลกระทบต่อสุขภาพของทุกคน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้ยังต้องช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะทีมฮีโร่เจ้าหน้าที่ผู้กล้าหาญเข้าเสี่ยงอันตรายเพื่อควบคุมเหตุ ที่มีทั้งผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ ที่ทางรัฐบาลจะดูแลอย่างดีที่สุด รวมทั้งผู้บาดเจ็บและได้รับความเสียหายอื่นๆ รวมถึงการสอบสวนสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ และการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคตด้วย

“บิ๊กแก้ว” สั่ง 3 เหล่าทัพ-นทพ. เร่งให้ความช่วยเหลือปชช. จัดรถโรงครัวสนามประกอบเลี้ยง พร้อมส่งระดมกำลังพลยุทโธปกรณ์ ร่วมดับไป 

พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/ผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการทางทหาร (ผบ.ทสส/ผบ.ศบท) สั่งการให้ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และ ศูนย์บัญชาการเหล่าทัพ ปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญในการให้ความช่วยเหลือเหตุเพลิงไหม้ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ โดยมีการปฏิบัติที่สำคัญ ประกอบด้วย

กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) โดยหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) ดำเนินการจัดตั้ง ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองทัพไทยส่วนหน้า ( ศบภ.ทท.สน.) โดย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จัดตั้งศูนย์อำนวยการปฏิบัติและประสานการปฏิบัติกับเหล่าทัพ พร้อมจัดกำลังและยานพาหนะ ออกเดินทางจากหน่วยในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อเวลา 11.00 น. เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติงานในการอพยพประชาชนและติดตามสถานการณ์ โดยได้จัดรถดับเพลิงโฟมเคมีจำนวน 1 คัน รถดับเพลิงอเนกประสงค์จำนวน 2 คัน เข้าประจำยังพื้นที่จุดเกิดเหตุ นอกจากนี้ กรมกิจการพลเรือนทหารได้จัดกำลังพล จำนวน 4 นาย เข้าประสานการปฏิบัติในพื้นที่ กองบัญชาการเหตุการณ์ ณ มูลนิธิร่วมกตัญญู ถนนกิ่งแก้ว จ.สมุทรปราการ 

โดยในวันที่ 6 ก.ค.ทางกองบัญชาการกองทัพไทย จะนำสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ประสบภัย รวมทั้งสนับสนุนสิ่งของ เครื่องอุปโภค-บริโภค โดยดำเนินการ ที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยร่วมกับมูลนิธิร่วมกตัญญูในพื้นที่ ประกอบด้วย ข้าวสาร น้ำตาลทราย เนื้อหมูแช่แข็ง ผักสดสำหรับปรุงอาหาร ขนมพายแช่แข็ง 1,500 ชิ้น หน้ากากอนามัย 2,000 ชิ้น เจลแอลกอฮอล์ชนิดหลอด จำนวน 15 ลัง และชุด PPE จำนวน 40 ชุด

สำหรับกองทัพบกโดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก ได้ส่งกำลังชุดเคลื่อนที่เร็วจากกองพลทหารราบที่ 11 ซึ่งมีที่ตั้งใกล้ที่เกิดเหตุเข้าช่วยเหลือและควบคุมสถานการณ์ร่วมกับป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจ.สมุทรปราการ ในการอพยพผู้บาดเจ็บ พร้อมนำผู้ที่ได้รับผลกระทบออกจากบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ในรัศมี 5 กิโลเมตร พร้อมจัดการจราจรในพื้นที่อำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยให้ผู้ที่สัญจรผ่านเส้นทางที่กำหนดไว้ พร้อมกันนี้ได้ส่งชุดปฏิบัติการกู้ภัยสารเคมีจากกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก เข้าประเมินตรวจสอบสารเคมีในพื้นที่เกิดเหตุ 

โดยล่าสุดกองทัพบก (ทบ.) ใช้เฮลิคอปเตอร์ KA-32 (ปภ.) 2 ลำ พร้อมนักบินและเจ้าหน้าที่ของกองทัพบกขึ้นบินตรวจประเมินสถานการณ์โดยรอบที่เกิดเหตุ สำหรับในช่วงต่อไป ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก ได้เตรียมกำลังพล 100 นาย รถบรรทุกขนาดใหญ่ 10 คัน พร้อมส่งเข้าไปเสริมการควบคุมดูแลพื้นที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ได้เตรียมการสนับสนุนสารเคมีที่ใช้ในการดับเพลิง อากาศยานและหน้ากากป้องกันไอพิษ สำหรับใช้ในการเตรียมอพยพประชาชนหากมีความจำเป็นตามการร้องขอจากกองอำนวยการควบคุมเหตุการณ์และจะติดตามสถานการณ์พร้อมเข้าปฏิบัติการดูแลพื้นที่จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ส่วนกองทัพเรือ (ทร.) โดย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ฐานทัพเรือกรุงเทพฯ โดย หน่วยบรรเทาสาธารณภัย โรงเรียนนายเรือ จัดชุดเตรียมพร้อม และศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ฐานทัพเรือกรุงเทพฯ ได้ติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิดและพร้อมให้การสนับสนุนเมื่อได้รับการร้องขอ ได้แก่ เตรียมรถดับเพลิง จำนวน 1 คัน รถบรรทุกน้ำ จำนวน 1 คัน รถพยาบาล จำนวน 1 คัน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชน จำนวน 10 นาย ในส่วนของ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จัดชุด USAR Team เตรียมความพร้อมสนับสนุน โดยสามารถเข้าพื้นที่ได้ทันทีเมื่อได้รับการประสานและกองทัพอากาศ (ทอ.) โดย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ เตรียมโฟมชนิด ARAFFF 3 % ผสมน้ำ จำนวน 70 ถัง รวม 1,330 ลิตร โดยสามารถเข้าพื้นที่ได้ทันทีเมื่อได้รับการประสาน

ทั้งนี้ กองทัพไทยขอความร่วมมือประชาชนไม่เดินทางออกนอกอาคารบ้านพักโดยไม่มีเหตุจำเป็นเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการสูดดมสารพิษ  พร้อมทั้งขอให้ประชาชนโปรดให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด โดยกองทัพไทบจะใช้ทุกศักยภาพที่มีในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนในทุกมิติ และพร้อมเคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์ตลอดไป

“วราวุธ” สั่ง กรมควบคุมมลพิษ เร่งสำรวจคุณภาพอากาศ-สารปนเปื้อนในท่อระบายน้ำ ในรัศมี 3-5 กม. รอบจุดเกิดเหตุ พร้อมป้อง ‘บิ๊กตู่’ ไม่ลงพื้นที่ หวั่นสร้างอุปสรรคการทำงานให้จนท. วอน สังคมเห็นใจ

เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุไฟไหม้ บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 87 ซ.กิ่งแก้ว 21 หมู่ที่ 15 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก ว่า ขณะนี้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำลังดำเนินการตรวจวัดคุณภาพอากาศในรัศมี 3-5 กิโลเมตร โดยได้มีการส่งรถโมบายเคลื่อนที่ลงไปตรวจวัด และยังมีการติดตั้งสถานีย่อยในรัศมีดังกล่าว

เบื้องต้นพบว่าคุณภาพอากาศในรัศมี 1 กิโลเมตร เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ไม่ถึงชีวิต ขณะที่ในระยะ 5 กิโลเมตรถือว่ายังเป็นระยะที่ปลอดภัยอยู่ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าปลอดภัยถึงขั้นให้ประชาชนเดินทางกลับที่พักอาศัย เพราะยังต้องตรวจสอบเรื่องสารเคมีตกค้าง และสารที่ไหลออกมาจากโรงงานซึ่งมากับน้ำที่เราฉีดเลี้ยงไฟไม่ให้ปะทุที่อาจมีสารเคมีปนเปื้อนออกมาได้ โดยภายในวันนี้ (6 ก.ค.) น่าจะได้ข้อสรุป ขอประชาชนอย่าเพิ่งใจร้อน เจ้าหน้าที่กำลังเร่งทำงานทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ คพ. กำลังระดมเข้าไปตรวจวัดคุณภาพอากาศและน้ำที่อยู่ตามท่อระบายน้ำเพื่อให้ทราบว่ามีสารเคมีตกค้างมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เร็วปฏิบัติการโดยรอบที่เกิดเหตุ เมื่อข้อสรุปแล้ว จะได้เข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าโรงงานดังกล่าวได้ทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า โรงงานดังกล่าวตั้งมา 30 กว่าปีแล้ว ขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายอีไอเอ แต่ไม่แน่ใจว่าหลังมีกฎหมายแล้วได้มีการทำอีไอเอเพิ่มเติมหรือไม่ จึงขอไปหาข้อมูล ประกอบกับไปดูกฎหมายผังเมือง โดยประสานกับกระทรวงมหาดไทยก่อน ซึ่งทราบมาว่าพื้นที่ที่ตั้งของโรงงานอยู่ในพื้นที่สีแดงที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อการพาณิชย์ หลายคนสงสัยว่าทำไมโรงงานไปตั้งในชุมชน จึงต้องมาตรวจสอบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์หรือโซนที่อยู่อาศัย เพราะการที่มีโรงงานกับบ้านพักติดกันเป็นไปได้ใน 2 กรณี คือ โรงงานตั้งก่อนชุมชน หรือที่ชุมชนกระจายไปจนติดโรงงาน คงต้องดูผังเมือง

เมื่อถามว่า โซเชียลมีเดียวิจารณ์อย่างมากว่านายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และคนในรัฐบาล เหตุใดจึงไม่รุดลงพื้นที่ นายวราวุธ กล่าวว่า นายกฯ และรองนายกฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่ต้องเรียนตรง ๆ ว่า หากนายกฯ หรือรองนายกฯ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของทุกหน่วยงานลงไปในพื้นที่แล้ว โดยธรรมชาติคนไทย เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต้องแห่มาต้อนรับ โดยนายกฯ ทราบดีว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้น ยิ่งจะทำให้วุ่นวายไปอีก จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่ไป เพราะเราไม่รู้ว่าสถานการณ์ ณ ที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร

ตนเห็นว่าการที่นายกฯ ไม่ไปนั้นถูกต้องแล้ว เพราะการบัญชาการที่ศูนย์บัญชาการเพื่อทำหน้าที่สั่งการและประสานจะมีประสิทธิภาพมากกว่า และยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานเต็มที่ เหมือนเมื่อครั้งเหตุการณ์ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ที่นายกฯ ยังไม่ไปทันที เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายและสร้างอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่ จึงขอความเห็นใจจากสังคมด้วย


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กตู่” ขอบคุณ -ชื่นชมทุกภาคส่วนช่วยร่วมดับเพลิงโรงงานย่านกิ่งแก้วสำเร็จตามแผน พร้อมดูแลผู้ได้รับความเสียหายเร่งด่วน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและชื่นชม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ และทุกภาคส่วนทั้งพลเรือน ทหาร ตำรวจ ที่ระดมสรรพกำลังคลี่คลายสถานการณ์เพลิงไหม้จากการระเบิดโรงงานหมิงตี้ เคมีคอล ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ จนสามารถควบคุมเพลิงและดับเพลิงได้ในที่สุดในช่วงกลางดึกจนถึงเช้ามืดที่ผ่านมา โดยเฉพาะแผนการเข้าปิดวาล์วที่เป็นจุดสำคัญของไฟสำเร็จด้วยการทำงานร่วมกันอย่างเต็มกำลังความสามารถ แต่อย่างไรก็ตามยังต้องควบคุมเฝ้าระวังการปะทุและความร้อนอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วยการฉีดน้ำลดอุณหภูมิ

“ขอให้ประชาชนที่อพยพออกไป จากพื้นที่ตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการ อย่าเพิ่งกลับเข้ามา เพราะแม้ว่าจะดับเพลิงได้แล้ว ยังคงมีควันจากสารเคมีที่อันตรายต่อร่างกาย ขอให้ประชาชนรอฟังจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานต่อไปก่อน จนกว่าจะปลอดภัย ทั้งนี้ ตลอดช่วงที่เกิดเหตุ ประชาชน เจ้าหน้าที่ ต่างมีความเป็นห่วงเป็นใยกัน แสดงน้ำใจต่อกัน ช่วยกันอย่างสุดกำลัง เช่น ที่พักพิง การบริจาคอาหารและน้ำ ของใช้ที่จำเป็น ซึ่งเหล่านี้เป็นพลังสำคัญที่ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ นายกรัฐมนตรีจึงขอขอบคุณทุกๆคน และรัฐบาลจะดูแลผู้ได้รับผลกระทบและความเสียหายอย่างดีที่สุดและเร็วที่สุด” นายอนุชา กล่าว

"คมนาคม" ยกระดับการขนส่งทางน้ำ พัฒนามิติการควบคุม กำกับ ดูแล ตามรูปแบบสากล

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยกระดับการพัฒนามิติการควบคุม กำกับ ดูแล การขนส่งทางน้ำของกรมเจ้าท่าให้มีความเป็นสากล รอบคอบ และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนามิติการควบคุม กำกับดูแล การขนส่งทางน้ำ ให้มีรูปแบบการดำเนินการที่เป็นสากล มีความรอบคอบ และการดำเนินการเป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกับการควบคุมกำกับดูแลการขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคมได้มีคำสั่งที่ 301/2564 แต่งตั้งคณะกรรมการแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองและดำเนินการภารกิจตามกฎหมาย กฎ คำสั่ง หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไปฯ ของกรมเจ้าท่า ซึ่งจะมีบทบาทและหน้าที่ในการพิจารณาอนุญาต การต่ออายุและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล และการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลซึ่งถือกรรมสิทธิ์เรือไทยเช่าและใช้เรืออื่นที่มิใช่เรือไทย ในการขนส่งทางทะเล และการพิจารณาอนุญาตให้เรือของบุคคลผู้ไม่ต้องด้วยลักษณะที่จะถือกรรมสิทธิ์เรือไทยได้สามารถทำการค้าในน่านน้ำไทยได้ 

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองและดำเนินการภารกิจตามกฎหมาย กฎ คำสั่ง หรือบทบัญญัติอื่นที่ผลบังคับเป็นการทั่วไปฯ ของกรมเจ้าท่า ครั้งที่ 1/2564  และ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นรองประธานกรรมการ คณะกรรมการประกอบด้วย นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม อธิบดีกรมเจ้าท่า รองอธิบดีกรมเจ้าท่าด้านความปลอดภัย และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกรมเจ้าท่า ซึ่งการประชุมครั้งนี้ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เป็นการประชุมผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting

ที่ประชุมได้พิจารณากำหนดให้การประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน และมีมติเห็นชอบกรอบขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตตามระเบียบกระทรวงคมนาคมว่าด้วยการปฏิบัติราชการสำหรับการขออนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล ซึ่งเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน กรอบขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตตามระเบียบกระทรวงคมนาคมว่าด้วยการปฏิบัติราชการสำหรับ  การขออนุญาตเช่าหรือใช้เรืออื่นที่มิใช่เรือไทยในการขนส่งทางทะเล ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2532 และกรอบขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การอนุญาตให้เรือของบุคคลผู้ไม่ต้องด้วยลักษณะ ที่จะถือกรรมสิทธิ์เรือไทยทำการค้าในน่านน้ำไทยตามมาตรา 47 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481 และมอบหมายกรมเจ้าท่าทำการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้ผู้รับบริการและประชาชนที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป

ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบอนุญาตให้เรือของบุคคลผู้ไม่ต้องด้วยลักษณะที่จะถือกรรมสิทธิ์เรือไทยทำการค้าในน่านน้ำไทย ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481 จำนวน 4 ลำ เข้ามาประกอบกิจการเฉพาะเท่าที่มีเอกชนร้องขออนุญาต และเป็นการเฉพาะตราบเท่าที่ได้รับการยืนยันจากสมาคมเจ้าของเรือไทย ว่าไม่มีเรือไทย สนใจเข้ามาประกอบกิจการ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ประกาศ ตาม checklist ที่กฎหมายกำหนดทุกประการ ทั้งนี้ เพื่อให้ การดำเนินการในกิจการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์แห่งสัญญาการว่าจ้างเรือของเอกชน เป็นไปเพื่อประโยชน์สมตามวัตถุประสงค์เท่าที่จำเป็น และคงรักษาประโยชน์ของธุรกิจประกอบกิจการเรือของไทย

นอกจากนั้น ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการท่าเรือซึ่งเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน ตามข้อ 3 (9) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม   พ.ศ. 2515 (ฉบับที่ 3) ซึ่งได้มีการกำหนดระยะเวลาการอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือให้มีความชัดเจนและเพิ่มรายละเอียดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการท่าเรือซึ่งต้องมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เน้นย้ำให้คณะกรรมการกลั่นกรองและดำเนินการภารกิจตามกฎหมาย กฎ คำสั่ง หรือบทบัญญัติอื่นที่ผลบังคับเป็นการทั่วไปฯ ของกรมเจ้าท่า ดำเนินการด้วยความ รอบคอบ โปร่งใส เป็นไปตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด 

มท.1 สั่งเร่งช่วยเหลือ ปชช.ในเหตุเพลิงไหม้โรงงานสมุทรปราการ เน้นย้ำดูแลปชช. ความปลอดภัยเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติกใน ซ.กิ่งแก้ว 21 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ขณะนี้ได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์ เพื่อประสานการสนับสนุนร่วมกับกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจ.สมุทรปราการ โดยระดมสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ พร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัย รวมทั้งส่งเฮลิคอปเตอร์ KA-32 จำนวน 2 ลำ สนับสนุนการดับเพลิงฯ ซึ่งในขณะนี้ยังคงอยู่ในพื้นที่และปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงาน และอาสาสมัครที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ได้เน้นย้ำให้จังหวัดบูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนจิตอาสา ดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ พร้อมจัดให้มีสิ่งของจำเป็นในการดำรงชีพ ที่พักอาศัยประกอบอาหารเลี้ยงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ และให้ความสำคัญมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด 

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า จ.สมุทรปราการได้ตั้งจุดอพยพ 8 จุด ได้แก่

1.) อบต.บางพลีใหญ่

2.) วัดบางพลีใหญ่กลาง

3.) โรงเรียนคลองบางกระบือ

4.โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์

5.) ศาลพ่อหลวง 6.วัดบางโฉลงใน

7.) วัดบางโฉลงนอก

และ 8.) วัดบางพลีใหญ่ใน

นอกจากนี้ได้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและอาสาสมัครให้ระมัดระวังตนเองในการปฏิบัติงาน และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วง ดูแลประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติเร็ว ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลผ่านสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

ผู้ว่าฯ สมุทรปราการแถลงข่าวความคืบน้าเหตุเพลิงไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด

นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย พล.ต.ต. ชุมพล พุ่มพวง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ พล.ต. เพชรพนม โพธิ์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทยส่วนหน้า และนายปภินวิช ละอองแก้ว หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมแถลงข่าว

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการแถลงว่า ทุกหน่วยงานเข้าควบคุมสถานการณ์ โดยระดมสรรพกำลังและอุปกรณ์เข้าระงับเหตุได้แก่ รถดับเพลิง เฮลิคอปเตอร์ ฯลฯ เนื่องจากโรงงานดังกล่าวเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก มีสารอันตราย ประกอบด้วย สารสไตรีนโมโนเมอร์ ประมาณ 1,600 ตัน เป็นสารระเหย หากหายใจเข้าไปจะมีอาการระคายจมูกและคอ ปวดศีรษะ มึนงง ถ้าได้รับสารปริมาณสูงอาจชักและเสียชีวิตได้ สารเพนเทน ประมาณ 60 - 70 ตัน เป็นของเหลวไวไฟสูง อาจทำให้ง่วงซึม หรือมึนงง ขณะนี้ยังมีการลุกไหม้อยู่ต่อเนื่อง ขณะนี้ใช้ยานยนต์ดับเพลิงควบคุมระยะไกล (LUF60) และโฟมผสมน้ำเข้าระงับเหตุการณ์ดังกล่าว

ผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต

มีผู้เสียชีวิต 1 ราย (นายกรสิทธิ์ ลาวพันธ์ อายุ 18 ปี อาสาสมัครฯ หน่วยสมเด็จเจ้าพระยา) และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 33 ราย

การช่วยเหลือประชาชน จัดตั้งศูนย์อพยพ จำนวน 8 จุด ดังนี้
จุดที่ 1 องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ (อาคารหลังเก่า) มีผู้อพยพ จำนวน 160 คน
จุดที่ 2 วัดบางพลีใหญ่กลาง มีผู้อพยพ จำนวน 250 คน
จุดที่ 3 โรงเรียนบางกระบือ มีผู้อพยพจำนวน 122 คน
จุดที่ 4 โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ มีผู้อพยพจำนวน 345 คน
จุดที่ 5 ศาลพ่อหลวง มีผู้อพยพจำนวน 35 คน
จุดที่ 6 วัดบางโฉลงใน มีผู้อพยพจำนวน 140 คน
จุดที่ 7 วันบางโฉลงนอก มีผู้อพยพจำนวน 340 คน
จุดที่ 8 วัดบางพลีใหญ่ใน มีผู้อพยพจำนวน 500 คน
รวมผู้อพยพ จำนวน 1,892 คน

เรื่องที่พัก อาหาร
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ให้ความช่วยเหลือด้านอาหาร สถานที่พัก
- การช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ดูแลด้านอาหาร ที่พัก ในเบื้องต้น
- การแยกผู้ป่วยโควิด
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ ควบคุมประชาชนเข้าศูนย์อพยพ โดยมีการ
คัดกรองโควิด - 19

การติดตามสถานการณ์ สอบถามข้อมูล สามารถติดตามญาติ ได้ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่

นายกฯ โทรฯ กำชับ ผวจ. สมุทปราการระงับเหตุบึ้ม รง.สารเคมี ช่วยประชาชนเต็มที่ สั่ง ระดม ทุกหน่วยช่วยเร่งด่วน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์การระเบิดภายในโรงงานของ บริษัท หมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ในซอยกิ่งแก้ว 21 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ที่ยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการปฎิบัติงานบรรเทาภัยของหน่วยงานต่าง ๆ ในการระงับเหตุอย่างต่อเนื่อง ทั้งการป้องกันการะเบิดซ้ำ การดับไฟ การสะกัดควัน การจัดหาสารเคมีและโฟมดับไฟ เนื่องจากเพลิงที่ลุกไหม้ในที่เกิดเหตุ มีต้นทางเป็นถังบรรจุสารเคมีซึ่งสารดังกล่าวไม่สามารถดับได้ด้วยน้ำ จึงมีความจำเป็นต้องใช้โฟมในการดับไฟ 

นายกรัฐมนตรีได้โทรศัพท์สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ประสานนำเฮลิคอปเตอร์ จำนวน 2 ลำ จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และรถฉีดโฟมขนาดใหญ่ ให้ความช่วยเหลือการดับเพลิงแล้ว รวมทั้งได้สั่งให้ทุกหน่วยงานทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนช่วยเหลือจัดหาโฟมและสารเคมีดับไฟเพิ่มเติมด้วย รวมถึงการขอทีมที่เชี่ยวชาญการจัดการสารเคมีเข้าร่วมสนับสนุนการระงับเหตุ ซึ่งได้นำเครื่องมือ เช่น Fire Robots และ Gas Detectors ไปยังจุดเกิดเหตุแล้ว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมจัดส่งกำลังพลจากทุกเหล่าทัพ รวมถึงยานพาหนะ รถดับเพลิง โฟมและสารเคมี ชุดเผชิญเหตุสารเคมี อากาศยานไร้คนขับ รวมทั้งรถพยาบาล พร้อมเจ้าหน้าที่แพทย์สนามและทหารสารวัตร เข้าพื้นที่เสริมการทำงานของจังหวัดสมุทรปราการด้วยแล้ว รวมทั้งสั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติการฝนหลวงช่วยบรรเทาฝุ่นควันจากเหตุดังกล่าวด้วยแล้ว โดยหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีการติดตามสภาพอากาศอย่างต่อเนื่อง หากเข้าเงื่อนไขการทำฝน จะวางแผนขึ้นบินปฏิบัติการช่วยเหลือทันที

“นายกรัฐมนตรีเสียใจกับการสูญเสียเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่เสียชีวิตจากการระงับเหตุในครั้งนี้ ขอให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ พร้อมกับให้ภาครัฐจัดการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ทุกคนจากทุกหน่วยงานที่ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ทั้งการระงับเหตุและช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มความสามารถ และ ย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องที่พักและอาหารในจุดอพยพต่าง ๆ รวมทั้งเร่งสำรวจและหาสาเหตุเพลิงไหม้ให้ชัดเจนเมื่อสถานการณ์สงบลงเพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป และการเตรียมการต่างๆเพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้โดยเร็ว” นายอนุชา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top