Monday, 7 July 2025
Hard News Team

6 พรรคร่วมฝ่ายค้านผนึกกำลังยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 รัฐมนตรี ไร้เงา ประวิตร-ธรรมนัส พิธาย้ำพรรคร่วมฝ่ายค้านผสานกำลังใช้กลไกสภาแก้ไขวิกฤติโควิด เร่งถอดสลักประยุทธ์ ต้นเหตุบ่มเพาะความขัดเเย้งประชาชน

พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในการอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 นำโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมอีก 6 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคประชาชาติ, พรรคเพื่อชาติ, พรรคพลังปวงชนไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ ในนามนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์

ทั้งนี้รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ประกอบด้วย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเเรงงาน และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม

ทางด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่าในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยกระบวนการเหมือนกับการอภิปรายทุกครั้ง ทุกพรรคมีความต้องการในอภิปรายเเละเสนอรัฐมนตรีที่ไม่ไว้วางใจของตนเอง เเต่ในที่สุดเเล้วเราต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน และมีมติว่าเราจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีเเละรัฐมนตรีทั้งหมด 6 คนสำคัญ มีความจำเป็นจะต้องพูดคุยกัน เพื่อรักษาบรรยากาศการทำงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน

พิธากล่าวเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ ซึ่งเร็วกว่าตามกรอบเวลาปกตินั้น ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านเราตั้งใจที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ เพื่อที่จะใช้กลไกสภาแก้ไขวิกฤติเเละลดความขัดเเย้ง โดยมีความจำเป็นที่ต้องถอดสลักพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อที่จะให้ประเทศสามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้ ตนมีความเห็นว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แตกต่างจากครั้งก่อนๆ พอสมควร ในครั้งนี้ความเดือดร้อนเเละความลำบากของพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง พรรคก้าวไกลได้ประกาศออกไปว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเร็วขึ้นกว่าปกติ โดยพี่น้องประชาชนให้ความสนใจเเละมีส่วนร่วม ซึ่งพี่น้องประชาชนส่งข้อมูล ส่งภาพเเละเนื้อหามาประกอบการอภิปรายให้ตนเเละพรรคก้าวไกลอย่างไม่ขาดสาย

เเละขณะนี้บรรยากาศนอกสภาเเละในสภาตรงกัน ความชอบธรรมในการบริหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เเทบจะไม่เหลือเเล้วนอกสภา เราต้องการใช้กลไกลในสภาตอนนี้เพื่อให้เกิดเเรงสั่นสะเทือนและอาฟเตอร์ชอกต่อไป เมื่อถามถึงว่า มีความขัดเเย้งภายในพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือไม่นั่น พิธากล่าวว่าไม่มี ประชาชนต้องมาก่อน เราต้องการใช้กลไกในรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน แน่นอนว่าในอดีตแต่ละพรรคมีความเห็นของตนเอง มีความเเตกต่างกันบ้าง เเต่เรามีวุฒิภาวะพอที่จะวางความแตกต่างนั้นลงเเละร่วมมือกันทำอย่างเต็มที่ที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้

ขณะที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่าการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านเราได้ร่วมกันพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว ซึ่งแน่นอนมี ส.ส. ได้เสนอรายชื่อรัฐมนตรีเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อพิจารณาแล้วสรุปจบที่ 6 รัฐมนตรี เนื่องจากการขอเปิดอภิปรายไม่วางใจในครั้งนี้จะเน้นเป้าไปที่เรื่องการบริหารจัดการโควิด-19 เรื่องเศรษฐกิจ และ เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นหลัก สำหรับช่วงเวลาในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคร่วมฝ่ายค้านเราอยากจะได้กรอบเวลาดังเช่นการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในทุกครั้งที่ผ่านมาคือไม่น้อยกว่า 3 วัน

โดยภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นเรามีหลักฐานมากพอที่จะส่งเพื่อเอาผิดรัฐบาล โดยรัฐบาลก็ต้องคิดว่าท่านจะรับฟังการอภิปรายอย่างไร ประชาชนก็มีความเดือดร้อนกันอย่างไรในการจัดการต่างๆ และต้องฝากไปยังประชาชนที่เลือกผู้แทนราษฎรเข้ามาว่าท่านจะต้องจับตาว่า ส.ส. ที่ท่านเลือกมาเข้ามาเห็นแก่ใคร เค้าเห็นแก่พี่น้องประชาชนหรือไม่ที่กำลังล้มตายกันอยู่ขณะนี้ จึงขอวิงวอน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลให้ร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจเพราะครั้งนี้คือที่สุดแล้ว ส.ส.ที่ท่านยังมีความคิดความอ่านท่านต้องระลึกถึงประชาชนที่เลือกท่านเข้ามา เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้ายังมีอีก

ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังรับยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า กระบวนการหลังจากนี้จะนำสู่การตรวจสอบรายชื่อ ส.ส. ผู้ที่ลงรายชื่อในญัตติว่ามีความครบถ้วน และมีรายชื่อซ้ำหรือไม่ ขณะเดียวกันเนื้อหาในญัตติขอเปิดอภิปรายไม่วางใจจะต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณา 7 วันหลังจากนี้จากนั้นจะดำเนินการเพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน

ขณะเดียวกันการขอเปิดอภิปรายไม่วางใจในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ไม่เหมือนการเปิดอภิปรายเมื่อ 2 ครั้งที่ผ่านมาที่เป็นการยื่นขอเปิดอภิปรายในช่วงสมัยประชุมที่ 2 ของปี แต่ครั้งนี้เป็นการขอเปิดอภิปรายในสมัยประชุมแรกของปี ดังนั้นหลังจากนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านยังสามารถที่จะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติได้อีกครั้งหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ขณะเดียวกันในช่วงการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้ฟังไจรัฐบาลจะยุบสภาในช่วงนี้ไม่ได้

โดยคาดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายคนนั้นจะมีขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน 2564

“ราเมศ” ย้ำ ไม่กังวล ฝ่ายค้าน ยื่นอภิปราย “เฉลิมชัย” พร้อมชี้แจง มั่นใจ สุจริต ทำตามกฎหมาย สร้างประโยชน์แก่เกษตรกร

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลของฝ่ายค้าน โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีด้วย ว่า

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ไม่ได้มีความกังวลใจใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมชี้แจงในสภาทุกประเด็น การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องปกติในระบบรัฐสภาภายใต้ระบอบประชาธิปไตย การตรวจสอบฝ่ายบริหารจากฝ่ายค้านถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็มีหน้าที่ชี้แจง เป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมือง ไม่มีอะไรน่ากังวล 

ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน ตรวจดูแล้วเป็นการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงตรงข้ามกับความเป็นจริง การกล่าวหาว่าไร้ภูมิปัญญาและไร้ความสามารถในการบริหารงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อกล่าวหานี้ขัดแย้งกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ที่มีคำตอบชัดเจนคือความสามารถในการทำงานให้เกษตรกรได้ประโยชน์ เป็นรัฐมนตรีที่แก้ปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรอย่างเป็นระบบและยั่งยืนที่สุด ไม่ได้ล้มเหลวดังที่ฝ่ายค้านกล่าวหา ที่สำคัญไม่มีเรื่องทุจริตใดๆทั้งสิ้น ยึดความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้ง ปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ 

“คนชื่อเฉลิมชัย ศรีอ่อน ไม่เคยเข้าไปมีส่วนได้เสีย ไม่เคยเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการใดๆทั้งสิ้น ไม่เคยเบียดบังทรัพยากรและสมบัติของแผ่นดิน ส่วนเรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ ไม่เคยปล่อยปละละเลย ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ รวมถึงการชดเชยเยียวยาพี่น้องเกษตรกร ที่ทั่วทั้งประเทศทราบถึงการทำงานของนายเฉลิมชัยดีว่า พี่น้องเกษตรกรได้ประโยชน์มากมาย รายละเอียดจะไปชี้แจงต่อสภาทุกประเด็นหมัดต่อหมัด”  

เพียงแต่ฝ่ายค้านจะต้องนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง ไม่อยากให้มีการนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องมาเชื่อมโยงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด เพราะจะเข้าตัวฝ่ายค้านได้ การอภิปรายโดยยึดหลักการข้อบังคับอย่างตรงไปตรงมา ก็จะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเชิงสร้างสรรค์

นายราเมศ ย้ำว่า พร้อมชี้แจงในทุกประเด็น ชัดเจน ตรงไปตรงมา ที่อยากจะย้ำคือเมื่อการทำหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรียึดหลักความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นที่ตั้ง ก็จะเป็นเกราะคุ้มกัน และเป็นคำตอบได้ดีที่สุด ไม่ได้โกงก็ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลหรือกลัว และจะใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ถึงการทำงานที่เกิดผลสำเร็จนับไม่ถ้วนในทุกเรื่อง ประชาชนได้ประโยชน์อย่างมากมาย และจะนำความจริงที่เป็นผลงานไปพูดในสภาฯ สื่อให้ประชาชนเข้าใจ

นายราเมศ กล่าวด้วยว่า  โดยหลักการของพรรคก็จะได้ตั้งทีมสนับสนุนข้อมูลให้กับรัฐมนตรีของพรรค ทั้งในสภาและนอกสภา ส่วนตนจะเป็นหัวหน้าทีมในการสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน หากฝ่ายค้านบิดเบือนข้อมูล และพรุ่งนี้ในที่ประชุม ส.ส.จะได้มีการหยิบยกเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจมาพูดคุยกันต่อไป

‘ธนกร’ ซัด ‘จาตุรนต์’ เปิดตาดูเจ้าหน้าที่ถูกทำร้าย ย้อน เหตุรุนแรงจงใจทำให้เกิดโดยจนท.รัฐ ลั่นรัฐใช้กม.เป็นธรรม ชี้ คนทำร้ายจนท.-ทำลายทรัพย์สินราชการ-บิดเบือนข้อมูล ทำแตกแยกต้องได้รับโทษ

เมื่อวันที่16 ส.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.ศึกษาธิการ เตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมว่า เลิกคิดรักษาอำนาจด้วยการอ้างความวุ่นวายที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก่อ และหยุดใช้ความรุนแรงต่อประชาชนว่า นายจาตุรนต์ ไปอยู่ที่ไหนมา หรือว่าพยายามจะปิดหูปิดตา ถึงไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไปกี่นายแล้ว และถ้าหากนายจาตุรนต์คิดว่าเจ้าหน้าที่ก่อเหตุทำร้ายตัวเองนั้น ความคิดเช่นนี้ยุติธรรมดีแล้วหรือ กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องออกมารักษาความสงบของบ้านเมือง ทั้งที่ช่วงนี้กำลังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ก็ต้องมาทำหน้าที่เพราะฝีมือของคนบางกลุ่ม

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายจาตุรนต์ระบุว่า ประเทศกำลังจมดิ่งสู่ห้วงแห่งหายนะ ประชาชนเดือดร้อนกันทั่วไปหมด เพราะความล้มเหลวในการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ จะอาศัยตรรกะเหตุผลว่า จำเป็นต้องบริหารประเทศต่อไปเพื่อไม่ให้บ้านเมืองวุ่นวาย คงจะไม่มีใครเชื่อฟังอีกต่อไปแล้วนั้น นายจาตุรนต์นอกจากจะต้องเปิดใจให้กว้างแล้ว ยังต้องเปิดหูเปิดตาให้กว้างตามไปด้วย ที่ประเทศและประชาชนเดือดร้อนกันไปทั่วไม่ใช่เพราะการบริหารประเทศ แต่เป็นเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลและบุคลากรทางการแพทย์ต่างระดมสรรพกำลังช่วยกันแก้ปัญหาจนสำเร็จและได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมาแล้ว และสถานการณ์แบบนี้ก็เป็นไปทั่วโลก

ทุกประเทศประกาศมาตรการงดออกจากบ้านเพื่อหยุดเชื้อ ประชาชนต่างให้ความร่วมมืออย่างดี รวมถึงพี่น้องคนไทยด้วย จะมีก็เพียงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่สนความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงจัดกิจกรรมรวมกลุ่มอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนว่าบุคลากรทางการแพทย์จะต้องเหนื่อยยากลำบากเพิ่มมากขึ้นอีกขนาดไหนเท่านั้น

“การบอกว่าความรุนแรงวุ่นวายส่วนใหญ่เกิดจากการจงใจทำให้เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่รัฐเองนั้น ไม่อยากคิดว่าคนที่เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีจะคิดแบบนี้ได้ หรือว่าคิดจากมาตรฐานของตัวเองในสมัยที่เป็นรัฐบาลใช่หรือไม่ ยืนยันว่าท่านนายกฯ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามขั้นตอนสากลทุกอย่าง ส่วนการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมนั้นนายจาตุรนต์ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะคนที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ทำลายทรัพย์สินราชการ พยายามบิดเบือนข้อมูลต่าง ๆ เพื่อสร้างความแตกแยกต้องได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน” นายธนกร กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ศรีสุวรรณ ยื่น ป.ป.ช. สอบ เจ้ากรมการแพทย์ทหารอากาศ-ผอ.รพ.ภูมิพล-จนท. พิรุธ วัคซีนเข็ม 3

ที่สำนักงาน ป.ป.ช. สนามบินน้ำ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องป.ป.ช.ขอให้ไต่สวนและวินิจฉัย กรณีมีพยาบาลด่านหน้ารายหนึ่งของ รพ.ภูมิพล ได้โพสต์ระบายว่าชื่อตกหล่น ไม่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็ม 3 ได้ พร้อมกับปรากฎบัญชีรายชื่อบุคคลต่างๆที่มีรายชื่อซ้ำซ้อนกันเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าโฆษก ทอ.ออกมาแถลงว่าเจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ ยืนยันว่าไม่มีการสวมสิทธิ์หรือ แย่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 ของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช แต่อย่างใด เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนนั้น

จากการตรวจสอบพบว่า รายชื่อดังกล่าวมีความผิดปกติ คือ มีรายชื่อซ้ำ เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ และใช้สัญลักษณ์ตัวเลขเป็นชื่อบุคคลมากถึง 172 รายชื่อ แทนที่จะเรียงลำดับความสำคัญ ไปเรียงลำดับตามตัวอักษรทำให้บุคลากรด้านหน้าไม่ได้รับการพิจารณาให้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 เป็นการเร่งด่วนได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติวิสัยที่หน่วยงานที่มีทหารเป็นผู้บริหาร มักจะมีความเคร่งครัดในระเบียบในการจัดทำเอกสารต่างๆอย่างเคร่งครัด แต่ในกรณีนี้กลับปรากฏความผิดพลาดอย่างมาก อันชี้ให้เห็นเป็นข้อพิรุธ สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่บุคลากรด่านหน้าต้องออกมาระบายความในใจผ่านโซเชียลมีเดีย

กรณีดังกล่าว มีข่าวว่า มีการเร่งสอบสวนคนปล่อยรายชื่อหลุด และมีการเรียกผู้ที่โพสต์ระบายดังกล่าวไปพบเจ้ากรมการแพทย์ฯ ซึ่งอาจจะถูกเตือนหรือภาคทัณฑ์ หรือใด ๆ ทั้งๆที่ควรตรวจสอบว่าใครทำให้มีชื่อซ้ำซ้อน ด่านหน้าคนไหนชื่อตกหล่นและยังไม่ได้วัคซีน อันควรต้องเร่งจัดหามาให้เป็นการเร่งด่วน ซึ่ง ผบ.ทอ.ควรจะต้องตั้งกรรมการสอบเจ้ากรมการแพทย์ฯและผอ.รพ.ภูมิพล มากกว่าว่าปล่อยให้บุคลากรด่านหน้าของตนไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 อย่างรวดเร็วได้อย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก็มีบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลแห่งนี้ต้องเสียชีวิตไป อย่างไม่ควรจะเกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังมีข้อพิรุธของการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ของโรงพยาบาลแห่งนี้หลายอย่าง ทั้งที่ได้รับการจัดสรรมากว่า 1,860 โดส ซึ่งมากกว่าจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่มีอยู่ แต่ก็ยังมีบุคลากรด่านหน้าที่เป็นแพทย์ และพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยตรงประมาณ 100-200 คน ไม่ได้รับการจัดสรรวัคซีนในครั้งนี้ แต่กลับมีการแถลงข่าวว่าจะขอรับการสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้าอีก 400 โดส จึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากยิ่งขึ้น ที่มิอาจปล่อยผ่านไปได้

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความดังกล่าวมาร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ในวันนี้ เพื่อขอให้ไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่เจ้ากรมการแพทย์ทหารอากาศ ผอ.รพ.ภูมิพล และเจ้าหน้าที่อื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระชากหน้ากากวีวีไอพี ออกมาให้ประชาชนได้รับรู้

“สงคราม”อัด“บิ๊กตู่”บริหารแบบโง่ๆไม่มีทางแก้วิกฤตได้ ชี้ ไร้ปัญญาแก้โควิดทำประชาชนติดเชื้อใกล้แตะหลักล้านเสียชีวิตหลักหมื่น

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้อำนาจทุกอย่าง ใช้กฎหมายทุกมาตราอย่างเข้มข้น โดยหวังจะการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19  แต่สุดท้ายไร้ผล เพราะยิ่งแก้ยิ่งเพิ่มจนล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศไทยใกล้แตะ 1 ล้านคนแล้วในขณะที่ผู้เสียชีวิตเกิน 7 พันคน 

ชัดเจนว่ารัฐบาลประกาศมาตรการล็อกดาวน์ที่แบบโง่ๆ เพราะแม้ประชาชนอยู่บ้าน ก็ไม่สามารถหยุดเชื้อได้ ในทางกลับกัน บ้านหรือชุมชนหลายแห่งกลับเป็นแหล่งระบาดที่สำคัญที่สุด เพราะหลายชุมชนพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการรักษา ประชาชนยังคงติดเชื้อจนเสียชีวิตคาที่พักอีกหลาย 10 คนต่อวัน   ดังนั้นรัฐบาลควรที่จะหามาตรการในการรักษาเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่าการขังเชื้อในชุมชน

นายสงครามกล่าวด้วยว่า รัฐบาลควรเร่งมาตรการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์บางอย่างได้บ้าง ก่อนที่เศรษฐกิจจะเสียหายมากไปกว่านี้ เพราะจากมาตรการล็อคดาวน์ที่ออกมาส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าปลีกทั่วประเทศ  ได้รับผลกระทบทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2.7 แสนล้านบาท กว่า 100,000 ร้านค้า เตรียมปิดกิจการ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานกว่าล้านคน

“แทนที่รัฐบาลจะเร่งฉีดวัคซีน กลับทำงานช้ารวมทั้งมีขั้นตอนมากมายกว่าที่ประชาชนจะได้รับวัคซีน จนถึงวันนี้พบว่า มีจำนวนประชาชนได้รับวัคซีนเพียง 23,476,869 ราย จากประชากรทั้งประเทศ ทั้งๆที่รัฐบาลบอกว่าประเทศไทยมีวัคซีนพร้อมฉีดให้ประชาชน แต่กลับไร้ความสามารถที่จะเร่งกระจายวัคซีน วิธีเดียวที่จะลดจำนวนผู้ป่วยหนักเข้านอนในรพ.และลดจำนวนคนเสียชีวิต คือการฉีดวัคซีน และต้องเร่งฉีดให้เร็วที่สุด ไม่ใช่รอถึงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ถึงเวลานั้นจำนวนผู้ติดเชื้อคงเกินล้านคนและเสียชีวิตเกิน 10,000 คนแน่ ยิ่งพลเอกประยุทธ์ยังคงใช้วิธีการบริหารแบบโง่ๆไม่มีทางแก้โควิดได้อย่างแน่นอน”นายสงครามกล่าว

สศช.หั่นจีดีพีปีนี้ลงเหลือ 1% ประเมินครึ่งปีหลักเจอโควิดหนัก

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ขยายตัว 7.5% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 2.6% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเร่งขึ้น การบริโภคภาคเอกชน กลับมาขยายตัว ขณะที่ด้านการผลิต สาขาการผลิตอุตสาหกรรมและสาขาเกษตรกรรมขยายตัวเร่งขึ้น สาขาที่พักแรมและ บริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ และ สาขาไฟฟ้าและก๊าซฯ กลับมาขยายตัว โดยการขยายตัวไตรมาสที่ 2 นี้ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัว 2%

ทั้งนี้ในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งปี สศช. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 1.5 – 2.5% ลดลงเหลือ 0.7 – 1.2% หรือขยายตัวได้ 1% โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องควบคุมการระบาดให้ได้ในไตรมาสที่ 3 เพื่อทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้อีกครั้งในไตรมาสที่ 4 

ส่วนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ พบว่า มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.9% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 2.0% ในไตรมาสก่อนหน้า และ 2.0% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4% ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2564 อยู่ที่ 2.47 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2564 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,825,097 ล้านบาท คิดเป็น 56.1% ของจีดีพี

อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ๆ คือ 1) การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง 2) ข้อจำกัดด้านฐานะการเงินของภาคครัวเรือนและธุรกิจ ท่ามกลางการว่างงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูงและได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการระบาดระลอกใหม่ 3) ภาคการส่งออก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดในพื้นที่การผลิต รวมทั้ง ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่การผลิตและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ และ 4) ความเสี่ยงจากความผันผวนของ เศรษฐกิจและการเงินโลก

กลุ่มทะลุฟ้านัดชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 15.00 น. พร้อมประกาศเดินไปบ้านประยุทธ์ ใช้เส้นทางถนนพหลโยธิน เข้าซอยพหลโยธิน 2 ทะลุวิภาวดี

กลุ่มทะลุฟ้า ได้ประกาศนัดชุมนุมในวันที่ 16 ส.ค. 64 ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งเกาะพญาไท ในเวลา 15.00 น. และจะทำกิจกรรมเดินคล้องแขนไปบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กรมทหารราบที่ 1

กลุ่มทะลุฟ้าได้ประกาศเส้นทางการเคลื่อนขบวนโดยใช้ ถนนพหลโยธิน จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าซอยพหลโยธิน 2 และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ถนนวิภาวดีไปยังหน้ากรมทหารราบที่ 1 โดยยืนยันว่าแนวทางของกลุ่มไม่เน้นการปะทะกับเจ้าหน้าที่

กลุ่มทะลุฟ้าอ้างว่า "เปลี่ยนเส้นทางเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงได้ขอเจรจากับทีมทะลุฟ้าไว้ว่าถ้าหากไปทางไปเส้นทางนี้ ตำรวจจะให้เราผ่านไปถึงหน้าบ้านประยุทธ์"


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ตอลิบาน' ประกาศชัยชนะ ยุติสงคราม ร้องขอสานสัมพันธ์สันติภาพกับประชาคมโลก

โฆษกสำนักงานการเมืองของตอลิบานในวันอาทิตย์ (15 ส.ค.) ประกาศว่า สงครามในอัฟกานิสถานจบลงแล้ว และเรียกร้องขอมีความสัมพันธ์สันติภาพกับประชาคมนานาชาติ หลังสามารถบุกเข้าไปยังกรุงคาบูล จนประธานาธิบดีอัชราฟ กานี ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ

โมฮัมหมัด นาอีม โฆษกของตอลิบาน ให้สัมภาษณกับสถานีโทรทัศน์อัลจาซีเราะห์ ระบุว่าตอลิบานไม่ต้องการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ขณะที่รูปแบบการปกครองและการจัดตั้งรัฐบาลจะมีความชัดเจนเร็ว ๆ นี้

นาอีม ยืนยันว่า ทางกลุ่มเคารพสิทธิของผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย และสิทธิการแสดงออกภายใต้กฎหมายชารีอะฮ์ พร้อมบอกว่า ตอลิบานต้องการมีความสัมพันธ์สันติภาพและกระตือรือร้นที่จะพัฒนาช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ กับต่างประเทศ จากช่องทางเดิมที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน

"เราเรียกร้องทุกประเทศและองค์กรต่าง ๆ นั่งคุยกับเราเพื่อคลี่คลายประเด็นต่าง ๆ" เขาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์อัลจาซีเราะห์

พวกนักรบตอลิบานบุกเข้าสู่กรุงคาบูลในวันอาทิตย์ (15 ส.ค.) และประธานาธิบดีอัชราฟ กานี เดินทางออกจากอัฟกานิสถาน อ้างต้องการหลีกเลี่ยงเหตุนองเลือด ส่งผลให้พวกนักรบอิสลามิสต์ใกล้ควบคุมประเทศแห่งนี้โดยสมบูรณ์ หลังจากถูกสหรัฐฯ ยกพลบุกโค่นอำนาจเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน

นาอีม ยืนยันว่า ไม่มีองค์กรทางการทูตใดหรือสำนักงานใดตกเป็นเป้าหมายในแนวทางของตอลิบาน และทางกลุ่มจะให้การคุ้มกันความปลอดภัยแก่พลเมืองและคณะผู้แทนทางการทูตทั้งหลาย

"การหลบหนีออกของประเทศของประธานาธิบดีกานี เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และแม้กระทั่งพวกคนที่ใกล้ชิดกับเขา ก็ไม่เคยคาดคิด" นาอีม ระบุ "เราพร้อมเจรจากับบุคคลสำคัญของอัฟกันทุกคน และรับประกันว่าจะให้การคุ้มกันที่จำเป็นแก่พวกเขา" นาอีมให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์อัลจาซีเราะห์

เขาบอกว่า ตอลิบานกำลังเห็นความพยายามและการเสียสละยาวนานกว่า 20 ปีของพวกเขาผลิดอกออกผล และจะใช้นโยบายไม่แทรกแซงกิจการของประเทศอื่น ๆ แลกกับการที่ประเทศอื่นไม่แทรกแซงกิจการภายในของอัฟกานิสถาน

"เราบรรลุเป้าหมายที่เราแสวงหา ซึ่งก็คือเสรีภาพของประเทศของเราและความเป็นอิสระของประชาชนของเรา" เขากล่าว "เราจะไม่ยอมให้ใครใช้ประเทศของเราเล็งเป้าหมายไปที่คนอื่น และเราไม่ต้องการทำร้ายคนอื่น ๆ เราคิดว่ากองกำลังต่างชาติคงจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำรอยความล้มเหลวที่พวกเขาประสบในอัฟกานิสถานอีกครั้ง"


(ที่มา : รอยเตอร์)

https://mgronline.com/around/detail/9640000080315


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รมว.สุชาติ รับมอบข้าวสารจากกลุ่มบริษัทเด็นโซ่ประเทศไทย ช่วยเหลือแรงงานสู้ภัยโควิด-19

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รับมอบข้าวสารจำนวน 2,000 ถุง ขนาดถุงละ 5 กิโลกรัม จำนวนทั้งสิ้น 10,000 กิโลกรัม จากนายอำพล หอมปลื้ม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานบริหาร กลุ่มบริษัทเด็นโซ่ประเทศไทย ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย นายสุชาติ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 

“วันนี้ กระทรวงแรงงาน ขอขอบคุณภาคเอกชน อย่างกลุ่มบริษัทเด็นโซ่ประเทศไทย ที่ร่วมแรงร่วมใจกับภาครัฐ สนับสนุนข้าวสารขนาดถุงละ 5 กิโลกรัม จำนวน 2,000 ถุง เพื่อให้กระทรวงแรงงานนำไปช่วยเหลือพี่น้องแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระและเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน” นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด

"ชวน" ยัน ถกงบ 65 แค่ 3 วัน เลิกเที่ยงคืน บอกแจ้ง ศบค. แล้ว เผย เปิดศึกซักฟอก ปลายส.ค.- ต้น ก.ย.

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 วาระที่ 2-3 ว่า ได้มีการตกลงกันว่าจะพิจารณา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-20 ส.ค. โดยจะพิจารณาจนถึงเวลา 24.00 น. ของแต่ละวัน เพื่อให้การประชุมงบประมาณเสร็จภายในเวลาที่กำหนด 3 วัน หากให้เลิกประชุมก่อน 24.00 น.ในแต่ละวัน การพิจารณางบประมาณฯ ก็จะยืดเวลาออกไป ซึ่งไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แม้การประชุมจะเลยเวลา 21.00 น. ที่เป็นช่วงเคอร์ฟิว แต่ได้ประสานขออนุญาตเรื่องการเดินทางจาก ศบค. ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 ให้ ส.ส.ที่จะมาร่วมประชุมนั้น จะไม่บังคับ ขึ้นอยู่กับความประสงค์แต่ละคน

นายชวน กล่าวต่อว่า สำหรับการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีนั้น หลังจากที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้ว สภาฯ จะใช้เวลาตรวจสอบความถูกต้องของญัตติ 7 วัน ถ้าไม่มีความผิดพลาดจะบรรจุเป็นญัตติด่วน แล้วเรียกฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และคณะรัฐมนตรี (ครม.) มาหารือกัน เพื่อกำหนดวันเวลาที่เหมาะสมร่วมกัน โดยคาดว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะอยู่ในช่วงปลายเดือนส.ค. หรือต้นเดือน ก.ย.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top