Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

“องอาจ” จี้รัฐทบทวนข้อกำหนดกระทบสิทธิเสรีภาพ สื่อฯ-ประชาชน  ชี้จำกัดดสิทธิมากเท่าไหร่ สะเทือนถึงรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เรื่องมาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่า การออกข้อกำหนดดังกล่าวย่อมมีโอกาสที่จะกระทบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพโดยทั่วไป และอาจกระทบต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชนโดยสุจริตตามสิทธิเสรีภาพที่พึงกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะหลังจากมีข้อกำหนดนี้ออกมาจะเห็นได้ว่ามีคนของภาครัฐหลายระดับได้มีการกระทำในเชิงข่มขู่คุกคามการแสดงความเห็นของประชาชนโดยสุจริตเกินกว่าที่ควรจะเป็น แม้ภายหลังคนของภาครัฐบาลจะกลับลำว่าไม่ได้ใช้ข้อกำหนดที่ออกตามความใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาข่มขู่ หรือปิดกั้นประชาชนที่แสดงออก พฤติกรรมที่แสดงออกเช่นนี้ย่อมชี้ให้เห็นว่าคนของภาครัฐจะใช้ข้อกำหนดนี้ตีความไปทางไหนก็ได้ตามอำเภอใจ

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ส่วนที่รัฐบาลอ้างว่าใช้มาตรการนี้เพื่อจัดการกับข่าวปลอม หรือ Fake news น่าจะเป็นคนละประเด็นกัน เพราะกลุ่มคนหรือคนที่ทำข่าวปลอมนั้น มีเจตนาชัดเจนที่สร้างเรื่องขึ้นมาให้ดูเสมือนจริงแต่ไม่ได้เป็นความจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดผลลบต่อกลุ่มบุคคลหรือบุคคลที่ถูกกล่าวถึง และมักจะไม่แสดงตัวตนชัดเจน ซึ่งรัฐบาลก็มีหน่วยงานและบุคลากรจัดการกับปัญหานี้อยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจากสื่อมวลชนที่ทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพและประชาชนทั่วไปที่ใช้สิทธิเสรีภาพ แสดงความคิดเห็นตามปกติที่มีตัวตนชัดเจน ตรวจสอบได้ ถ้าสื่อมวลชนและประชาชนทำอะไรที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำนั้นก็ย่อมใช้สิทธิดำเนินการตามครรลองของกฎหมายได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีข้อกำหนดออกมาบังคับใช้เพิ่มเติมจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของสื่อและการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยสุจริต

นายองอาจ กล่าวด้วยว่า เพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงขอเสนอรัฐบาลดังนี้ 1.ทบทวนข้อกำหนดที่ออกตามความใน มาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2.ในกรณีที่อยู่ระหว่างการทบทวนข้อกำหนด ขอให้ผู้รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมาย โดยพูดให้ชัดว่าเจตนาที่ออกคืออะไร จะมีการบังคับใช้แค่ไหนอย่างไร และ3.ภาครัฐไม่ควรดำเนินการใดๆที่เป็นการข่มขู่ คุกคามสื่อมวลชนที่ทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพ และประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามรัฐธรรมนูญ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้มีการใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขต จนกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน เพราะถ้ารัฐบาลหาทางจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนมากเท่าไหร่ จะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลมากเท่านั้น และจะก่อให้เกิดผลสะเทือนต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน

“เสกสกล” ซัด  “หญิงหน่อย” จวก “บิ๊กตู่”เพราะอยากนั่งเก้าอี้นายกฯแทน หรือไม่ 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ระบุว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่และเสียชีวิตสูง เป็นลำดับต้นของโลก พร้อมจี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาโควิด-19 ตามที่พรรคเสนอพิมพ์เขียวไว้ 5 ข้อ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รัฐบาลและทีมแพทย์ ทำงานไม่เคยหยุดเพื่อที่จะหามาตรการเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้ได้ ส่วนข้อเสนอของพรรคไทยสร้างไทย ทำอยู่แล้วทั้งตรวจเชิงรุก ทั้งจัดหาชุดตรวจ Antigen Test Kit - ATKแจกจ่ายประชาชนทุกคน หากใครที่ผลเป็นบวกมีอาการสีเขียว ติดต่อสายด่วนสปสช. เพื่อขอรับยา และเข้ารับการรักษาที่บ้านหรือศูนย์พักคอยชุมชน ซึ่งดำเนินการมานานแล้ว ขณะที่การบริหารจัดการวัคซีนก็ทำอย่างต่อเนื่อง และจะมีวัคซีน mRNA เข้ามาตั้งแต่ปลายปีนี้ ไปถึงต้นปีหน้า 

"คุณหญิงสุดารัตน์ เคยเป็นถึงอดีตรมว.สาธารณสุข น่าจะเข้าใจสถานการณ์ประเทศ และการทำงานของรัฐบาล แต่ทำเป็นหูหนวกตาบอด ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะหาแต่ประเด็นโจมตีคนอื่นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง และเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าวันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่สูงเป็นลำดับ 1 ของโลก แล้วมาแก้ไขข้อความว่าเป็นประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่สูงเป็นลำดับต้นของโลก จึงขอให้ติดตามข้อมูลให้ดี ให้นึกถึงประเทศชาติและประชาชน อย่าเอาข้อความเท็จมาใส่ร้ายประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ทำตัวเช่นนี้เหมาะสมกับการเป็นคุณหญิงหรือไม่”นายเสกสกล กล่าว 

นายเสกสกล กล่าวว่า ในสมองของคุณหญิงสุดารัตน์ มีอยู่สองเรื่อง คือ บีบให้นายกฯ ลาออกให้ได้ เพราะมีความหวังจะเป็นตัวเลือกแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่กับหวังให้มีการยุบสภาฯ เพราะพรรคไทยสร้างไทยเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่จะได้มีส.ส.เข้าสภาฯ ในการเลือกตั้งสมัยหน้าอย่างหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ จึงปั่นกระแสบิดเบือนด้อยค่ารัฐบาลทุกวัน หวังผลการเมืองส่วนตน ไม่สนใจลงมือช่วยกันแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน จะเป็นจะตายก็ช่าง ขอเพียงให้ตนเองได้มีอำนาจอย่างนั้นใช่หรือไม่ ขอฝากถึงประชาชนคนไทยว่า พรรคการเมืองหรือนักการเมืองคนที่จงใจบิดเบือนปั่นกระแสทำลายบ้านเมือง เล่นการเมืองบนความทุกข์ยากของประชาชนในยามวิกฤต ไม่สมควรที่จะให้มีที่ยืนบนถนนการเมือง ต้องจดจำเขียนแปะติดฝาบ้านไว้ อย่าให้ได้ผุดได้เกิดทางการเมืองอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองหรือนักการเมืองหน้าไหนก็ตาม 

ทบ.เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 กลับภูมิลำเนา 2 เที่ยวบินแรกจากกรุงเทพ-นครพนม เน้นมาตรการปลอดภัยทางการบินสูงสุด รองรับนโยบายรบ.และทบ.เพื่อกระจายการรักษาผู้ป่วย 

 พ.อ.อิทธินันท์ โชติช่วง รอง ผอ กองวิทยาการ กรมแพทย์ทหารบก  กล่าวถึงภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับภูมิลำเนาด้วยเครื่องบินลำเลียงแบบ C-295 ว่า ต้องอยู่ภายใต้มาตรการปลอดภัยสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันตัว รวมทั้งระบบภายในอากาศยาน โดยวันนี้จะทำการบิน 2 เที่ยวบิน เที่ยวบินแรกมีผู้ป่วย 20 คน และเที่ยวบินที่ 2 อีก 20 คน 

ทั้งนี้จะทำหน้าที่ดูแลภาพรวมการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยอากาศยานทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงและลำเลียงขึ้นอากาศยาน โดยจะมีแพทย์และพยาบาลด้านเวชศาสตร์การบินร่วมปฏิบัติหน้าที่บนเครื่อง สำหรับนโยบายของพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คือต้องการให้ผู้ป่วย covid-19 กลับภูมิลำเนาเพื่อทำการรักษา เพราะปัจจุบันเตียงผู้ป่วยcovid ในกรุงเทพฯมีจำกัด และการลำเลียงผู้ป่วยกลับภูมิลำเนาด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ใช่มีแค่อากาศยานแต่ยังมีการเคลื่อนย้ายทางรถยนต์ 

โดยการดูแลผู้ป่วยก่อนลำเลียงขึ้นอากาศยานจะต้องมีการคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วยที่มีความพร้อมก่อน ทั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันหลายส่วน ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพ และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อคัดกรองผู้ป่วย ทั้งหมด โดยจะมีการประสานงานร่วมกันเป็นอย่างดีตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ในการรวบรวมจำนวนผู้ป่วยที่จะส่งต่อภูมิลำเนา

สำหรับการคัดกรองผู้ป่วยนั้น เน้นผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากมีความแข็งแรงในระดับหนึ่งที่จะสามารถเคลื่อนย้ายด้วยอากาศยาน เพราะในระหว่างการบินบนอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมนุษย์จากพื้นที่ด้านล่างไปสู่พื้นที่สูง จึงต้องตรวจสอบผู้ที่จะโดยสารไปกับอากาศยาน

ทั้งนี้จะพิจารณาความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย สำหรับการเดินทางด้วยอากาศยานมีข้อดีสำหรับการเดินทางระยะไกล และทำให้ผู้ป่วยเดินทางกลับถึงภูมิลำเนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น และทำให้การเคลื่อนย้ายเกิดความปลอดภัยสูงสุด

สำหรับในส่วนของอากาศยานนั้นนักบินและเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องต้องป้องกันตนเองด้วยการสวมชุดป้องกัน ทั้งนี้ได้มีการปรับพื้นที่ภายในอากาศยานแบ่งเป็น 5 ส่วน ทั้งพื้นที่ส่วนหน้าระหว่างกลางสำหรับรักษาพยาบาล และส่วนของพื้นที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร

นอกจากนี้ยังมีการควบคุมระบบอากาศภายในเครื่อง มีการปรับความดันอากาศ และมีเครื่องกรองอากาศ ฟอกอากาศติดตั้งไว้สำหรับรองรับภารกิจนี้ เพื่อควบคุมระบบการหมุนเวียนอากาศให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด

พร้อมย้ำว่ามีหลายประเทศได้อากาศยานมาการลำเลียงผู้ป่วย covid-19 ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย และใช้มาตรการเดียวกันคือการป้องกันภายในเครื่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานภายในเครื่อง โดยมีผลงานวิจัยรองรับ  

ทั้งนี้ในอนาคตการขนส่งผู้ป่วยวิกฤตทางอากาศก็มีโอกาสที่จะใช้รูปแบบนี้ เพื่อลำเลียงผู้ป่วยเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ป่วยโควิค-19 ทั้ง 2 เที่ยวบินจำนวน 40 คน จะเดินทางไปยังสนามบินจังหวัดนครพนม ซึ่งไม่มีเส้นทางรถไฟผ่าน จากนั้นจะกระจายไปยังสถานที่รักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 ต่อไป โดยใช้ระยะเวลาบิน 1 ชั่วโมงครึ่ง

หาทางคุมเข้มโรงงานขั้นสูงสุดสกัดเชื้อโควิด

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า คณะทำงานของ ส.อ.ท. เตรียมหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ผ่านระบบออนไลน์ ในวันนี้ (29 ก.ค.) เพื่อร่วมกันหาทางป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งมีตัวเลขการติดเชื้อเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เพื่อหาทางป้องกัน  ไม่เช่นนั้นจะกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งกระทบการแพร่ระบาดในชุมชน หากต้องปิดโรงงาน จะกระทบต่อกระบวนการผลิตสินค้า ซึ่งจะกระทบทั้งสินค้าในภาคการส่งออก และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใช้ในประเทศ

ทั้งนี้ ภาคเอกชนได้เร่งผลักดันให้ทุกโรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรม ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข ประเมินตนเอง และโรงงาน ผ่านไทย สต็อป เซอร์วิส พลัส และไทย เซพ ไทย รวมทั้งล่าสุดได้ยกระดับให้เข้มข้นขึ้นให้โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทุกแห่ง ดำเนินการมาตรการ bubble and seal ซึ่งเป็นการควบคุมคนในโรงงาน ให้มีกิจกรรมปะปนกันเอง และกับคนนอกโรงงานให้น้อยที่สุด  เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดการติดเชื้อ 

เช่นเดียวกับการแจ้งให้โรงงานขนาดใหญ่ เตรียมพร้อมแผนรับมือหากมีการติดเชื้อในโรงงานจำนวนมาก โดยให้จัดโรงพยาบาลสนาม และพื้นที่พักคอยสำหรับผู้ติดเชื้อ จัดเตรียมสถานที่พักในโรงงานหรือในชุมชน เป็นที่พักสำหรับผู้สัมผัสผู้ป่วย แต่ยังตรวจไม่พบเชื้อหรือยังไม่มีอาการ 

รวมทั้งจัดเตรียมระบบเดินทางรับ-ส่ง คนงาน จากที่พักถึงโรงงานหรือสถานประกอบการ ป้องกันการแวะระหว่างทาง จัดหาร้านจำหน่ายอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค ราคาย่อมเยา ในบริเวณโรงงานหรือที่พักลดการสัมผัสระหว่างคนงานและคนในชุมชน และให้จัดหาสถานพยาบาลที่พร้อมให้บริการตรวจหาเชื้ออีกด้วย

หมอมนูญ แนะ การใส่หน้ากากอนามัยในบ้าน ป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตายกครัวเรือน

ในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนจะรับคนไข้เข้านอนในโรงพยาบาล ทุกคนไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม จะได้รับการตรวจว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ และตรวจซ้ำภายใน 72 ชั่วโมงหลังเข้านอนในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในโรงพยาบาล

มีการศึกษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองบอสตัน ระหว่างเดือนกันยายน 2020 - เมษายน 2021 โรงพยาบาลนี้มีเตียงทั้งหมด 803 เตียง 28% เป็นห้องคู่ มีคนไข้เข้านอนในห้องคู่ทั้งหมด 11,290 คน คนที่เข้านอนในห้องคู่ต้องไม่มีอาการของโรคโควิด ในจำนวนนี้ 25 คน ตรวจวันแรกให้ผลลบ ตรวจซ้ำใน 3 วัน ให้ผลบวก หมายความว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากนอกโรงพยาบาล

มีคนไข้ที่นอนในห้องคู่กับผู้ติดเชื้อ

ทั้งหมด 31 คน อายุเฉลี่ย 64 ปี ปรากฏว่า 12 จาก 31 คน ติดเชื้อจากคนไข้ที่นอนในห้องเดียวกัน คิดเป็น 39% ส่วนใหญ่ติดเชื้อภายใน 5 วัน

ความเสี่ยงในการติดเชื้อสัมพันธ์กับปริมาณเชื้อไวรัสโควิด-19 (cycle threshold value < 21) ของคนแพร่เชื้อ เชื้อยิ่งมาก โอกาสแพร่เชื้อยิ่งมาก เวลานอนในห้องเดียวกันทั้งคนแพร่เชื้อและคนรับเชื้อไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย เตียงห่างกันประมาณ 2 เมตร มีผ้าม่านกั้นระหว่างเตียงตลอดเวลา คนที่รับเชื้อไม่ได้สัมผัสตัว ไม่ได้พูดคุย หรือใกล้ชิดกับคนที่แพร่เชื้อ แต่ใช้ห้องน้ำเดียวกัน มีการทำความสะอาดพื้นผิวพื้นที่ในห้องผู้ป่วยทุกวัน การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า เชื้อโควิดแพร่กระจายทางอากาศ โดยเชื้อโรคออกมากับลมหายใจของคนแพร่เชื้อ แล้วคนรับเชื้อ หายใจเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศ ไม่ได้เกิดจากหายใจหยดละอองขนาดใหญ่จากการอยู่ใกล้ชิดในระยะ 1-2 เมตร หรือติดทางการสัมผัสกับคนที่แพร่เชื้อ

ช่วงที่ทำการศึกษายังไม่มีการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ถ้าเป็นสายพันธุ์เดลตา เปอร์เซ็นต์ของคนติดเชื้อคงมากกว่า 39% แน่นอน

เชื้อสายพันธุ์เดลตาติดต่อกันได้ง่ายมาก เนื่องจากปริมาณเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาในทางเดินหายใจมากกว่าสายพันธุ์เดิม 1,000 เท่า

การป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิดทำได้ยาก ขนาดโรงพยาบาลนี้ มีการคัดกรองก่อนจะอนุญาตให้เข้านอนในห้องคู่ วันแรกต้องไม่มีอาการ และตรวจแยงจมูกโควิดต้องมีผลลบ ยังพบว่าหลังจากนั้น 3 วัน ตรวจโควิดซ้ำเปลี่ยนเป็นบวก ทำให้คนที่นอนห้องเดียวกันร้อยละ 39 ติดเชื้อแม้จะเว้นระยะห่าง ไม่กินอาหารร่วมกัน ไม่อยู่ใกล้ชิดกัน เพียงแต่นอนในห้องเดียวกัน หายใจอากาศในห้องเดียวกัน โดยไม่ใส่หน้ากากอนามัย

การระบาดในประเทศไทยรอบนี้ติดกันในบ้านครัวเรือนเดียวกันมากที่สุด ทำให้การล็อกดาวน์ได้ผลน้อย การป้องกันการติดเชื้อในบ้านเดียวกันเป็นเรื่องยากมาก ๆ สมาชิกในบ้านสามารถติดเชื้อนอกบ้านและนำเชื้อเข้าบ้านถึงแมัไม่มีอาการ ยิ่งเป็นเชื้อสายพันธุ์เดลตาติดเกือบยกครัวเรือน ถึงเวลาแล้วที่คนในบ้านคงต้องใส่หน้ากากอนามัยเหมือนเวลาออกนอกบ้าน เริ่มจากคนที่ออกนอกบ้านทุกวัน เช่นคนที่ต้องออกไปทำงานข้างนอก คนที่ไปจับจ่ายซื้อของ ซื้ออาหาร ไปทำธุระธนาคาร ไปรษณีย์ ควรล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล ก่อนและทันทีที่เข้าบ้าน ควรใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาระหว่างอยู่ในบ้าน เผื่อเป็นโรคโควิดจะได้ไม่แพร่เชื้อให้คนในบ้านที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย


ที่มา : https://www.facebook.com/604030819763686/posts/1998601896973231/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“หน.ศปม.” สั่งเข้ม บังคับใช้บทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เข้มจุดตรวจ จุดสกัด รอยต่อข้ามจังหวัด กวดขัน/คัดกรองเข้มขึ้น พร้อมสร้างความเข้าใจปชช.ชลอเดินทางข้ามจังหวัด 

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.ต. ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่าตามที่ได้มีการยกระดับมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมของบุคคลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 13 จังหวัด ตามมติของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ครั้งที่ 9/2564 นั้น

 พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส/หน.ศปม.) ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคง เริ่มดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด และชุดสายตรวจในการลาดตระเวนเพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติ การเดินทางข้ามพื้นที่อย่างเข้มงวดในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้ง 50 เขต จำนวน 88 จุด ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีผู้ฝ่าฝืนจากมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดฯ ของบุคคลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 13 จังหวัด ให้บังคับใช้บทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 

โดยเมื่อเวลา 14.30 น. ผบ.ทสส/หน.ศปม.ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดตรวจเข้มแข็ง รอยต่อพื้นที่สีแดงเข้ม จำนวน 2 จุด ได้แก่ จุดตรวจรอยต่อข้ามจังหวัดปทุมธานี บริเวณหน้าโรงพยาบาลธัญบุรี ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี และ จุดตรวจรอยต่อข้ามจังหวัดสระบุรี บริเวณใต้ทางต่างระดับหินกอง อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อติดตามการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมรับทราบปัญหาข้อขัดข้องจากการปฏิบัติงานของฝ่ายความมั่นคง 

โดย ผบ.ทสส/หน.ศปม. ให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มข้นในการกวดขัน/คัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัดของประชาชน พร้อมทั้งขอให้สร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือประชาชนในการชะลอการเดินทางเข้าออกจังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดโดยไม่มีเหตุจำเป็น โดยให้อยู่ภายใต้มาตรการการควบคุมโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด 

โอกาสนี้ ผบ.ทสส./หน.ศปม. ได้กล่าวชื่นชม ให้กำลังใจพร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ได้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ อย่างเต็มกำลังความสามารถ และกำชับให้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลสุขภาวะส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ทุกนายในขณะปฏิบัติหน้าที่ด้วย

“กองทัพไทย ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนในการปฏิบัติตนตามที่ภาครัฐกำหนดโดยเคร่งครัด งดการออกนอกเคหสถานโดยไม่มีความจำเป็นในช่วงเวลาที่กำหนด หลีกเลี่ยงหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from home) อย่างเต็มรูปแบบ ร่วมกันอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค โดยกองทัพไทยพร้อมเคียงข้างพี่น้องประชาชนและจะปฏิบัติภารกิจเพื่อดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถเพื่อก้าวผ่านวิกฤตโควิด 19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน”รองโฆษกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าว 

“ธนกร”ซัด“รังสิมันต์”เอาแต่เล่นการเมืองบนความทุกข์ของประชาชนระวังถูกลงทัณฑ์เอง เตือนอย่าเกาะกระแสด้วยความเป็นความตายของคน

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวตอบโต้นายรังสิมันต์ โรม ที่ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ด้อยค่าถึงการบริหารสถานการณ์โควิด-19ของรัฐบาลผิดพลาดจนมีคนตายทุกวันว่า ขอยืนยันว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่ได้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดหรือบริหารสถานการณ์ล้มเหลว  แต่สถานการณ์โควิด-19ที่เกิดขึ้นขณะนี้รุนแรงขนาดไหน นายรังสิมันต์ น่าจะรู้ดี ที่สำคัญมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วหลังจากเชื้อกลายพันธุ์ ดังนั้นไม่ว่าใครเข้ามาบริหารประเทศในช่วงนี้ ก็ต้องถือว่าเจอศึกหนักทั้งนั้น อย่าลืมว่าในช่วงแรกเราสามารถควบคุมกับโควิดได้ดีจนทางWHO ยังชื่นชม แต่ขณะนี้ทุกคนทั่วโลกก็รู้ดีว่าเชื้อโควิดกลายพันธุ์จนประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ไม่สามารถป้องกันได้เต็มร้อยและการแพร่ระบาดก็รวดเร็ว
      
นายธนกร กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19ในขณะนี้ ทุกคนรู้ว่ารุนแรงขนาดไหน และหากนายรังสิมันต์ จะมองว่ารัฐบาลบริหารผิดพลาด หลายประเทศทั่วโลกก็คงจะผิดพลาดหนักกว่าประเทศไทยอีก ลองหันไปดูตัวเลขในต่างประเทศบ้างว่าเขาติดเชื้อเท่าไหร่ เสียชีวิตเท่าไหร่ ไม่ใช่สักแต่ว่ามีปากก็ฟาดทางโน้นที ทางนี้ที หรือคิดว่าเป็นส.ส.เลยต้องออกแอคชั่นให้ประชาชนได้เห็นบ้าง ทั้งที่จริงแล้วมีหลายวิธีที่จะทำให้ประชาชนเห็นฝีมือหรือฝีปากตัวเอง และช่วงนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนประชาชน แม้ว่าจะเป็นสมัยแรก แต่ก็สามารถทำได้ด้วยการออกมาช่วยเหลือประชาชน ช่วยสอดส่องดูแลว่าจุดไหน มีปัญหาอย่างไร ทั้งเรื่องจุดฉีดวัคซีน หรือจุดตรวจหาเชื้อ หรือแม้แต่การดูแลผู้ป่วยทั้งเรื่องอาหารการกิน ยารักษาโรคหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น นายรังสิมันต์ ก็สามารถช่วยดูแลได้ แต่ที่ผ่านมาตนยังไม่เคยเห็นนายรังสิมันต์ หรือพวกพ้องที่จะมีน้ำจิตน้ำใจ แม้แต่การนำข้าวปลาอาหารไปช่วยเหลือประชาชนหรือบุคคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าเลย ก็มีแต่นายรังสิมันต์ และสมาชิกพรรคก้าวไกล ที่รีบไปฉีดวัคซีนก่อนใครเพื่อน จนมีความสบายใจและพากันออกมาด้อยค่าวัคซีนที่ตัวเองรีบฉีดก่อนว่าไม่ได้เรื่อง มาด่านายกฯและรัฐบาลป่าวๆว่าไม่รีบหาวัคซีนที่ดีมาฉีดให้ประชาชน แบบนี้ไม่เรียกว่าเห็นแก่ตัวแล้วจะให้เรียกว่าอะไร
      
“การแสดงความคิดเห็นของนายรังสิมันต์  ทำให้เห็นสมองส่วนหลังและความคิดที่ไม่เคยเปลี่ยน เกาะกระแส ช่วงชิงโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังเพลี่ยงพล้ำ ก็รีบออกมาซ้ำเติม หรือแม้แต่การหนุนกลุ่มผู้ชุมนุมที่ออกมาต่อต้าน ด่าทอรัฐบาล นายรังสิมันต์ก็ได้แค่เกาะกระแส ไม่เคยเป็นผู้นำได้เพราะใจไม่ถึงพอ หลบอยู่แต่หลังกลุ่มผู้ชุมนุมเหมือนกับหลายๆคนในพรรคก้าวไกลที่ดูเหมือนจะเป็นลักษณะเดียวกันหมด  แต่อยากขอว่าเรื่องของโควิด-19 มันเป็นเรื่องของชีวิตคน เป็นความเดือดร้อนของประชาชน อย่าเอามาเล่นการเมือง ไม่เช่นนั้นนายรังสิมันต์เองนั่นแหล่ะที่จะถูกประชาชนลงทัณฑ์ ไม่ใช่รัฐบาล”นายธนกร กล่าว

“แรมโบ้” จวก “ปิยบุตร” หยุดเล่นการเมืองบนความทุกข์ประชาชน ยัน “บิ๊กตู่” aไม่หลงกลมุขเก่า ที่ต้องการให้นายกฯลาออก

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวตอบโต้นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ว่า คนที่ไม่เคยมีโอกาสได้แสดงฝีมือในการเข้ามาทำงานเพื่อประชาชนในฐานะรัฐบาล ทั้งๆ ที่อยากจนตัวสั่นอย่างนายปิยบุตร และพรรคพวกนั้น คงไม่รู้และไม่เข้าใจถึงความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนที่แสนสาหัสของประชาชนในช่วงวิกฤตโควิดขณะนี้  เพราะขณะที่คนไทยทุกคนกำลังเผชิญกับวิกฤตโควิด แต่ตัวนายปิยบุตรเอง กลับหลีกหนีความรุนแรงของเชื้อโควิดในประเทศไทย ไปเริงร่าอยู่ฝรั่งเศส โดยอ้างว่าไปหาภรรยา แต่กลับใช้โอกาสที่ประชาชนคนไทยกำลังเผชิญกับภัยจากเชื้อโควิดนี้ กลับมาด่าทอรัฐบาลว่าล้มเหลวบ้าง ต้องลาออกบ้าง เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาโควิดได้

“แล้วยังใช้ความเป็นผู้รู้กฎหมายของตัวเองมาแนะนำถึงหนทางที่จะมีนายกฯใหม่ หากพล.อ.ประยุทธ์ ลาออกด้วย ขอบอกเลยว่าความตั้งใจของนายปิยบุตร คงจะเป็นหมัน เพราะชายชาติทหารอย่างนายกฯรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยิ่งชีพ ไม่มีทางที่จะทิ้งปัญหาที่หนักหน่วงของประเทศในขณะนี้ ลาออกไปตามคำเพ้อฝันของนายปิยบุตรแน่นอน ไม่มีทางทิ้งปัญหา ทิ้งภาระให้กับประเทศเหมือนนายกฯในอดีตแน่ และหากจะพูดถึงความเชื่อมั่น ก็ต้องดูว่านายปิยบุตรไปฟังจากประชาชนกลุ่มไหน แต่ละแนวทางที่นายปิยบุตรเสนอมา ก็เพื่อให้เข้าทางพรรคพวกตัวเองทั้งนั้น  การที่บอกว่าให้นายกฯคนใหม่เข้ามาบริหารเฉพาะกิจในช่วงเวลาสั้นๆ ให้สถานการณ์เข้าที่เข้าทางนั้น คิดว่าไม่ว่าใครหากเข้ามาตอนนี้จะเฉพาะกิจหรือไม่เฉพาะกิจก็ตาม มันก็สามารถประคับประคองสถานการณ์ไปได้อยู่แล้ว เพราะตอนนี้สถานการณ์ก็ค่อนข้างจะทรงตัวแล้ว อันเนื่องมาจากหลายๆมาตรการที่รัฐบาลทยอยออกมาหลังจากมีการประชุมหารือกับผู้เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญฝ่ายต่างๆ”นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนข้อเสนอให้ แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการปิดสวิตซ์ สว.และเปิดทางให้มี สสร. มาทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ หรือการเสนอให้ยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งใหม่ ก็ล้วนเป็นมุขเก่าเดิมๆ ที่เคยเรียกร้องมาตลอดแต่ไม่สำเร็จทั้งนั้น นายปิยบุตรควรหยุดและพอได้แล้ว หยุดเล่นการเมืองท่ามกลางความทุกข์ร้อนของประชาชนเสียที อย่าคิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในประเทศไทย จะพูด จะทำอะไรก็ได้  ถ้ายังมีจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ และถ้ายังมีความคิดที่อยากโลดแล่นอยู่บนถนนการเมือง นายปิยบุตร ควรหยุดเสียที เห็นใจคนทำงานเขาบ้าง ทั้งนายกฯและรัฐบาลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ประชุมหารือกันตลอดทุกวัน เพื่อหาทางที่จะหยุดเชื้อไวรัสโควิดให้ได้ หรือแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ทำงานกันอย่างหนัก และตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อโควิดมา ตนก็ยังไม่เคยเห็นความช่วยเหลือที่มาจากนายปิยบุตร หรือพรรคพวกเลย อย่าว่าแต่สละเงินช่วยเหลือเลย แม้แต่ข้าวสักกล่องเคยได้หยิบยื่นให้ประชาชนที่เดือดร้อนบ้างหรือไม่ มีแต่ออกมาตำหนิติเตียนคนทำงาน ไม่รู้จิตใจทำด้วยอะไร

"คนที่คิดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คิดร้ายต่อราชบัลลังก์ เช่นนายปิยบุตร ไม่สมควรมีที่ยืนบนผืนแผ่นไทย สมควรที่จะไปอยู่ในที่ชอบๆอย่าได้กลับคืนมาสู่ผืนแผ่นดินไทยอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีกเลย อย่าว่าแต่ให้มาอยู่อาศัยเลย มาใช้แผ่นนี้เป็นที่เผาศพหรือฝังศพในบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต คนไทยที่จงรักภักดีปกป้องสถาบันคงไม่ปรารถนาอยากให้มาใช้พื้นที่ในแผ่นดินนี้อย่างแน่นอน "นายเสกสกลกล่าว

"วิโรจน์" ซัด คำสั่ง สธ. ไม่นับผลตรวจ Antigen Test Kit เป็นผู้ติดเชื้อ มุ่งปกปิดอำพรางตัวเลข หวั่นลอยแพทำคนป่วยเข้าไม่ถึงการรักษา  จี้ "นายกฯ"หยุดอำมหิต ยึดติดระเบียบราชการทำคนล้มตายได้แล้ว 

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร  ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีหนังสือเวียนของกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 23 ก.ค. ที่ระบุในตอนหนึ่งว่า ให้ยกเลิกการทำการตรวจคัดกรองเชิงรุก ด้วยวิธี RT-PCR โดยให้ใช้ Antigen Test Kit (ATK) ซึ่งให้ผลเร็วกว่าแทน และหากพบผลเป็นบวก จะยังไม่นับรวมเป็นผู้ป่วย ไม่ต้องรายงานในระบบโรคติดเชื้อนั้นว่า ในการใช้ ATK ที่ทราบผลภายในระยะเวลาเพียง 30 นาที เพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุก จะทำให้สามารถแยกเอาผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัวและชุมชน รวมถึงเพื่อให้เขาสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้โดยเร็ว ทั้งยังเป็นการสกัดกั้นการระบาดของโรค และลดอัตราการเสียชีวิตของประชาชนได้ ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เสนอแนวคิดนี้มาโดยตลอด เพราะเป็นวิธีที่จะทำให้รัฐบาลสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสและยารักษาโรคตามอาการต่างๆ ตามการวินิจฉัยของแพทย์ได้ โดยที่ไม่ต้องรอผลตรวจจากวิธี RT-PCR ซึ่งหลายกรณีต้องใช้เวลารอคอยนานกว่า 3 วัน

"จากแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์เมื่อวันที่ 21 ก.ค.64 ระบุชัดว่าผู้ติดเชื้อหากได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ภายใน 4 วันนับจากวันเริ่มมีอาการ ผู้ป่วยจะมีแนวโน้มตอบสนองต่อการรักษาได้ดี นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะเปลี่ยนจากผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวเป็นกลุ่มสีเหลือง หรือกลายเป็นผู้ป่วยสีแดงที่มีอาการหนัก ก็จะลดลง รวมถึงโอกาสที่จะเสียชีวิตก็จะลดลงตามไปด้วย และในแนวเวชปฏิบัติฉบับนี้ ยังระบุอีกด้วยว่า ผู้ที่ตรวจด้วยชุด ATK แล้วพบผลเป็นบวก จะต้องได้รับการรักษาเสมือนผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ระหว่างที่รอตรวจวินิจฉัยยืนยันด้วยวิธี RT-PCR หรือการวินิจฉัยอื่นๆ" นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ตามสภาพการณ์จริงในปัจจุบัน แม้มีสถานพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์จำนวนหนึ่งได้ปรับระบบงานธุรการ โดยเฉพาะระบบการจ่ายยา เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์ได้เร็วขึ้นแล้ว แต่ยังพบว่าโรงพยาบาลในสังกัดอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากไม่ยึดตามแนวปฏิบัตินี้ ทำให้กว่าแพทย์จะพิจารณาจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ได้ แม้ผู้ติดเชื้อจะรู้ผลจากการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK แล้วก็ตาม แต่การจ่ายยายังคงต้องรอคอยงานเอกสารธุรการการลงทะเบียน และการตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งกินระยะเวลาการรอคอยที่ยาวนาน ทำให้ผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีโรคประจำตัว มีอาการหนักขึ้น และเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเสียชีวิต ในประเด็นดังกล่าวนี้พรรคจึงขอเรียกร้อง ไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. และนายกรัฐมนตรี ให้เร่งสั่งการอย่างเป็นทางการเพื่อทำให้ระบบการจ่ายยา และระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่ต่างสังกัดก็ต่างทำ แบบที่เป็นอยู่

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า หากไม่วางแผนอย่างเป็นระบบเพื่อให้ผู้ติดเชื้อ กันตัวเองออกจากครอบครัวและชุมชนได้อย่างรวดเร็ว และเข้าถึงยา และการรักษาตามการวินิจฉัยของแพทย์อย่างทันท่วงที การควบคุมการระบาด ก็จะขาดประสิทธิภาพ กลายเป็นภาระของระบบสาธารณสุข และการสูญเสียชีวิตของประชาชนก็จะเพิ่มมากขึ้นจากการที่กลุ่มผู้ป่วยสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และแดง

เรื่องหนึ่งที่น่าเป็นกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับหนังสือ สธ 0211.021/15965 ก็คือ เมื่ออ่านดูในข้อที่ 5 เนื้อหาในคำสั่งนี้เหมือนมีเจตนาที่จะไม่บันทึกผลตรวจจากชุดตรวจ ATK ในสารบบเลย จึงอาจเข้าข่ายเป็นพฤติกรรมที่พยายามปกปิดอำพรางจํานวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริง ซึ่งนอกจาก จะเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงกับประชาชนแล้ว ยังจะเกิดความเสียหายอย่างมากกับการตัดสินใจเชิงนโยบายในอนาคต โดยเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข จัดทำระบบรายงานการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้ชัดเจนโดยแบ่งออกมาเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 
1. รายงานการตรวจ และผลการตรวจด้วยวิธี RT-PCR 
2. รายงานการตรวจ และผลตรวจด้วยชุดตรวจ ATK อย่างเดียว โดยไม่ได้ยืนยันซ้ำด้วยวิธี RT-PCR
3. รายงานการตรวจ RT-PCR ยืนยันผลตรวจจากชุดตรวจ ATK เพื่อที่ประชาชนจะได้ทราบถึงอัตราการเกิด False Positive
นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า การที่จะประคับประคองสถานการณ์ในช่วงวิกฤติระหว่างการรอคอยวัคซีนที่มีคุณภาพสูงต่อเชื้อกลายพันธุ์เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชน ต้องอาศัยความรวดเร็ว และความจริงเท่านั้นที่จะนำพาประชาชนผ่านพ้นวิกฤตไปได้ และเกิดความสูญเสียที่น้อยที่สุด แต่ถ้ารัฐบาลยังคงใช้การปกปิดอำพราง และยังคงยึดติดกับระบบรัฐราชการรวมศูนย์ ที่มีแต่ความเชื่องช้า ต่างสังกัดต่างทำไม่มีมาตรฐานเดียวกัน ก็จะเป็นการก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนแบบไม่สิ้นสุดและจะทำให้ประชาชน โดยเฉพาะคนตัวเล็กตัวน้อย ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ซึ่งยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่ความโชคร้ายของพวกเขาเอง แต่เกิดจากเป็นความบกพร่องอย่างอำมหิตของรัฐบาล

"วิโรจน์" ซัด คำสั่ง สธ. ไม่นับผลตรวจ Antigen Test Kit เป็นผู้ติดเชื้อ มุ่งปกปิดอำพรางตัวเลข หวั่นลอยแพทำคนป่วยเข้าไม่ถึงการรักษา  จี้ "นายกฯ"หยุดอำมหิต ยึดติดระเบียบราชการทำคนล้มตายได้แล้ว 

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร  ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีหนังสือเวียนของกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 23 ก.ค. ที่ระบุในตอนหนึ่งว่า ให้ยกเลิกการทำการตรวจคัดกรองเชิงรุก ด้วยวิธี RT-PCR โดยให้ใช้ Antigen Test Kit (ATK) ซึ่งให้ผลเร็วกว่าแทน และหากพบผลเป็นบวก จะยังไม่นับรวมเป็นผู้ป่วย ไม่ต้องรายงานในระบบโรคติดเชื้อนั้นว่า ในการใช้ ATK ที่ทราบผลภายในระยะเวลาเพียง 30 นาที เพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุก จะทำให้สามารถแยกเอาผู้ติดเชื้อออกจากครอบครัวและชุมชน รวมถึงเพื่อให้เขาสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้โดยเร็ว ทั้งยังเป็นการสกัดกั้นการระบาดของโรค และลดอัตราการเสียชีวิตของประชาชนได้ ซึ่งพรรคก้าวไกลได้เสนอแนวคิดนี้มาโดยตลอด เพราะเป็นวิธีที่จะทำให้รัฐบาลสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสและยารักษาโรคตามอาการต่างๆ ตามการวินิจฉัยของแพทย์ได้ โดยที่ไม่ต้องรอผลตรวจจากวิธี RT-PCR ซึ่งหลายกรณีต้องใช้เวลารอคอยนานกว่า 3 วัน

"จากแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์เมื่อวันที่ 21 ก.ค.64 ระบุชัดว่าผู้ติดเชื้อหากได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ภายใน 4 วันนับจากวันเริ่มมีอาการ ผู้ป่วยจะมีแนวโน้มตอบสนองต่อการรักษาได้ดี นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะเปลี่ยนจากผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวเป็นกลุ่มสีเหลือง หรือกลายเป็นผู้ป่วยสีแดงที่มีอาการหนัก ก็จะลดลง รวมถึงโอกาสที่จะเสียชีวิตก็จะลดลงตามไปด้วย และในแนวเวชปฏิบัติฉบับนี้ ยังระบุอีกด้วยว่า ผู้ที่ตรวจด้วยชุด ATK แล้วพบผลเป็นบวก จะต้องได้รับการรักษาเสมือนผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 ระหว่างที่รอตรวจวินิจฉัยยืนยันด้วยวิธี RT-PCR หรือการวินิจฉัยอื่นๆ" นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ตามสภาพการณ์จริงในปัจจุบัน แม้มีสถานพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์จำนวนหนึ่งได้ปรับระบบงานธุรการ โดยเฉพาะระบบการจ่ายยา เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์ได้เร็วขึ้นแล้ว แต่ยังพบว่าโรงพยาบาลในสังกัดอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากไม่ยึดตามแนวปฏิบัตินี้ ทำให้กว่าแพทย์จะพิจารณาจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ได้ แม้ผู้ติดเชื้อจะรู้ผลจากการตรวจด้วยชุดตรวจ ATK แล้วก็ตาม แต่การจ่ายยายังคงต้องรอคอยงานเอกสารธุรการการลงทะเบียน และการตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งกินระยะเวลาการรอคอยที่ยาวนาน ทำให้ผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มที่มีโรคประจำตัว มีอาการหนักขึ้น และเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเสียชีวิต ในประเด็นดังกล่าวนี้พรรคจึงขอเรียกร้อง ไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. และนายกรัฐมนตรี ให้เร่งสั่งการอย่างเป็นทางการเพื่อทำให้ระบบการจ่ายยา และระบบการดูแลรักษาผู้ป่วยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่ใช่ต่างสังกัดก็ต่างทำ แบบที่เป็นอยู่

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า หากไม่วางแผนอย่างเป็นระบบเพื่อให้ผู้ติดเชื้อ กันตัวเองออกจากครอบครัวและชุมชนได้อย่างรวดเร็ว และเข้าถึงยา และการรักษาตามการวินิจฉัยของแพทย์อย่างทันท่วงที การควบคุมการระบาด ก็จะขาดประสิทธิภาพ กลายเป็นภาระของระบบสาธารณสุข และการสูญเสียชีวิตของประชาชนก็จะเพิ่มมากขึ้นจากการที่กลุ่มผู้ป่วยสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และแดง

เรื่องหนึ่งที่น่าเป็นกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับหนังสือ สธ 0211.021/15965 ก็คือ เมื่ออ่านดูในข้อที่ 5 เนื้อหาในคำสั่งนี้เหมือนมีเจตนาที่จะไม่บันทึกผลตรวจจากชุดตรวจ ATK ในสารบบเลย จึงอาจเข้าข่ายเป็นพฤติกรรมที่พยายามปกปิดอำพรางจํานวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริง ซึ่งนอกจาก จะเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงกับประชาชนแล้ว ยังจะเกิดความเสียหายอย่างมากกับการตัดสินใจเชิงนโยบายในอนาคต โดยเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข จัดทำระบบรายงานการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้ชัดเจนโดยแบ่งออกมาเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 
1. รายงานการตรวจ และผลการตรวจด้วยวิธี RT-PCR 
2. รายงานการตรวจ และผลตรวจด้วยชุดตรวจ ATK อย่างเดียว โดยไม่ได้ยืนยันซ้ำด้วยวิธี RT-PCR
3. รายงานการตรวจ RT-PCR ยืนยันผลตรวจจากชุดตรวจ ATK เพื่อที่ประชาชนจะได้ทราบถึงอัตราการเกิด False Positive

นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า การที่จะประคับประคองสถานการณ์ในช่วงวิกฤติระหว่างการรอคอยวัคซีนที่มีคุณภาพสูงต่อเชื้อกลายพันธุ์เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชน ต้องอาศัยความรวดเร็ว และความจริงเท่านั้นที่จะนำพาประชาชนผ่านพ้นวิกฤตไปได้ และเกิดความสูญเสียที่น้อยที่สุด แต่ถ้ารัฐบาลยังคงใช้การปกปิดอำพราง และยังคงยึดติดกับระบบรัฐราชการรวมศูนย์ ที่มีแต่ความเชื่องช้า ต่างสังกัดต่างทำไม่มีมาตรฐานเดียวกัน ก็จะเป็นการก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนแบบไม่สิ้นสุดและจะทำให้ประชาชน โดยเฉพาะคนตัวเล็กตัวน้อย ต้องล้มตายเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ซึ่งยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่ความโชคร้ายของพวกเขาเอง แต่เกิดจากเป็นความบกพร่องอย่างอำมหิตของรัฐบาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top