Friday, 4 July 2025
Hard News Team

ครม.อนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มเข็มของเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่5  จำนวน 1,013 โครงการ ในพื้นที่ 11 จังหวัด วงเงิน 3,484.27  ล้านบาท  รวมอนุมัติ 5 ครั้งส่งงบประมาณเข้าหมุนเวียนเศรษฐกิจ 19,904.93 ล้านบาท  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 14 ก.ย. 2564  ได้อนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มเข็มของเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่5  จำนวน 1,013 โครงการ ในพื้นที่ 11 จังหวัด วงเงินรวม 3,484.27  ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายเงินจากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เสนอ

ทั้งนี้ เมื่อรวมกับผลการอนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากในครั้งที่ 1-5 แล้ว ครม. ได้อนุมัติโครงการไปแล้วจำนวน 8,516 โครงการ ใน 70 จังหวัด เป็นวงเงินที่เข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 19,904.93 ล้านบาท  คงเหลือ 6 จังหวัดที่อยู่ระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนได้แก่ ชัยนาท ราชบุรี เชียงใหม่ สุพรรณบุรี แม่ฮ่องสอน และสกลนคร

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทั้ง 11 จังหวัดที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ ครั้งที่ 5 ประกอบด้วย ลำพูน จำนวน 115 โครงการ วงเงิน 185.04 ล้านบาท, ลำปาง จำนวน 64 โครงการ วงเงิน 298.86 ล้านบาท, เชียงราย จำนวน 89 โครงการ วงเงิน 355.47 ล้านบาท, เพชรบูรณ์ จำนวน 89 โครงการ วงเงิน 232.42 ล้านบาท, มุกดาหาร จำนวน 246 โครงการ วงเงิน 219.04 ล้านบาท

นนทบุรี จำนวน 45 โครงการ วงเงิน 168.61 ล้านบาท, สมุทรปราการ จำนวน 53 โครงการ วงเงิน 312.66 ล้านบาท, กาญจนบุรี จำนวน 47 โครงการ วงเงิน 313.04 ล้านบาท, ชลบุรี จำนวน 82 โครงการ วงเงิน 546.41 ล้านบาท,ระยอง จำนวน 125 โครงการ วงเงิน 401.80 ล้านบาท และภูเก็ต จำนวน 58 โครงการ วงเงิน 450.85 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในจำนวนทั้งหมด 1,013 โครงการ ใน 11 จังหวัด จำแนกลักษณะโครงการดำเนินการเป็น 4 กลุ่มลักษณะ ได้แก่ 1)กลุ่มโครงการพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยว บริการและการค้า จำนวน 46 โครงการ หรือ ร้อยละ5 ของจำนวนโครงการรวม 2)กลุ่มโครงการยกระดับประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการเกษตร จำนวน 33 โครงการ หรือร้อยละ3 ของจำนวนโครงการรวม 3)โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานจำนวน 43 โครงการ หรือร้อยละ4 ของจำนวนโครงการรวม และ 4)กลุ่มโครงการที่เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 891 โครงการ หรือร้อยละ 88 ของจำนวนโครงการ

สำหรับผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการ คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ประมาณ 36,070 คน และมีผู้ได้ประโยชน์ไม่น้อยกว่า 3,602,819 คน และไม่น้อยกว่า 38,721 ครัวเรือน รวมทั้งช่วยยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของสินค้า ทักษะและความรู้ในการประกอบอาชีพ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการฟื้นตัวและพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจในหมู่บ้านและชุมชน

ก.แรงงาน ถกร่วม JETRO Bangkok สร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจ บ.ญี่ปุ่น ในไทย

กระทรวงแรงงาน หารือร่วม JETRO Bangkok เชื่อมภารกิจกระทรวงฯ เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ต้อนรับนาย TAKETANI Atsushi ประธาน Japan External Trade Organization, Bangkok (JETRO Bangkok) และผู้แทนจากหอการค้าญี่ปุ่นประจำกรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมคาราวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อรายงานผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยมีพลอากาศตรีเฟื่องศักดิ์ เรืองกล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดร.ทองอยู่ คงขันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายสุรชัย กล่าวว่า การหารือร่วมกับ JETRO Bangkok ในวันนี้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย ปัญหาด้านการบริหารองค์กรของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้แก่ การแข่งขันกับบริษัทอื่นรุนแรงขึ้น ราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มสูงขึ้น และการขาดแคลนวิศวกร ในส่วนข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย พบว่า บริษัทส่วนใหญ่ได้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามมาการรองรับผลกระทบจากโควิด-19 การส่งเสริมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีประเด็นที่เกี่ยวข้องด้านแรงงาน ได้แก่ การปรับปรุงความสะดวกในการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่า

นอกจากนี้ยังได้คาดการณ์ผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อกิจกรรมทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่จะยังคงประกอบกิจการต่อไปหรือขยายขนาด โดยสนับสนุนให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความรับผิดชอบในกรณีที่บริษัทกำหนดให้พนักงานต้องฉีดวัคซีนหรือสนับสนุนให้พนักงานฉีดวัคซีนแล้วเกิดผลข้างเคียง ทาง JETRO Bangkok จึงขอให้รัฐบาลไทยได้มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนอย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ เช่น ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ผลข้างเคียง ความเสี่ยงต่อสุขภาพ แผนการฉีดวัคซีน ความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีน เป็นต้น

“ขอบคุณประธาน JETRO Bangkok และคณะ ที่ได้ร่วมหารือและแบ่งปันข้อมูลในวันนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงแรงงาน เพื่อนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทยต่อไป” นายสุรชัย กล่าวทิ้งท้าย

สรุปวันโอนเงินเยียวยาประกันสังคมทุกมาตรา

✅วันที่ 20 - 21 กันยายน 2564   
โอนเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตน มาตรา 40 ในพื้นที่ 16 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี กลุ่มที่สมัครขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ระหว่างวันที่ 4 - 24 สิงหาคม 2564

✅วันที่ 21 กันยายน 2564  
โอนเงินเยียวยา มาตรา 39 รอบ 2 ให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา

✅วันที่ 22 - 23 กันยายน 2564  
โอนเงินเยียวยา มาตรา 40 รอบ 2 ให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา

✅วันที่ 27 - 28 กันยายน 2564  
เริ่มโอนเงินเยียวยา มาตรา 33 รอบ 2 ให้ผู้ประกันตน มาตรา 33 ใน 9 กลุ่มกิจการ ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา

✅วันที่ 28 กันยายน 2564  
โอนเงินเยียวยา มาตรา 40 ให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 รายใหม่ ในช่วงวันที่ 4 - 24 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา จำนวน 3.4 แสนคน กลุ่มนี้ ได้สิทธิเยียวยา 2 เดือน เดือนละ 5,000 บาท รวม 10,000 บาท


ที่มา : https://www.facebook.com/100750911731504/photos/a.100754921731103/348472363626023/

"โรม" ฉะ จับนักข่าวพลเมืองในม็อบ จงใจปิดหูปิดตาปชช.ไม่ให้เห็นความป่าเถื่อนของรัฐ อัด "ประยุทธ์" เมื่อไหร่จะมีสติสำนึกลาออก 

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงเหตุการณ์การชุมนุมในวันที่ 13 ก.ย. ที่บริเวณดินแดง ที่พบว่ามีการจับกุมสื่ออิสระ 2 คน คือ ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวราษฎร และผู้สื่อข่าวประจำเพจ ปล่อยเพื่อนเรา โดยถูกตั้งข้อหาร่วมกันชุมนุมและฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ว่า ในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่ตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมที่ย่านดินแดงในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐยกระดับการสลายการชุมนุมหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เราจะพบว่าสื่อมวลชนกระแสหลักกลับมีบทบาทน้อยอย่างเห็นได้ชัดในการถ่ายทอดเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดและรอบด้าน และมักเป็นการรายงานอยู่หลังแนวของตำรวจ โดยพร้อมจะล่าถอยออกไปเมื่อได้รับคำสั่ง ทำให้สังคมที่ติดตามอยู่ไม่อาจรู้ได้ว่า นอกเลนส์กล้องของนักข่าวนั้นเจ้าหน้าที่รัฐจะไปกระทำการอะไรไว้บ้าง

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า กลายเป็นว่านักข่าวพลเมืองอย่าง 2 คนที่ถูกจับไปที่เป็นกำลังหลักในการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแบบสดๆ ทำให้ด้านมืดที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่อยากให้เห็นถูกนำขึ้นมาเปิดเผยในที่สว่าง อย่างสำนักข่าวราษฎรนั้น พบว่าหลายครั้งสามารถจับภาพเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงอย่างเกินเหตุเอาไว้ได้ เช่นภาพที่ตำรวจใช้กระบองฟาดซ้ำใส่ศีรษะของผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวไว้ได้แล้ว ภาพที่ตำรวจยิงกระสุนยางใส่รถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านไปมาในระยะประชิด หรือภาพบ้านเรือนที่เสียหายจากการสลายการชุมนุมของตำรวจ แต่ในสายตาของรัฐบาล เช่น ในคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และโฆษก บช.น. กลับแปะป้ายนักข่าวพลเมืองเหล่านี้ว่าเป็น สื่อมวลชนปลอมที่แฝงตัวเข้ามา เพียงเพราะไม่มีบัตรสื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากทัศนคติอันคับแคบและล้าหลังในการนิยามความเป็นสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ทำให้นักข่าวเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้รับการรับรองและคุ้มครองจากรัฐแล้ว ยังกลายมาเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำจากรัฐเองเสียอีก

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่นักข่าวพลเมืองถ่ายทอดออกมาให้สังคมได้รับรู้ ช่วยให้เราได้เห็นว่าประเทศนี้ รัฐบาลนี้ ล้มเหลวในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไร ความกล้าหาญของพวกเขาช่วยเป็นหูเป็นตาให้ประชาชนภายนอกที่ชุมนุม ได้เห็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องเห็น นั่นคือความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชนภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และระบอบปรสิต ดังนั้น การหาเรื่องจับนักข่าวเหล่านี้จึงไม่อาจหาเหตุผลอื่นใดได้เลย นอกจากเพราะฝ่ายรัฐต้องการปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้เห็นความอำมหิตป่าเถื่อนที่ฝ่ายตนได้กระทำต่อประชาชน จึงต้องทำลายผู้ที่จะมาเปิดโปงการกระทำเหล่านั้น นั่นหมายความว่ารัฐบาลยังคงยืนยันที่จะใช้ความรุนแรงในการกดหัวผู้เห็นต่างไม่ให้เงยหน้าขึ้นมาท้าทายต่อไป

"เมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลจะมีสติสำนึกได้เสียที ว่าทุกวันนี้มีผู้คนต่อต้านพวกท่านกันมากมายแบบไม่ต้องมีใครชักนำ ถึงขนาดนี้แล้วจะยอมรับผิดแล้วออกไปแต่โดยดี หรือจะยังดื้อด้าน ยึดติดอยู่แต่กับการกดหัวและปิดหูปิดตา ราดน้ำมันลงบนกองไฟต่อไปอีก" นายรังสิมันต์ กล่าว 

ปิดทำเนียบฯ 14 วัน อีกครั้ง หลังพบผู้สื่อข่าวผลตรวจ ATK เป็นบวก

เมื่อเวลา 11.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ ให้สัมภาษณ์ กรณีขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบ เนื่องจากมีผู้สื่อข่าวติดเชื้อโควิด ว่า ขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาดำเนินการทำความสะอาด พ่นยาฆ่าเชื้อ จะได้มั่นใจว่าปลอดเชื้อ เบื้องต้นขอเวลา 7 วัน นับจากวันนี้ไปถึงวันที่ 24 กันยายน และจะให้สื่อมวลชนกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลตามปกติ ได้ในวันที่ 27 กันยายน แต่อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนนำผลตรวจเอทีเคมาแสดงด้วย ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมาตรการที่เข้มข้น เนื่องจากผู้บริหารในทำเนียบฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเราต้องมีความใกล้ชิดกัน 

น.ส.นัทรียา กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะมีภารกิจลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.ชลบุรี สื่อมวลชนก็ไม่ต้องเป็นห่วง ทางสำนักโฆษกสำนักนายก รัฐมนตรี จะทำหน้าที่แทน โดยทำข่าวพูลให้ ทั้งนี้ที่เราใช้มาตรการเช่นนี้เนื่องจากมีความเป็นห่วงร่วมกันทุกคน เพราะเราไม่รู้ว่า ใครมีอาการแล้วไม่แสดงอาการหรือไม่ และไม่ทราบว่าจะมีใครติดเชื้อมาจากข้างนอกหรือไม่ ขอให้ทุกคนระมัดระวังและกลับไปในที่ตั้งก่อน และขอให้สื่อไปตรวจคัดกรอง ก่อนกลับมาติดบัตรหน้าที่ร่วมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนสบายใจว่า การทำข่าวในช่วงนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้ใหญ่ทุกคนรับทราบแล้วจึงจะยังไม่มีการให้สัมภาษณ์ หรือตอบคำถามใด ๆ กับทุกคน ทุกคนสบายใจได้ว่าไม่มีการตกข่าว 

ผลวิจัย ชี้ ‘วัคซีนโควิดเข็ม 3’ ไม่จำเป็น ยัน แค่ 2 เข็ม เพียงพอช่วยลดอาการทรุดหนัก

วารสารการแพทย์แลนเซตตีพิมพ์ผลการศึกษาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ก่อนจะสรุปว่า การฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เพียง 2 เข็มมีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการทรุดหนัก และไม่จำเป็นที่คนทั่วไปจะต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3

ในบางประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชากรในประเทศ เพราะความหวั่นวิตกเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องออกมาร้องขอให้ประเทศต่าง ๆ ยุติการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ไว้ก่อน เนื่องจากยังมีคนหลายล้านคนทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่ยากจนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว

ผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ดังกล่าวมาจากนักวิทยาศาสตร์หลายคน ซึ่งรวมถึงนักวิทยาศาสตร์จากองค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยา (เอฟดีเอ) ของสหรัฐฯ สรุปว่า แม้จะมีภัยคุกคามจากไวรัสกลายพันธุ์เดลตา แต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับคนทั่วไปไม่ใช่เรื่องเหมาะสมภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดในขณะนี้

ผู้เขียนซึ่งทบทวนผลการศึกษาเชิงสังเกตและผลการทดลองทางคลินิกพบว่า วัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไม่ให้มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงในไวรัสโควิด-19 แทบจะทุกสายพันธุ์ซึ่งรวมถึงเดลตา แม้จะมีประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการก็ตาม

หนึ่งในผู้เขียนหลักจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า หากดูในภาพรวมแล้ว วัคซีนที่มีอยู่ควรจัดลำดับความสำคัญไปที่คนทั่วโลกที่ยังไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่หากมีการกระจายวัคซีนไปยังที่ที่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็จะช่วยเร่งให้การแพร่ระบาดยุติลงเร็วขึ้นด้วยการยับยั้งการกลายพันธุ์ของไวรัส


ที่มา : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2938333

ทปษ.นายกฯ ห่วงสื่อ ของดเข้าทำเนียบ 7 วัน แล้วตรวจคัดกรองก่อนเข้าทำเนียบ อีกครั้ง 27 กย.

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ ให้สัมภาษณ์ กรณีขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบ เนื่องจากมีผู้สื่อข่าวติดเชื้อโควิด ว่า ขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาดำเนินการทำความสะอาด พ่นยาฆ่าเชื้อ จะได้มั่นใจว่าปลอดเชื้อ เบื้องต้นขอเวลา 7 วัน นับจากวันนี้ไปถึงวันที่ 24 กันยายน และจะให้สื่อมวลชนกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลตามปกติ  ได้ในวันที่ 27 กันยายน แต่อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนนำผลตรวจเอทีเคมาแสดงด้วย ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมาตราการที่เข้มข้น เนื่องจากผู้บริหารในทำเนียบฯส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเราต้องมีความใกล้ชิดกัน 

น.ส.นัทรียา กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะมีภารกิจลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.ชลบุรี สื่อมวลชนก็ไม่ต้องเป็นห่วง  ทางสำนักโฆษกสำนักนายก รัฐมนตรี จะทำหน้าที่แทน โดยทำข่าวพูลให้ ทั้งนี้ที่เราใช้มาตรการเช่นนี้เนื่องจากมีความเป็นห่วงร่วมกันทุกคน เพราะเราไม่รู้ว่า ใครมีอาการแล้วไม่แสดงอาการหรือไม่ และไม่ทราบว่าจะมีใครติดเชื้อมาจากข้างนอกหรือไม่ ขอให้ทุกคนระมัดระวังและกลับไปในที่ตั้งก่อน และขอให้สื่อไปตรวจคัดกรอง ก่อนกลับมาติบัตรหน้าที่ร่วมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนสบายใจว่า การทำข่าวในช่วงนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้ใหญ่ทุกคนรับทราบแล้วจึงจะยังไม่มีการให้สัมภาษณ์ หรือตอบคำถามใดๆกับทุกคน ทุกคนสบายใจได้ว่าไม่มีการตกข่าว 

'นิวยอร์ก' เปิดโรงเรียนครั้งแรกในรอบ 1 ปี หลังต้องเรียนออนไลน์หนีโควิด-19

14 กันยายน 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน โรงเรียนของรัฐในนครนิวยอร์ก เปิดเทอมให้นักเรียนกลับเข้าชั้นเรียนเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี หลังปิดไปตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว ตามมาตรการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้นักเรียนต้องเรียนออนไลน์เป็นเวลานาน 

สำหรับโรงเรียนรัฐในนครนิวยอร์ก ถือเป็นระบบการศึกษาของรัฐขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา โดยมีนักเรียนอยู่ในระบบประมาณ 1 ล้านคน

ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐสังกัดเทศบาลนครนิวยอร์กเกือบทั้งหมดจากจำนวนประมาณ 300,000 คน ได้รับคำสั่งให้กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบในสำนักงานด้วย ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ต้องฉีดวัคซีนครบแล้ว หรือมิเช่นนั้นต้องผ่านการตรวจคัดกรองทุกสัปดาห์


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/601988

ตร. แจง ไร้สัญญาณบ่งชี้การก่อการร้าย แม้ญี่ปุ่นเตือนเหตุ ‘ก่อการร้ายในอาเซียนและไทย'

รัฐบาลญี่ปุ่นส่งเอกสารให้กับพลเมืองของตนเอง เฝ้าระวังการก่อการร้ายในอาเซียน รวมถึงไทย ด้านตำรวจ - สันติบาล ชี้แจง ไม่มีอะไรน่ากังวล แจ้งเตือนตามวงรอบ ขณะที่กต.ระบุ เป็นคำสั่งจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้ และในเอกสารไม่เจาะจงเฉพาะไทย 

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนะเจริญ รองโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีที่สถานทูตญี่ปุ่นแจ้งเตือนเหตุก่อการร้ายนั้น ว่า จากข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) พบว่ามีการแจ้งเตือนจากสถานทูตญี่ปุ่น ทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่แค่ประเทศไทย ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนตามวงรอบ ไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีการก่อการร้าย ขณะนี้ยังไม่มีการเฝ้าระวังสิ่งใดเป็นพิเศษ และทางเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามสถานการณ์พร้อมการประสานงานกับหน่วยที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนอย่าได้วิตกกังวลและใช้ชีวิตตามปกติ

รองโฆษก ตร.ย้ำว่าทางไทยมีการเฝ้าระวังอยู่แล้ว โดยเฉพาะการประสานงานด้านการข่าวฝ่ายความมั่นคงทั้งในและต่างประเทศอยู่แล้ว ทั้งด้านข่าวกรองและการต่อต้านข่าวกรอง ในส่วนของการรักษาความปลอดภัยสถานที่ตั้งของสถานทูตรวมถึงสถานที่พำนักของเอกอัครราชทูตหรือเจ้าหน้าที่ทางการทูตในประเทศไทยมีการประสานงานกับตำรวจท้องที่ โดยเฉพาะตำรวจ 191 อยู่แล้วก็ดำเนินการควบคู่กันไป 

รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนด้านข่าวกรองตลอดเวลา และขณะนี้ไม่ได้ห่วงที่ใดเป็นพิเศษ เนื่องจากการรักษาสถานที่สำคัญและบุคคลสำคัญในประเทศก็เป็นหน้าที่ของตำรวจสันติบาลร่วมกับตำรวจนครบาลหรือหากมีสถานกงสุล หรือสถานทูตตั้งอยู่ต่างจังหวัดก็มีการประสานกับตำรวจท้องที่อยู่แล้วเช่นกันตรงนี้ไม่เป็นห่วง และพร้อมให้การสนับสนุนทันทีหากมีการร้องขอขึ้นมา

ด้านนายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ส่งหนังสือเตือนถึงพลเมืองชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในอาเซียนรวมถึงไทย ให้ระมัดระวังการก่อการร้าย โดยระบุว่า

จากการตรวจสอบและสอบถามไปยังสถานทูตญี่ปุ่น ระบุว่า อีเมลนี้กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ส่งให้ชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นประเทศไทย และไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูลดังกล่าว ทำให้ยังไม่สามารถให้ข้อมูลหรือรายละเอียดเพิ่มเติมได้

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาใจความสำคัญของอีเมลฉบับดังกล่าวระบุว่า ขอให้ชาวญี่ปุ่นระมัดระวังการโจมตีหรือการก่อการร้าย โดยเฉพาะการระเบิดพลีชีพตนเองในสถานที่ที่มีคนรวมตัวจำนวนมาก จึงขอให้ดำเนินการตามมาตรการ ดังนี้ 

1.) ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด

2.) ปฏิบัติตามคำแนะนำและมาตรการของทางการท้องถิ่น หากเกิดเหตุขึ้น

3.) เมื่อต้องไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก ให้สังเกตสถานการณ์รอบ ๆ ตัว หรือใช้เวลาอยู่สถานที่เหล่านั้นให้สั้นที่สุด หากพบว่ามีความน่าสงสัยให้รีบออกจากสถานที่ดังกล่าวโดยสถานที่ที่ควรระมัดระวัง เช่น วัด โบสถ์ มัสยิด เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม สามารถติดต่อหรือแจ้งข้อมูลได้ที่ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โทรศัพท์: (66-2) 207-8500, 696-3000 โทรสาร: (66-2) 207-8511


https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/156231

เปิดวาระครม. เตรียมเคาะแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ-การลงทุน

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย หลังจากทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานเพื่อผลักดันเรื่องนี้ โดยมีทั้งเป้าหมายในการชักจูงการลงทุน รวมถึงการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางลดภาษี การอำนวยความสะดวก และการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ

ทั้งนี้ ยังมีวาระอื่น ๆ กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอการพิจารณาเรื่องการลดหย่อนภาษีผู้ประกอบการที่ซื้อชุดตรวจเอทีเค (ATK) และนำมาให้บุคลากรในองค์กรได้ตรวจ สามารถนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรม  เสนอ เสนอขอทบทวนการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2530 เรื่องมติคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ บริเวณชายฝั่งทะเลฝั่งตะวันออก ครั้งที่ กพอ. 2/2530 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2531 ด้านกระทรวงคมนาคมเสนอพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการให้ได้ที่ดินเพิ่มเติมและการจ่ายเงินค่าทดแทนเพื่อ ชดเชยให้แก่ผู้ถูกเวนคืน พ.ศ...

ด้านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดข้อความโฆษณาสินค้าหรือบริการที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือที่อาจก่อให้เกิด ผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนร่วม พ.ศ... และร่างกฎกระทรวงยกเลิกกระทรวงว่าด้วยการโฆษณาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม ของแอลกฮอล์และเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีนในโรงภาพยนตร์และทางป้ายโฆษณา พ.ศ. 2547 พ.ศ... รวม 2 ฉบับ และ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (ฉบับที่ ..)

นอกจากนี้กอ.รมน.ขอขยายเวลาประกาศพื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กระทรวงแรงงานเสนอ การเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการแข่งขันฝีมือแรงงานเอเชีย (WorldSkills Asia) และการจัดส่งเยาวชนเข้าร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานเอเชีย (WorldSkills Asia Competition) กรมชลประทาน ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานใหญ่ จำนวน 3 โครงการ และกระทรวงสาธารณสุข เสนอร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพ ติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา พ.ศ...


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top