Friday, 4 July 2025
Hard News Team

'ครูใหญ่จีน' กินของเหลือนักเรียน กวาดเกลี้ยงถาด กุศโลบายสอนเด็ก 'ไม่ให้เหลือทิ้ง'

กลายเป็นกระแสไวรัลในจีน หลังชาวเน็ตแห่แชร์คลิปครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งหนึ่งยืนดักกินอาหารเหลือของนักเรียนในโรงอาหาร เพื่อที่จะสอนเยาวชนของชาติว่าไม่ควรกินทิ้งกินขว้าง

หวัง หย่งซิน (Wang Yongxin) ครูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมเอกชนในเขตฉีหยาง (Qiyang) มณฑลหูหนัน จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์จีนว่า ระหว่างการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างกับเรื่องของสุขอนามัยนั้น... อะไรสำคัญกว่ากัน?

จากคลิปดังกล่าวจะเห็นว่า หวัง ไปยืนดักอยู่ใกล้ ๆ ถังขยะในโรงอาหาร และเมื่อนักเรียนคนไหนเดินถือจานที่ยังมีอาหารเหลือมาทิ้ง เขาก็จะเรียกให้หยุด และเข้าไปเก็บกินอาหารเหล่านั้นจนเกลี้ยง

เด็กบางคนได้แต่ยิ้มเขิน ๆ ในขณะที่บางคนเมื่อถูกครูใหญ่เรียกก็หันไปทานอาหารที่เหลือของตัวเองจนหมด

หวัง วัย 58 ปี บอกกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Xiaoxiang Morning Post ว่า เขาเริ่มดักกินอาหารเหลือของนักเรียนมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว

“ผมอยากทำให้พวกเขาดูเป็นตัวอย่างว่า การกินทิ้งกินขว้างมันไม่ดี และไม่ใช่แค่เด็ก ๆ เท่านั้นที่แปลกใจ แม้แต่พวกครูก็ด้วย” เขากล่าว

“นักเรียนบางคนพอเห็นว่าผมกินข้าวเหลือของเพื่อน ก็หันไปกินข้าวในจานตัวเองจนหมด บางคนก็บอกเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ต้นว่าอยากจะกินแค่ไหน ซึ่งช่วยให้มีของเหลือทิ้งน้อยลง”

แม้ครูใหญ่ หวัง จะได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในสังคมจีนปัจจุบันที่ผู้คนมักกินทิ้งกินขว้าง แต่บางคนก็มองว่าครูเพียงต้องการสร้างกระแส และการเก็บกินอาหารเหลือในจานคนอื่นก็ไม่ถูกสุขลักษณะด้วย

“การประหยัดอดออมมันก็ดีอยู่หรอก แต่ไปกินข้าวเหลือของคนอื่นเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี และขัดต่อมาตรการควบคุมโรค บางทีพวกเขาน่าจะคิดหาวิธีสอนเด็กได้ดีกว่านี้” ผู้ใช้เวยปั๋วคนหนึ่งให้ความเห็น

ครูใหญ่ หวัง ยืนยันว่าเขา “ไม่ถือสา” เรื่องการกินของเหลือ

“อาหารมาจากครัวเดียวกัน นักเรียนและครูทุกคนก็กินอาหารที่นี่ ผมถือว่านักเรียนทุกคนเป็นเสมือนลูกผมเอง เพราะฉะนั้นผมไม่ถือสาเลย” เขากล่าว

รัฐบาลจีนเริ่มให้ความสำคัญกับการลดปริมาณขยะอาหาร โดยเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาได้มีการออกกฎหมายที่กำหนดโทษปรับสำหรับร้านอาหารและลูกค้าที่ทิ้งเศษอาหารเยอะเกินไป นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้มีการไลฟ์สดกินอาหารโชว์ในปริมาณมาก ๆ ด้วย


ที่มา : South China Morning Post
https://www.sohu.com/a/488501084_120823584
https://mgronline.com/around/detail/9640000091388

เลื่อนเปิดกรุงเทพฯ รับต่างชาติไป 15 ต.ค.นี้ 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการหารือกับพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงการเตรียมความพร้อมเปิดกรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า จากการหารือได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะเปิดกรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาได้ล่าช้าจากกำหนดเดิมคือ 1 ต.ค.64 ไปประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจะเริ่มเปิดรับได้ในวันที่ 15 ต.ค.64 เป็นต้นไป เพราะคนกรุงเทพฯ ยังได้รับวัคซีนไม่ครบกำหนด 2 เข็ม เกิน 70% ของประชากร และการเปิดกรุงเทพฯ ครั้งนี้ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ ไม่เหมือนพื้นที่นำร่องอื่น ๆ ที่เปิดเฉพาะพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญเท่านั้น เพราะหากเปิดเป็นบางเขตหรือบางพื้นที่จะทำให้ยากต่อการควบคุม

“ตอนนี้กรุงเทพฯ มีความพร้อมทั้งหมดแล้ว วัคซีนก็มีพร้อม ติดแค่ว่าช่วงเวลาของการรับวัคซีนเข็มที่ 2 ยังไม่ถึงกำหนดเวลา โดยการฉีดวัคซีนเข็ม 2 ตอนนี้ในกรุงเทพฯ ตอนนี้ฉีดไปแล้ว 37% เหลืออีก 30% กว่า ๆ ก็ครบตามจำนวนแล้ว จึงน่าจะเป็นช่วงกลางเดือนต.ค.นี้ จึงสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ แม้ว่าการเปิดกรุงเทพฯจะช้าไป 2 สัปดาห์ แต่ก็ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อความปลอดภัย”

อย่างไรก็ตามในพื้นที่อื่น ๆ ที่เตรียมเปิดอีก 4 จังหวัด คือ ชลบุรี (พัทยา) อ.บางละมุง อ.สัตหีบ, เชียงใหม่ อ.เมือง อ.แม่แตง อ.แม่ริม อ.ดอยเต่า, เพชรบุรี อ.ชะอำ และ ประจวบคีรีขันธ์ อ.หัวหิน นั้น ยังยืนยันว่ามีความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 ต.ค.นี้ โดยพื้นที่ใดมีความพร้อมก็ดำเนินการได้ตามแผน โดยจะเสนอ ที่ประชุม ศปก.ศบค. ใน 1-2 วันนี้ และเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ ศบศ. อีกครั้งในเดือนก.ย.นี้ เห็นชอบ 

ศบค. เผย ไทยพบติดเชื้อ 13,798 ราย วัคซีนเข็มแรกฉีดได้แล้ว 38.5 เปอร์เซ็นต์ เตือนประชาชน คนติดเชื้อยังมาก วอน การ์ดอย่าตก กราฟกำลังหักหัวลง ชี้ งานศพ-อีเว้นท์ ยังเป็นพื้นที่เสี่ยง 

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 15 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์โควิด-19 ประจำวันว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,798 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 13,325 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 12,117 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 1,208 ราย จากเรือนจำ และที่ต้องขัง 451 ราย และเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 22 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 1,420,340 ราย ผู้หายป่วยเพิ่ม 14,133 ราย ยอดรวมหายป่วยสะสม 1,277,029 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 128,546 ราย อาการหนัก 3,994 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 806 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 144 ราย เป็นชาย 77 ราย หญิง 76 ราย อายุ 60 ปีขึ้นไป 106 ราย มีโรคเรื้อรัง 30 ราย หญิงตั้งครรภ์ 1 ราย ที่ จ.นราธิวาส เสียชีวิตที่บ้าน 2 ราย ที่กทม.และสตูล 

โดยจังหวัดที่เสียชีวิตมากที่สุด คือกทม. 43 ราย ทำให้ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตสะสม 14,756 ราย ขณะที่การฉีดวัคซีนวันที่ 14 ก.ย. 694,076 โดส ฉีดวัคซีนสะสม 41,647,101 โดส โดยเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 27,769,059 ราย คิดเป็น 38.5 ของจำนวนประชากร เข็มที่ 2 จำนวน 13,260,456 ราย คิดเป็น 18.4 ของประชากร ส่วนสถานการณ์โลกมีผู้ป่วยสะสม 226,661,161 ราย เสียชีวิตสะสม 4,662,880 ราย สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ 2,772 ราย สมุทรปราการ 1,351 ราย ชลบุรี 835 ราย ระยอง 680 ราย ราชบุรี 487 ราย สมุทรสาคร 404 ราย นนทบุรี 359 ราย นราธิวาส 354 ราย ปราจีนบุรี 345 ราย และสงขลา 327 ราย 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า และถ้าไปดูจากกราฟการติดเชื้อโดยรวมของประเทศจะเห็นภาพภูเขาสูงกำลังลดลง แต่ก็มีบางพื้นที่ที่กราฟยังขึ้นอยู่ เช่น ในเรือนจำและสถานที่ต้องขัง รวมถึงจังหวัดอื่น ๆ 48 จังหวัดนอกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ดังนั้น จึงขอว่าทุกคนการ์ดต้องไม่ตก เพื่อจะได้ลงมากกว่านี้ และถ้าดูข้อมูลฉากทัศน์การประเมินแนวโน้มการติดเชื้อในประเทศ พบว่าสถานการณ์จริงยังสูงกว่าการคาดการณ์ จำนวนผู้ติดเชื้อที่เป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์ เราต้องการให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อต่ำกว่าการคาดการณ์ 

ดังนั้นการล็อกดาวน์อย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องรวมหลายมาตรการ เช่น การป้องกันส่วนบุคคลแบบครอบจักรวาล เมื่อออกจากบ้านต้องคิดอยู่เสมอว่าคนรอบข้างมีโอกาสติดเชื้อ อย่างวันเดียวกันนี้ตนเดินทางด้วยทางด่วนเห็นว่ารถเริ่มติด จึงขอให้คนที่ไม่จำเป็นลดการเดินทางให้มากที่สุด มีการตั้งคำถามว่าที่เราทำเพียงพอหรือยัง ก็ขอให้ทุกคนอย่าชะล่าใจ แต่ถ้าดูฉากทัศน์สำหรับผู้เสียชีวิตจะเห็นว่าสถานการณ์จริงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ร่วมมือกันในการช่วยเหลือ เราต้องให้คนที่จำเป็นต้องรักษา เข้าถึงการรักษาโดยเร็วเพื่อลดการเสียชีวิต 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) มีการสรุปว่าในปัจจุบันยังคงมีพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อคืองานศพ งานอีเวนต์ ตลาด ร้านอาหาร โรงงาน สถานประกอบการ แคมป์ก่อสร้าง บางทีมีการเลี้ยงสังสรรค์ที่ละเมิดกฎหมายเป็นกลุ่มก้อน ตรงนี้ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน เช่น ถ้าอยากให้แคมป์ก่อสร้างทำงานต่อไปได้ก็ต้องชัดเจนเรื่องมาตรการบับเบิ้ลแอนด์ซีล เพราะปัจจุบันในพื้นที่กทม.การติดเชื้อในกลุ่มนี้มีตัวเลขเพิ่มขึ้นจากหลักหน่วยเป็นหลักสิบ ดังนั้นทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน และถ้าเราไปดูการติดเชื้อเฉพาะพื้นที่กทม.ที่มีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 2,772 ราย พบว่าทั้ง 50 เขตในกทม.ไม่มีเขตใดที่มีผู้ติดเชื้อเกิน 100 ราย เขตที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดคือบางกอกน้อย ผู้ติดเชื้อ 91 ราย รองลงมาคือมีนบุรี 90 ราย หนองจอก 79 ราย ลาดกระบัง 76 ราย ดุสิต 73 ราย ที่เหลือก็ลดหลั่นลงมา โดยเขตที่มีผู้ติดเชื้อน้อยที่สุดคือเขตสัมพันธวงศ์ มีผู้ติดเชื้อ 5 ราย

‘อนุทิน’ ยันตุลาฯ ประชาชน ได้บูสต์เข็ม 3 ลั่น โควิดลามภูเก็ต ไม่กระทบแผนเปิดประเทศ

เมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่ จ.ภูเก็ต ตามนโยบาย “ภูเก็ต แซนด์บอกซ์” ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 กว่า 200 ราย ว่า เราต้องเร่งควบคุมสถานการณ์โควิด-19 มีข้อสั่งการในที่ประชุมอีโอซีของ สธ.ช่วงเช้าวันนี้ ซึ่ง นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดสธ. ก็รับนโยบายเกี่ยวกับภูเก็ต แซนด์บอกซ์ และจังหวัดใกล้เคียง สิ่งที่เร่งด่วนคือ ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ผู้ที่เดินทางเข้าพื้นที่ทุกคน เพราะเขาเข้ามาสร้างรายได้ และเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับเกาะภูเก็ตที่เป็นเหมือนห้องรับแขกของประเทศไทย ส่วนการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 สำหรับผู้ที่ฉีดซิโนแวคครบ 2 เข็ม ตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค. - พ.ค.64 ทาง นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ก็รายงานว่าสามารถดำเนินการฉีดได้แล้ว ก็นำไปฉีดที่ภูเก็ต ซึ่งก็เหมือนการฉีดให้ประชาชนทั่วไปด้วยไม่ใช่แค่ที่ภูเก็ตอย่างเดียว

“อย่างที่ผ่านมา เราฉีดเข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์แล้วกว่า 5 แสนคน ตอนนี้ก็จะเหลือประชาชนทั่วไปอีกราว ๆ 2 ล้านคนต้น ๆ ที่เราจะเริ่มฉีดได้ในเดือน ต.ค.64 จึงขอให้ประชาชนที่ถึงคิวรับวัคซีนก็ขอให้ไปรับด้วย ช่วยกันเพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ของประเทศ” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์ภูเก็ตที่มีการติดเชื้อ ก็มีระบบสาธารณสุขรองรับได้ เนื่องจากต่างจังหวัดมีตั้งแต่โรงพยาบาล (รพ.) หลัก รพ.อำเภอ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และยังมีเขตสุขภาพ ตนได้รับรายงานจากเขตสุขภาพที่ 11 มีความพร้อมรับสถานการณ์ที่ภูเก็ต ไม่ใช่ว่าเราเจอติดเชื้อแล้วจะต้องหยุด หรือยกเลิกทุกอย่าง เราต้องดูการติดเชื้อเทียบกับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือผู้ยังไม่ได้รับวัคซีน เราก็ต้องแยกออกมา ส่วนผู้ที่ไม่มีอาการก็สามารถเข้าระบบแยกกักที่บ้าน (Home Isolation) หรือศูนย์พักคอยในชุมชน (Community Isolation) เพื่อให้ทุกอย่างยังดำเนินต่อไปได้ ทั้งนี้ สถานการณ์ติดเชื้อยังอยู่ในการคาดการณ์รองรับไว้อยู่แล้ว และได้วางระบบสาธารณสุขไว้ดูแล

“สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เราคาดการณ์อยู่แล้ว เพราะเมื่อเปิดกิจกรรมต่าง ๆ ในภูเก็ต ก็เปรียบเสมือนห้องรับแขกของเรา เป็นที่ที่จะทำให้เห็นว่าประเทศไทยจะมีการเปิดแซนด์บอกซ์ไปแต่ละจังหวัด ๆ มีการเตรียมระบบสาธารณสุขรองรับผู้ป่วย” นายอนุทิน กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลว่ากรณีที่ภูเก็ตจะกระทบกับแผนการเปิดประเทศอื่น ๆ หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราสู้เต็มที่ ไม่ให้เกิดผลกระทบ

เมื่อถามว่า นายกฯ มีข้อสั่งการอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องการควบคุมโรคนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ทำงานกันอย่างเต็มที่ทุกวัน ทุกพื้นที่ไม่เฉพาะที่ภูเก็ตเท่านั้น ให้ดูทั้งประเทศให้มีความปลอดภัย และเมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา ก็อนุมัติงบจัดซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จากกลุ่มประเทศยุโรป เพื่อฉีดเป็นเข็ม 3 ให้ประชาชน ทั้งนี้ วัคซีนเรามีมากขึ้น และศักยภาพในการฉีดก็เพิ่มขึ้นด้วย

“อย่างที่มีใครบอกว่าจะฉีดต้องข้ามไปปีหน้า กลางปีหน้า วันนี้ไม่มีใครพูดแล้ว ทุกอย่างต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แสดงให้เห็นแล้วว่า เราไม่ได้ขาดวัคซีน ปีนี้จะฉีดให้ครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้น การจัดหาวัคซีนในปี 2565 ก็จะไม่ตึงเครียดมากนัก เพราะเป็นการเน้นจัดหาวัคซีนเข็มกระตุ้น ไม่ต้องกันไว้เป็นเข็ม 2 อีก รวมถึงปีต่อ ๆ ไปสถานการณ์น่าจะคลี่คลาย ที่มีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเหมือนโรคไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดทุกปี” นายอนุทิน กล่าว

เปิดข้อมูลอสังหาฯ ยังวูบ หวังปีหน้าตลาดเริ่มฟื้น

นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยผลสำรวจภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยของกรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า ภาพรวมตลาดมีการชะลอตัวอย่างมากในด้านอุปทานของหน่วยเปิดขายใหม่ ซึ่งลดลงกว่า 37% ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยเป็นการลดลงอย่างมากในส่วนของอาคารชุดเปิดขายใหม่ถึงลบ 42.5% แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีการชะลอตัวในการพัฒนาโครงการใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร ส่วนในจังหวัดนครปฐม สมุทรสาคร และสมุทรปราการยังคงมีการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ส่วนของภาพรวมอุปสงค์ของหน่วยขายได้ใหม่พบว่า ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าลดลงประมาณ 9% และหากพิจารณาอัตราดูดซับอาคารชุดพบว่า มีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเป็นผลจากการที่มีหน่วยเปิดขายใหม่ลดลง แต่ไม่ใช่เป็นผลมาจากหน่วยขายได้ใหม่เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้หากมองภาพรวมทั้งปี 2564 คาดว่าจะมีหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดประมาณ 53,693 หน่วย มีหน่วยรอการขายสะสมประมาณ 171,283 หน่วย และในปี 2565 คาดว่า หากมีการกระจายวัคซีนได้ทั่วถึงจะทำให้สถานการณ์ที่อยู่อาศัยดีขึ้น และจะส่งผลให้มีหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดไม่น้อยกว่า 80,117 หน่วย และคาดว่าจะส่งผลให้มีหน่วยเหลือขายสะสมลดลงโดยมีจำนวนหน่วยประมาณ 161,120 หน่วย หรือ ลดลง 5.9% เมื่อเทียบกับปี 2564

ทบ. เผยเรื่องร้องเรียนบ้านจัดสรรที่นครศรีธรรมราช ไม่ได้เป็นโครงการของกองทัพบก ขณะที่ ผบ.ทบ. ส่งกรมจเรทหารบกร่วมกองทัพภาคที่ 4 สอบสวนข้อเท็จจริงเร่งช่วยเหลือกำลังพล

ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวกำลังพลร้องเรียนได้รับความเดือดร้อนจากโครงการบ้านพักสวัสดิการในพื้นที่ ต.ปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยกู้เงินสวัสดิการมาผ่อนชำระ แต่การก่อสร้างไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดนั้น

กองทัพบกได้ให้ความสำคัญกับงานด้านสวัสดิการกำลังพล เพื่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีสวัสดิการในหลายรูปแบบ สำหรับกิจการออมทรัพย์เพื่อการเคหะสงเคราะห์ (อทบ.) ที่เป็นการให้กู้เงินนำไปซื้อบ้านที่พักอาศัยและผ่อนชำระตามกำหนดเวลา ที่ผ่านมา กองทัพบกได้มีการปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินการอย่างรัดกุม โดยให้ธนาคารของรัฐเข้ามาสนับสนุน กำหนดวิธีประเมินสินทรัพย์และระเบียบการกู้เงินที่ได้มาตรฐานเดียวกัน โดยมีผู้บังคับหน่วยและกรมสวัสดิการทหารบกกำกับดูแลให้เป็นไปตามนโยบายของกองทัพบก ทั้งนี้การกู้เงินของกำลังพลเพื่อนำไปซื้อบ้านจากโครงการบ้านพักสวัสดิการกำลังพล ดำเนินการใน 2 ลักษณะ คือ เป็นโครงการที่กองทัพบกดำเนินการเอง และโครงการที่เอกชนดำเนินการและนำมาเสนอให้กำลังพลเข้าร่วม 

ในภาพรวมขณะนี้ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้แต่งตั้งคณะทำงานเข้าดำเนินการตรวจสอบการบริหารจัดการโครงการบ้านพักเพื่อสวัสดิการกำลังพลทุกโครงการในทุกจังหวัด  ทั้งในส่วนที่เป็นโครงการของหน่วยทหารกองทัพบกดำเนินการเอง และในส่วนที่ผู้ประกอบการภายนอกมานำเสนอให้หน่วยทหารและกำลังพลเข้าร่วมตรวจสอบให้เป็นไปตามนโยบายด้านสวัสดิการ และกำลังพลได้รับการดูแล เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมเป็นไปตามกฎระเบียบ  ที่สำคัญกำลังพลผู้เข้าร่วมโครงการได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่ได้มีการตกลงกันไว้ และเป็นไปตามระบบการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน 

สำหรับกรณี การร้องเรียนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช นั้น ผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งสอบสวนข้อเท็จจริงให้ปรากฏ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของกำลังพลอย่างเร่งด่วน โดยกองทัพบกได้ส่งคณะกรรมการจาก กรมจเรทหารบกเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ร่วมกับกองทัพภาคที่ 4 เพื่อหาผู้รับผิดชอบและรักษาสิทธิประโยชน์ของกำลังพล ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย พร้อมหาวิธีการแก้ปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนให้กับกำลังพล

จากการตรวจสอบพบว่า โครงการบ้านจัดสรรที่ จ.นครศรีธรรมราชนี้ ไม่ใช่โครงการของกองทัพบก แต่เป็นโครงการภายนอกที่เอกชนดำเนินการขายบ้านจัดสรรให้กับประชาชนทั่วไป โดยมี พ.อ.ไชยศักดิ์ หิรัญกิจ เป็นเสมือนผู้ประสานโครงการของเอกชน เป็นโครงการบ้านจัดสรรที่ผู้ซื้อสามารถกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไปมาผ่อนชำระ โดยมีผู้ซื้อบ้านบางส่วนที่เป็นกำลังพลของกองทัพภาคที่ 4 ที่ได้กู้เงินจากกิจการออมทรัพย์เพื่อการเคหะสงเคราะห์จากกรมสวัสดิการทหารบก ตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์มาซื้อบ้านในโครงการดังกล่าวด้วยความสมัครใจ และได้เกิดปัญหาในเรื่องการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามรูปแบบรายการที่กำหนดไว้ ทำให้บ้านหลายหลังไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้ แจ้งเจ้าของโครงการแล้วไม่ได้รับการแก้ไข จนนำมาสู่การร้องเรียนและกองทัพบกได้เข้ามาตรวจสอบดังกล่าว

ล่าสุด กองทัพภาคที่ 4 ได้ลงพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง สอบสวนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งเจ้าของโครงการและกำลังพลที่ได้รับความเดือดร้อน ตลอดจนศึกษารายละเอียดรูปแบบรายการที่ปรากฏในสัญญาเพื่อกำหนดแนวทางแก้ปัญหาตามแนวทางที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายต่อไป  

“เสกสกล”ย้อน"ทักษิณ" กินปูนร้อนท้อง ปัดจ่ายดีลล้มบิ๊กตู่” เย้ย โจรย่อมดินปูนร้องท้อง” ชี้ ยัน ปชช.รู้ดี บ้านเมืองวุ้นวายเพราะใคร

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือโทนี่ วู้ดซั่ม กล่าวใน CARE Talk x CARE ClubHouse ถึงการรวมเสียง ส.ส.ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพื่อโหวตไม่ไว้วางใจนายกฯโดยมีการปล่อยข่าวว่านำเงิน 2,000 ล้านจากนายทักษิณ ไปดีลล้มนายกฯแต่ไม่สำเร็จ พร้อมบอกว่าคนอย่างทักษิณ ไม่โง่ทำแบบนั้น ว่า เรื่องนี้จะปล่อยหรือไม่ปล่อยข่าว ไม่มีใครทราบนอกจากนายทักษิณเอง  แต่อยากเตือนสติให้สังคมได้รับรู้ ถ้าไม่มีมูล หมาไม่ขี้  เมื่อการดีลล่ม จะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น  แต่นายทักษิณ อย่าลืมว่าประชาชนคนไทยเขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ที่การเมืองในบ้านยังคงวุ่นวายเพราะยังมีคนที่แค้นใจ ที่ต้องเร่ร่อนไปอยู่ต่างประเทศ ไม่มีโอกาสให้กลับแผ่นดินไทย ที่เป็นแผ่นดินเกิด 

นายเสกสกล กล่าวว่า นายทักษิณ เป็นอดีตนายกฯ ไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณประเทศ หรือตอบแทนเพื่อลบล้างในสิ่งที่ตัวเองทำความผิดกับประเทศมาบ้างหรือ ที่ประเทศชาติเสียหายเพราะอะไรจน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯต้องมาเก็บกวาดทุกอย่างที่พวกพ้องทำไว้กับประเทศชมากมาย เรื่องที่เกิดขึ้นพล.อ.ประยุทธ์ รู้ดี ถึงได้ตัดสินใจดำเนินการขั้นเด็ดขาด และที่ผ่านมาย้ำอยู่เสมอว่าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องเด็ดขาด ตนยืนยันว่า
นายกฯไม่จำเป็นที่ต้องแจกกล้วย เหมือนที่นายทักษิณ บอกเพราะทำทุกอย่างด้วยความจริงใจ เพื่อเดินหน้าแก้ปัญหาที่ประชาชนต้องประสบความเดือดร้อน ไม่ได้หวังผลทางการเมือง โดยเฉพาะแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด และเตรียมที่จะเปิดประเทศให้ทุกคนได้กลับมาทำมาหากินตามปกติ  

“นายทักษิณ สามารถช่วยคนไทย และประเทศไทยได้โดย หยุดพูด หยุดแซะ หยุดให้ร้ายคนโน้น คนนี้เสียที ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง ก็ช่วยประเทศและประชาชนได้มาก และอย่าพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ส่วนที่ว่าไม่มีความคิดโง่ๆที่จะใช้เงิน2,000 ล้านบาท มาดีลล้มนายกฯ นายโทนี่อาจจะไม่ได้ลงมือทำ แต่อาจจะมีเจ้ ด.สั่ง นักการเมืองชื่อ ว. มาดีลก็ได้ใครจะไปรู้ และ "โจรส่วนใหญ่ที่กลัวความผิด มักจะกินปูนร้อนท้องเสมอ" นายเสกสกล กล่าว

มท. จ่อชง ครม. ขอต่ออายุ คก.พัฒนาตำบลแบบบูรณาการ คงสภาพ จ้างงานบัณฑิตป.ตรี 14,510 คน ใน 7,255 ตำบล บรรเทาความเดือดร้อนจากโควิด-19 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลได้ผลักดันหลายโครงการที่เป็นการจ้างงานเพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบยังมีรายได้ ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ (Tambon Smart Team) โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นการจ้างงานเพื่อจัดเก็บข้อมูลและบันทึกข้อมูลในระดับตำบลในทุกมิติทั้ง 12 ด้าน เพื่อนำข้อมูลมาประมวลผล และสร้างแพลตฟอร์มให้หลายภาคส่วนสามารถเข้ามาดูข้อมูลแต่ละพื้นที่ เช่น แต่ละตำบลมีพืชเศรษฐกิจอะไรบ้าง มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจยังไงบ้าง ซึ่งมีการประมวลผลทุกเดือน โดยโครงการดังกล่าวมีกรอบระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 ต.ค.2563 - 30 ก.ย. 2564 โดยได้จ้างงานประชาชนที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่า จำนวน 7,255 ตำบล ตำบลละ 2 อัตรา รวม 14,510 อัตรา (ครอบคลุม 878 อำเภอ ในพื้นที่ 76 จังหวัด) อัตราจ้างเหมา 15,000 บาทต่อเดือน  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวได้ช่วยบรรเทาความเดือนร้อนให้กับประชาชนที่หางานทำได้ยากในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด รวมถึงได้เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนผ่านมาตรการการจ้างงาน ผู้ร่วมโครงการเกิดสร้างทักษะ ประสบการณ์การทำงาน ที่สามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ในชีวิต กระทรวงมหาดไทยจึงได้พิจารณาต่อโครงการฯ จากที่จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2564 นี้ ออกไปอีก

เพื่อให้ประชาชนยังมีงานทำ และสานต่อการจัดทำฐานข้อมูลระดับตำบลให้เสร็จสมบูรณ์ เป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบของโควิด-19 ต่อไป สำหรับความคืบหน้าล่าสุดนั้น กระทรวงมหาดไทยได้เสนอเรื่องการต่ออายุโครงการไปยังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ โดยสภาพัฒน์อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด เร็วๆนี้คาดว่าจะได้เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า โครงการพัฒนาตำบลแบบบูรณาการ ซึ่งดำเนินการในปีงบประมาณ 2564(ต.ค.63-ก.ย.64) จ้างประชาชนเก็บข้อมูลระดับตำบล 12 ด้าน เช่น โครงสร้างพื้นฐานและกายภาพ ,การปกครองและความมั่นคง,สาธารณภัย,สาธารณสุข,ที่ดิน,การผังเมือง,ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม,เศรษฐกิจ,เกษตรกรรม,อุตสาหกรรม,การบริการและการท่องเที่ยว และสังคมและการศึกษา รวมเป็นฐานข้อมูลแบบบูรณาการ (Data Base) สามารถใช้สำหรับการวางแผนพัฒนาพื้นที่ในทุกระดับ และเป็นฐานข้อมูลกลางที่เปิดเผยต่อสาธารณชน (Single opened-data system) ให้ทุกภาคส่วนของรัฐ เอกชน ภาคประชาสังคมต่างๆ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ร่วมกันในข้อมูลชุดเดียวกัน การจ้างแรงงาน 14,510 อัตรา ใช้จ่ายงบประมาณจาก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563  อยู่ภายใต้ภายใต้แผนงานส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชน งบประมาณ 2,701.87 ล้านบาท

เรียบร้อย ทอท. คุมสนามบินรัฐเพิ่ม 3 แห่ง ทั้งอุดรฯ กระบี่ บุรีรัมย์

กรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า กรมฯ เตรียมมอบความรับผิดชอบการบริหารจัดการท่าอากาศยานให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ใน 3 ท่าอากาศยาน คือ ท่าอากาศยานอุดรธานี กระบี่ และบุรีรัมย์ เพื่อเพิ่มปริมาณเที่ยวบิน และผู้โดยสาร ทั้งต่างประเทศและในประเทศ รวมถึงการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบินได้อย่างคล่องตัว

สำหรับแนวทางนี้เป็นการดำเนินงานเพื่อร่วมกันพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการท่าอากาศยาน ที่มีอยู่ของกรมท่าอากาศยาน ซึ่งเป็นท่าอากาศยานของภาครัฐ ให้มีความสามารถในการจัดหารายได้ให้มากขึ้น โดยที่กรมท่าอากาศยานยังได้รับเงินชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากการมอบความรับผิดชอบดังกล่าว รวมถึงจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการบริหารงานที่คล่องตัว ของ ทอท. ด้วย ซึ่งรายได้ชดเชยดังกล่าว กรมท่าอากาศยานจะนำไปบริหารจัดการท่าอากาศยานที่เหลืออยู่ เพื่อลดการใช้เงินงบประมาณของภาครัฐในการดำเนินงาน

อย่างไรก็ตามการมอบความรับผิดชอบในบริหารจัดการ ไม่ได้มีการโอนทรัพย์สินของรัฐไปให้กับทาง ทอท. แต่อย่างใด แต่เป็นการมอบความรับผิดชอบในการบริหารจัดการผ่านสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์ ส่วนรายได้ของกรมท่าอากาศยานที่หายไป ทาง ทอท. ก็มีการชดเชยให้ เหมือนในขณะที่กรมท่าอากาศยานบริหารจัดการเอง โดยอยู่ระหว่างการศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมากำหนดรูปแบบที่เหมาะสม ซึ่งประเทศจะได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรรัฐร่วมกันระหว่างกรมท่าอากาศยานและ ทอท. ส่งผลให้ปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการบินเพิ่มมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ 

สำนักงานตำรวจเปิดที่ทำการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัวเพื่อรองรับภารกิจป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีเปิดที่ทำการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ณ ชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของชุดปฏิบัติการ เพื่อรองรับและเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดที่ทำการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ณ ชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.จารุวัฒน์  ไวศยะ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ. ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา, ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนเพื่อความมั่นคง

แห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา. เจ้าหน้าที่อาวุโสตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย สำนักงานตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย และปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีฯ ทั้งนี้ ในส่วนของที่ปรึกษา ศพดส.ตร. และ NGOs หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเข้าร่วมพิธีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ZOOM) จำนวนทั้งสิ้น รวม 158 ท่าน โดยเมื่อเสร็จสิ้นพิธีเปิดฯ คณะผู้บังคับบัญชา และแขกผู้มีเกียรติเข้าเยี่ยมชมสถานที่ที่ทำการ ชุดปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ และภาคประมงในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (Thailand Anti Trafficking In Persons Task Force : TATIP) และที่ทำการ ชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (Thailand Internet Crimes Against Children Task Force : TICAC) และเยี่ยมชมสถานการณ์จำลองการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์

สำหรับ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับภารกิจ ตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง โดยกำหนดอำนาจหน้าที่เป็นศูนย์อำนวยการและสั่งการ และติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ พร้อมทั้งการแก้ไขปัญหาเด็ก สตรี ครอบครัว รวมถึงแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย พร้อมรายงานผลการดำเนินงาน เพื่อเสนอไปยังผู้บังคับบัญชาในการวินิจฉัย สั่งการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เร่งด่วนสำคัญที่เกิดขึ้น  ได้อย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ ทั้งนี้ ศพดส.ตร. ได้แบ่งชุดปฏิบัติการออกเป็นชุดต่างๆ ดังนี้ 1. ชุดปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต 2. ชุดปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์และภาคประมงในประเทศไทย 

โดยมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต และการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย มุ่งเน้นการสืบสวน ปราบปรามจับกุม และสนับสนุนการปฏิบัติให้กับหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ จึงได้มีการปรับปรุงสถานที่ทำการ ณ ชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของชุดปฏิบัติการให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจดังกล่าว เพี่อรองรับภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และบรรลุตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top