Saturday, 5 July 2025
Hard News Team

CNN เผย 'ประเทศไทย' ติดอันดับ 1 ใน 5 ประเทศทั่วโลก ประกาศนโยบาย 'อยู่ร่วมกับโควิด'

เอเจนซีส์ - หลังจากที่วิกฤตโควิด-19 พ่นพิษนานร่วม 18 เดือนทำให้หลายชาติตัดสินใจใช้นโยบายอยู่ร่วมโควิด-19 และเปิดประเทศ พบ “ไทย” กลายเป็น 1 ใน 5 ประเทศทั่วโลกที่ใช้นโยบายนี้ถึงแม้จะยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน

CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานวันนี้ (16 ก.ย.) ว่า มีหลายประเทศในโลกเริ่มหันมาใช้นโยบายอยู่ร่วมกับโควิด-19 หลังจากต้องปิดประเทศ สั่งล็อกดาวน์จนทำให้มีผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ การตัดสินใจอยู่ร่วมโควิด-19 นอกจากนี้ มาจากอัตราการได้รับวัคซีนป้องกันของประชาชนในประเทศมีสูงขึ้น สื่อสหรัฐฯ ชี้

(1) เดนมาร์ก เป็นชาติในยุโรปที่ประกาศว่ามาตรการป้องกันต่าง ๆ ได้สิ้นสุดลงโดยรัฐบาลโคเปนเฮเกนยกเลิกมาตรการจำกัดทางโควิด-19 ที่เหลือทั้งหมดในวันที่ 10 ก.ย ที่ผ่านมา กล่าวว่า “โควิด-19 ไม่ใช่โรคที่เป็นภัยคุกคามต่อสังคมแดนโคนมอีกต่อไป”

และในเวลานี้ชาวเดนมาร์กสามารถเข้าไปใช้บริการในไนต์คลับได้โดยไม่ต้องแสดงบัตรการฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือการโดยสารระบบขนส่งสาธารณได้อย่างสะดวกใจโดยที่ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยให้อึดอัด และสามารถเข้าร่วมงานที่มีคนจำนวนมากโดยไม่มีข้อจำกัดเป็นการกลับคืนชีวิตปกติสุขเหมือนสมัยก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ระบาดทั่วโลก

CNN ชี้ว่า รัฐบาลเดนมาร์กมั่นใจถึงการอยู่ร่วมกับโควิด-19 เนื่องมาจากอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประชากรแดนโคนมมีสูง โดยตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ย พบว่า กว่า 74% ของประชากรเดนมาร์กได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดส อ้างอิงตัวเลขจากเว็บไซต์ ourworldindata.org

ด้านรัฐมนตรีสาธารณสุขเดนมาร์ก Magnus Heunicke ทวีตในวันพุธ (15 ก.ย.) ระบุว่า การระบาดยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม เขาเตือนประชาชนว่าอย่างชะล่าใจเพราะเดนมาร์กยังไม่พ้นจากวิกฤตโควิด-19 และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลแดนโคนมเห็นสัญญาณการกลับมาของวิกฤตจะไม่ลังเลที่จะจัดการ

(2) สิงคโปร์ ถือเป็นหนึ่งในชาติที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงที่สุดในโลกแต่ทว่ายังคงประสบปัญหาจากไวรัสกลายพันธุ์เดลตา ที่ผ่านมารัฐบาลสิงคโปร์ของนายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง ใช้นโยบายแข็งกร้าว “โควิดเป็น 0” ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางและมีประชาชนแดนลอดช่องจำนวน 81% ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดส

ซึ่งนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศนโยบายการอยู่ร่วมกับโควิด-19 เป็นความพยายามเพื่อควบคุมการระบาดด้วยการแจกวัคซีนโควิด-19 และจับตาการรักษาพยาบาลมากกว่าการจำกัดการใช้ชีวิตของประชาชน

“ข่าวร้ายคือโควิด-19 อาจจะไม่มีวันหายไป แต่ข่าวดีก็คือเราสามารถใช้ชีวิตตามปกติอยู่ร่วมกับโควิด-19 ระหว่างพวกเราได้” เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านโควิด-19 ของสิงคโปร์เขียนผ่านบทบรรณาธิการในเวลานั้น

ตั้งแต่สิงหาคมเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่สิงคโปร์เริ่มปลดล็อกมาตรการบางอย่าง อนุญาตให้ประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบโดสสามารถนั่งทานอาหารในภัตตาคารและรวมกลุ่มสังสรรค์ได้สูงสุดถึง 5 คน เพิ่มจาก 2 คนก่อนหน้า

เจ้าหน้าที่ต่อต้านโควิด-19 ของสิงคโปร์กล่าวว่า จะใช้ความพยายามจำกัดการระบาดด้วยการตามหาผู้ที่เคยสัมผัสผู้ติดเชื้อ คลัสเตอร์ และบังคับการตรวจหาเชื้อเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มแรงงานที่มีความเสี่ยงสูง

(3) ไทย ถึงแม้ไทยจะมีความล่าช้าในการแจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชน แต่รัฐบาลไทยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงเดินหน้าที่จะเปิดประเทศ

โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กล่าวว่ามีแผนการจะเปิดกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนในเดือนตุลาคมที่จะถึง เพื่อหวังที่จะฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศถึงแม้การติดเชื้อโควิด-19 ยังคงสูง

CNN รายงานว่า อัตราความสำเร็จของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไทยยังตามหลังเพื่อนบ้าน พบว่ามีแค่ 18% ของประชากรไทยที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดส อ้างอิงจากตัวเลขเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ของเว็บไซต์ ourworldindata.org และมีจำนวน 21% ที่ได้รับแค่เข็มแรก

ภายใต้นโยบาย กรุงเทพฯ แซนด์บอกซ์ พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดสและผ่านการตรวจของรัฐบาลจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ หัวหิน พัทยา และเชียงใหม่ ในเดือนตุลาคมนี้ อ้างอิงจากรอยเตอร์

(4) สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ รัฐบาลเคปทาวน์เริ่มต้นผ่อนคลายมาตรการจำกัดทางโควิด-19 เนื่องมาจากมีอัตราการติดเชื้อต่ำลงภายในประเทศ

ท่ามกลางมาตรการทั้งหลายด้านโควิด-19 พบว่าได้มีการปรับเวลาเคอร์ฟิวกลางคืนลดลงมาอยู่ที่ 23.00-04.00 น.แทน และยังเพิ่มจำนวนคนของการรวมตัวมาอยู่ที่ 250 คนสูงสุดสำหรับภายในอาคาร และจำนวน 500 คนสูงสุดที่นอกอาคาร และยังลดข้อจำกัดการขายเครื่องดื่มสุราอีกด้วย

การผ่อนคลายมาตรการทางโควิด-19 เหล่านี้ถูกประกาศขึ้นในวันทิตย์ (12 ก.ย.) โดยประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซีริล รามาโฟซา ที่ชี้ว่าแอฟริกาใต้ผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้เป็นส่วนใหญ่แล้วหลังจากใช้มาตรการอย่างเข้มงวด เป็นต้นว่า การใช้มาตรการระยะห่างทางสังคม และห้ามการรวมตัวของสาธารณะเว้นไว้แต่การเข้าร่วมงานศพในเวลานั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 ยังต่ำ

รามาโฟซา ชี้ว่า การระบาดจากไวรัสเดลตาในประเทศยังคงไม่จบลงพร้อมกระตุ้นให้ประชาชนแอฟริกาใต้เร่งออกไปรับวัคซีนโควิด-19 พร้อมกับทำตามข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อทำให้แอฟริกาใต้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง

(5) ชิลี ชิลีได้รับเสียงชื่นชมจากนานาประเทศถึงความสำเร็จของโครงการแจกวัคซีนโควิด-19 ที่เป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ อ้างอิงจากกระทรวงสาธารณสุขชิลีพบว่า เกือบ 87% ของผู้มีสิทธิได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดส

และที่ผ่านมา รัฐบาลเซบาสเตียน พิเนรา ได้เริ่มแจกวัคซีนเข็มกระตุ้นซึ่งเป็นเข็มที่ 3 ให้ประชากรที่ได้รับวัคซีนครบโดส ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชิลีในวันพฤหัสบดี (9 ก.ย.) ได้อนุมัติให้สามารถใช้วัคซีนซิโนแวคของจีนกับเด็กอายุ 6 ปีหรือสูงกว่า โดยการเริ่มต้นให้ภูมิคุ้มกันแก่เด็กเริ่มมาตั้งแต่วันจันทร์ (13 ก.ย.)

แต่ถึงแม้ว่าชิลียังคงประสบปัญหาจากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา ในวันพุธ (15 ก.ย.) พบว่ารัฐบาลชิลีประกาศความเคลื่อนไหวในการกลับมาเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง โดยจะเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ซึ่งบังเอิญเป็นช่วงเวลาของฤดูร้อนในทวีปอเมริกาใต้พอดี

ทั้งนี้ ชาวต่างชาติที่ไม่มีถิ่นพำนักถาวรจะสามารถเดินทางเข้ามาได้หากว่าพวกเขาผ่านคุณสมบัติและข้อกำหนดที่วางไว้ของรัฐบาลชิลีและทำการกักตัวเป็นเวลา 5 วันหลังเดินทางเข้าประเทศ

“เป็นความจริงที่ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางเข้าชิลี ถือเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับการพลิกฟื้นของการท่องเที่ยวในประเทศ” ปลัดกระทรวงท่องเที่ยวชิลี โฮเซ ลูอิส อูเรียอาเต (José Luis Uriarte) กล่าว


ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000092133
https://edition.cnn.com/2021/09/16/world/covid-countries-opening-up-cmd-intl/index.html

พันธมิตรจิตอาสา ห่วงใยชุมชนเอื้ออาทร รังสิตคลอง 2 หลังมีผู้ติดโควิดเกือบทั้งชุมชน ลงพื้นที่ตะลุยส่งข้าวปันอิ่ม ช่วยคลายทุกข์

(16 ก.ย.64)​ หมู่บ้านเอื้ออาทรรังสิตคลอง 2 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมตัวแทนมูลนิธิสหชาติ ตัวแทนนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.) หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่น 12 (สสสส.) หนังสือพิมพ์ ดีดีโพสต์ นิวส์ เวปไชต์ข่าว canchaonews.com รวมกลุ่มจากองค์กรต่างๆ ในนาม “พันธิมิตรจิตอาสา” เป็นสะพานบุญ ส่งมอบข้าวกล่องอุ่นร้อนพร้อมรับประทานโครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” จากเครือบริษัท ซีพี และโลตัส ส่งต่อความห่วงใยถึงชาวบ้านในชุมชน โดยมี นายจักรกฤช วิเศษชัยวรรณ กลุ่มร่วมด้วยช่วยกัน พร้อมตัวแทนชาวบ้าน รับมอบ เพื่อนำไปส่งต่อให้กับชาวบ้านกักตัว และที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด

นายจักรกฤช วิเศษชัยวรรณ กลุ่มร่วมด้วยช่วยกัน เปิดเผยว่า ชุมชนบ้านเอื้ออาทรรังสิตคลองสอง มีผู้พักอาศัย 1,375 ครัวเรือน มีประชากรเกือบ 4,000 คน ล่าสุดมีผู้ที่ต้องกักตัวอยู่ภายในบ้าน 57 คน เสียชีวิตแล้ว 2 ราย และเมื่อ 2 เดือนที่แล้วพบมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เกือบทั้งชุมชน และได้ทำการรักษาจนดีขึ้นเป็นลำดับ 

ด้านนายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า จากภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่แพร่ระบาดได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ส่งผลกระทบต่อการทำมาหากิน ส่งผลให้คนต้องตกงาน การแบ่งปันมื้ออาหารจากโครงการครัวปันอิ่ม ถือเป็นการส่งความห่วงใยให้กับคนในชุมชน กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา มุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคม ลงพื้นที่เติมความสุขแบ่งปันความรักในยามที่ทุกคนลำบาก เราจะก้าวไปพร้อมกันและจะไม่ทิ้งใครไว้ข้าวหลัง

‘สหรัฐ-อังกฤษ-ออสซี่’ ผนึกกำลัง ตั้งพันธมิตรอินโด-แปซิฟิก สู้ ‘จีน’

3 ประเทศนำโดยสหรัฐจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก และจะช่วยออสเตรเลียสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ด้านจีนแสดงท่าทีคัดค้านความร่วมมือดังกล่าวทันที

ผู้นำสหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลียแถลงร่วมกันหลังหารือทางไกลว่า ทั้ง 3 ประเทศจะจัดตั้งพันธมิตรด้านความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก ซึ่งจะทำให้ออสเตรเลียได้รับความช่วยเหลือในการต่อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ด้วย ในขณะที่อิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้กำลังแผ่ขยาย

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวว่า “เรากำลังก้าวไปสู่ประวัติศาสตร์อีกก้าวหนึ่งเพื่อสร้างความร่วมมือที่ลึกซึ้งและเป็นทางการระหว่างทั้งสามประเทศ เนื่องจากเราทุกคนตระหนักดีถึงความจำเป็นในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในอินโดแปซิฟิกในระยะยาว...เพราะอนาคตของทั้ง 3 ประเทศทั้งโลกขึ้นอยู่กับความเสรีและเปิดกว้างของอินโด-แปซิฟิก ยั่งยืนและเฟื่องฟูในทศวรรษหน้า”

นายกรัฐมนตรี สกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลียกล่าวว่า ออสเตรเลีย “จะไม่สะสมอาวุธนิวเคลียร์ และจะเดินหน้าปฏิบัติตามพันธสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์”

นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสันของอังกฤษกล่าวว่า “เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญสำหรับประเทศใด ๆ ก็ตามที่จะได้มาซึ่งความสามารถที่น่าเกรงขามในการครอบครองเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ และสำคัญเท่า ๆ กันสำหรับประเทศอื่น ๆ ที่จะเข้ามาช่วยเหลือ”

ด้านเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของรัฐบาลไบเดนเผยว่า กลุ่มพันธมิตรที่มีชื่อว่า "AUKUS" ที่มาจากชื่อของทั้ง 3 ประเทศ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นการส่งเสริมผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ของกลุ่ม รักษาระเบียบตามกฎสากล และส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในอินโด-แปซิฟิก

โครงการแรกคือ การหารือความเป็นไปได้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดหาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ให้ออสเตรเลีย โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐเน้นย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องกับการจัดหาอาวุธนิวเคลียร์แก่ออสเตรเลีย เรือดำน้ำเหล่านี้จะไม่ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ แต่เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์จะช่วยให้กองทัพเรือออสเตรเลียปฏิบัติการใต้น้ำได้ยาวนานขึ้น เงียบขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดีลสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ดังกล่าวส่งผลให้สัญญาต่อเรือดำน้ำ 12 ลำ มูลค่าราว 66,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่ออสเตรเลียทำไว้กับ Naval Group บริษัทต่อเรือของกองทัพเรือฝรั่งเศสเมื่อปี 2016 สิ้นสุดลง สร้างความไม่พอใจให้ฝั่งฝรั่งเศส

ฌอง อีฟ เดอ ดริยอง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสและโฟลฮงซ์ ปาลี รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมออกแถลงการณ์ร่วมว่า “ทางเลือกของสหรัฐที่ผลักดันพันธมิตรยุโรปและหุ้นส่วนอย่างฝรั่งเศสออกจากการเป็นหุ้นส่วนกับออสเตรเลียในเวลาที่เรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก...แสดงให้เห็นถึงการขาดความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ซึ่งฝรั่งเศสทำได้เพียงยอมรับและเสียใจ”

ด้านจีนแสดงท่าทีคัดค้านความร่วมมือนี้เช่นกัน หลิวเผิงอวี่ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตันดีซีเผยว่า สหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลียไม่ควรสร้างกลุ่มเฉพาะที่พุ่งเป้าหรือเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของประเทศที่สาม ทั้ง 3 ประเทศควรสลัดความคิดและอคติทางอุดมการณ์ทิ้งเสียก่อน

'จุรินทร์” เผย ไทม์ไลน์ 'เจาะตลาด' ขยายการค้า 'ไทย-ไห่หนาน' นำการค้าไทย 'ลุย' ตลาดจีน

(16 ก.ย. 64) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ลงนาม MOU ด้านการค้ากับมณฑลไห่หนาน ประเทศจีน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น MOU ฉบับประวัติศาสตร์ และเป็นฉบับแรกที่ไทยทำกับระดับมณฑลของจีน ตามนโยบายการเร่งรัดการเจรจาการค้าภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ

โดยกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างไทยกับไห่หนานในช่วงปลายปี 2564 ในรูปแบบของการจับคู่เจรจาธุรกิจออนไลน์ หรือ Online Business Matching: OBM และวิธีการส่งเฉพาะสินค้าตัวอย่างไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ หรือ Mirror & Mirror โดยจะเลือกโมเดลที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และก้าวข้ามขีดจำกัดในยุค New Normal

“นอกจากนี้ สำหรับในปี 2565 ยังมีแผนกิจกรรมที่จะสร้างโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันอีกมาก ทั้งการจัดงาน Top Thai Brand ไห่หนาน ซึ่งจะเป็นการยกทัพสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกของไทยไปร่วมจัดแสดงในงาน Hainan Expo อีกครั้งเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมธุรกิจบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งไทยมีโอกาสผลักดันทั้งสินค้าและบริการเชิงสุขภาพเข้าไปให้บริการในไห่หนาน อาทิ การนวดแผนไทย สปา ผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และการให้บริการสุขภาพแบบองค์รวม” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

ทั้งนี้ นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุด้วยว่าหลังจากที่รัฐบาลจีนได้มีนโยบายและประกาศให้มณฑลไห่หนานเป็นเมืองท่าการค้าเสรีเชื่อมโยงประเทศที่อยู่ในแนวหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ยิ่งกระตุ้นให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับมณฑลไห่หนานมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของประเทศไทยได้เริ่มมีสินค้าไทยเข้าไปขยายตลาดในมณฑลไห่หนานแล้ว สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทย - ไห่หนาน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีมูลค่ารวม 3,623 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปไห่หนาน 2,482 ล้านบาท และไทยนำเข้าจากไห่หนาน 1,142 ล้านบาท เป็นเบื้องต้น

และการทำข้อตกลงนี้ เป็นนโยบายการค้ายุคใหม่ของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเมื่อ 20 สิงหาคม 2564 นายจุรินทร์ได้เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางการค้าไทย-ไห่หนาน ระหว่างนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับนายเฉิน ซี อธิบดีกรมพาณิชย์ไห่หนาน ผ่านระบบทางไกล

"การลงนาม MOU เมื่อเดือนก่อนจะเป็นกลไกที่สำคัญในการส่งเสริมการค้าและการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พาณิชย์ให้แนวทางไว้ว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็น Mini-FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับมณฑลในประเทศจีน ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ไว้กับกระทรวงพาณิชย์ว่าให้ทำความตกลงการค้าฉบับเล็ก หรือจะเรียกว่า Mini-FTA ก็ได้ โดยทำกับรัฐต่าง ๆ ที่บางรัฐมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าหรือมีจำนวนประชาชนมากกว่าประเทศไทย

"โดยไห่หนานเป็นตัวอย่างแรกที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน และยังมีแผนที่จะเดินหน้าทำกับมณฑลอื่น ๆ ของจีนเพิ่มขึ้น เช่น มณฑลกานชู ที่มีชาวมุสลิมอยู่มาก เพื่อเป็นลู่ทางในการส่งเสริมการค้าสินค้าฮาลาลของไทย รวมถึงมณฑลอื่น ๆ ที่เห็นว่าเป็นโอกาส ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ท่านจุรินทร์ " รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว

ด้าน นางสาวสุภาวดี แย้มกมล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับเนื้อหาความร่วมมือนั้น ทางรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ให้ไว้ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่... 

1.) ความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและมาตรการสนับสนุน SMEs เช่น การลงทุน การจัดตั้งตัวแทนการค้าร่วมกัน 
2.) ส่งเสริมเชื่อมโยงธุรกิจ เพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของ SMEs เช่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พัฒนาสินค้า ขยายโอกาสสู่ตลาดที่สาม 
3.) อำนวยความสะดวกในกิจกรรมทางการค้า เช่น งานสัมมนา งานแสดงสินค้า จับคู่ธุรกิจ คณะผู้แทนการค้า เป็นต้น 
4.) ด้านการมุ่งขยายมูลค่าการค้าใน 3 สินค้าหลัก ประกอบด้วย สินค้าทางด้านการเกษตร สินค้าอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม 
5.) ส่งเสริมความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และจับคู่ธุรกิจออนไลน์

“และที่เมืองไห่หนานนั้นมี นางสาวอรนุช วรรณภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองกวางโจว พร้อมทีมเซลล์แมนประเทศ หรือทีมทูตพาณิชย์ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ดำเนินการประสานงานในพื้นที่ โดยทางฝ่ายไทยมี สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 ประสานดำเนินงานตามพันธกิจนี้” นางสาวสุภาวดี กล่าว

ทบ. โดย พล.ปตอ. และ มทบ.11 แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ภายใน  17 - 28ก.ย. 64 

กองทัพบก โดยกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ของกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1  เพื่อออกทำการฝึกเป็นหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วของ กองทัพบก ประจำปี 2564 ณ พื้นที่ฝึกศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี (ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19) ในวันที่ 17 ก.ย. 64 เวลา 03.00 น. เคลื่อนย้ายทางรถยนต์และทางรถไฟจาก กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5  กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 – ถ.แจ้งวัฒนะ – ถ.วิภาวดีรังสิต – ถ.พหลโยธิน – ถ.เลี่ยงเมืองสระบุรี ปลายทาง พื้นที่ฝึกศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี และเคลื่อนย้ายกลับ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1  ตามเส้นทางเดิม ในวันที่ 25 ก.ย. 64 เวลา 22.00 น.

กองทัพบก โดยมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ของ กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11เพื่อออกทำการฝึกเป็น หน่วย หมู่ ตอน หมวด ประจำปี 2564 ณ พื้นที่ฝึกเขาแหลม บ้านพุพรหม ต.ลาดหญ้า อ. เมือง จ.กาญจนบุรี (ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19)  ในวันที่ 17 ก.ย. 64 เวลา 05.30 น. เคลื่อนย้ายจาก กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11  – ถ.แจ้งวัฒนะ – ถ.ชัยพฤกษ์– สะพานพระราม 4 – แยกนพวงศ์  ถนนหมายเลข 346 - สามแยกกำแพงแสน  - ถนนหมายเลข 346 - สามแยกพนมทวน - ถนนหมายเลข 324 ปลายทาง พื้นที่ฝึกเขาแหลม บ้านพุพรหม ต.ลาดหญ้า อ. เมือง จ.กาญจนบุรี และเคลื่อนย้ายกลับ กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 ตามเส้นทางเดิม ในวันที่ 28 ก.ย. 64 เวลา 09.00 น.

จึงขอแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบ และขออภัยในความไม่สะดวกในวันปละเวลาดังกล่าว

‘แสนยากรณ์’ ซัดเพจ ‘ประเทศกูมี’ แพร่ภาพตัดต่อ-ข้อความเท็จ แต่อ้างสู้เพื่อประชาธิปไตย

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีเพจเฟซบุ๊ก "ประเทศกูมี" เผยแพร่ภาพตัดต่อประกาศรับสมัครผู้สมัครเป็น ส.ส. พรรคกล้า โดยเอาภาพบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาใส่ในประกาศ เข้าข่ายเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ จงใจให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ใส่ร้ายกล่าวหาให้คนเข้าใจผิดว่าพรรคกล้าเชิญทหารมารัฐประหาร กล่าวหาว่ากล้าที่จะทุจริต เป็นการกล่าวเท็จจงใจให้พรรคกล้าเกิดความเสียหาย 

"ถึงจะอ้างว่าสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือมองว่าพรรคกล้าเป็นฝ่ายตรงข้าม เราไม่ก้าวล่วง แต่เล่นการเมืองสกปรก ชกใต้เข็มขัด ใช้วิธีตัดต่อภาพ เขียนข้อมูลเท็จ แบบนี้ไม่เอานะน้อง ๆ จะโจมตีคนอื่น ก็ขอให้ใช้วิธีที่มีศักดิ์ศรีหน่อย ทำแบบนี้มันน่ารังเกียจ และขอให้แนวร่วมเลิกติดตามเพจประเทศกูมี เพราะอาจเอาข้อมูลเท็จมาขยายอีกก็ได้" นายแสนยากรณ์ กล่าว 

นายแสนยากรณ์ กล่าวว่า เราหวังให้บ้านเมืองปฏิรูป สังคมมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ยึดมั่นถือมั่นในประชาธิปไตย แต่การใช้วิธีบิดเบือนข้อมูล ถือว่าคนกระทำผิดไม่เคารพหลักประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิ์ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด และเป็นเรื่องน่าเศร้าหากฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายปกป้องประชาธิปไตย บอกตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ แต่พฤติกรรมเก่าใช้วิธีสกปรกแบบนี้ ถ้าไม่อายคนอื่น ก็ขอให้อายพวกเดียวกันบ้าง และอยากจะให้แนวร่วมที่เห็นช่วยเตือนพวกเดียวกันเอง อย่าใช้วิธีทางการเมืองแบบนี้อีก หรือขอให้เลิกพฤติกรรมแบบนี้

สงขลา-บิ๊กโจ๊กลงพื้นที่หาดใหญ่ ติดตามความคืบหน้าโครงการ “สมาร์ท เชฟตี้ โซน 4.0” (SMART SAFETY ZONE 4.0)

สภ.หาดใหญ่ เป็น 1 ใน 15 แห่งในพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ.9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ เดินทางมาตรวจเยี่ยม สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็น 1 ใน 15 สถานีตำรวจนำร่องในโครงการ “สมาร์ท เชฟตี้ โซน 4.0” (SMART SAFETY ZONE 4.0) โดยมี พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 , พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา , พ.ต.อ.อัครวุฒ ธานีรัตน์ ผกก.สภ.หาดใหญ่ , นายชวกิจจ์ สุวรรณคีรี นายอำเภอหาดใหญ่ , พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ , พ.อ.กุดั่น ทองคำ หัวหน้ากองยุทธการมณฑลทหารบกที่ 42 รวมทั้งส่วนราชการ ภาคเอกชนและท่องเที่ยวในเมืองหาดใหญ่ และภาคประชาชน เข้าร่วม

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ.9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า สำหรับโครงการ “สมาร์ท เชฟตี้ โซน 4.0” (SMART SAFETY ZONE 4.0) มีขึ้นตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากหลักความคิดของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ว่า “จะทำอย่างไรให้ประชาชนต้องไม่เกิดความหวาดระแวงภัยอาชญากรรม หากสามารถทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง สามารถเดินคนเดียวได้อย่างสบายใจบนถนนตอนกลางคืน”

กระทั่งนำมาสู่ป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบบูรณาการทุกภาคส่วน โดยใช้นวัตกรรม และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางตามแนวคิดเรื่อง “เมืองอัจฉริยะ” นำไปสู่ความปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างยั่งยืนด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาสร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจ ปลอดภัยในชุมชน รวมทั้งพัฒนาการทำงานของตำรวจควบคู่ไปด้วย ซึ่งล่าสุดได้นำร่องไปแล้วในพื้นที่ 15 สถานีตำรวจ ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ “สมาร์ท เชฟตี้ โซน 4.0” (SMART SAFETY ZONE 4.0) หรือ “พื้นที่สันติสุข” ของ สภ.หาดใหญ่ มีพื้นที่ในความรับผิดชอบ 0.47 ตร.กม. และทาง สภ.หาดใหญ่ ได้นำนวัตกรรมมาใช้ ในการป้องกันอาชญากรรมทั้งหมด 12 อย่าง คือ 1.Application Police 4.0 , 2.Application Police I lert U , 3.กล้อง Face detection เชื่อมโยงระบบหมายจับ , 4.ศูนย์กล้อง CCTV กอ.รมน. และกล้องวรจรปิดในพื้นที่ 617 ตัว พร้อมกล้อง Plates , 5.กล้องบันทึกวิดีโอขณะปฏิบัติหน้าที่ของสายตรวจ , 6.รถตู้ CCTV เคลื่อนที่พร้อมระบบปฏิบัติการ Face Detection , 7.โดรนตรวจการ , 8.Line Official Account สภ.หาดใหญ่ , 9.กลุ่มไลน์ภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในพื้นที่ , 10.ห้อง CCOC Command and Control Operation Center , 11.ระบบ GPS real-time สำหรับติดตามสายตรวจ และ 12.โปรแกรม Crime On mobile

นอกจากนี้ภายหลังการประชุมแล้วเสร็จ ทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ.9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะ ยังได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมศูนย์กล้องซีซีทีวี สภ.หาดใหญ่ รวมทั้งรถตู้ซีซีทีวีเคลื่อนที่พร้อมระบบปฏิบัติการ และพบปะเยี่ยมเยียนกำลังพล ก่อนเดินทางไปยังสถานรถไฟชุมทางหาดใหญ่ และย่านร้านทองในบริเวณดังกล่าว

เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน รวมทั้งผู้ประกอบการต่างๆ และประชาชนในพื้นที่ ได้รับทราบถึงการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวอย่างทั่วถึงกัน และจะติดตามความคืบหน้าในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการป้องกันอาชญากรรม เพื่อให้การป้องกันอาชญากรรมในโครงการดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงสุด

ตัวแทนควบคุมฝูงชน ยอมรับต่อ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ หาก คฝ. คนใดใช้ความรุนแรง ต้องรับผิดชอบเอง

วันที่ 15 ก.ย. 64 ในที่ประชุมกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ วาระพิจารณาข้อเรียกร้องขอให้ปกป้องสิทธิและคุ้มครองประชาชนจากการกระทำความรุนแรงของเจ้าหน้าที่และขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่อันเข้าข่ายเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมี พ.ต.ท. วชิรพงศ์ แก้วดวง รองผู้บังคับการหน่วยอารักขาและควบคุมฝูงชน หรือรองผบก.อคฝ.ชี้แจงต่อกรรมาธิการว่าเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดงตลอด 32 วันที่ผ่านมา มีปรากฏภาพเจ้าหน้าที่ คฝ.ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น 

พ.ต.ท.วชิรพงศ์ เปิดเผยว่าทางต้นสังกัดไม่มีคำสั่งและแนวทางให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม ซึ่งหากพบเจ้าหน้าที่คนใดใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่คนนั้นต้องรับผิดชอบเองไม่เกี่ยวกับต้นสังกัด 

ด้าน นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ในฐานะประธานกรรมาธิการ เปิดเผยว่า คำชี้แจงของพ.ต.ท.วชิรพงศ์เป็นการปัดความรับผิดชอบอีกทั้งยังผลักให้ผู้ใต้บังคับบัญชากลายเป็นผู้ร้าย ทั้งที่เจ้าหน้าที่ คฝ. ออกไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของต้นสังกัด ซึ่งหากการชี้แจงเป็นเช่นนี้ทางกรรมาธิการต้องเชิญให้เจ้าหน้าที่ คฝ. ที่ปรากฏในคลิปที่มีการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนทั้ง 14 คลิป เพื่อเรียกตัวเข้ามาสอบถามเพิ่มเติมว่าการตัดสินใจต่อสถานการณ์ตรงหน้าเป็นการใช้ดุลพินิจส่วนตัวหรือมีคำสั่งให้ใช้ความรุนแรง 

ส่วนกรณีที่สื่อมวลชนจำเป็นต้องปฏิบัติงานในพื้นที่การชุมนุม อาจส่งผลให้อยู่ในช่วงเคอร์ฟิวนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า สื่อมวลชนที่มีบัตรอนุญาตทุกคนจะได้รับผ่อนปรน แม้จะเป็นเคอร์ฟิวก็ตาม ด้านประธานกรรมาธิการจึงเสนอให้มีการผ่อนปรนต่อเจ้าที่พยาบาลอาสาทุกคนโดยใช้มาตรฐานเดียวกันกับสื่อมวลชนด้วย

“บิ๊กตู่” สั่งช่วยเยียวยาช่วยเหลือกลุ่มศิลปินเจอพิษโควิด 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้ประชุมร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และกลุ่มศิลปิน เพื่อหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ร่วมกับกลุ่มศิลปินพื้นบ้าน  กลุ่มศิลปินแห่งชาติ ศิลปินศิลปากร  กลุ่มเครือข่ายอุตสาหกรรมบันเทิง โรงงานและภาพยนต์ และภาคเอกชน กว่า 40 องค์กร โดยนายกฯ เห็นใจศิลปินพื้นบ้าน บุคลากรด้านศิลปวัฒนธรรมและผู้อยู่ในอุตสาหกรรมบันเทิง ซึ่งได้รับผลกระทบจากโควิด-19  โดยรัฐบาลได้ช่วยเหลือเยียวยาผ่านมาตรการต่างๆ ทั้ง การช่วยเหลือผู้ประกันตน ม. 33 ม. 39 และ ม. 40 และการลดภาษี

ทั้งนี้ นายกฯ ยังห่วงใยกลุ่มศิลปินบางส่วนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากข้อมูลตกหล่น จึงขอให้กระทรวงวัฒนธรรมเร่งประสาน รวบรวมรายชื่อและจำนวนบุคคลให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อภาครัฐจะได้จัดสรรทั้งวัคซีค รวมทั้งชุดตรวจ ATK ให้เหมาะสม ขณะเดียวกัน ก็จะได้ให้มีการขึ้นทะเบียนเพื่อให้เข้าถึงการเยียวยาของรัฐบาล และยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งในเครือข่ายของกลุ่มศิลปินทุกแขนงด้วย 

พร้อมกันนี้ยังรับข้อเสนอเกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ อาทิ การเปิดโรงภาพยนตร์ มหรสพ การผ่อนปรนให้กองถ่ายสามารถทำภาพยนตร์สามารถถ่ายทำได้ โดยจะมอบหมายให้ ศบค. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณามาตรการรองรับป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรคโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง จะต้องมีท้องถิ่นเข้าดูแลการถ่ายทำในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมกลุ่มของคนมากเกินไป 

ขณะเดียวกันยัง ได้สั่งการให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานเครือข่าย/กลุ่มศิลปิน เพื่อจัดทำข้อมูลให้ครอบคลุมและชัดเจน มอบหมายให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากมาตรการลดภาษี การช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึง Soft Loan แหล่งเงินทุน จากงบประมาณที่มีเหลืออยู่ จาก พรก. กู้เงินฯ โดยจะได้มีการนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

7 มาตราการ เปิดเรียนอย่างปลอดภัย

กระทรวงสาธารณสุข กำหนดรูปแบบการเรียนการสอนในโรงเรียนตามมาตรการ Sandbox ในโรงเรียน : Sandbox Safety Zone in School ซึ่งจะเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่มีความพร้อมเปิดเรียนได้ตามปกติ โดยเพิ่ม 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) เพื่อให้เกิดความปลอดภัยเมื่อเข้า - ออกโรงเรียน

1.) สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop Service Plus และรายงานการติดตามประเมินผล

2.) ทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble (เน้นกลุ่มเล็ก)

3.) จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลและหลักโภชนาการ

4.) จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน

5.) จัดให้มี School Isolation แผนเผชิญเหตุ และซักซ้อมอย่างเคร่งครัดหากพบผู้ติดเชื้อ

6.) ควบคุมดูแลการเดินทางไปกลับของนักเรียน เช่น รถส่วนบุคคล รถโดยสารสาธารณะ

7.) จัดให้มี School Pass สำหรับนักเรียน ครูและบุคลากรในสถานศึกษา ประกอบด้วย ผลการตรวจ ATK ภายใน 7 วัน หรือประวัติการรับวัคซีน

อย่างไรก็ตาม จะต้องประเมินความเสี่ยงตามสถานการณ์การระบาดในแต่ละพื้นที่ที่โรงเรียนตั้งอยู่ และต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัดหรือกรุงเทพมหานครก่อนที่จะเปิดเรียน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top