Friday, 4 July 2025
Hard News Team

“จุรินทร์” ไม่กังวล ฝ่ายค้านยื่นป.ป.ช.สอบ "เฉลิมชัย" ยัน ชี้แจงชัดเจนแล้วในสภาไม่มีประเด็นน่าสงสัย พร้อมแย้ม ส.ส.เลือดเก่า-เลือดใหม่ไหลเข้า ปชป.  อุบตอบให้รอเปิดตัว เชื่อกำลังเดินขึ้น ทั้งเห็นด้วย พท. ใช้พรรคเดียวเบอร์เดียวทั่วประเทศ ป้องกันปชช.สับสน

ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านจะยื่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เรื่องทุจริตยาง ซึ่งสืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ไม่ได้กังวล ในสภาทุกคนก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่านายเฉลิมชัยสามารถชี้แจงได้ชัดเจนครบถ้วนทุกประเด็น ไม่มีประเด็นอะไรที่สภาสงสัยหรือแม้แต่ประชาชนทั่วไป ฉะนั้นการยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบก็สามารถทำได้จึงไม่มีอะไรน่ากังวล

ทั้งนี้นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี รมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณี ส.ส.ภาคใต้ 9 คน จะย้ายกลับมาพรรคประชาธิปัตย์ ว่า คนที่เคยอยู่กับพรรคมาและออกไปก่อนหน้านั้นแล้วประสงค์จะกลับพรรคก็มีหลายคน ที่มาสมัครสมาชิกพรรคแล้วก็มี แต่สำหรับภาคใต้ ตนมอบหมายให้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคตามภารกิจ และรักษาการรองหัวหน้าพรรคภาคใต้เป็นผู้รับผิดชอบ ฉะนั้น รายละเอียดทั้งหมดขอให้ถามนายนิพนธ์ แต่ในภาพรวมเป็นไปตามแนวทางที่พรรคดำเนินการอยู่ขณะนี้ คือ แนวทางที่จะเดินหน้านำเลือดใหม่ไหลเข้า เลือดเก่าไหลกลับ ซึ่งขณะนี้นอกจากมีคนเก่ากลับพรรคแล้ว ก็ยังมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เข้ามาร่วมอุดมการณ์กับพรรคในทุกภาค เฉพาะในภาคใต้ก็ได้ประกาศตัวคนรุ่นใหม่ที่ จ.ระนองไปแล้ว ส่วนจ.ภูเก็ตก็จะเพิ่มจำนวน ส.ส.จาก 2 คน เป็น 3 คน ทั้งนี้ จะเรียนให้ทราบต่อไปว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งยังไม่ขอตอบว่าจะมี ส.ส.ทั้งเลือดเก่าและเลือดใหม่เข้ามาพรรคทั้งหมดกี่คน เมื่อถึงเวลาจะทยอยเรียนให้ทราบและจะมีการเปิดตัวเป็นนระยะ

เมื่อถามว่าการที่คนเก่าๆ กลับมาอยู่กับพรรคอีกครั้ง บ่งบอกว่าประชาชนในพื้นที่กำลังคิดอะไรอยู่ได้หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในทุกภาค ทุกคนพูดตรงกันว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินขึ้น ไม่ได้เดินลง ฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ สมาชิกคนเก่ากลับพรรค คนรุ่นใหม่ก็มาเติมให้เรามีพลังมากขึ้นในการที่จะเดินหน้าพาพรรคประชาธิปัตย์ไปรับใช้ประชาชนอย่างเต็มกำลังให้มากขึ้นในอนาคตต่อไป

เมื่อถามว่าจากผลงานที่ผ่านมาคะแนนนิยมของพรรคมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างไรบ้าง นายจุรินทร์ กล่าวว่า เรื่องผลงานตนมั่นใจว่าประชาชนตอบรับมากขึ้น และพรรคประชาธิปัตย์มีผลงานเป็นรูปธรรมเป็นที่ประจักษ์อย่างน้อย 2 เรื่อง ที่เราได้กำหนดไว้เป็นเงื่อนไขก่อนเข้าร่วมรัฐบาล คือ 1.ประกันรายได้เกษตรกร 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันนี้อย่างน้อย 2 เรื่องนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการให้เห็นผลสัมฤทธิ์เป็นจริงได้ เรื่องประกันรายได้นั้นภายในแค่ 4-5 เดือนเราก็สามารถโอนเงินส่วนต่างให้เกษตรกรได้ จึงเป็นที่มาที่มีการพูดกันว่าพรรคประชาธิปัตย์อุดมการณ์ทันสมัย ทำได้ไว ทำได้จริง เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญแม้จะต้องใช้เวลาบ้าง แต่วันนี้ก็ปรากฏชัดว่าอย่างน้อยที่สุดก็สามารถผ่านความเห็นชอบวาระ 3 ได้

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเล็กจะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ถ้าสามารถรวมเสียงได้ 1 ใน 10 ก็ยื่นได้ ส่วนตัวไม่มีอะไรกังวลเพราะเป็นเงื่อนไขและกระบวนการที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะเป็นผลดีก็ได้จะได้ไม่ต้องคาใจ ว่ากระบวนการในการดำเนินการหรือประเด็นอื่นๆ เป็นไปโดยชอบตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

ถามต่อว่าเชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านไปแล้วไม่มีประเด็นใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าไม่ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ เพราะทุกประเด็นผ่านขั้นตอนกระบวนการพิจารณาโดยชอบ มิเช่นนั้นจะนำไปสู่การลงมติร่วมกันในวาระ 3 ไม่ได้ และระหว่างทางก็มีการเสนอญัตติซึ่งสุดท้ายเสียงส่วนใหญ่พิจารณาแล้วก็เห็นตรงกันว่า สามารถดำเนินการได้และทุกอย่างเป็นไปโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามถึงการผลักดันพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูก มีการเตรียมการอย่างไรบ้าง นายจุรินทร์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุมส.ส.และมีมติตั้งคณะทำงานชุดหนึ่ง เพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์มองว่าจะแก้ไขกฎหมายลูกนั้น ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอพรรคเพื่อไทยที่จะแก้ไขบัตรเลือกตั้งให้เป็นแบบพรรคเดียวเบอร์เดียว จะได้ไม่สร้างความสับสน หากใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบแล้วใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศก็จะง่ายต่อประชาชนที่จะเลือก เพราะหากใช้แบบหนึ่งเขตก็หนึ่งเบอร์ การหาเสียงหรือชี้แจงต่อประชาชนก็จะยากลำบาก การใช้เบอร์เดียวพรรคเดียวเป็นการเสริมสร้างพรรคการเมืองให้เข้มแข็งขึ้น พรรคจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เนื่องจากพรรคการเมืองเป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉะนั้น รูปแบบใดก็ตามที่นำไปสู่การทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งได้ก็เป็นเรื่องที่ดี

"แรมโบ้" อัด " ทักษิณ" คิดเกมตื้น ท้า ยุบสภา ซัด หยุดคิดชั่ว หวังฟอกตัวเองพ้นผิด เชื่อ ปิดประตูกลับไทย

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเสวนาในคลับเฮาส์ CARE Talk x CARE ClubHouse ว่า นายกฯจะยุบสภาฯหากมั่นใจ คิดว่าบริหารดี มีคนชอบ ว่า การที่นายทักษิณ ท้าทายนายกฯเพราะยังมีความหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะได้กลับมามีอำนาจรัฐอีก และสามารถนำนายทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับประเทศได้ คนไทยส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 นายกฯ รัฐบาล ทีมแพทย์ ร่วมมือกับประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้ได้ ตรงกันข้ามนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย กลับนึกถึงแต่เรื่องทางการเมือง หวังผลประโยชน์ของตัวเอง เพื่อให้สมุนลิ่วล้อมีอำนาจรัฐ หวังช่วยตนเองและน้องสาว กลับประเทศให้ได้ เป้าหมายเพื่อฟอกตัวเองให้พ้นผิดคดีทุจริต จึงพยายามคิดวางแผนทุกวิถีทางทั้งใต้ดินหรือบนดิน ทำทุกช่องทาง

นายเสกสกล กล่าวว่า นายกฯ เข้ามาถูกต้อง หากจะออกไปต้องทำตาม กติกาคืออยู่จนครบเทอม หากนายทักษิณ และน้องสาวอยากกลับต้องทำตามกติกาบ้านเมืองเช่นเดียวกัน อย่าได้คิดแผนดีลล้มนายกฯ ล้มรัฐบาลเพราะใครก็รู้ทัน เกมนี้พอดีลไม่สำเร็จผิดหวัง ก็ออกอาการเที่ยวไล่ท้าให้นายกฯยุบสภา หรือลาออก แต่ไม่มีวันสำเร็จเพราะนายกฯไม่เคยคิดเช่นนั้น และหมากตื้นๆเด็กอนุบาลอ่านออก ให้หยุดพฤติกรรมวางแผนชั่วร้ายนี้ได้แล้ว นายทักษิณ อย่าคาดหวังว่าพรรคเพื่อไทย ที่อยู่ในสังกัดจะสามารถช่วยได้ หากดูการทำงานของพรรคเพื่อไทยก็ไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านเมืองยามวิกฤต แทนที่จะช่วยกัน มีแต่เอาปากช่วยอัดซ้ำนายกฯและรัฐบาลตลอดเวลา ตนเองก็มองไม่ออกว่าเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ส.ส.สักกี่คน เพราะพรรคกำลังตกต่ำสูงสุด และในพรรคเพื่อไทยเองยังมีปัญหาภายใน ส.ส.แตกคอกันเละตุ้มเป๊ะ ล่าสุดส.ส.ที่ถูกขับออกจากพรรคก็ออกมาลากไส้แฉกันเอง มีแต่จะล่มสลายพังพินาศไปเรื่อยจะมาช่วยอะไรนายทักษิณได้

นายเสกสกล กล่าวว่า ขอให้นายทักษิณ ยอมรับความจริงว่าในเมื่อใช้เล่ห์กลทำทุกวิถีทางที่จะล้มนายกฯ ทั้งเกมในสภาฯและม็อบนอกสภาฯแล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ ก็ขออย่ามาท้านายกฯให้ยุบสภา หรือเรียกร้องให้ลาออกอีกเลย หากอยากกลับประเทศก็มาติดคุก รับโทษก่อนเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ไม่มีใครห้ามไม่ให้กลับมา แต่เป็นเพราะนายทักษิณและน้องสาวไม่ยอมรับการเข้าสู่กระบวนการกฎหมายเสียเอง ส่วนที่บอกว่าการเมืองเน่า เพราะไม่ปฏิรูป คิดแต่จะสืบทอดอำนาจเป็นกรรมของประเทศ ตนเองอยากให้มองย้อนกลับไปในสมัยยุคนายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าการเมืองเน่าเละเฟะที่สุด ไม่เคยคิดปฏิรูปอะไรสักเรื่อง คิดแต่เรื่องโกงกิน ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมากมายเต็มบ้านเมือง หากประเทศจะมีกรรมก็เกิดจากทั้งสองคนเข้ามาบริหารประเทศ มีการโกงกิน ทุจริตต่างๆมากมายมากกว่านี่คือกรรมที่แท้จริงของคนไทย

"พอแผนการล้มเหลวก็ออกมาท้าโน่นท้านี่ ผมว่าอยู่ที่ดูไบต่อไปให้สุขสบาย อย่าคิดวางแผนหรือคิดเกมชั่วอีกเลย คนไทยเขารู้ทันทุกเรื่องที่นายทักษิณคิด ยิ่งคิดแผนการชั่วตนยิ่งละอายใจแทน แก่ป่านนี้ยังไม่หยุดคิดทำความชั่วอีกหรือ ระวังตายไปจะตกนรกหมกไหม้ จะชดใช้กรรมไม่รู้จักหมดจักสิ้น ตนเตือนมาด้วยความหวังดี หยุดคิดกลับบ้านเพื่อจะมาฟอกคดีทุจริตที่ทำไว้ได้แล้ว แต่ถ้าจะกลับมารับโทษตามกฎหมาย มาได้ทุกเวลา "รายเากสกล กล่าว

'เอเวอร์แกรนด์’ อาจเป็น 'เลห์แมน บราเธอร์ส' ของจีน หลังส่อผิดนัดชำระหนี้ ลุกลามซับไพรม์ครั้งใหม่

'เอเวอร์แกรนด์' (Evergrande) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์จีน ส่อผิดนัดชำระหนี้ จุดชนวนวิกฤตซับไพรม์ระลอกใหม่แห่งเอเชีย (วิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพ) 

เอเวอร์แกรนด์ หรือ 'ไชน่าเอเวอร์แกรนด์' เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลกเลยก็ว่าได้ โดยมีนักธุรกิจวัย 62 ปี อย่าง 'ซูเจี้ยอิน' (Xu Jiayin) ที่ได้รับการจัดอันดับความรวยจากฟอร์บส์เป็นลำดับที่ 31 ของโลก และอันดับ 5 ในประเทศจีนกุมบังเหียนอยู่

โดยบริษัทแห่งนี้ มีการดำเนินธุรกิจโครงการมากกว่า 1,300 โครงการ ในกว่า 280 เมือง เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศจีนและติดอันดับหนึ่งใน 150 บริษัท ชั้นนำของโลกเมื่อพิจารณาจากรายได้ จากข้อมูลของ Fortune 500 บริษัทมีพนักงานมากกว่า 123,000 คน และมีรายได้รวม 7.35 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2020

>> แต่ดูเหมือนตอนนี้ ภาพคู่ขนานของการเติบโตนั้น ค่อย ๆ หลุดออกมาให้เห็นว่า ล้วนเกิดขึ้นจากการขยายตัวจากการ 'ก่อหนี้' ทั้งสิ้น!!

ที่น่ากังวล คือ หนี้เหล่านี้จะได้รับการชำระตามนัดหรือไม่? เพราะข่าวการประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานเอเวอร์แกรนด์เรียลเอสเตทกรุ๊ป (Evergrande Real Estate Group) ของ Xu Jia Yin เมื่อวันอังคารที่ 17 สิงหาคม 64 สะท้อนถึงการสละเรือได้ชัด

สภาพของ เอเวอร์แกรนด์ ในขณะนี้ อยู่ในสภาพเอกชนที่มีเป็นหนี้สินมากที่สุดในโลก หลังมีการไล่ซื้อกิจการต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหากยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ผิดนัดชำระหนี้และก่อให้เกิดความเสี่ยงในวงกว้างต่อระบบการเงินของจีน

โดยหนี้สินของกลุ่มบริษัทที่ถูกประเมินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นราว 3.56 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1.97 ล้านล้านหยวน (ราว 10 ล้านล้านบาท)

>> เอเวอร์แกรนด์ ทำธุรกิจอะไรบ้าง?

ในขณะที่กิจการส่วนใหญ่ของเอเวอร์แกรนด์เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทได้เริ่มดำเนินการกระจายความเสี่ยงทั้งหมดไปยังกิจการนอกกลุ่ม ตั้งแต่ การเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลกว่างโจว เอฟซี (เดิมคือกวางโจว เอเวอร์แกรนด์)

การเข้าไปในอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม มีทั้งกิจการน้ำแร่และอาหารที่กำลังเฟื่องฟูด้วยแบรนด์ Evergrande Spring

การสร้างสวนสนุกสำหรับเด็ก ซึ่ง 'มโหฬาร' กว่าของค่ายคู่แข่งอย่าง 'ดิสนีย์'

นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนในภาคการท่องเที่ยว ดิจิทัล อินเทอร์เน็ต ธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ และกิจการประกันภัย รวมทั้งลงทุนกิจการรถยนต์ไฟฟ้า (Evergrande Auto) ในปี 2019 (ทั้งที่ไม่ได้เคยทำการตลาดยานพาหนะใด ๆ เลย)

....แล้วการล้มของเอเวอร์แกรนด์จะมีนัยยะสำคัญกับเศรษฐกิจจีนและเชื่อมโยงกับตลาดโลกบ้าง? 

ก่อนหน้านี้บรรดานักวิเคราะห์ในปักกิ่ง ได้ตั้งฉายาเรียกกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีหนี้สินและความเสี่ยงทางการเงินมหาศาล แต่ผู้รับผิดชอบมองไม่เห็นสัญญาณ หรือเห็นแต่คิดว่าไม่สำคัญ ว่าเป็น 'แรดสีเทา' และ 'ไชน่า เอเวอร์แกรนด์' เคยถูกพูดถึงหลายครั้งว่าเป็น 'แรดสีเทาตัวยักษ์ของจีน'

เพราะวิกฤตหนี้สินทั่วโลกของ เอเวอร์แกรนด์ ที่มีมากกว่า 3.56 แสนล้านดอลลาร์นั้น กำลังจะทำให้มูลค่าพันธบัตร ที่บริษัทปั้นออกมาในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นพันธบัตรขยะที่นักลงทุนเพียงไม่กี่รายต้องการถือในตอนนี้

ฮิลลาร์ด แม็คเบธ ผู้เขียน When the Bubble Bursts ได้โพสต์ไว้ในบล็อกของ Richardson Wealth ว่า "ปัจจุบันพันธบัตรเอเวอร์แกรนด์ ที่จะครบกำหนดในปี 2568 นั้น มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 40 เซนต์ ซึ่งหมายความว่า มีโอกาสน้อยมากที่เอเวอร์แกรนด์จะสามารถชำระหนี้ครั้งนี้ได้”

สถานการณ์ของเอเวอร์แกรนด์เริ่มไม่สู้ดีและถูกฟ้องร้องชำระหนี้มาต่อเนื่อง ล่าสุดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 'ธนาคาร ไชน่ากวงฝ่า' (China Guangfa Bank Co) ชนะคดีอายัดเงินฝากของเอเวอร์แกรนด์ได้ราว 20 ล้านดอลลาร์ แต่นั่นเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรหนี้สินของเอเวอร์แกรนด์

ไม่กี่วันต่อมา ซัพพลายเออร์ของเอเวอร์แกรนด์ พากันเริ่มฟ้องร้องคดีเบี้ยวหนี้ ซึ่งรวมถึง Huaibei Mining Holdings Co ที่ฟ้องเรียกหนี้ค้างชำระจากเอเวอร์แกรนด์ 84 ล้านดอลลาร์ ฯลฯ

นอกจากนี้ สำนักงานที่ดิน เมืองหลานโจวยังได้เปิดเผยต่อสาธารณชนว่าเอเวอร์แกรนด์ ก็ค้างหนี้เช่นกัน

>> เลห์แมน บราเธอร์ส ของจีน!! 

สรุปโดยภาพรวมแล้ว มีโอกาสสูงที่ ไชน่าเอเวอร์แกรนด์ จะมีสภาพเหมือน 'เลห์แมน บราเธอร์ส' (Lehman Brother) วาณิชธนกิจระดับโลกที่ได้ประกาศล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ก่อวิกฤตซับไพร์ม (15 ก.ย. 2008) จนส่งผลกระทบไปทั่วโลก หลังขาดทุนมหาศาลจากการลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ 

บรรดานักวิเคราะห์มองว่า มีสาเหตุที่คล้าย ๆ กันเกิดขึ้นกับ เอเวอร์แกรนด์ คือ การกู้มาลงทุน ซึ่งเป็นการเติบโตด้วยหนี้ล้วน ๆ โดยทุกอย่างเริ่มต้นในช่วงเวลาตลาดขาขึ้น ความโลภเริ่มเข้าครอบงำ 

การขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ขาดความระมัดระวังต่อแผนการลงทุน ประมาทไปว่าช่วงแรกคือช่วงที่อะไร ๆ ก็ดูดีไปหมด จนเมื่อขาดทุน ขาดสภาพคล่อง เงินสดยังแทบไม่มี 

ฉะนั้นการเติบโตอย่างบ้าคลั่งด้วยหนี้จำนวนมากนี้ ทำให้ เอเวอร์แกรนด์ กลายเป็น 'อาคารที่โยกเยก' ใต้หนี้ 3 แสนล้านเหรียญ ที่พร้อมเป็นหนี้ขยะใต้ดินให้กับคู่สัญญาจีน (และทั่วโลก/อาจรวมถึงตลาดคริปโทเคอร์เรนซี)

...และว่ากันว่าหนี้มหาศาลเช่นนี้ คงมีแต่รัฐบาลจีนเท่านั้น ที่สามารถอุ้มมันได้!! 

จากปัญหาหนี้สินของเอเวอร์แกรนด์และโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูง ได้ทำให้สถานะของบริษัทถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเป็น 'CC' จาก 'CCC+' จากหน่วยงานจัดอันดับอย่างฟิทช์ เมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา


ที่มา: https://mgronline.com/china/detail/9640000091442

“บิ๊กตู่-คณะทำงาน-ทีม รปภ." ตรวจ หาเชื้อโควิดตามวงรอบ ไม่พบเชื้อโควิด19 หลังพบผู้สื่อข่าวทำเนียบฯติดเชื้อ ขณะที่ ปลัด กลาโหม ,ผบ.ทอ ,ผบ.ทร.คนใหม่ รุดเข้าขอบคุณแต่เช้าหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวเช้าวันเดียวกันนี้ (16 ก.ย.)ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าปฎิบัติหน้าที่ บนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยช่วงเช้า พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ว่าที่ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ และพลโท สันติพงษ์ ธรรมปิยะ ว่าที่ เสนาธิการทหารบก นำคณะ เข้าพบนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพื่อขอบคุณภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งใหม่

ทั้งนี้ มีรายงานจากทำเนียยรัฐบาลด้วยว่า  ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะทำงาน  ทีมรักษาความปลอดภัย ข้าราชการ พนักงาน ภายในตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ได้ทำการตรวจการเชื้อโควิด 19 โดยชุดตรวจ Antigen Test Kit หรือ ATK ตามวงรอบ ซึ่งปรากฎว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ คณะทำงาน ทีมรักษาภาความปลอดภัย พนักงานที่ทำงานใกล้ชิด ไม่มีใครติดเชื้อโควิด 19 ภายหลังต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้สื่อข่าวที่เข้าไปปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลติดเชื้อโควิด 19 อีกทั้งวานนี้ (15 ก.ย.) ระหว่างที่ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำในเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อเตรียมรับน้ำเหนือหลากและวางแผนป้องกันพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง พล.อ.ประยุทธ์ มีอาการไอและจามระหว่างให้สัมภาษณ์

สำหรับภารกิจของนายกรัฐมนตรี วันนี้ เวลา 09.30 น.  เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2564 (ผ่านระบบ Video Conference) ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลและเวลา 14.00 น. เป็นประธานการประชุมร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และกลุ่มศิลปิน เพื่อหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบ Video Conferenceจากห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

'อัษฎางค์' กังขา วาระซ่อนเร้น 'สภา มทร.พระนคร' หลังคิดตัดชื่อพระราชทาน 'ราชมงคล' ออก

อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า... 

สภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ ทำไมจะเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยด้วยการตัดชื่อ "ราชมงคล" อันเป็นนามมงคลที่ได้รับพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีหมายความว่า "มหาวิทยาลัยอันเป็นมิ่งมงคลแห่งพระราชา" ออกไป

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อใหม่ให้วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา ที่ได้รับการยกวิทยฐานะขึ้นเป็น "สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล" ซึ่งมีหมายความว่า "สถาบันเทคโนโลยีอันเป็นมิ่งมงคลแห่งพระราชา" มหาวิทยาลัยจึงได้ถือเอาวันที่ 15 กันยายนของทุกปีเป็น "วันราชมงคล"

>> ความเป็นมา 15 กันยา วันราชมงคล >> https://www.facebook.com/100566188950275/posts/138377931835767/?d=n

สมาคมศิษย์เก่าพณิชยการพระนครและสมาคมศิษย์เก่าช่างกลพระนครเหนือ ทำหนังสือคัดค้าน ร่าง พรบ.มหาวิทยาลัยพระนคร โดยมีสาระสำคัญ คือ... 

ก่อนหน้านี้ สภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ได้จัดทำ ร่าง พรบ.มหาวิทยาลัยพระนคร และจัดทำประชาพิจารณ์ ในระหว่างช่วงเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งในครั้งนั้น ศิษย์เก่าทุกคณะได้ร่วมแสดงความเห็นคัดค้านอย่างกว้างขวาง แต่ต่อมาเรื่องก็เงียบไปโดยไม่ชี้แจงว่าจะดำเนินการต่อไปหรือไม่อย่างไร

ในเวลาต่อมาสมาคมฯ ได้รับทราบว่า สภามหาวิทยาลัยฯ ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อขออนุมัติ ร่างพรบ. มหาวิทยาลัยพระนคร (ฉบับ กค.๖๔) ในวันที่ ๒๗ กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยจะมีการเปลี่ยนชื่อจาก “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร“ เป็น “มหาวิทยาลัยพระนคร” 

การตัดชื่อ “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล“ ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั้นเป็นการมิบังควร โดยสมาคมศิษย์เก่าอ้างว่า 'ศ.ดร.สุรพงษ์ โสธนะเสถียร' นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ร่าง พรบ.ขึ้นมาเองโดยไม่ผ่านกรรมการหรือผู้บริหารมหาวิทยาลัย และไม่สนใจต่อความเห็นต่าง ๆ จากการทำประชาพิจารณ์ ทั้งที่การเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย โดยทิ้งคำว่า “ราชมงคล” ซึ่งเป็นชื่อพระราชทาน ให้เหลือเพียงชื่อ "มหาวิทยาลัยพระนคร" เป็นเรื่องที่มิบังควร ในขณะที่สภามหาวิทยาลัยก็อ้างว่าได้มีการทำประชาพิจารณ์แล้ว

นอกจากจะมีการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยแล้ว ยังจะมีการเปลี่ยนชื่อสถานศึกษาเดิมออกทั้งหมด เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (ศูนย์พระนครเหนือ) เดิม คือ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลพระนครเหนือ โดยเมื่อร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ก็เปลี่ยนเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยคงชื่อ "ศูนย์พระนครเหนือ" เอาไว้  ซึ่งทำให้ศิษย์เก่าทุกสาขาประมาณ ๖๐ รุ่น ยังมีความเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย

แต่ในร่าง พรบ.มหาวิทยาลัยพระนครนั้นคณะวิศวกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร (ศูนย์พระนครเหนือ) จะถูกเปลี่ยนเป็น “วิทยาเขตกรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา “

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนชื่อของ.. 
- ศูนย์เทเวศร์ เป็น วิทยาเขตกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
- ศูนย์พณิชยการพระนคร เป็น วิทยาเขตกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
- ศูนย์พระนครเหนือ เป็น วิทยาเขตกรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา

ซึ่งทางสมาคมศิษย์เก่ากังวลว่าการเปลี่ยนชื่อ จะทำให้รากฐานความเป็นมาและความเชื่อมโยงของศิษย์เก่าถึงปัจจุบันขาดหายไป

และที่สำคัญคือสภามหาวิทยาลัยมีการซ่อนเร้นอะไรหรือไม่ ทำไมต้องตัดชื่อ "ราชมงคล" อันเป็นนามมงคลที่ได้รับพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งมีหมายความว่า "มหาวิทยาลัยอันเป็นมิ่งมงคลแห่งพระราชา"

อัษฎางค์ ยมนาค


ที่มา: https://www.facebook.com/100566188950275/posts/138371788503048/

วันนี้ในอดีต “นายซีอุย แซ่อึ้ง” ผู้ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็น "มนุษย์กินคน" ได้ถูกประหารชีวิต ฐานฆ่าเด็กและกินศพเป็นอาหาร เมื่อปี พ.ศ. 2502 ณ เรือนจำบางขวาง

“ซีอุย” มีชื่อจริงว่า “หลีอุย แซ่อึ้ง” แต่คนไทยเรียกเพี้ยนเป็น ซีอุย เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2470 ในตำบลฮุนไหล จังหวัดซัวเถา ประเทศจีน โดยเป็นลูกคนสุดท้องจากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 4 คน ของนายฮุนฮ้อกับนางไป๋ติ้ง แซ่อึ้ง ครอบครัวมีอาชีพทำไร่ และมีฐานะยากจน เขาตระเวนตามที่ต่าง ๆ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง มักถูกเด็กด้วยกันทำร้ายและเอาเปรียบ

จุดเริ่มต้นของซีอุย ในประเทศไทยเกิดขึ้นที่ อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขณะนั้น ซีอุย มีอายุ 25 ปี เป็นหนึ่งในจำนวนคนนับแสนคนที่เดินทางเข้าประเทศไทยมาเพื่ออาศัยและหางานทำ หลังจากเสร็จการสู้รบสงครามโลกครั้งที่ 2 จากเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ ปากต่อปาก รุ่นส่งต่อรุ่น พูดถึงซีอุยว่า มีบุคลิกเป็นคนยิ้มเก่ง ใจดี เรียบร้อย มีรอยยิ้มให้คนทั่วไปตลอดเวลาที่ได้ทักทาย แต่ก็กลัวคนแปลกหน้า ทำให้ชีวิตทั่วไปของซีอุย เป็นที่จดจำของคนในยุคนั้น

ในระยะ 8 ปีแรกที่พำนักในประเทศไทย ซีอุยไม่ได้ก่อคดีร้ายแรงใด ๆ นอกจากคดีทะเลาะวิวาทบ้างเป็นบางครั้ง แต่เงื่อนงำที่สำคัญก็คือ เส้นทางและแหล่งพักพิงของซีอุย ตรงสถานที่เกิดเหตุของคดีทั้ง 7 อย่างเหลือเชื่อ คือ ประจวบคีรีขันธ์ 5 คดี กรุงเทพฯ นครปฐม และระยอง แห่งละ 1 คดี

ซีอุยถูกจับในคดีเด็กชายสมบุญ ที่ระยอง คดีดังกล่าวถูกเชื่อมโยงเข้าคดีเก่าอีก 2 คดี คือ คดีฆาตกรรมที่สถานีรถไฟสวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 ที่จังหวัดพระนครศีอยุธยา และคดีฆาตกรรมที่องค์พระปฐมเจดีย์ ที่จังหวัดนครปฐม เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 โดยรูปแบบและการฆาตกรรมลักษณะเดียวกัน ตำรวจจึงมุ่งเป้าไปที่ซีอุย ซีอุยถูกนำตัวมาสอบสวนตั้งแต่คืนวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2501 มีการบันทึกคำเป็นหลักฐานลงในวันที่ 30 มกราคม เนื่องจากซีอุยพูดและอ่านเขียนไทยไม่ได้การสอบสวนแต่ละครั้งจึงมีล่ามจีนอยู่เสมอ เนื้อหาของบันทึกปากคำฉบับวันที่ 30 มกราคม มี 3 เรื่องใหญ่ ๆ คือ ยอมรับคดีที่ระยอง และปฏิเสธข้อกล่าวหาคดีพระนครฯ และคดีนครปฐม ซีอุยยอมรับคดีที่ระยองว่าเป็นการกระทำผิดครั้งแรก โดยกล่าวนัยว่า "ไม่เคยฆ่าคนเพื่อจะเอาตับและหัวใจมากินเลย"

และคดีที่กรุงเทพ ซีอุยได้กล่าวทำนองว่า "ที่กรุงเทพฯ ข้าฯ เคยได้ยินคนพูดกันว่ามีคนฆ่าเด็กแล้วเอาสมอง เมื่อประมาณ 1 ปีเศษ ๆ ขณะนั้น ข้าฯ พักอยู่จังหวัดพระนคร โดยอยู่บ้านนายบักเทียม แซ่ไล้ แต่ข้าฯ ไม่ได้ไปดู” และซีอุยยังให้การปฏิเสธในบันทึกปากคำครั้งนี้ “การฆ่าเด็กรายนี้ ข้าฯ ไม่ได้ทำร้าย ใครทำร้าย ข้าฯ ไม่ทราบ…" และ "ในการที่มีคนฆ่าเด็กแล้วผ่าท้องที่นครปฐมนั้นทราบข่าวเหมือนกัน โดยขณะนั้นอยู่ที่จังหวัดนครปฐม โดย ข้าฯ ค้างที่นครปฐม 1 คืน ได้ยินชาวบ้านพูดกัน แต่ไม่ได้ไปดูเพราะรอรถไฟด่วนจะกลับทับสะแก แต่ใครจะเป็นคนฆ่า ข้าฯ ไม่ทราบ…"

เริ่มการพิจารณาคดีซีอุยเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2501 เขารับสารภาพทุกข้อกล่าวหา มีน้องของผู้เสียหายที่มีอายุ 6 ขวบให้การว่าเห็นเขาพาน้องสาวจากงานตรุษจีนในไชนาทาวน์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นคืนก่อนพบศพเธอ การพิจารณาคดีเขากินเวลา 9 วัน ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต แต่ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิตเพราะจำเลยยอมรับสารภาพ แต่ตำรวจอุทธรณ์เพราะเห็นว่ามีหลักฐานเพียงพอ เขาจึงถูกศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ประหารชีวิต ซีอุยถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2502 และหลังจากถูกประหารชีวิต ศพของซีอุยถูกนำมาดองเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ภายในโรงพยาบาลศิริราชนับแต่นั้น

ศาสตราจารย์นายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ขอรับศพซีอุยมาผ่าตรวจสมอง ส่วนร่างถูกเก็บรักษาในลักษณะดองแห้งโดยการฉีดฟอร์มาลินเข้าหลอดเลือด แช่น้ำยารักษาทั้งร่างไว้ 1 ปี และทำการทาขี้ผึ้งทุก ๆ 2 ปี เพื่อป้องกันเชื้อรา ร่างของซีอุยยังถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช "พิพิธภัณฑ์ซีอุย" หลังจากนั้นคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้รับมอบร่างนายซีอุยมาจัดแสดง โดยเขียนข้อความว่า "นายซีอุย แซ่อึ้ง (มนุษย์กินคน)" ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์สรรใจ แสงวิเชียร อดีตหัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐออนไลน์ไว้เมื่อปี พ.ศ. 2552 ว่า "ถ้าอาจารย์หมอสงกรานต์ไม่ขอมาไว้ที่นี่ ก็จะไม่มีใครทำบุญให้เขาเลย มาอยู่ที่นี่มีการทำบุญให้อาจารย์ใหญ่ทุกปี อวัยวะ ร่าง โครงกระดูกทุกชิ้นถือเป็นอาจารย์ใหญ่"

วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 มีข่าวว่าโรงพยาบาลศิริราชปลดป้าย "มนุษย์กินคน" ออกไปแล้ว พร้อมทั้งเตรียมจัดทำบอร์ดให้ความรู้แก่สาธารณะเกี่ยวกับคดี ด้านฟาโรห์ จักรภัทรานน เจ้าของเว็บไซต์ Change.org ที่รณรงค์เรื่องซีอุย ให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้ฌาปนกิจร่าง แล้วอาจจะนำหุ่นขี้ผึ้งมาจัดแสดงแทน และมีความเห็นว่า "ไม่ได้ตัดสินว่าซีอุยไม่ได้เป็นมนุษย์กินคน แต่อยากให้ประชาชนที่มาอ่านข้อมูลได้ตัดสินเองว่าซีอุยเป็นมนุษย์กินคนหรือไม่" และในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ร่วมกับกรมราชทัณฑ์ทำพิธีฌาปนกิจร่างนายซีอุย แซ่อึ้ง ที่วัดบางแพรกใต้ จังหวัดนนทบุรี


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/ซีอุย


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

'บิ๊กโจ๊ก' ลุยเมืองพัทยา SMART SAFETY ZONE

'บิ๊กโจ๊ก' ลุยเมืองพัทยาชูการทำงานตำรวจแนวใหม่ ตรงจุด ตรงประเด็น สานยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วางแนวทางการทำงานโครงการ SMART SAFETY ZONE 4.0 นำร่อง 15 สถานีตำรวจ ก่อนต่อยอดโครงการ 1 SMART SAFETY ZONE 1 จังหวัดทั่วประเทศ สภ.เมืองพัทยา รับลูกลุยโครงการ “Jomtien Pattaya SMART SAFETY ZONE 4.0"

ตามนโยบาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำโครงการ SMART SAFETY ZONE 4.0 โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุก การสร้างพื้นที่ปลอดภัยจากอาชญากรรม จัดระบบการป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบบูรณาการทุกภาคส่วน โดยใช้นวัตกรรมและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ตามแนวคิดเรื่อง “เมืองอัจฉริยะ” อันจะนำไปสู่ความปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างยั่งยืน

วันที่ 15 ก.ย.64 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยม สภ.เมืองพัทยา ซึ่งเป็น 1 ใน 15 สถานีตำรวจนำร่องโครงการ SMART SAFETY ZONE 4.0 โดยมีตัวแทนชุมชน ตัวแทนเมืองพัทยา รวมถึงผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมรายละเอียดโครงการดังกล่าว ที่ห้องประชุม ศปก.สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยใช้เวลาประชุมแสดงความคิดประมาณ 1 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มอบหมายให้ สตช. ดูยุทธศาสตร์ความมั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยร่วมกับผู้บริหารท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินโครงการสมาร์ทเซฟตี้โชน เนื่องด้วยทางตำรวจมีกำลังพร้อมปฏิบัติ แต่ไม่มีงบประมาณ จึงต้องเป็นเจ้าภาพเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะมีงบประมาณในการพัฒนาท้องถิ่นในการยกระดับความปลอดภัยให้กับประชาชนในท้องถิ่นของตนเอง

โครงการ SMART SAFETY ZONE 4.0 จะทำให้ประชาชนในเมืองพัทยาเกิดความอุ่นใจ โดยใช้ตัวชี้วัดเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก คือ 1.ดัชนีในเรื่องของความหวาดกลัวภัย และ 2. ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เป็นเรื่องของการป้องกันตามแนวทางการทำงานของตำรวจยุคใหม่ คนละส่วนกับเรื่องคดีอาญา 4 กลุ่ม ที่จะเป็นเรื่องของการปฏิบัติปราบปราม

สำหรับบุคคลเสี่ยง ได้แก่ บุคคลที่เพิ่งพ้นโทษออกมานั้น ในทุกเดือนๆ ละ 1 ครั้ง สวป.ต้องเข้าไปเคาะประตูบ้านติดตามชีวิตว่ามีความเป็นอยู่เป็นอย่างไร ให้กลุ่มคนเหล่านั้นรู้สึกว่าอยู่ในสายตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะทำให้ประชาชนในชุมชนนั้นๆ เกิดความอุ่นใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานให้คนดีอยู่ได้ คนร้ายอยู่ยาก ตามแนวทางที่ ผบ.ตร.ได้ฝากไว้ 

ทั้งนี้ การวัดผลการทำงานนั้นจะต้องยึดในเรื่องสถิติ ซึ่งขณะนี้ทาง สตช.ได้ดำเนินการ PEOPLE POLL เพื่อฟังเสียงความต้องการของประชาชน การทำโพลล์ต้องยึดประชาชนเป็นหลักและมีรายการปฏิบัติแบบเรียลไทม์ ทางผู้กำกับการสถานีต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลเรื่องร้องเรียนต่างๆ ที่ประชาชนร้องเรียนมาแต่ละเดือน และแก้ไขไปทีละเรื่อง ปัญหาของชาวบ้านก็จะลดน้อยลงไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับพื้นที่เมืองพัทยา​จ.ชลบุรี เป็นโครงการนำร่อง 15 สถานี เป็นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาใช้ต่อยอดจากโครงการตำรวจชุมชนสัมพันธ์ ซึ่งจากการดำเนินการทั้ง 15 สถานีที่ผ่านมา พบว่าประชาชนตอบรับเป็นอย่างดี และสอบถามมาตลอด ก่อนในปี 2565 ทาง สตช.จะได้ดำเนินการต่อในเรื่องของ 1 สมาร์ทซิตี้โซน 1 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งตนเองจะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการต่อไปเพราะถือว่าอายุราชการยังอีกนาน

มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากโครงการดังกล่าว ทาง สภ.เมืองพัทยา ได้กำหนดพื้นที่ปลอดภัยขึ้นบริเวณโซนพื้นที่หาดจอมเทียน ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 9.97 ตารางกิโลเมตร โดยได้ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ร่วมดำเนินการในพื้นที่รับผิดชอบ โดยใช้ชื่อว่า “Jomtien Pattaya SMART SAFETY ZONE 4.0" เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ ได้รับทราบ ถึงการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวอย่างเข้มข้นและทั่วถึง โดยมีการดำเนินการดังนี้...

1.จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการสั่งการและควบคุมเฝ้าระวังเหตุอาชญากรรม (Control Command Operations Center : CCOC ) ซึ่งมีกล้อง CCTV จำนวน 190 ตัว

2.ระบบรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน (เสา SOS) บริเวณชายหาดจอมเทียน

3.ระบบ Line Official Account : “Pattaya Police”  ของ สภ.เมืองพัทยา เพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ข่าวสาร สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน

4.กลุ่มไลน์แจ้งเหตุสำหรับ ธนาคาร และ ร้านค้าทอง 

5.กลุ่มไลน์แจ้งเหตุสำหรับ ชุมชนต่างๆ

6.Facebook Fan Page “สภ.เมืองพัทยา”  เพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ข่าวสาร สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน

7.Application : Police lert U สำหรับใช้ในการแจ้งเหตุฉุกเฉินของประชาชน

8.นำ Application Police 4.0 มาใช้ปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจจุดตรวจ ปักหมุดจุดเสี่ยง ตรวจเยี่ยมประชาชน และตรวจสอบยานพาหนะ 

9.นำ Application Crimes Online มาใช้ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตรวจสอบบุคคล ยานพาหนะ ของผู้ต้องสงสัย และผู้กระทำความผิด

10.ร่วมกับผู้นำชุมชน ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในเขตพื้นที่ เพื่อลดช่องว่างในการก่ออาชญากรรมของคนร้าย ป้องกันอาชญากรรม คุมเข้มพื้นที่เสี่ยง และแหล่งมั่วสุมของวัยรุ่น

11.ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคประชาชน เชื่อมสัญญาณกล้องวงจรปิด จุดที่สำคัญ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังเหตุให้กับจุดเสี่ยงนั้นๆ และเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์ให้กับประชาชน และ 

12.นำอากาศยานไร้คนขับ (DRONE) ตรวจสอบพื้นที่ การจราจร การมั่วสุมของกลุ่มบุคคลน่าสงสัย และกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพการป้องกันเหตุ

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

เชียงใหม่-กองบิน ๔๑ จัดกิจกรรมโครงการกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด

(๑๕ กันยายน ๒๕๖๔) กองบิน ๔๑ จัดกิจกรรมโครงการกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด กองบิน ๔๑ โดยมี นาวาอากาศเอก ภูศิษฏ์ ทิมเกิด ผู้บังคับการกองบิน ๔๑ เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม

พร้อมด้วย นาวาอากาศเอก วัฒนา บัวชุม รองผู้บังคับการกองบิน ๔๑, นาวาอากาศโท สุรเกียรติ เกตานนท์ ผู้บังคับกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน ๔๑ และทหารกองประจำการ กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน ๔๑ ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ณ หอประชุมเดชะตุงคะ กองบิน ๔๑

กิจกรรมกองพันสีขาว สังคมปลอดภัยจากยาเสพติด กองบิน ๔๑ จัดขึ้นโดยมุ่งเน้นตามหลักยุทธศาสตร์การป้องกัน และแก้ไขปัญหายาเสพติดกองทัพอากาศ ซึ่งภายในกิจกรรมจัดให้มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับโทษ, พิษภัย และผลกระทบจากยาเสพติด ให้กับทหารกองประจำการ กองพันอากาศโยธิน กองบิน ๔๑ โดยเรียนเชิญ คุณทิพากร ชีวสกุลยอง หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ สำนักงานปราบปรามยาเสพติด ภาค ๕ วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ มาบรรยายให้ความรู้ในครั้งนี้

นภาพร/เชียงใหม่

'กรุงเทพแซนบอกซ์' เลื่อน รับต่างชาติเข้ากรุงไป 15 ต.ค. หลังคนกรุง 70% ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโดส

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการหารือกับพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงการเตรียมความพร้อมเปิดกรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่า... 

จากการหารือได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะเปิดกรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาได้ล่าช้าจากกำหนดเดิมคือ 1 ต.ค. 64 ไปประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจะเริ่มเปิดรับได้ในวันที่ 15 ต.ค. 64 เป็นต้นไป เพราะคนกรุงเทพฯ ยังได้รับวัคซีนไม่ครบกำหนด 2 เข็ม เกิน 70% ของประชากร และการเปิดกรุงเทพฯ ครั้งนี้ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ ไม่เหมือนพื้นที่นำร่องอื่น ๆ ที่เปิดเฉพาะพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญเท่านั้น เพราะหากเปิดเป็นบางเขตหรือบางพื้นที่จะทำให้ยากต่อการควบคุม

“ตอนนี้กรุงเทพฯ มีความพร้อมทั้งหมดแล้ว วัคซีนก็มีพร้อม ติดแค่ว่าช่วงเวลาของการรับวัคซีนเข็มที่ 2 ยังไม่ถึงกำหนดเวลา โดยการฉีดวัคซีนเข็ม 2 ตอนนี้ในกรุงเทพฯ ตอนนี้ฉีดไปแล้ว 37% เหลืออีก 30% กว่า ๆ ก็ครบตามจำนวนแล้ว จึงน่าจะเป็นช่วงกลางเดือนต.ค.นี้ จึงสามารถรับนักท่องเที่ยวได้ แม้ว่าการเปิดกรุงเทพฯ จะช้าไป 2 สัปดาห์ แต่ก็ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อความปลอดภัย”

อย่างไรก็ตามในพื้นที่อื่น ๆ ที่เตรียมเปิดอีก 4 จังหวัด คือ ชลบุรี (พัทยา) อ.บางละมุง อ.สัตหีบ, เชียงใหม่ อ.เมือง อ.แม่แตง อ.แม่ริม อ.ดอยเต่า, เพชรบุรี อ.ชะอำ และ ประจวบคีรีขันธ์ อ.หัวหิน นั้น ยังยืนยันว่ามีความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 ต.ค.นี้ โดยพื้นที่ใดมีความพร้อมก็ดำเนินการได้ตามแผน โดยจะเสนอ ที่ประชุม ศปก.ศบค. ใน 1-2 วันนี้ และเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ ศบศ. อีกครั้งในเดือนก.ย.นี้ เห็นชอบ 

'กนอ.' เดินตามนโยบายรัฐ พัฒนา BCG โมเดล โชว์ผลงานยกระดับนิคมฯ สู่เมืองอุตฯ เชิงนิเวศ ปี’64

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยผลตรวจประเมินการเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในระดับต่าง ๆ ประจำปี 2564 ย้ำทุกนิคมฯ มีส่วนร่วมพัฒนาเมืองฯ ผ่าน 5 มิติ 22 ด้าน สอดคล้องตามนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของรัฐบาล 

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.นำแนวคิด “นิเวศอุตสาหกรรม”(Industrial Ecology) มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม โดยดำเนินการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ปี 2553 ภายใต้ข้อกำหนด คุณลักษณะ และเกณฑ์ตัวชี้วัด การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 5 มิติ 22 ด้าน ได้แก่ 

1.) มิติกายภาพ 
2.) มิติเศรษฐกิจ 
3.) มิติสังคม 
4.) มิติสิ่งแวดล้อม 
และ 5.) มิติการบริหาร 
โดยจัดทำแผนแม่บทการพัฒนายกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวและใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในสถานประกอบการ เช่น การนำน้ำเสียที่โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยทิ้งมาบำบัดแล้วนำมาผลิตน้ำ RO (Reverse Osmosis) และนำกลับมาใช้ใหม่แทนน้ำประปา ซึ่งเป็นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการ การนำเศษวัสดุเหลือใช้จากการประกอบกิจการโรงงานไปเพิ่มมูลค่าด้วยการนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น เช่น นำเศษขยะทั่วไปในนิคมอุตสาหกรรมไปแปลงเป็นเชื้อเพลิงในเตาเผาปูนซีเมนต์ หรือนำตะกอนจากโรงงานไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพให้กับเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงได้ใช้ประโยชน์ รวมทั้งส่งเสริมการสร้างอาชีพจากวัสดุเหลือใช้จากการประกอบกิจการมาดัดแปลงให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสร้างรายได้ให้กับชุมชน และส่งเสริมกลุ่มอาชีพวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ให้มีการประกอบกิจการที่มีผลกำไร โดยที่ผ่านมาวิสาหกิจชุมชนสามารถทำรายได้เป็นเงินหมุนเวียนให้กับสมาชิกในกลุ่มได้อย่างเป็นรูปธรรม

“แนวคิดหลักของการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ คือ การสร้างความสมดุลระหว่างปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชนท้องถิ่น โดย กนอ.กำหนดคุณลักษณะมาตรฐานและเกณฑ์ตัวชี้วัดการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศไว้ใน 5 มิติ 22 ด้าน แบ่งการยกระดับความเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศใน 3 ระดับ ประกอบด้วย ระดับ Eco-World Class / Eco-Excellence และ Eco-Champion ตามลำดับ ซึ่งหากนิคมฯ ที่ผ่านเกณฑ์และยกระดับเป็น Eco-World Class แล้ว ต้องรักษาระดับการเป็น Eco-Excellence และ Eco-Champion อย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล และการมีส่วนร่วม” นายวีริศ กล่าว

สำหรับในปีงบประมาณ 2564 กนอ.พัฒนายกระดับนิคมอุตสาหกรรมเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ดังนี้ ระดับ Eco-World Class จำนวน 2 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย และนิคมอุตสาหกรรมหนองแค ระดับ Eco-Excellence จำนวน 3 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมบางชัน  นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (แหลมฉบัง) และนิคมอุตสาหกรรมผาแดง ระดับ Eco-Champion จำนวน 2 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย (สุวรรณภูมิ) และนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี ทำให้ปัจจุบันความสำเร็จของนิคมอุตสาหกรรมที่สามารถพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของ กนอ. ระดับ Eco-Champion มีจำนวน 36 แห่ง ระดับ Eco-Excellence จำนวน 16 แห่ง และระดับ Eco-World Class จำนวน 5 แห่ง 

ทั้งนี้ เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หมายถึงรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนบนพื้นฐานความสมดุลของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม ความสอดคล้องกับกฎหมาย และความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยี กนอ.ดำเนินการขับเคลื่อนการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศมาอย่างต่อเนื่อง และกำหนดเป็นวิสัยทัศน์ขององค์กร ขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์ของ กนอ.ภายใต้แผนงาน 5G+ ซึ่งแผนงานเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์อยู่ในยุทธศาสตร์ Green ที่มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อน ได้แก่ Eco Team, Eco Committee, และ Eco Green Network เพื่อร่วมวางแผนและยกระดับการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศร่วมกัน

“กนอ.ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชน สังคม อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการให้ดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล และให้ความสำคัญกับการผลิต การบริโภคสินค้า และการบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Environment) ตามนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของรัฐบาล ด้วยการส่งเสริมปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตสู่การเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ที่นำไปสู่การพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยตั้งเป้าภายใน 5 ปี (2564-2568) จะต้องมีนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับการยกระดับเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จำนวน 39 แห่ง” ผู้ว่าการ กนอ.กล่าวปิดท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top