Friday, 4 July 2025
Hard News Team

"ก้าวไกล"อัด "นายกฯ " ไร้ความรับผิดชอบ เหตุไม่ให้ความสำคัญมาตอบกระทู้สภาฯ เรื่อง “แต่งตั้งตำรวจ-คดีบอส กระทิงแดง”

ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม  เพื่อพิจารณากระทู้ถามทั่วไป เรื่องขอทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแต่งตั้งนายตำรวจและการคัดเลือกตำรวจราบในพระองค์ของนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มอบหมายให้พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม มาตอบ แต่ติดภารกิจสำคัญจึงขอเลื่อนการตอบกระทู้ออกไปก่อน

ทั้งนี้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า อยากทราบว่าเหตุใดนายกฯมอบหมายให้รมช.กลาโหมมาชี้แจงแทน ทั้งที่ไม่ได้มีภารกิจกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายกฯได้แจ้งประธานที่ประชุมหรือไม่ และที่ติดภารกิจอยากทราบว่าติดภารกิจอะไร เพราะทำให้สมาชิกสภาฯมีคำถาม และคำถามเรื่องตำรวจนั้น ประชาชนให้ความสนใจ และเพิ่งมีเหตุเกิดขึ้นที่จ.นครสวรรค์ การที่นายกฯไม่มาตอบทั้งที่การทำหน้าที่วันสุดท้ายของสภาฯในการประชุมสภาฯสมัยนี้ ทำให้ต่อไปต้องไปตอบคำถามในราชกิจจานุเบกษาแทน และได้คำตอบไม่ลงลึก การอ้างว่าติดภารกิจนั้น นายกฯต้องมีหน้าที่สแตนบายเพื่อมาตอบคำถามสมาชิกสภาฯ ซึ่งท่านมีเหตุผลอะไร ไม่เช่นนั้นตนต้องไปถอนกระทู้นี้ เพื่อมาถามใหม่ในสมัยประชุมหน้า

ด้านศุภชัย กล่าวว่า สภาฯได้รับหนังสือแจ้งจากรมช.กลาโหมว่าติดภารกิจสำคัญที่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า ไม่สามารถมาตอบกระทู้วันนี้ได้ จึงขอเลื่อนออกไปก่อนเหตุผลก็มีเท่านี้ นายกรัฐมนตรีก็ติดภารกิจจำเป็นได้แจ้งมาที่สภาฯแล้ว ส่วนทำไมนายกฯมอบให้รมช.กลาโหมมาชี้แจงแทนนั้น ตนก็ไม่ทราบ เพราะเป็นภารกิจที่นายกฯมอบหมาย อาจจะเป็นเรื่องความมั่นคง

จากนั้นเวลา 13.15 น.เป็นพิจารณากระทู้ถามทั่วไปเรื่องขอให้ติดตามความคืบหน้าและดำเนินการกับผู้กระทำความผิดคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ของนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้ตั้งกระทู้ถามพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แต่ประธานที่ประชุมแจ้งว่า ทางสำนักเลขาธิการนายกฯแจ้งว่านายกฯ มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตอบคำถามในกระทู้นี้แทน แต่เนื่องจากนายวิษณุ ติดภารกิจจึงได้ขอเลื่อนการตอบกระทู้นี้

ทำให้นายธีรัจชัย ลุกขึ้นกล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับประชาชนและเกี่ยวเนื่องกับผลกระทบกระบวนการยุติธรรมที่เสื่อมความน่าเชื่อถือ พบว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ตนต้องการถามนายกฯ แต่นายกฯไม่รับผิดชอบ กลับมอบหมายให้นายวิษณุมาแทน แต่ก็ติดภารกิจสำคัญอีก เราไม่มีมาตรการในการจัดอะไรกับฝ่ายบริหารเลยหรือที่หนีการตอบกระทู้ ที่เป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นการชะลอความจริง และชะลอปัญหา อาจเอื้อให้บางฝ่ายได้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมนี้ 

“ประเทศนี้มันอะไรกัน เรื่องนี้เป็นหลบหนีความจริง มีวาระซ่อนเร้นที่จะไม่ตอบ ไม่ตอบวันนี้หมายความว่ากระทู้นี้ต้องไปตอบในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะตอบแบบใดก็ได้ หมายความว่าคนที่ทำผิดจะไปทำอะไรก็ได้ อำนาจนิติบัญญัติไม่มีความหมายแล้วหรือ ขอให้สภาฯช่วยกระทุ้งฝ่ายบริหารรับผิดชอบฝ่ายนิติบัญญัติมากกว่านี้ และการจับกุมนายวรยุทธ มีความคืบหน้าไปถึงไปไหนอย่างไรแล้ว” นายธีรัจชัย กล่าว

ทำให้นายศุภชัย ชี้แจงว่า นายกฯสามารถเลื่อนการตอบกระทู้ได้ และทำหนังสือมาชี้แจงสภาฯ นายธีรัจชัยมีทางเลือกคือ ถ้ายังอยากถามเรื่องนี้ในที่ประชุมสภาฯ สามารถถอนเรื่องออกไปก่อนได้ แล้วเปิดสมัยประชุมหน้าก็ยื่นกระทู้ถามใหม่ เพื่อให้นายกฯและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องมาตอบคำถาม 

'หมอธีระ' วอนชะลอเปิดท่องเที่ยว-เปิดประเทศ ชี้!! ไทยยังไม่พร้อม หวั่นเชื้อลามหนักอีก

วันที่ 16 กรกฎาคม  2564 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลก 16 กันยายน 2564 ทะลุ 227 ล้านไปแล้ว

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 537,933 คน รวมแล้วตอนนี้ 227,190,094 คน ตายเพิ่มอีก 9,761 คน ยอดตายรวม 4,671,892 คน

5 อันดับแรกที่มีจำนวนติดเชื้อต่อวันสูงสุดคือ อเมริกา สหราชอาณาจักร อินเดีย ตุรกี และอิหร่าน

อเมริกา ติดเชื้อเพิ่ม 149,288 คน รวม 42,457,468 คน ตายเพิ่ม 2,106 คน ยอดเสียชีวิตรวม 684,800 คน อัตราตาย 1.6%

อินเดีย ติดเพิ่ม 30,361 คน รวม 33,345,873 คน ตายเพิ่ม 432 คน ยอดเสียชีวิตรวม 443,960 คน อัตราตาย 1.3%

บราซิล ติดเพิ่ม 14,780 คน รวม 21,034,610 คน ตายเพิ่ม 750 คน ยอดเสียชีวิตรวม 588,597 คน อัตราตาย 2.8%

สหราชอาณาจักร ติดเพิ่ม 30,597 คน ยอดรวม 7,312,683 คน ตายเพิ่ม 201 คน ยอดเสียชีวิตรวม 134,647 คน อัตราตาย 1.9%

รัสเซีย ติดเพิ่ม 18,841 คน รวม 7,194,926 คน ตายเพิ่ม 792 คน ยอดเสียชีวิตรวม 195,041 คน อัตราตาย 2.7%

อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิหร่าน อาร์เจนตินา และโคลอมเบีย ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่น

หากรวมทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ พบว่ามีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 93.31 ของจำนวนติดเชื้อใหม่ทั้งหมดต่อวัน

แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักร้อยถึงหลักพัน

แถบตะวันออกกลางส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักร้อยถึงหลักพัน ยกเว้นอิหร่านติดเพิ่มหลักหมื่นอย่างต่อเนื่อง

ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม ติดเพิ่มกันหลักหมื่น

ส่วนญี่ปุ่น เมียนมาร์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ติดกันหลักพัน กัมพูชา และลาว ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนจีน และนิวซีแลนด์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่ฮ่องกง และไต้หวัน ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

สถานการณ์ไทยเรา

เมื่อวานจำนวนติดเชื้อใหม่ที่รายงานนั้นยังคงสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก

แต่หากรวม ATK ด้วย ก็จะขยับแซงบราซิล ขึ้นเป็นอันดับ 9 ของโลก

ถ้าดูเฉพาะในเอเชีย จำนวนติดเชื้อใหม่ของเราเป็นอันดับ 6

ผลลัพธ์ของนโยบายกล่องทรายและ 7+7

พื้นที่ท่องเที่ยวทั้งภูเก็ต กระบี่ และสุราษฎร์ รวมถึงใกล้เคียง เช่น นครศรีธรรมราช ล้วนกำลังเผชิญกับการระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น

การประเมินผลนโยบายนั้น ไม่ควรทำให้ประชาชนเข้าใจผิดด้วยการนำเสนอเฉพาะจำนวนเคสติดเชื้อที่ตรวจพบจากการเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศเท่านั้น

ขอเน้นย้ำตามหลักวิชาการอีกครั้ง ดัง ๆ ชัด ๆ ว่า นโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการเปิดประเทศในจังหวัดต่าง ๆ ที่วางแผนกันมานั้น จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดหนักตามมา ด้วยปัจจัยเสี่ยง 2 ประการ

หนึ่ง “การที่คนที่เดินทางจากต่างประเทศอาจนำเชื้อเข้ามาในพื้นที่ได้”

การมีกฎระเบียบให้ตรวจคัดกรองโรคมาก่อนเดินทางนั้น ช่วยลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง

การกักตัว และตรวจซ้ำระหว่างกักตัวตามมาตรฐาน 14 วัน ก็จะลดความเสี่ยงได้อีกระดับหนึ่ง

ส่วนการฉีดวัคซีนครบโดสมาก่อนเดินทางนั้น คนที่ฉีดวัคซีนมาแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อระหว่างช่วงการเดินทาง ระหว่างพำนักในพื้นที่ และแพร่ให้กับผู้อื่นได้

แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญกว่าอันแรกคือ

สอง “นโยบายเปิดท่องเที่ยวและเปิดประเทศ จะทำให้มีจำนวนคนหมุนเวียนมากขึ้นในพื้นที่ กิจการ กิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น มีการพบปะติดต่อกัน ค้าขาย บริการ ใกล้ชิดกัน ใช้เวลาร่วมกันนานมากขึ้น” นี่คือปัจจัยเสี่ยงหลักที่เกิดขึ้นจากนโยบาย และส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้อติดเชื้อในพื้นที่มากขึ้น เพราะมีการติดเชื้อในชุมชนอยู่

ปัจจัยเสี่ยงทั้งสองประการนั้นคือ ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากนโยบาย

และผลลัพธ์คือ จำนวนการติดเชื้อแต่ละพื้นที่ที่สูงขึ้น โดยมักจะเห็นได้ชัดตั้งแต่ 6-8 สัปดาห์เป็นต้นไป

การประเมินผลนโยบายดังกล่าว จึงต้องไม่ประเมินและรายงานให้เข้าใจเพียงว่า มีจำนวนการติดเชื้อจากคนเดินทางมาจากต่างประเทศ แต่ต้องดูจำนวนติดเชื้อทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพราะเป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งสองเรื่อง

นี่คือสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการ และควรบอกกล่าวเล่าแจ้งให้ประชาชนได้ทราบ เพื่อให้เกิดตรรกะ การใช้เหตุผล ยืนบนหลักการ และใคร่ครวญทบทวน วางแผนจัดการชีวิตและจัดการปัญหาในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง

แต่ละพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายข้างต้น หน่วยงานและประชาชนก็คงต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำ ชั่งใจให้ดีว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมานั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ และหากดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จะเกิดผลกระทบระยะยาวต่อชีวิต และแหล่งพำนักพักพิง/ที่ทำมาหากิน ของตนเองและลูกหลานอย่างไรบ้าง

ทั้งนี้ขอให้ตระหนักว่า หากการระบาดภายในประเทศยังมีความรุนแรง กระจายไปทั่ว ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากนโยบายเปิดท่องเที่ยว และเปิดประเทศนั้น ย่อมจะทำให้การระบาดในแต่ละพื้นที่รุนแรงขึ้น และเร็วขึ้นแน่นอน

ผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกจากการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น จำนวนคนป่วยมากขึ้น จำนวนคนตายมากขึ้นแล้ว ย่อมส่งผลต่อการเกิดสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ในประเทศซึ่งอาจดื้อต่อยา ต่อวัคซีนที่มี และเกิดผลกระทบต่อเนื่องย้อนเป็นโดมิโน่

ยิ่งไปกว่านั้น ก็ย่อมส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด

และหากเกิดขึ้นในอนาคต โอกาสที่ประชาชนส่วนใหญ่จะยืนระยะสู้กับโรค คงจะลำบากมาก เพราะเราสู้กันมานาน แต่ไม่ตัดวงจรระบาด ทรัพยากรที่มีย่อมลดลงหรือหมดไป

ปัญหาสังคม เช่น อาชญากรรม และความไม่สงบสุขในบ้านเมือง ก็ย่อมตามมาได้

เหล่านี้คือสิ่งที่รัฐควรใคร่ครวญให้ดี เรียนรู้บทเรียนจากกล่องทรายที่เห็นประจักษ์ชัด

ควรใช้เวลาไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จัดหาวัคซีนที่ดี มีประสิทธิภาพ ให้แก่ประชาชนอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่

หากรีบเปิดประเทศ เปิดท่องเที่ยว มองตาไหนบนกระดาน ก็ไม่เห็นตาเดินแห่งชัยชนะ

สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ปลอดภัยต่อการเปิดท่องเที่ยว และเปิดประเทศครับ

ชะลอเถิดครับ

ด้วยรักและห่วงใย

กระแสแรงไม่ตก ตามรอยลิซ่า 'ลูกชิ้นยืนกิน' ยอดขายทะลุหมื่นต่อวัน

พ่อค้าแม่ค้าขายลูกชิ้นยืนกิน จ.บุรีรัมย์ ต่างยิ้มหน้าบาน แค่ชั่วข้ามคืน กระแส ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ทำยอดขายพุ่งวันละเป็นหมื่น จากยอดขายหลักร้อยจากพิษโควิด พ่อค้าแม่ค้าเชิญชวน ‘ลิซ่า’ กินฟรีแทนคำขอบคุณ ขณะที่เหล่าแฟนคลับทั้งในและนอกจังหวัด ไม่พลาดลิ้มลอง ‘ลูกชิ้น-น้ำจิ้ม’ รสเด็ด ตามรอยไอดอล 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ หรือ น.ส.ลลิษา มโนบาล ศิลปินดังระดับโลก ได้ปล่อยโซโล่เดียว MV เพลง LALISA จนมีคนเข้าไปดูมากกว่าร้อยล้านวิว ทั้งยังได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับรายการหนึ่งของไทยว่า ถ้าได้กลับมาบ้านเกิด จ.บุรีรัมย์ สิ่งแรกที่อยากรับประทานคือ ‘ลูกชิ้นยืนกินสูตรน้ำจิ้มพริกเผา’ ซึ่งเป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้เหล่าบรรดาแฟนคลับและประชาชนทั่วไป อยากจะรับประทานลูกชิ้นยืนกินตามรอยลิซ่ากันเลยทีเดียว

บางคนถึงขั้นลงทุนเดินทางมากินถึง จ.บุรีรัมย์ อีกทั้งยังสร้างปรากฏการณ์มีออเดอร์สั่งซื้อผ่านออนไลน์ถล่มทลาย ถึงวันละ 300-400 ชุด ในราคาชุดละ 60-100 บาท จนทำให้บางร้านถึงขั้นแพ็กส่งลูกค้ากันแทบไม่ทัน บางร้านถึงขั้นต้องหยุดทอดขายหน้าร้านชั่วคราว เพื่อแพ็กส่งตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งผ่านออนไลน์ ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าที่ขายลูกชิ้นยืนกิน บริเวณสถานีรถไฟบุรีรัมย์มียอดขายวันละมากกว่า 10,000 บาท จากก่อนหน้านี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดระบาด ขายได้เพียงวันละหลักร้อยบาทเท่านั้น

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอขอบคุณลิซ่า ที่ทำให้ลูกชิ้นยืนกินกลับมาขายดิบขายดีอีกครั้ง หลังจากที่ซบเซาเพราะพิษโควิดมาเป็นปี ถึงขั้นประกาศเชิญชวนให้ลิซ่า มารับประทานลูกชิ้นยืนกินแบบฟรี ๆ ร้านไหนก็ได้ที่ลิซ่าชอบ เพื่อแทนคำขอบคุณที่ไม่ลืมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเกิด

ด้าน น.ส.อรุณศรี กำเนิดกลาง เจ้าของร้านลูกชิ้น ‘ยายภา’ และ น.ส.รักชนก มณีวรรณ เจ้าของร้านลูกชิ้น ‘เจ้นกกอก’ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังจากมีกระแสของลิซ่า ก็ทำให้ลูกชิ้นยืนกินขายดีเป็นประวัติการณ์ แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะมีออเดอร์สั่งผ่านออนไลน์เข้ามาอย่างต่อเนื่องวันละ 300-400 ชุด ตลอดเกือบสัปดาห์แล้ว จนบางวันแพ็กส่งกันแทบไม่ทัน ส่งผลให้ยอดขายพุ่งเพียงชั่วข้ามคืน จากช่วงโควิดขายได้วันละไม่กี่ร้อยบาท แต่พอมีกระแสลิซ่า ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่นบาท พ่อค้าแม่ค้าต่างดีใจและขอขอบคุณน้องลิซ่ามาก เพื่อแทนคำขอบคุณจึงขอเชิญชวนให้น้องลิซ่า มาทานลูกชิ้นยืนกินฟรีเลย ร้านไหนก็ได้ เพราะตอนนี้เกือบทุกร้าน ก็ทำน้ำจิ้มสูตรพริกเผาเหมือนที่น้องอยากกินแล้ว

ขณะที่ น.ส.ถนอมวรรณ สินธุรัตน์ ลูกค้าคนหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนอยู่ จ.บุรีรัมย์ พอมีกระแสลิซ่าก็มีเพื่อนจากกรุงเทพฯ และคนรู้จักที่ จ.ชัยภูมิ และภาคใต้ โทรศัพท์มาสอบถามและฝากซื้อให้ช่วยส่งไปให้หลายคน เพราะอยากจะกินตามรอยกระแสลิซ่า สำหรับตนซึ่งเป็นคนบุรีรัมย์ก็มาทานบ่อย ส่วนมากก็จะยืนกินที่ร้านเพราะได้อรรถรสมากกว่า แต่ช่วงโควิดเขามีนโยบายห้ามยืนกินก็จะซื้อไปกินที่บ้านแทน ก็อยากจะเชิญชวนให้มาลองลิ้มรสลูกชิ้นยืนกินของ จ.บุรีรัมย์ ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งลูกชิ้นที่นุ่มอร่อยและน้ำจิ้มรสเด็ด รับรองว่าถ้าได้มาลองทานแล้วจะติดใจ

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัด ด้วยคำพูดเดียว

ทั้งนี้ หลังจากลิซ่า BLACKPINK ให้สัมภาษณ์ว่า อยากกินลูกชิ้นยืนกิน ก็ทำเอาแม่ค้าปลื้ม ขายดิบขายดี จนล่าสุด สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดบุรีรัมย์ การรถไฟแห่งประเทศไทย สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ แจงร่วมจัดเทศกาลลูกชิ้นยืนกิน 2021 ช่วง 17-23 ก.ย. 64 นี้!


ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2194745

เกษตรฯ สำรวจพื้นที่เกษตรน้ำท่วม แจกพืชพันธุ์ลดผลกระทบ

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการเกษตร เฝ้าสังเกตการณ์ พร้อมลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบหลังน้ำลดโดยเร็ว รวมทั้งให้จัดเตรียมขยายพืชพันธุ์ดีกว่า 4.5 ล้านต้น และเมล็ดพันธุ์อีก 6 แสนซอง เพื่อให้เพียงพอและพร้อมแจกจ่ายแก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากร่องมรสุมพาดผ่านหลายพื้นที่ในประเทศไทย รวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะจังหวัดมุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ รวมทั้งในบางพื้นที่ยังคงมีฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก จนทำให้พื้นที่เกษตรอาจได้รับความเสียหาย

'ญี่ปุ่น' พบสิ่งแปลกปลอมในขวดวัคซีน 'ไฟเซอร์' เร่งบริษัทผู้ผลิตตรวจสอบด่วน

สำนักข่าวเกียวโดนิวส์รายงานอ้างรัฐบาลท้องถิ่นเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (14 ก.ย.) พบสิ่งแปลกปลอมในขวดวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ 5 ขวดที่ยังไม่ได้ใช้งาน ใน 2 เมืองใกล้กรุงโตเกียว และอีกเมืองในจังหวัดโอซากา และได้ร้องขอให้ทางไฟเซอร์วิเคราะห์สารดังกล่าวแล้ว

รายงานข่าวของเกียวโดนิวส์ อ้างเจ้าหน้าที่ของเมืองซางามิฮาระ และเมืองคามาคุระ ในจังหวัดคางากาวะ และเจ้าหน้าที่เมืองซากาอิ ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ระบุว่า วัคซีนที่พบสิ่งแปลกปลอมสีขาวลอยอยู่ในขวดนั้นมาจากล็อตเดียวกันคือ FF5357

ทั้ง 3 เมืองได้ร้องขอให้ไฟเซอร์วิเคราะห์สิ่งแปลกปลอมดังกล่าวแล้ว

เจ้าหน้าที่พบวัคซีนปนเปื้อนในศูนย์ฉีดวัคซีน 3 แห่งในซางามิฮาระ ระหว่างวันเสาร์ (11 ก.ย.) จนถึงวันอังคาร (14 ก.ย.) 1 แห่งในคามาคุระในวันอาทิตย์ (12 ก.ย.) และ 1 แห่งในซากาอิ ในวันอังคาร (14 ก.ย.)

เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 เมืองยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ใช้วัคซีนที่ปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม แต่ยังคงเดินหน้าฉีดวัคซีนขวดอื่น ๆ ที่มาจากล็อตเดียวกัน ที่ผ่านการยืนยันแล้วว่าไม่ปนเปื้อน

เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นเพิ่งระงับใช้วัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์นา อิงค์ ราว ๆ 1.63 ล้านโดส ส่วนหนึ่งในมาตรการป้องกันไว้ก่อน หลังพบสารแปลกปลอมในขวดวัคซีนหลายขวด


(ที่มา: เกียวโดนิวส์)
https://mgronline.com/around/detail/9640000091759

นายกฯเตรียมหารือพบปะผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ตามโครงการ Factory Sandbox  ป้องกันโควิด-19 ณ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ จำกัด (แหลมฉบัง) ศุกร์ 17 กันยายน นี้ 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกลาโหม เตรียมลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินโครงการ Factory Sandbox  พร้อมกล่าวมอบนโยบายและตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ จำกัด (แหลมฉบัง) ก่อนพบปะกับผู้บริหารและนักลงทุนญี่ปุ่นเพื่อหารือแนวโน้มการลงทุนและการส่งออกในวันศุกร์ 17 กันยายน นี้  

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะ มีความตั้งใจจะไปติดตามโครงการ Factory Sandbox ซึ่งเป็นหนึ่งโครงการนำร่องในการป้องการและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน ในเฟสแรก ดำเนินการไปแล้วใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และชลบุรี ในส่วนเฟสสองขยายต่ออีก 3 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ เป็นมาตรการภาครัฐในการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานและเดินหน้าสถานประกอบการ ช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ชลบุรี ถือว่ามีโรงงานขนาดใหญ่จำนวนมากและมีผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ประมาณ 700,000 คน  และมีสถานประกอบการ 17 แห่งที่ดำเนินโครงการฯ

ทั้งนี้  โครงการ Factory Sandbox  จะนำใช้กับโรงงานขนาดใหญ่ที่มีแรงงานมากกว่า 500 คนขึ้นไป เป็นสถานประกอบกิจการที่ผลิตเพื่อการส่งออก ควบคู่กับการดำเนินการ Bubble and Seal กำหนดให้ลูกจ้างเดินทางกลับที่พักโดยตรงไม่แวะระหว่างทาง และอยู่แต่ในเคหะสถานเท่านั้น จัดให้มีการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR จำนวน 1 ครั้ง ให้ลูกจ้างทั้งหมด และตรวจแบบ Self-ATK (Antigen Test Kit) ทุก 7 วัน  พร้อมจัดสรรให้ได้รับวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ด้วย

“นายกรัฐมนตรีต้องการดูแลพี่น้องแรงงานของไทยและแรงงานต่างด้าวอย่างดีที่สุด เพราะแรงงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ สำคัญให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้เพื่อดูแลตนเอง ครอบครัวและยังเพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งไปพร้อมๆกันอีกด้วย” นาย ธนกรกล่าว

'ราเมศ' มั่นใจ แก้ รธน. ถูกต้องตามกระบวนการนิติบัญญัติ 

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวถึงเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ได้ผ่านวาระสามไปแล้ว ว่า 

ไม่กังวลที่มี ส.ส.ในส่วนของพรรคเล็กที่กำลังรวบรวมรายชื่อ ส.ส.เพื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ถ้ารวบรวมรายชื่อได้ครบ หนึ่งในสิบของจำนวน ส.ส.หรือ หนึ่งในสิบของจำนวน ส.ส. หรือ ส.ว. รวมกัน ก็ว่ากันไปตามกระบวนการ แต่มั่นใจในกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ได้ดำเนินการถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ ทั้งสามวาระไม่มีขั้นตอนใดที่ผิดหลักการความถูกต้อง 

ส่วนการพิจารณาในชั้นรับหลักการ ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (แก้ไขเพิ่มเติม) ฉบับที่ .. พ.ศ. .… (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91) ที่ว่าด้วยเรื่องระบบเลือกตั้งนั้น การที่รัฐสภารับหลักการมาในร่างดังกล่าวซึ่งมีหลักการและเหตุผลเป็นเรื่องการแก้เรื่องระบบการเลือกตั้งอย่างชัดเจน  ในวาระที่สองคือในชั้นคณะกรรมาธิการ ก็ต้องมีการพิจารณาให้มีความละเอียดรอบคอบ หากมีมาตราใดที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือกตั้ง หากต้องการปรับแก้ในมาตราใดข้อความใดเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลคือในส่วนของระบบเลือกตั้งก็สามารถทำได้ ทั้งในส่วนของกรรมาธิการและสมาชิกรัฐสภาที่ยื่นแปรญัตติไว้ 
 
ที่สำคัญข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่ 124 ได้ระบุไว้ชัดว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในชั้นคณะกรรมาธิการสมาชิกรัฐสภาสามารถที่จะแปรญัตติได้และในวรรคที่สามได้ระบุไว้ชัดอีกว่าการแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอน หรือแก้ไขมาตราเดิมต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งมีเจตนารมณ์ชัดว่าสมาชิกสามารถดำเนินการได้ตรวจตราในมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักการได้ด้วย เพื่อให้รัฐธรรมนูญเมื่อแก้ไขแล้วสามารถบังคับใช้ได้โดยไม่ขัดหรือแย้งกัน ก็มีการปรับข้อความในมาตรา 86 ในเรื่องจำนวนตัวเลข จากจำนวน ส.ส.ในระบบเขตจำนวน 350 คน เป็น 400 คน เพื่อให้ข้อความสอดคล้องกับมาตรา 83 ที่มีการขอแก้ไขจำนวน ส.ส.ให้มี ส.ส.ระบบเขตเลือกตั้ง 400 คน ระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน หากไม่มีการปรับข้อความในมาตรา 86 ก็จะขัดแย้งกัน 

สรุปมีการพิจารณาแก้ไข 3 มาตรา คือ มาตรา 83 มาตรา 86 และมาตรา 91 ไม่มีการเพิ่มเติมส่วนไหนที่ขัดกับหลักการของร่างแต่อย่างใด ทุกกระบวนการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับอย่างเคร่งครัด 

นายราเมศ กล่าวต่อว่า การแก้ไขระบบเลือกตั้ง เป็นแบบบัตรเลือกตั้งสองใบ ถ้าคิดว่าหลักการดี อย่าไปคิดว่าพรรคใดจะได้ประโยชน์ เพราะต้องถือว่าประเทศ ประชาชนได้ประโยชน์ ท้ายที่สุดอยู่ที่ประชาชน หากได้ส่งเสริมให้พรรคการเมืองเกิดความเข้มแข็ง ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพมากขึ้นในการใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งผู้สมัครและพรรค ก็เป็นผลดีต่อระบบประชาธิปไตยในอนาคต จึงไม่อยากให้คิดบนพื้นฐานอคติ หรือคิดเพื่อประโยชน์ส่วนตนของพรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะถ้าคิดเช่นนั้นยากต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในอนาคต

“บิ๊กตู่”นำถกคกก.ยุทธศาสตร์ชาติ “ย้ำ” ประเทศไทยต้องมีแผนหลักทั้งฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ ไม่ให้เดินคนละทิศละทาง ทำหลายอย่างเชื่องช้า

ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ วิดิโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการหารือร่วมกันในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติของเรา ทำตามวิสัยทัศน์จะทำอย่างไรให้ประเทศชาตินั้นมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ทั้งนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีแผนหลัก ในการดำเนินการ ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่เช่นนั้นเราจะเดินไปคนละทิศคนละทางไปข้างหน้า ทำให้หลายอย่างนั้นเชื่องช้า

เอาอยู่ “บิ๊กตู่”โพสต์ย้ำเตรียมแผนเผชิญเหตุ รับมือสถานการณ์น้ำอย่างเป็นระบบ “ยัน”สถานการณ์น้ำปีนี้ไม่น่าเป็นห่วง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า วานนี้ (15 ก.ย.) ได้ลงพื้นที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ โดยเฉพาะที่มาจากภาคเหนือ และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคกลางของประเทศ รวมถึง กทม. ซึ่งตนได้รับข้อมูลว่าปัจจัยสำคัญของปริมาณน้ำในช่วงนี้มาจากพายุ 2 ลูก ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ส่งผลกระทบในบางพื้นที่ แต่ในภาพรวมปริมาณน้ำอยู่ในระดับทรงตัวแล้ว และจากการประเมินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานการณ์น้ำในปีนี้ไม่น่าเป็นห่วงเหมือนปี 2554 อย่างไรก็ตาม ก็ได้สั่งการให้มีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องจนหมดหน้าฝน โดยให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์จุดเสี่ยงต่างๆ อย่างเต็มที่ ตามแผนเผชิญเหตุ โดยคำนึงเสมอว่านอกจากระบายน้ำลงทะเลเพื่อป้องกันน้ำท่วมแล้ว ยังต้องคำนวณการเก็บกักน้ำไว้ใช้หน้าแล้งด้วย

“ผมขอเรียนว่า รัฐบาลมีแผนการรับมือสถานการณ์น้ำอย่างเป็นระบบ ในแต่ละลุ่มน้ำ แต่ละภูมิภาค ในช่วงมรสุมของทุกๆ ปี ตั้งแต่ระบบติดตามระดับน้ำ พร้อมทั้งพยากรณ์ปริมาณน้ำล่วงหน้า ซึ่งจะกำหนดเกณฑ์ปลอดภัย เกณฑ์ตัดสินใจเพิ่มการระบายน้ำในแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ โดยคำนวณผลกระทบล่วงหน้า การเตรียมพื้นที่รองรับน้ำ มีหน่วยงาน ผู้รับผิดชอบตามระดับผลกระทบ มีอนุกรรมการและคณะกรรมการกำกับดูแล มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้งแผนเผชิญเหตุแยกเป็นพื้นที่และเป็นภาพรวม ระบบและช่องทางสื่อสารแจ้งเตือนภัย และการตระเตรียมพื้นที่อพยพและพื้นที่ปลอดภัย เป็นต้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบความแข็งแรงโครงสร้างเขื่อน-ประตูน้ำ ขุดลอกคูคลองสาขา จัดระเบียบที่อยู่อาศัยชุมชนที่รุกล้ำลำคลองสาธารณะ และกำจัดผักตบชวาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 19 จังหวัด ภาคกลางและตะวันออก รวมกำจัดผักตบชวากว่า 5 ล้านตัน ทั้งนี้ หลักการสำคัญที่รัฐบาลเน้นย้ำมาตลอดคือ การแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำอย่างยั่งยืน โดยมีการจัดทำแผนบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน  การปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก การบริหารจัดการพื้นที่รับน้ำนองและพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำหลากสายใหม่ ทั้งคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ที่จะแล้วเสร็จในปี 2566 คลองระบายน้ำหลากชัยนาท-ป่าสัก-อ่าวไทย (เพื่อรองรับน้ำท่วมที่รอบปี 50 ปี) และคลองระบายน้ำควบคู่กับถนนนวงแหวนรอบที่ 3 (เพื่อรองรับน้ำท่วมที่รอบปี 100 ปี) ทั้งนี้เป้าหมายหลัก นอกจากเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของประเทศด้วย

“ผมขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการที่รัฐบาลได้วางแผนไว้แล้ว และขอความร่วมมือในการอุปโภคบริโภคอย่างสมดุล พื้นที่เพาะปลูกก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับทรัพยากรน้ำ และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตามนโยบายตลาดนำการผลิตด้วย ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะเข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำของประเทศ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

“จุรินทร์” ไม่กังวล ฝ่ายค้านยื่นป.ป.ช.สอบ "เฉลิมชัย" ยัน ชี้แจงชัดเจนแล้วในสภาไม่มีประเด็นน่าสงสัย พร้อมแย้ม ส.ส.เลือดเก่า-เลือดใหม่ไหลเข้า ปชป.  อุบตอบให้รอเปิดตัว เชื่อกำลังเดินขึ้น ทั้งเห็นด้วย พท. ใช้พรรคเดียวเบอร์เดียวทั่วประเทศ ป้องกันปชช.สับสน

ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านจะยื่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เรื่องทุจริตยาง ซึ่งสืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ไม่ได้กังวล ในสภาทุกคนก็เห็นชัดเจนอยู่แล้วว่านายเฉลิมชัยสามารถชี้แจงได้ชัดเจนครบถ้วนทุกประเด็น ไม่มีประเด็นอะไรที่สภาสงสัยหรือแม้แต่ประชาชนทั่วไป ฉะนั้นการยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบก็สามารถทำได้จึงไม่มีอะไรน่ากังวล

ทั้งนี้นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี รมว.พาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณี ส.ส.ภาคใต้ 9 คน จะย้ายกลับมาพรรคประชาธิปัตย์ ว่า คนที่เคยอยู่กับพรรคมาและออกไปก่อนหน้านั้นแล้วประสงค์จะกลับพรรคก็มีหลายคน ที่มาสมัครสมาชิกพรรคแล้วก็มี แต่สำหรับภาคใต้ ตนมอบหมายให้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคตามภารกิจ และรักษาการรองหัวหน้าพรรคภาคใต้เป็นผู้รับผิดชอบ ฉะนั้น รายละเอียดทั้งหมดขอให้ถามนายนิพนธ์ แต่ในภาพรวมเป็นไปตามแนวทางที่พรรคดำเนินการอยู่ขณะนี้ คือ แนวทางที่จะเดินหน้านำเลือดใหม่ไหลเข้า เลือดเก่าไหลกลับ ซึ่งขณะนี้นอกจากมีคนเก่ากลับพรรคแล้ว ก็ยังมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เข้ามาร่วมอุดมการณ์กับพรรคในทุกภาค เฉพาะในภาคใต้ก็ได้ประกาศตัวคนรุ่นใหม่ที่ จ.ระนองไปแล้ว ส่วนจ.ภูเก็ตก็จะเพิ่มจำนวน ส.ส.จาก 2 คน เป็น 3 คน ทั้งนี้ จะเรียนให้ทราบต่อไปว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งยังไม่ขอตอบว่าจะมี ส.ส.ทั้งเลือดเก่าและเลือดใหม่เข้ามาพรรคทั้งหมดกี่คน เมื่อถึงเวลาจะทยอยเรียนให้ทราบและจะมีการเปิดตัวเป็นนระยะ

เมื่อถามว่าการที่คนเก่าๆ กลับมาอยู่กับพรรคอีกครั้ง บ่งบอกว่าประชาชนในพื้นที่กำลังคิดอะไรอยู่ได้หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในทุกภาค ทุกคนพูดตรงกันว่าวันนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังเดินขึ้น ไม่ได้เดินลง ฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ สมาชิกคนเก่ากลับพรรค คนรุ่นใหม่ก็มาเติมให้เรามีพลังมากขึ้นในการที่จะเดินหน้าพาพรรคประชาธิปัตย์ไปรับใช้ประชาชนอย่างเต็มกำลังให้มากขึ้นในอนาคตต่อไป

เมื่อถามว่าจากผลงานที่ผ่านมาคะแนนนิยมของพรรคมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างไรบ้าง นายจุรินทร์ กล่าวว่า เรื่องผลงานตนมั่นใจว่าประชาชนตอบรับมากขึ้น และพรรคประชาธิปัตย์มีผลงานเป็นรูปธรรมเป็นที่ประจักษ์อย่างน้อย 2 เรื่อง ที่เราได้กำหนดไว้เป็นเงื่อนไขก่อนเข้าร่วมรัฐบาล คือ 1.ประกันรายได้เกษตรกร 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันนี้อย่างน้อย 2 เรื่องนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการให้เห็นผลสัมฤทธิ์เป็นจริงได้ เรื่องประกันรายได้นั้นภายในแค่ 4-5 เดือนเราก็สามารถโอนเงินส่วนต่างให้เกษตรกรได้ จึงเป็นที่มาที่มีการพูดกันว่าพรรคประชาธิปัตย์อุดมการณ์ทันสมัย ทำได้ไว ทำได้จริง เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญแม้จะต้องใช้เวลาบ้าง แต่วันนี้ก็ปรากฏชัดว่าอย่างน้อยที่สุดก็สามารถผ่านความเห็นชอบวาระ 3 ได้

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคเล็กจะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ถ้าสามารถรวมเสียงได้ 1 ใน 10 ก็ยื่นได้ ส่วนตัวไม่มีอะไรกังวลเพราะเป็นเงื่อนไขและกระบวนการที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะเป็นผลดีก็ได้จะได้ไม่ต้องคาใจ ว่ากระบวนการในการดำเนินการหรือประเด็นอื่นๆ เป็นไปโดยชอบตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

ถามต่อว่าเชื่อว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านไปแล้วไม่มีประเด็นใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าไม่ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญ เพราะทุกประเด็นผ่านขั้นตอนกระบวนการพิจารณาโดยชอบ มิเช่นนั้นจะนำไปสู่การลงมติร่วมกันในวาระ 3 ไม่ได้ และระหว่างทางก็มีการเสนอญัตติซึ่งสุดท้ายเสียงส่วนใหญ่พิจารณาแล้วก็เห็นตรงกันว่า สามารถดำเนินการได้และทุกอย่างเป็นไปโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามถึงการผลักดันพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูก มีการเตรียมการอย่างไรบ้าง นายจุรินทร์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุมส.ส.และมีมติตั้งคณะทำงานชุดหนึ่ง เพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์มองว่าจะแก้ไขกฎหมายลูกนั้น ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอพรรคเพื่อไทยที่จะแก้ไขบัตรเลือกตั้งให้เป็นแบบพรรคเดียวเบอร์เดียว จะได้ไม่สร้างความสับสน หากใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบแล้วใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศก็จะง่ายต่อประชาชนที่จะเลือก เพราะหากใช้แบบหนึ่งเขตก็หนึ่งเบอร์ การหาเสียงหรือชี้แจงต่อประชาชนก็จะยากลำบาก การใช้เบอร์เดียวพรรคเดียวเป็นการเสริมสร้างพรรคการเมืองให้เข้มแข็งขึ้น พรรคจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เนื่องจากพรรคการเมืองเป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉะนั้น รูปแบบใดก็ตามที่นำไปสู่การทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งได้ก็เป็นเรื่องที่ดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top