Friday, 4 July 2025
Hard News Team

สาวก Apple เตรียมจอง 1 ต.ค. เริ่มขายจริง 8 ต.ค.นี้ สนนราคา 25,900 ถึง 62,900 บาท

15 ก.ย. 64 ในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา Apple เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ iPhone 13 ซึ่งดีไซน์หลักยังคงเดิม แต่ปรับรูปแบบการเรียงกล้องใหม่ มาในแนวทแยงมุม มาพร้อม 5 สีสันใหม่ คือ ชมพู น้ำเงิน มิดไนต์ สตาร์ไลท์ และแดง 

ทั้งนี้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro มีการเพิ่มฟีเจอร์หลากหลายเข้ามา ทั้งชิป A15 bionic ใหม่, กล้องใหม่พร้อมโหมด Cinematic และโหมดถ่ายรูประยะใกล้ (มาโคร) แต่ที่น่าสนใจคือ iPhone 13 Pro Max มีการเพิ่มความจุเข้าไปมากถึง 1TB ซึ่งถือว่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขณะที่จอภาพ Super Retina XDR เพิ่มความสว่างถึง 28% ประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้น ใช้ชิป A15 Bionic 

ทั้งนี้ Apple ประกาศวันเปิดขายในไทยที่เร็วกว่าเดิม คือขายวันที่ 8 ตุลาคมนี้เลย ใครสนใจรอสั่ง Pre-Order ได้วันที่ 1 ตุลาคมนี้

โดยราคาวางจำหน่ายสำหรับราคาแต่ละรุ่นที่ประกาศใน Apple Store Thailand ดังนี้

iPhone13 mini หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว
128 GB ราคา 25,900 บาท
256 GB ราคา 29,900 บาท
512 GB ราคา 37,900 บาท

iPhone13 หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว
128 GB ราคา 29,900 บาท
256 GB ราคา 33,900 บาท
512 GB ราคา 41,900 บาท

iPhone13 Pro หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว
128 GB ราคา 38,900 บาท
256 GB ราคา 42,900 บาท
512 GB ราคา 50,900 บาท
1 TB ราคา 58,900 บาท

iPhone13 Pro Max หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว
128 GB ราคา 42,900 บาท
256 GB ราคา 46,900 บาท
512 GB ราคา 54,900 บาท
1 TB ราคา 62,900 บาท

นอกจากนี้ ยังสามารถผ่อน 0% ได้ยาว 10 เดือน เมื่อซื้อผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เช่น SCB, KTC , กรุงเทพ กสิกรไทย เป็นต้น


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/

“สมศักดิ์” เผย “บิ๊กป้อม” ขอส.ส.รักกัน อย่าแบ่งก๊วน ชี้ ตั้ง”บิ๊กน้อย” ช่วยยุทธศาสตร์พรรค 

ที่ห้องพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ชั้น6 รัฐสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะกรรมการบริหารพรรค
พปชร.กล่าวภายหลังประชุมส.ส. พรรค นานประมาณ 1 ชั่วโมง ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพปชร.โดยขอให้ส.ส.รักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมกันทำงานทำงาน อย่าเป็นกลุ่มเป็นก้อน 

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการพูดถึงเรื่องการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวเปลี่ยนเลขาธิการพรรค บ้างหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่มี

เมื่อถามถึงการตั้งพล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นกรรมการยุทธศาสตร์พรรค เพื่อเตรียมพร้อมขับเคลื่อนในการเลือกตั้งครั้งต่อไปใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแล้วแต่ประธานยุทธศาสตร์พรรค จะเป็นผู้กำหนดแนวทางแต่ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดอะไรเพราะเพิ่งตั้งมาทำหน้าที่

เมื่อถามย้ำว่า ซึ่งตนมาทราบตอนที่มีคำสั่งออกมาแล้วและแสดงความยินดีกับประธานยุทธศาสตร์พรรคคนใหม่ ซึ่งตอนแรกพล.อ.ประวิตร จะมอบหมายให้ตนทำหน้าที่นี้ แต่ได้บอกไปว่าให้เอาคนที่มีเวลามากกว่าและไม่ติดขัดอะไร และดีใจที่มีคนมาช่วยทำงาน

เมื่อถามว่าพล.อ.วิชญ์ ไม่ได้มาจากสายการเมือง จะเข้าใจงานทางการเมืองหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ก็อาจจะทำเรื่องที่นอกการเมือง ซึ่งอาจจะเข้ามาช่วยในมุมอื่นๆที่สมควรต่อไปเพราะเรื่องการเมืองมีคนในพรรคทำอยู่แล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีการส่งสัญญาณปรับครม.หรือยัง นายสมศักดิ์กล่าวว่า ยังไม่มี

ราเมศ เผย ผลประชุม ผลักดัน กฎหมายป้องกันการทรมาน บุคคลสูญหาย มีมติเสนอ "สมชาย หอมลออ" ภาค ปชช. ร่วมเป็น กมธ.

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ที่มีนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นผู้เสนอ ไว้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.63 ว่า

ในที่ประชุม ส.ส.ของพรรคได้มีการหารือในเรื่องดังกล่าวเพื่อกำหนดแนวทางในการผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งได้บรรจุไว้ในระเบียบวาระตามขั้นตอนการประชุมแล้ว และมีจากผลการประชุม ส.ส.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคก็ได้ผลักดันจนมีการเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาพิจารณาก่อนแล้ว เพื่อจะได้พิจารณาทันก่อนปิดสมัยประชุม เพราะเมื่อรับหลักการในวาระแรก ในวาระที่สองในชั้นกรรมาธิการก็สามารถพิจารณาในช่วงปิดสมัยประชุมได้ ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวพรรคได้ให้ความสำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับภาคประชาชนที่ร่วมผลักดันเรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในที่ประชุมพรรค เห็นตรงกันว่า ควรมีกฎหมายเพื่อป้องกันการกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมที่ป้องกันการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหายซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นกฎหมายที่จะมุ่งคุ้มครองสิทธิมนุษยชนซึ่งสอดคล้องกับหลักเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 

การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง การมีกฎหมายเฉพาะก็เพื่อยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย

รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดฐานความผิด มาตรการป้องกันและปราบปราม และมาตรการเยียวยาผู้เสียหาย ตลอดจนมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง และให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี

และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ กฎหมายฉบับนี้จึงมีความจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันผลักดัน

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า พรรคได้มีมติ ส่งนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ
นายสมชาย หอมลออ ประธานมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งเป็นภาคประชาชนที่ร่วมติดตามและผลักดันเรื่องนี้ตลอดมา เพื่อให้ภาคส่วนของประชาชนได้เข้าไปมีสิทธิมีเสียงสะท้อนข้อเท็จจริงและร่วมพิจารณาในการร่างกฎหมายต่อไป

“ไทกร” ร้อง “กมธ.ปราบโกง” สอบ “ประยุทธ์” ปมทุจริตจัดซื้อจัดจ้างโครงการ 191 มูลค่า 7,000 ล้าน

ที่รัฐสภา นายไทกร พลสุวรรณ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 

นายไทกร กล่าวว่า สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ มีการบกพร่องในการกำกับดูแลสำนักตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และไม่กำกับให้สตช.ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการ 191 มูลค่า 7,000 ล้านบาทให้เป็นไปโดยความสุจริต มีการอาจนำข้อมูลทีโออาร์ (TOR) ที่ยังไม่ได้มีการลงนามจากคณะกรรมการไปให้บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทแห่งนั้นก็ได้รับการเปิดเผยในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญกับแกนนำรัฐบาล ทั้งพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ดังนั้น จึงเป็นบทชัดเจนว่าวันนี้การกระทำความผิดของสตช.ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ไม่มีการยกเลิกการประมูล รวมทั้งมีการผลักดันให้การประมูลเร็วขึ้น ก่อนที่ผู้ใหญ่บางคนในสตช.จะเกษียณ ฉะนั้นเพื่อความยุติธรรมและเพื่อเป็นการปกป้องภาษีประชาชน จึงนำหลักฐานและข้อเรียกร้องมามอบให้กับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ในฐานะประธาน กมธ.ให้ดำเนินการสอบสวนเอาผิดข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่และพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะเป็นผู้กำกับดูแลสตช. 

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนในฐานะผบ.ตร.ได้เข้าใจเป็นอย่างดีถึงกระบวนการขั้นตอนที่ดำเนินการและอำนาจของผบ.ตร.ที่ไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้อนุมัติโครงการนี้ ซึ่งผู้ที่จะอนุมัติโครงการได้จะต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งตนจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด โดยเรื่องนี้เป็นความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ตนจะรีบนำเรื่องนี้ไปดำเนินการ ซึ่งวันนี้อาจจะขอมติได้เลยเพื่อเริ่มดำเนินการศึกษาข้อเท็จจริง เบื้องต้นจะไปดูรายละเอียดหนังสือที่นายไทกรมอบให้ว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องบ้าง โดยเฉพาะกรรมการ ประธานกรรมการตรวจสอบทีโออาร์และคณะกรรมการประกวดราคา รวมทั้งผบ.ตร.และผู้อนุมัติคือนายกรัฐมนตรี

'จีน' พบเดลตาระบาดในโรงเรียนฝูเจี้ยน รัฐสั่งสกัดด่วน ก่อนลามช่วงไหว้พระจันทร์

สำนักข่าว Global Time ของจีนรายงานว่า พบการระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 สายพันธุ์เดลตาในโรงเรียนประถมหมายเลข 1 ที่เมืองผูเถียน ในมณฑลฝูเจี้ยน ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พบศูนย์กลางการระบาดในโรงเรียนของจีน

ล่าสุดพบว่ามีผู้ติดเชื้อภายในมณฑลแล้วถึง 102 คน แต่ยังไม่พบการแพร่ระบาดข้ามมณฑล ทางการจีนออกคำสั่งด่วนให้ปิดโรงเรียนชั่วคราว เพื่อตรวจเชื้อครู และนักเรียนทุกคนในโรงเรียนทันที 

การแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 สายพันธุ์เดลตารอบล่าสุดนี้ เชื่อมโยงกับพ่อของนักเรียนคนหนึ่งที่พบว่าติดเชื้อหลังจากเดินทางกลับจากสิงคโปร์ และอยู่ในขั้นตอนการกักตัวถึง 21 วัน แต่การระบาดในโรงเรียนครั้งนี้ทำให้จีนวิตกถึงระยะฟักตัวของเชื้อ Covid สายพันธุ์ใหม่ที่นานกว่าเดิม และเตรียมเร่งฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 3-12 ปีทั่วประเทศ

เมืองผูเถียน มีประชากรประมาณ 3.2 ล้านคน และอาจกลายเป็นเมืองล่าสุดที่ต้องได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดรอบใหม่นี้ และอาจจะรุนแรงกว่าการระบาดที่เมืองหนานจิงเมื่อไม่นานมานี้ 

ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งให้ล็อกดาวน์เมือง แต่ผู้ว่าราชการสั่งให้หยุดโรงเรียนทั้งเมือง ให้เรียนออนไลน์ที่บ้านตั้งแต่สัปดาห์นี้ พนักงานให้ Work from Home และงดออกจากบ้านหากไม่มีธุระจำเป็น สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางออกนอกเมืองจำเป็นต้องแสดงผลตรวจเชื้อเป็นลบจึงได้รับอนุญาตให้เดินทางได้

สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ อีกไม่นานจีนจะเข้าสู่เทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่เป็นวันหยุด (21 กันยายน) ซึ่งจะมีชาวจีนทั่วประเทศเดินทางไปท่องเที่ยว และเยี่ยมครอบครัวมากมายหลายล้านคน หากยังไม่สามารถควบคุมการระบาดในมณฑลฝูเจี้ยนได้ในระยะอันใกล้ ก็อาจทำให้การแพร่ระบาดขยายวงกว้างข้ามมณฑลได้ 

สำหรับวัคซีนที่ทางการจีนอนุมัติให้ฉีดในกลุ่มเด็กเล็กมีเพียง 2 ชนิดคือ Sinovac และ Sinopharm และตอนนี้ บริษัทยา Sinopharm กำลังอัปเกรดวัคซีนป้องกัน Covid-19 รุ่นใหม่ที่จะสามารถป้องกันสายพันธุ์ใหม่ ๆ อย่างเดลตาได้ และอยู่ในขั้นตอนการทดสอบเฟส 2 แล้ว คาดว่าจะสามารถพัฒนาได้เสร็จ พร้อมใช้ได้ไม่เกินกลางปี 2023 นี้


เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์
อ้างอิง: Global Times / CNN / Aljazeera

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นำเข้าโมเดอร์นา 8 ล้านโดส เปิดจองต.ค. คาดการจัดส่งครั้งแรกจะส่งมอบวัคซีนได้ในช่วงปลายเดือนก.พ. ถึงต้นมี.ค. ปีหน้า

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 64 เพจโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เผยแพร่รายละเอียดถึงการลงนามสัญญากับ ซิลลิค ฟาร์มา นำเข้าวัคซีนโควิด-19 “โมเดอร์นา” จำนวน 8 ล้านโดส ใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกันในปี 2565

รายงานข่าวระบุว่า ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับ แซดพี เทอราพิวติกส์ (ZP Therapeutics) หน่วยงานธุรกิจภายใต้ ซิลลิค ฟาร์มา ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพชั้นนำในเอเชีย ในการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด-19 โมเดอร์นา (Covid-19 Vaccine Moderna) จำนวน 8 ล้านโดส (100 ไมโครกรัม/โดส) สำหรับการใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชาชนในปีหน้า โดยจะจัดสรรวัคซีนผ่านองค์กรนิติบุคคลประเภทต่าง ๆ ตามนโยบายข้อกำหนดของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ คาดว่าการจัดส่งครั้งแรกจะส่งมอบได้ในช่วงไตรมาสแรกปี 2565 และจะทยอยส่งจนถึงไตรมาสที่ 3

ศ.นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กล่าวว่า “ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นหนึ่งใน 5 หน่วยงานที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าวัคซีนโควิด-19 ตามประกาศศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และได้ทำงานอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสนับสนุนภารกิจสำคัญในการยับยั้งและลดการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการช่วยเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและได้รับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้โดยเร็วที่สุด ผ่านการนำเข้า จัดสรร และกระจายวัคซีนตัวเลือกไปสู่กลุ่มองค์กรนิติบุคคล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานพยาบาลเพื่อกระจายฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาสทั่วทุกภูมิภาค นอกจากนี้ ยังได้มุ่งเน้นด้านการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยอย่างเป็นระบบอีกด้วย”

วัคซีนโควิด-19 โมเดอร์นา ที่ทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ลงนามสัญญานำเข้ามาเป็นวัคซีนตัวเลือกชนิดที่ 2 โดยเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อจากการทดลองทางคลินิกในระยะที่ 3 สูงถึง 94.1% อาการข้างเคียงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เช่น อาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง การแพ้รุนแรง พบประมาณ 2.5 ราย ต่อ 1 ล้านโดส หรือรายงานการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบของวัคซีนชนิด mRNA พบได้น้อย อยู่ที่ 12 ราย ต่อ 1 ล้านโดสในประเทศสหรัฐอเมริกา และส่วนมากสามารถรักษาได้

นอกจากนี้ ผลการศึกษาเบื้องต้นของการใช้วัคซีนโควิด-19 โมเดอร์นา เป็นเข็มกระตุ้น (Booster Dose ปริมาณขนาด 50 ไมโครกรัม) ต่อสายพันธุ์เบตา แกมมา และเดลตา สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงถึง 32 เท่า, 43.6 เท่า และ 42.3 เท่า ตามลำดับ ส่วนการวิจัยในประเทศไทยทางราชวิทยาลัยฯ จะทำควบคู่กันไปเพื่อยืนยันผลกระตุ้นอย่างเป็นระบบในสภาพแวดล้อมของประเทศตั้งแต่ปลายปีนี้

ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีแผนที่จะจัดสรรและกระจายวัคซีนโควิด-19 โมเดอร์นาให้แก่กลุ่มองค์กรนิติบุคคล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงสถานพยาบาล ตลอดจนกลุ่มเปราะบางทางสังคมที่เคยได้รับการจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์มจากทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์เป็นกลุ่มแรกก่อน เนื่องจากประชาชนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มตั้งแต่ช่วงเดือนก.ค.-ส.ค.เป็นต้นมา โดยเป็นทางเลือกอีกตัวหนึ่งที่จะใช้วัคซีนโมเดอร์นาเป็นเข็มกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และฉีดเพียง 1 เข็ม (ปริมาณ 50 ไมโครกรัม) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ซึ่งจัดเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น

โดยจะเปิดให้องค์กรนิติบุคคลประเภทต่าง ๆ ได้ยื่นจองขอรับการจัดสรรวัคซีนโมเดอร์นาในช่วงเดือนต.ค. เป็นต้นไป ซึ่งจะมีการกำหนดราคาขาย พร้อมประกันภัยคุ้มครองผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาในราคาเดียวกันทั่วประเทศต่อไป และคาดว่าการจัดส่งครั้งแรกจะส่งมอบวัคซีนได้ในช่วงปลายเดือนก.พ. ถึงต้นมี.ค. ปีหน้า

“สำหรับความร่วมมือกับ ซิลลิค ฟาร์มา ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญและความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการกระจายวัคซีนให้เป็นไปอย่างทั่วถึง เพื่อช่วยให้ประชาชนได้รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เร็วที่สุด และขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพแก่ประชาชนทุกกลุ่มวัยอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อประเทศชาติ ตามพระปณิธานในศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์”ศ.นพ.นิธิ กล่าว


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6619672

'กรมอนามัย' ชี้ ครูฉีดวัคซีนแล้วกว่า 8.9 แสนราย เผยสถิติเด็กติดเชื้อ 1.2 แสนคน ตาย 15 ราย

เมื่อวันที่ 14 กันยายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แถลงมาตรการแซนด์บอกซ์ (Sand Box) ในโรงเรียนว่า สถานการณ์โควิด-19 ในกลุ่มเด็กวัยเรียน วัยรุ่น ที่อยู่ในช่วงอายุ 6-18 ปี ข้อมูลตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 เม.ย. - 11 ก.ย.64 มีผู้ติดเชื้อสะสม 129,165 ราย แบ่งเป็น เดือน เม.ย. พบ 2,426 ราย, พ.ค. เพิ่มขึ้น 6,432 ราย, มิ.ย. 6,023 ราย, ก.ค. 31,377 ราย และ ส.ค. สูงถึง 69,628 ราย จำนวนนี้เป็นคนไทย 90% และชาวต่างชาติ 10% ผู้เสียชีวิตสะสม 15 ราย ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว 

โดยจังหวัดที่พบการติดเชื้อสูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร รองมาเป็นปริมณฑล และจังหวัดชายแดนใต้ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผู้ติดเชื้อในกลุ่มเด็กวัยเรียนวัยรุ่น แม้ว่าไม่เปิดเรียน แต่ยังพบการติดเชื้อ นั่นหมายถึงส่วนหนึ่งเกิดการติดเชื้อในครอบครัว และการสัมผัสผู้ติดเชื้อยืนยัน รวมถึงการค้นหาเชิงรุกด้วย

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า การรับวัคซีนโควิด-19 ในบุคลากรทางการศึกษา เช่น ครู บุคลากรอื่นในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ข้อมูลรายงานเมื่อวันที่ 5 ก.ย. 64 พบว่า มีผู้รับวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็ม 2 รวมกันทั้งสิ้น 897,423 ราย คิดเป็น 88.3% โดยผู้ยังไม่รับวัคซีนอีก 118,889 รายคิดเป็น 11.7% ขณะที่เด็กอายุ 12-18 ปี ในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว ข้อมูลรายงานเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 64 ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 1 จำนวน 74,932 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 3,241 ราย

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า กรมอนามัย ร่วมกับ ศธ. ดำเนินมาตรการแซนด์บอกซ์ เซฟตี้ โซน อิน สคูล (Sand Box Safety zone in School) ที่นำร่องในโรงเรียนประจำ สามารถจัดเรียนแบบไฮบริดจ์ ด้วยการเรียนออนไซต์ร่วมกับออนไลน์ คัดเลือกโรงเรียนโดยคำนึงถึง 3 ด้านสำคัญ คือ 

1.) การบริหารจัดการ ที่มีความพร้อมจากโรงเรียน ผู้ปกครองและชุมชนโดยรอบ รวมถึงได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด กำหนดว่าต้องเตรียมสถานที่แยกกักตัวในโรงเรียน (School Isolation) จัดแบ่งโซนในโรงเรียนเป็น (1.) โซนคัดกรอง (2.) โซนกักกันผู้ที่มีความเสี่ยง และ (3.) โซนเซฟตี้ เพื่อทำกิจกรรม ทั้งนี้ ทีมตรวจราชการบูรณาการร่วมกัน 2 กระทรวง ต้องติดตามผลการดำเนินการผ่านระบบของกระทรวงศึกษาฯ หรือ MOECOVID และ Thai Stop COVID Plus 

2.) ด้านบุคลากรและนักเรียน หากจะเรียนออนไซต์ นักเรียนต้องมีผลการตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท  (ATK) เป็นลบ ทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มและแต่ละกลุ่มต้องไม่สัมผัสกัน การควบคุมกำกับเรื่องการเดินทาง รวมถึงการประเมินความเสี่ยงทั้งประวัติ พฤติกรรมและอาการเสี่ยง เป็นระยะผ่านแอปพลิเคชัน ไทยเซฟไทยและอื่น ๆ ส่วนสำคัญ คือ ทุกคนต้องป้องกันตัวเองเคร่งครัด ครูและบุคลากรต้องฉีดวัคซีนครอบคลุมมากกว่า 85% สุ่มตรวจด้วย ATK เป็นระยะ หากพบผู้ติดเชื้อ จำเป็นต้องปิดเรียนต้องปฏิบัติตามแผนเผชิญอย่างเคร่งครัด โดยต้องเน้นย้ำเรื่องการบริการอาหารตามหลักสุขาภิบาล

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ผลการดำเนินงาน มาตรการแซนด์บอกซ์ เซฟตี้โซนอินสคูล เป็นได้อย่างดี แม้ว่าจะพบผู้ติดเชื้อแต่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยของโรงเรียน แต่เป็นการสัมผัสผู้ติดเชื้อนอกโรงเรียน จึงเป็นที่มาของการหารือร่วมกันระหว่าง สธ.และศธ. เพื่อกำหนดแนวทางจัดให้มีมาตรการแซนด์บอกซ์ เซฟตี้โซนอินสคูล ในโรงเรียนไป-กลับ โดยคำนึงเรื่องการระบาดในพื้นที่ตามจังหวัดกลุ่มสี ต้องสอดรับกับมาตรการที่ ศบค. และรัฐบาลกำหนด ได้แก่ 

1.) จังหวัดสีเขียว เน้นให้เข้ม 6 มาตรการหลักและเสริม โดยมี 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา ครูและบุคลากรต้องฉีดวัคซีนมากกว่า 85% มีการประเมินความเสี่ยงนักเรียน ครู บุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

2.) จังหวัดสีเหลือง ให้เพิ่มการสุ่มตรวจด้วยชุดตรวจ ATK สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 

3.) จังหวัดสีส้ม ให้เพิ่มการตรวจ ATK และประเมินความเสี่ยงบุคคลให้ถี่มากขึ้น อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

4.) จังหวัดสีแดง จำเป็นต้องกำหนดมาตรการเพิ่ม 3 ข้อ คือ ให้สถานประกอบการรอบสถานศึกษาในระยะ 10 เมตร ต้องผ่านการประเมินจาก Thai Stop COVID Plus ตามแนวทาง COVID Free Setting มีการทำ School Pass ของบุคคลในโรงเรียน เพื่อประเมินความเสี่ยงของบุคคลผ่านไทยเซพไทย สัปดาห์ละ 3 วัน ผลตรวจ ATK ประวัติรับวัคซีนหรือประวัติการติดเชื้อโควิดใน 1-3 เดือน และต้องจัดกลุ่มนักเรียนห้องละไม่เกิน 25 คน สุ่มตรวจ ATK ใน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ 

และ 5.) จังหวัดสีแดงเข้ม ให้ทำเหมือนจังหวัดสีแดงโดยเพิ่มการประเมินความเสี่ยงบุคคลผ่านแอป ไทยเซฟไทย ให้ถี่ขึ้นเป็นทุกวัน ด้วยสุ่มตรวจ ATK สัปดาห์ละ 2 ครั้ง

นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า สำหรับ 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษาโรงเรียนไป-กลับ ได้แก่ 

1.) สถานศึกษาประเมินความพร้อมผ่าน Thai Stop COVID Plus และรายงานผลผ่าน MOECOVID 
2.) ให้ทำกิจกรรมในโรงเรียนเป็นกลุ่มย่อย ลดการสัมผัสข้ามกลุ่ม 
3.) เน้นสุขาภิบาลอาหาร 
4.) จัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็นตามมาตรฐาน เนื่องจากพบการติดเชื้อของรักเรียนเพราะไปอยู่แออัดในห้องเรียน โดยเฉพาะห้องปรับอากาศ และต้องมีการจัดให้มีห้องแยกกักในโรงเรียน 
5.) มีแผนเผชิญเหตุร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ และมีการซักซ้อมกรณีพบการติดเชื้อในโรงเรียน 
6.) โรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชนต้องควบคุมการเดินทางจากบ้านมาโรงเรียน ให้มีความปลอดภัย
และ 7.) จัดให้มี School Pass

“โดยรวมของมาตรการเป็นไปตามที่ ศธ.และสธ. กำหนดร่วมกันโดยต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เน้นย้ำว่าหากจำเป็นต้องเปิดเรียนอีกครั้ง การจำกัดคนเข้าออก การคัดกรองด้วยชุดตรวจ ATK การจัดกิจกรรมเป็นกลุ่มย่อย การประเมินความพร้อม การสุ่มตรวจหาเชื้อบุคลากรเป็นระยะ ก็จะเป็นการหารือกันระหว่างหน่วยงานสาธารณสุขและโรงเรียน” นพ.สุววรณชัยกล่าว

เมื่อถามถึงเหตุการณ์ติดเชื้อในโรงเรียนประจำ และสิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ นพ.สุวรรณชัย กล่าว รายงานดังกล่าวเกิดจากบุคคลส่วนหนึ่งที่ไปกลับ แล้วมีการติดเชื้อจากภายนอก ดังนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับมาตรการและเข้มข้นว่าต้องคัดกรองความเสี่ยง ได้รับวัคซีน สุ่มตรวจด้วย ATK และการจัดการสิ่งแวดล้อมให้มีความเสี่ยงน้อยลง รวมถึงการเดินทางแบบซีลรูท (Seal Route)

เมื่อถามถึงการสนับสนุนการตรวจ ATK นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า การตรวจจะถี่ตามสถานการณ์ระบาด ซึ่งการสนับสนุนจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 8.5 ล้านชุด ที่แจกผ่านสถานพยาบาลในพื้นที่โดยเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลประชาชน ดังนั้น ครู นักเรียน สามารถติดต่อรับชุดตรวจได้ และ กองทุนสุขภาพระดับพื้นที่ท้องถิ่น สามารถจัดหาเพื่อแจกประชาชนได้ รวมถึงระดับโรงเรียนที่หารือร่วมกันกับประชาชน ผู้ปกครองเพื่อจัดหาชุดตรวจได้

แบงก์รัฐแข่งดุ ออมสิน เปิดรีไฟแนนซ์บ้าน เปิดกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า 

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้ออกสินเชื่อบ้านกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า ด้วยเงื่อนไขพิเศษที่ยังไม่ต้องผ่อนปีนี้ ให้เริ่มผ่อนปีหน้าและผ่อนต่อเดือนที่ต่ำมาก ทำให้มีเงินสดไว้ใช้จ่ายที่จำเป็น หรือนำไปปิดบัญชีเงินกู้เพื่อปลดล็อกหนี้ต่าง ๆ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้านและหนี้สินต่าง ๆ ที่อัตราดอกเบี้ยสูง และช่วยเหลือคนไทยให้ก้าวผ่านความยากลำบากนี้ไปด้วยกัน 

สำหรับการกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า ประกอบด้วย สินเชื่อบ้าน เพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น หรือ รีไฟแนนซ์ มีให้เลือกทั้งแบบปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 0% นาน 9 เดือน โดยในเดือนที่ 10-12 ผ่อนล้านละ 2,000 บาท และแบบปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน โดยในเดือนที่ 7-12 ผ่อนล้านละ 1,500 บาท ซึ่งทั้ง 2 แบบ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เท่ากับ 2.50% ต่อปี โดยลูกค้าที่รีไฟแนนซ์จะได้สิทธิในการกู้เพิ่มเติม เพื่ออุปโภคบริโภคในโอกาสนี้ด้วย ให้กู้สูงสุด 5 ล้านบาท มีทั้งเงินกู้ระยะยาว ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 

จากนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.90% ต่อปี และวงเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีอัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.75% สินเชื่อบ้าน เพื่อซื้อ สร้าง หรือต่อเติมซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 0% 6 เดือนเช่นกัน ซึ่งในเดือนที่ 7-12 ผ่อนล้านละ 1,500 บาท โดยธนาคารไม่คิดค่าจัดทำนิติกรรมสัญญาและค่าบริการสินเชื่อ โดยผู้ที่กู้สินเชื่อบ้านและรีไฟแนนซ์ดังกล่าว จะต้องได้รับอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 ยกเว้นโปรแกรมรีไฟแนนซ์ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 9 เดือน ต้องได้รับอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 29 ต.ค.นี้ 

รัฐบาลคลอดแผนดึงนักลงทุนต่างชาติ 5 ปีหวังโกย 1 ล้านล้าน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ แบ่งเป็น 2 มาตรการ คือ การออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว และการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดชาวต่างชาติ ตั้งเป้าหมายในช่วง 5 ปี (2565-69) สามารถดึงดูดชาวต่างชาติ 1 ล้านคน ให้ย้ายถิ่นฐานมาพำนักในไทย ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยช่วยเพิ่มปริมาณเงินใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจถึง 1 ล้านล้านบาท รวมถึงมีปริมาณเงินลงทุนในระบบเศรษฐกิจ 8 แสนล้านบาท และเพิ่มรายได้ทางภาษี 2.7 แสนล้านบาท

สำหรับการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย โดย มี 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง 2. กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ 3. กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4. กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ โดย ประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก คือ 

1. การออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (Long-term resident visa)  กำหนดวีซ่าประเภทใหม่ให้กับกลุ่มของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงซึ่งจะได้ข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การยกเว้นให้ผู้ถือวีซ่าประเภท ผู้พำนักอาศัยระยะยาวและวีซ่าประเภท Smart visa ทั้งหมดไม่ต้องมีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบหากอยู่ในประเทศเกิน 90 วัน 

2. การแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน  การบริหารจัดการการทำงานและอนุญาตให้คนต่างด้าวสามารถทำงานให้นายจ้างทั้งที่อยู่ในและนอกราชอาณาจักรได้  การยกเว้นหลักเกณฑ์การกำหนดให้การจ้างคนต่างด้าว 1 คน ต้องจ้างงานพนักงานคนไทยทำงานประจำ 4 คน การยกเว้นภาษีประเภทต่าง ๆ และระเบียบวิธีปฏิบัติด้านการศุลกากรโดยคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ สศช. ดำเนินการหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top