Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

คลังหั่นเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือโตแค่ 1.3%

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 ว่า กระทรวงการคลังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 1.3% ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.3% เพราะได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มต้นในช่วงปลายไตรมาส 2 ปี 2564 ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยการเดินทางระหว่างประเทศและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย 

อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ซึ่งในช่วง 5เดือนแรกของปี 2564 มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวสูงที่ 14.5% ส่งผลให้คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในปี 2564 จะขยายตัวที่ 16.6% ปรับเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 11% 

“ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย ผ่านมาตรการต่าง ๆ ทั้ง โครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ และมาตรการด้านการเงินผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ประกอบกับการใช้จ่ายเงินกู้จาก พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 2 ฉบับจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคบรรเทาผลกระทบของภาคธุรกิจและรักษาระดับการจ้างงานให้สูงขึ้น”

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2565 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ในช่วง 4 – 5% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลงและมีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้น โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย จำนวน12 ล้านคน ในขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ การจ้างงาน และสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลให้การใช้จ่ายภายในประเทศจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี 

“อนุทิน” เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบชุดตรวจ Antigen Test Kit จำนวน 1.1 ล้านชุด และเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่อง ที่รัฐบาลสวิตส์เซอร์แลนด์บริจาคแก่ประเทศไทย  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงเช้าของวันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ซึ่งรัฐบาลประเทศสวิตเซอร์แลนด์บริจาคแก่รัฐบาลไทย โดยมีนางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (H.E. Mrs. Helene Budliger Artieda) เอกอัครราชทูตสวิสเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ในการมอบ ทั้งนี้ เวชภัณฑ์ดังกล่าว ประกอบด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit จำนวน 1.1 ล้านชุด และ Ventilator(เครื่องช่วยหายใจ) จำนวน 102 เครื่อง โดยขนส่งมาในเที่ยวบินที่ LX180 สายการบิน SWISS Air ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) เมื่อ เวลา 05:20 น. ของช่วงเช้าที่ผ่านมา

“รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ขอบคุณในไมตรีที่รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์มอบแก่ประเทศไทยเสมอมา โดยชุดตรวจ Rapid Antigen Test ที่ได้รับทั้งหมดจะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะใช้แจกจ่ายแก่ประชาชน และเป็นอุปกรณ์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในการดำเนินการตรวจเชิงรุกในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ขณะที่เครื่องช่วยหายใจจะกระจายไปยังโรงพยาบาลที่ยังขาดแคลนอุปกรณ์ต่อไป”น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากชุดตรวจ  Antigen Test Kit ที่ได้รับบริจาคแล้ว รัฐบาลยังอยู่ระหว่างการจัดหาชุดตรวจอีก 8.5 ล้านชุดเพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ด สปสช.) ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ครั้งที่ 8/2564 (วาระพิเศษ) เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2564 ได้อนุมัติการจัดหาภายใต้วงเงิน 1,014 ล้านบาท โดยขณะนี้กรมควบคุมโรคกำลังวางแผนจะกระจายชุดตรวจให้ประชาชนได้ใช้ต่อไป 

คณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เตือน ปืนฉีดแอลกอฮอล์ เสี่ยงอันตราย ไม่มีประโยชน์ เสียเงินฟรี ทำให้เชื้อโรคฟุ้งกระจาย

เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข และรักษาราชการ แทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ทำให้ปืนฉีดแอลกอฮอล์กำลังได้รับความนิยม เป็นที่ต้องการของประชาชนเป็นอย่างมาก สำนักงานคณะกรรมการ อาหารและยา (อย.) มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง ไม่แนะนำให้ซื้อปืนฉีดแอลกอฮอล์มาใช้เนื่องจากละอองฝอยที่ออกมา จากเครื่องมีขนาดเล็กมาก ทำให้ตัวน้ำยาสัมผัสพื้นผิวไม่เพียงพอซึ่งจะลดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค เตือนเสี่ยงอันตราย ไม่มีประโยชน์ เสียเงินฟรี แถมยังทำให้ เชื้อโรคฟุ้งกระจาย

หากเข้าตาหรือสูดดมอาจทำให้เคืองตา เวียนหัว คลื่นไส้ ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ เป็นอันตราย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่สำคัญหากใช้ปืนที่มีแสงยูวีฆ่าเชื้อโรคบนร่างกายโดยตรงอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังและเป็นอันตรายต่อดวงตา

ดังนั้น ปืนฉีดแอลกอฮอล์นอกจากจะไม่มีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรคแล้วยังเป็นอันตรายต่อสุภาพอีกด้วย วิธีการฆ่าเชื้อบนพื้นผิวและวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่ได้รับอนุญาตจาก อย. เทราดหรือเช็ดบนพื้นผิวหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ทำความสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ให้เปียกตามระยะเวลา ที่กำหนด และปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก หากพื้นผิวที่สกปรกมากจะลดประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค ก่อนซื้อ ตรวจสอบเลข อย. ที่ www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มาดามเดียร์ แนะ สิ่งที่รัฐต้องแก้ก่อน คือ การสื่อสารข้อมูลกับประชาชน เพื่อป้องกันผู้ฉวยโอกาสปล่อยเฟกนิวส์

เส้นบาง ๆ ระหว่าง ปราบ Fake news กับ การปิดหูปิดตาประชาชน “การสื่อสาร” คือสิ่งที่รัฐต้องแก้ก่อน

ปรากฏการณ์ดารา คนมีชื่อเสียงออกมา call out จนตามมาถึงการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ที่นายกรัฐมตรีมีคำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดตั้งหน่วยงานให้เร่งติดตามและเอาผิดคนที่ปล่อยเฟคนิวส์ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่องค์กรสื่อ บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือกระทั่งประชาชนธรรมดา หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้เลยทันที

ในขณะที่เมื่อวานนี้ 6 สมาคมสื่อมวลชนได้ร่วมออกแถลงการณ์คัดค้านคำสั่งของนายกรัฐมนตรีฯ ว่าการกระทำดังกล่าวเท่ากับเป็นการปิดปากสื่อมวลชน ซึ่งไม่ต่างจากการปิดหูปิดตาประชาชน เป็น “การจำกัดสิทธิและเสรีภาพ” ของพลเมืองไทย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้สร้างความไม่สบายใจ ในฐานะที่เดียร์เคยทำงานในองค์กรสื่อ การแสดงจุดยืนของรัฐบาลที่มองการเรียกร้องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นศัตรู ในขณะที่รัฐบาลคือตัวแทนประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ และหน่วยงานราชการก็ควรเป็นที่พึ่งให้ประชาชนในการบริการและคอยให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ที่สุด โดยเฉพาะในเวลาที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตเช่นนี้

จริงอยู่ว่าการบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้กระทำผิดโดยเฉพาะผู้ที่จงใจฝ่าฝืนกฎหมายนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ในยามที่ประชาชนทั่วทุกหย่อมหญ้ากำลังได้รับความเดือดร้อน คนกำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วง นั่นยังไม่นับรวมถึงคนที่เหมือนตายทั้งเป็นเพราะไม่มีเงินจะมาซื้อข้าวให้คลายจากความหิว ความรู้สึกเหล่านี้ประชาชนควรจะได้รับเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออก

ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายเฟคนิวส์ที่การตัดสินอยู่บนดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ การแสดงความรู้สึกในทางลบ เช่น “วัคซีนไร้ประสิทธิภาพ” หรือ “รอวัคซีนนานแล้ว…รัฐบาลไม่ทำอะไร” หรือกระทั่งการวิจารณ์การทำงานก็หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งของผู้มีอำนาจที่จะต้องทำด้วยความรอบคอบอย่างยิ่งต่อประชาชน เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องไม่ลืมที่จะทำงานเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ นั่นคือการปรับปรุงกระบวนการสื่อสารของรัฐที่ต้องสื่อสารข้อมูลสำคัญไปให้ถึงประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลที่ครบถ้วนในการดูแลปกป้องตนเอง

การสื่อสารที่ไม่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนจนสุดท้ายต้องพยายามวิ่งหาข้อมูลด้วยตนเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ประชาชนเกิดความสับสน ไม่แน่ใจในข้อมูล และที่สำคัญเมื่อเวลาต้องการหาข้อมูลแต่ไม่รู้ว่าจะเช็กข้อมูลถูกต้องได้ที่ไหน ก็จะเป็นโอกาสของผู้ที่ไม่หวังดีในการสร้างเฟคนิวส์

การบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าไม่แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนั้นสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่อาจเป็นไปอย่างที่หวัง แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ “การที่ผู้บริหารประเทศไม่ได้ยินเสียงที่แท้จริงจากประชาชน”


ที่มา : https://www.facebook.com/100044178982009/posts/373834587432504/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'หมอปลา' ลั่นเห็นด้วยกับป๋าเทพในบางเรื่อง แต่ยังมองว่าการบริหารงานยังล้มเหลว แนะหากบริหารไม่เป็น ควรลาออกให้คนรุ่นใหม่มาทำหน้าที่แทน

'หมอปลา' ลั่นเห็นด้วยกับป๋าเทพในบางเรื่อง แต่ยังมองว่าการบริหารงานยังล้มเหลว มีแต่น้ำลาย ขายฝัน แถมติก็ไม่ได้อาจโดน "เห็บ-หมัด" เอากฎหมายมาจัดการ 7 ปี ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ขนาดเรือดำน้ำถ้าไม่ได้พลังโซเชียลคงซื้อไปแล้ว แนะหากบริหารไม่เป็น ควรลาออกให้คนรุ่นใหม่มาทำหน้าที่แทน

จากกรณีศิลปินตลกชื่อดัง “เทพ โพธิ์งาม” หรือ “ป๋าเทพ” ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก พูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองก่อนจะกล่าวเชิงตำหนิ กลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ พร้อมยก “บิ๊กตู่” หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ในรายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ได้เชิญ “ป๋าเทพ” และ หมอปลา มือปราบสัมภเวสี ผู้มีความเห็นที่แตกต่างกัน ได้มาแสดงความเห็นในมุมมองของแต่ละคนไป

โดย หมอปลา กล่าวว่า บางประเด็นก็เห็นด้วยกับป๋าเทพ แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องอวยรัฐบาล เพราะรัฐบาลนี้ติไม่ได้ พอมีคนติก็จะมีพวกเห็บหมัด เอากฎหมายมาจัดการ รัฐบาลนี้มีแต่น้ำลาย ไม่มีเนื้อหา บริหารอะไรก็ไม่เป็นรูปร่าง อย่างเรื่องวัคซีนเนี่ยไม่รู้หายไปไหน บางจังหวัดมีเข็ม 3 แล้ว ไม่รู้เอามาจากไหน พวกหมอยังไม่ได้ แต่บางคนได้แล้ว ผมมองว่าเป็นรัฐบาลที่ดีแต่ปาก

สถานการณ์ตอนนี้ พวกเขายังจะซื้อเรือดำน้ำ ถ้าไม่ได้พลังโซเชียล ก็คงซื้อไปแล้ว เขาไม่เห็นบ้างหรือว่าประชาชนกำลังจะตาย คุณต้องลองไปลงพื้นที่ ไปดูว่าประชาชนเป็นอย่างไร เขาจะตายกันหมดแล้ว รัฐบาลชุดนี้พยายามทำอะไรที่เป็นโครงการใหญ่ ๆ เพื่อเอาเม็ดเงินเหล่านั้นไปแบ่งกัน ใช่หรือไม่?

ผมคิดว่าถ้าเขาบริหารงานไม่เป็นก็ลาออกไปเถอะครับ ผมมองว่าการบริหารงานของเขามันล้มเหลว ขายฝัน อย่างเรื่องกัญชา เขาขายฝันให้ชาวบ้าน ชาวบ้านคิดว่าจะมีกิน แต่สุดท้ายเขาทำไม่ได้ แบบนี้ก็ควรจะออกไปไหม เมื่อคุณเป็นผู้นำ คุณต้องพร้อมรับคำติด้วย ไม่ใช่รับแต่คำชม ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ออกไปมันอาจจะดีกว่านี้ เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาทำต่อ

7 ปีที่ผ่านมามันล้มเหลวทุกอย่าง มันไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นสักอย่าง สิ่งที่ป๋าพูดคือการอวยให้รัฐบาลอยู่ต่อไป แต่ผมมองว่าถ้าเปลี่ยนรัฐบาลมันคงใช้เวลาไม่นานหรอก ผมว่าน่าจะมีบุคคลที่เขามีความสามารถ ไม่ใช้น้ำลายในการทำงาน แต่ตอนนี้รัฐบาลมีแต่น้ำลาย คำพูดขายฝันให้มันสวยหรู ผมอยากให้รัฐบาลแถลงบ้าง ไม่ใช่ แถ-ลง อย่างเดียว พูดอะไรที่เป็นกิจจะลักษณะให้ประชาชนฟังบ้าง


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กลุ่มคนพิการกว่า 5,000 คน ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ พร้อมให้กำลังบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่จิตอาสา 

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ลงพื้นที่ ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจคนพิการที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยได้รับการสนับสนุนจากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดสรรโควตาวัคซีนโควิด-19 ให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. เพื่อฉีดให้กับคนพิการ จำนวนกว่า 5,000 คน พร้อมทั้งสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่จิตอาสาในการให้บริการแก่คนพิการในวันนี้ ระหว่างเวลา 08.00 – 16.00 น. อีกทั้ง กระทรวง พม. ได้นำเจ้าหน้าที่ พก. มาอำนวยความสะดวกเพื่อให้คนพิการที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้รับความดูแลอย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนด้านสถานที่จากบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง และการลงทะเบียนล่วงหน้าและข้อความยืนยันการฉีดวัคซีนโควิด-19 จาก AIS

นายจุติ กล่าวว่า สำหรับวันนี้ ขอขอบคุณบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง สถาบันวิทยาลัยจุฬาภรณ์ การเคหะแห่งชาติ ภาคเอกชน และประชาชนทุกคน ที่ได้มาบูรณาการร่วมกันช่วยบริการในเรื่องของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับสมาคมคนพิการทั้ง 7 สมาคม และผู้ถือบัตรคนพิการทุกคน จะได้ใช้สิทธิตรงนี้ สำหรับสถานที่และระบบ มีการจัดการที่ทำได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งตนมาตรวจเยี่ยมเพื่อมาดูให้ไม่มีข้อบกพร่อง หรือถ้ามีข้อบกพร่องจะได้นำไปแก้ไขปรับปรุง เพื่อบริการประชาชนให้ดีมากยิ่งขึ้น

นายจุติ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่อยากจะฝากไว้ คือวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ เป็นวิกฤติที่สาหัส ขอเป็นกำลังใจให้กันและกัน รวมทั้งผู้อุปถัมภ์ทั้งหลาย ทุกคนทำเพื่อคนไทย ทำเพื่อประเทศไทย ตนขอขอบคุณในนามรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตนทราบมาว่ามีความต้องการให้เราขยายไปทุกจังหวัด และจะได้นำไปดำเนินการในต่างจังหวัดให้เป็น One Stop Service เพื่อบริการผู้ที่ยังไม่มีโอกาสได้ฉีดวัคซีนโควิด-19  ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ดูแลในส่วนนี้ เราทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความสุจริตใจ สำหรับวัคซีนโควิด-19 ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ แต่ช่วยให้เราลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตหรือป่วยหนัก ดังนั้น หลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ขอให้ทุกท่านยังคงรักษาระยะห่าง ล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย และตนขอให้ทุกคนอยู่ด้วยความไม่ประมาท ขอให้ปลอดภัยทุกท่าน

“ประวิตร” เร่งยุทธศาสตร์ 5G  พัฒนาศก.-สังคม ทุกภูมิภาค ชูโครงการต้นแบบ ยกระดับภาครัฐให้บริการปชช.-รองรับ ภูเก็ตแซนด์บ็อก กำชับใช้งบให้คุ้มค่า

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 3/2564 มีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ที่เท่าเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส )ร่วมประชุมผ่านระบบวิด๊โอ คอนเฟอร์เรนซ์ 

โดยที่ประชุมเห็นชอบโครงการตามมาตรา26(6)เพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G อาทิโครงการพัฒนา เทคโนโลยี5Gเพื่อการเกษตร ณ โครงการร้อยใจรักษ์ ,โครงการนำร่อง Smart Campus และเห็นชอบโครงการนำร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบ ยกระดับการให้บริการภาครัฐแก่ประชาชน จ.เชียงใหม่ โดยเน้นพัฒนาด้านการเดินทาง ดูแลสุขภาพ นอกจากนั้นเห็นชอบ โครงการ 5G use Case ระบบในการคัดกรอง และแจ้งเตือนสำหรับโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อก เตรียมพร้อมเปิดเศรษฐกิจท่องเที่ยว จว.ภูเก็ต โดยนำเทคโนโลยี 5G ประยุกต์ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาใน จว.ภูเก็ต ภายใต้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ในพื้นที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว นักลงทุน ตลอดจนประชาชนชาวภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียง

นอกจากนั้นคณะกรรมการฯเห็นชอบ กรอบนโยบายกองทุนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประจำปีงบประมาณ 2565มุ่งเน้นการลงทุนใน 4 ด้านได้แก่ 1.Digital Agriculture 2. Digital Government & infrastructure 3. Digital Manpower และ 4.Digital Technology

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า  ให้กระทรวงดีอีเอส และคณะกรรมการฯกำกับติดตาม การใช้จ่ายการบริหารกองทุนให้เป็นไปตามระเบียบ ตรงตามวัตถุประสงค์ โดยเคร่งครัด และต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และใช้อย่างประหยัด คุ้มค่า  สามารถส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ได้อย่างเป็นรูปธรรม  ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

ปัจจุบันการให้วัคซีนต้านโควิด-19 ทำได้โดยการฉีดเพียงอย่างเดียว แต่ในอนาคตวัคซีนต้านโรคนี้อาจอยู่ในรูปของยาชนิดผง หรือแม้แต่ยาเม็ดที่สามารถขนส่ง เก็บรักษา และใช้งานได้ง่าย

สำนักข่าว BBC ได้รวบรวมข้อมูลการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ที่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันนั้นการกระจายวัคซีนไปยังบางประเทศ ด้วยปัจจัยและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ไม่เอื้อต่อการขนส่งและการเก็บรักษา ทำให้ ประชากรบางพื้นที่เข้าถึงการกระจายของวัคซีนได้ยาก ดังนั้นในปัจจุบันจึงเริ่มมีการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ขึ้นสำหรับวัคซีนเพื่อให้เหมาะต่อการกระจายไปสู่พื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านต่าง ๆ ได้มากขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะการพัฒนาวัคซีนให้อยู่ในรูปแบบผง

นายยูฮัน แวบอร์ย ซีอีโอของบริษัทอีโคโนโว (Iconovo) บริษัทเวชภัณฑ์ชนิดสูดพ่นเจ้าของห้องแล็บแห่งนี้กล่าวว่า "มันผลิตได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำมาก"

"คุณแค่ดึงแผ่นพลาสติกขนาดเล็กออกมา จากนั้นวัคซีนชนิดสูดดมก็พร้อมใช้งาน แล้วคุณก็แค่ใส่มันไว้ในปากแล้วหายใจลึก ๆ เพื่อสูดมันเข้าไป" เขาอธิบายการใช้งานของอุปกรณ์ชนิดนี้

Iconovo บริษัท ผลิตเวชภัณฑ์ร่วมมือกับ ISR สตาร์ตอัปในกรุงสตอกโฮล์มที่วิจัยด้านภูมิคุ้มกันวิทยา ซึ่งเป็นผู้พัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ชนิดผง การผลิตวัคซีนชนิดนี้ทำโดยใช้โปรตีนที่สร้างขึ้นโดยเลียนแบบโปรตีนของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 (ต่างกับวัคซีนของไฟเซอร์, โมเดอนา และแอสตร้าเซนเนก้า ที่ใช้ RNA หรือ DNA มาถอดรหัสพันธุกรรมให้ได้เป็นโปรตีนชนิดนี้)

คุณสมบัติโดดเด่นอีกอย่างของวัคซีนชนิดผงนี้คือสามารถทนอุณหภูมิสูงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งต่างจากวัคซีนที่เรามีอยู่ในปัจจุบันที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้งานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่อยู่ในรูปแบบของเหลวและต้องเก็บรักษาในที่อุณหภูมิต่ำ ซึ่งบางครั้งอาจต่ำถึง -70 องศาเซลเซียส ซึ่งเรียกว่า "ระบบลูกโซ่ความเย็น" ไม่เช่นนั้นวัคซีนก็จะสูญเสียประสิทธิภาพในการใช้งานไป

ศาสตราจารย์ อูลา วินควิสต์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ISR และอาจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาประจำสถาบันคาโรลินสกา หนึ่งในมหาวิทยาลัยการแพทย์ชั้นนำของสวีเดน กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญคือวัคซีนชนิดผงนั้น สามารถกระจายได้ง่ายมากโดยไม่ต้องใช้ระบบลูกโซ่ความเย็น และสามารถให้วัคซีนแก่ประชาชนโดยไม่ต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์

ปัจจุบัน ISR กำลังทดสอบวัคซีนต้านโควิดชนิดผงกับเชื้อสายพันธุ์เบตา และสายพันธุ์อัลฟา โดย ISR เชื่อว่า วัคซีนชนิดนี้อาจมีประโยชน์อย่างมากในการเร่งให้วัคซีนต้านโควิดในแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโควิดในทวีปของตนเอง นอกจากนี้การที่มีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนกว่า ประกอบกับมีกระแสไฟฟ้าอย่างจำกัดก็นำไปสู่ความท้าทายใหญ่ในการเก็บรักษาและจัดส่งวัคซีนต้านโควิดก่อนที่จะหมดอายุลง

อย่างไรก็ตาม ยังต้องใช้เวลาอีกระยะก่อนที่การทดลองจะได้ผลบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์ของวัคซีนชนิดผงของบริษัท ISR ซึ่งรวมถึงเรื่องที่ว่ามันจะให้การปกป้องได้ในระดับเดียวกับวัคซีนต้านโควิดชนิดของเหลวในปัจจุบันที่ผ่านการอนุมัติจาก WHO หรือไม่

ปัจจุบัน ISR และ Iconovo ระบุว่า วัคซีนชนิดผงได้ถูกนำไปทดลองในหนู ทว่าบริษัทสามารถระดมทุนได้เพียงพอสำหรับการศึกษาในมนุษย์ในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากวัคซีนชนิดผงเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าใช้ได้ผลดี มันก็อาจช่วยปฏิวัติการจัดการกับโควิดของโลก ตลอดจนทำให้การเก็บรักษาและกระจายวัคซีนสำหรับโรคอื่น ๆ ทำได้ง่ายขึ้น

นพ. สเตียฟาน สวอร์ตลิง เพียเตอสน อดีตหัวหน้าแผนกสุขภาพขององค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่สถาบันคาโรลินสกา ระบุว่า วัคซีนชนิดผงนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้แก่พื้นที่ที่ยากจะเข้าถึง และอาจช่วยให้ไม่ต้องใช้คนขนกล่องเก็บความเย็นไปยังสถานที่ต่าง ๆ

นายแพทย์ชาวสวีเดนผู้นี้เปรียบผลที่จะได้จากวัคซีนชนิดผงนี้กับอาหารที่ผ่านกระบวนการฟรีซดราย (freeze-dried foods) ซึ่งดีสำหรับการแจกจ่ายไปยังสถานที่ห่างไกลต่าง ๆ ที่ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้โดยบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ออกค่ายผจญภัยทั่วไป

Ziccum อีกหนึ่งสตาร์ทอัปที่กำลังทดลองเทคโนโลยีที่ใช้ลม “อบแห้ง” วัคซีนซึ่งจะไม่ไปจำกัดประสิทธิภาพของวัคซีน ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้การตั้งโรงงาน "บรรจุและปิดผนึก" สำหรับวัคซีนในประเทศกำลังพัฒนาทำได้ง่ายขึ้น และช่วยให้ประเทศเหล่านี้สามารถผลิตวัคซีนขั้นสุดท้ายได้เอง โดยวัคซีนผงจะถูกผสมกับสารละลายปลอดเชื้อก่อนที่จะสร้างภูมิคุ้มกัน และฉีดเข้าสู่ร่างกายผู้รับวัคซีน

นายเยอรัน คอนรัดสน ซีอีโอ Ziccum กล่าวว่า เทคโนโลยีนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการให้วัคซีนด้วยวิธีการอื่น ๆ ได้ ตั้งแต่การสูดพ่นทางจมูก ไปจนถึงการทำเป็นยาเม็ดรับประทาน อย่างไรก็ตาม เยอรันยอมรับว่าต้องมีการศึกษาวิจัยอีกมากเพื่อพัฒนาวัคซีนรูปแบบดังกล่าว แต่ในแง่ของหลักการนั้นสามารถทำได้

Janssen ผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิดแบบฉีดเข็มเดียว ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้งานแล้วในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ได้เริ่มทำโครงการนำร่องเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของวัคซีนชนิดผงของบริษัท Ziccum

อย่างไรก็ตาม Janssen ระบุว่า งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่สำคัญกว่าในการค้นหาเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยให้การจัดส่งและการให้วัคซีนอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสามารถทำได้ง่ายขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ เทคโนโลยีวัคซีนชนิดผงยังช่วยคนที่กลัวเข็มฉีดยาได้ด้วย อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าวัคซีนชนิดที่เป็นของเหลว เพราะช่วยลดการใช้ไฟฟ้ากับตู้เย็นและตู้แช่แข็งที่ต้องใช้ในการเก็บรักษาวัคซีน ที่สำคัญยังจะช่วยให้สามารถกระจายวัคซีนไปทั่วโลกได้

ขณะที่ อิงริด โครมันน์ โฆษกแนวร่วมนวัตกรรมเพื่อเตรียมพร้อมรับมือโรคระบาด (Coalition for Epidemic Preparedness Innovations หรือ Cepi) เตือนว่า วัคซีนชนิดผงยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา และ "ยังมีงานให้ต้องทำอีกมาก" เช่น การทำให้เป็นวัคซีนชนิดหลัก และการเพิ่มกระบวนการผลิตให้ใหญ่ขึ้น

"แต่หากมันประสบความสำเร็จ มันก็อาจช่วยให้เข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้น มีขยะน้อยลง และทำให้โครงการให้วัคซีนมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง" เธอกล่าว


ที่มา: BBC News


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"รองโฆษกพรรคกล้า" แย้งระงับจ่ายคนละครึ่งผ่านฟู้ดดิลิเวอรี่ ซ้ำเติมผู้ประกอบการ ขอรัฐลดเงื่อนไขอนุญาตต่อ ให้สอดคล้องสถานการณ์ล็อกดาวน์ 

นางสาวภรณี วัฒนโชติ รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีไลน์แมนยกเลิกบริการจ่ายเงินผ่านระบบคนละครึ่ง หลังจากกระทรวงการคลังออกหนังสือเตือนว่าผิดเงื่อนไขต้องชำระเงินโดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง (Face-to-Face) เท่านั้นว่า แม้ว่าการสแกน QR Code ผ่านการสั่งอาหารออนไลน์ ไม่ได้กระทำต่อหน้าผู้ขาย แต่ก็ยังเป็น QR Code ที่ร้านค้าสร้างขึ้นผ่านทางไลน์ จึงมองว่าเส้นทางการชำระเงินสามารถตรวจสอบได้ ยังคงเป็นไปตามจุดประสงค์โครงการคนละครึ่ง จึงอยากให้ภาครัฐพิจารณาลดทอนเงื่อนไขการชำระเงินโดยไม่ผ่านตัวกลาง (Face-to-Face) ให้โครงการคนละครึ่งใช้กับผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ (Food Delivery) ทุกรายในตลาด เช่น ไลน์แมน โรบินฮู้ด แกร๊ป และฟู้ดแพนด้า ฯลฯ ให้สอดคล้องกับนโยบายล็อกดาวน์ ลดการพบประแบบ Face-to-Face เพื่อควบคุมสถานการณการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 

"เมื่อมีประกาศให้ล็อกดาวน์ แต่มาตรการเยียวยาไม่รองรับ จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนและผู้ประกอบการร้านอาหาร ดังนั้นระหว่างนี้ รัฐฯ ไม่ควรห้าม และควรส่งเสริมใช้สิทธิคนละครึ่งผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่ จนกว่าจะได้ข้อสรุปหาวิธีเชื่อมโยงผ่านแอปฯเป๋าตัง ในโครงการคนละครึ่งรอบใหม่ช่วงเดือนตุลาคมนี้" รองโฆษกพรรคกล้ากล่าว 

นางสาวภรณี กล่าวด้วยว่า ภาครัฐควรสร้างการทำงานร่วมกันกับผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลป้องกันการทุจริต ซึ่งข้อมูลการใช้งานที่ถูกบันทึกออนไลน์ ผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ มีความละเอียดและสามารถติดตามตรวจสอบได้ง่ายกว่าการซื้อขายแบบดั้งเดิมมากอยู่แล้ว

นาตาชา เปลี่ยนวิถี เผยคุณพ่อเกชา จากไปด้วยโรคชรา หลังรักษาอาการป่วยจากโควิดหายแล้ว

หลังการสูญเสียของนางแบบสาว แอนนา นาตาชา เปลี่ยนวิถี ที่เสียคุณพ่อ เกชา เปลี่ยนวิถี โดยคุณพ่อเกชาเพิ่งเข้ารับการรักษาตัวจากอาการโควิด-19 ก่อนที่จะเสียชีวิต แต่ล่าสุด แอนนา นาตาชา ได้เปิดเผยกับทีมข่าวบันเทิงไทยรัฐว่า คุณพ่อเกชา จากไปด้วยโรคชรา เพราะอาการโควิด-19 ได้รับการรักษาจนหายแล้วกำลังจะได้กลับบ้าน

"ป๋า ไปฝังที่ราชบุรีเรียบร้อยแล้วค่ะ ป๋าอยู่โรงพยาบาลเกือบ 2 อาทิตย์ เข้าโรงพยาบาล เมื่อวันที่อังคารที่ 13 ก.ค. ป๋าไปเพราะว่ามีเชื้อโควิด แต่ได้รับการรักษาแล้วให้ยาทั้งหมดแล้ว จนอาการโควิดดีหมดหายไป ไม่เหนื่อยไม่หอบ คุณหมอเตรียมให้กลับบ้านแล้ว อาการโควิดหายไปหมดแล้ว แต่อยู่ดี ๆ เมื่อคืนหัวใจเต้นช้าลง อ่อนแรงไปเอง คุณหมอบอกว่าน่าจะมาจากวัยชราตามอายุขัย

ส่วนอาการโควิดคงที่ ดีรักษาหายหมดแล้ว เมื่อคืนหมอเตรียมโทรมาให้กลับบ้านแล้ว แต่อยู่ ๆ เมื่อคืนหัวใจเต้นช้าลงและค่อย ๆ หมดลง แล้วป๋าอายุ 95 แล้วค่ะ (นิ่งร้องไห้) ตอนนี้พาป๋าไปฝังแล้วค่ะ พาไปไว้ที่บ้านที่ป๋าบอกเอาไว้ค่ะ"


ที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2151940


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top