Sunday, 11 May 2025
Hard News Team

“แรมโบ้” ซัด "เต้น ณัฐวุฒิ "เป็นถึงอดีตรัฐมนตรี คงหมดแสงจึงหิวแสงต้องหันมาเดินตามหลังแกนนำเด็กๆม็อบสามกีบ ช่างอับอายขายขี้หน้าแทนเห็นด้วยกับ “นายนิพิฏฐ์” โพสต์เฟซบุ๊กแนะให้จ่ายค่าเผาบ้านเผาเมือง จะได้ไม่ถูกคนค่อนแคะว่าไม่รับผิดชอบ และสู้แล้วรวย

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กนายกฯบริหารจัดการโควิด-19 ล้มเหลว อยู่มาเกือบ 8 ปี เกินพอบทพิสูจน์ เตรียมสู้แบบสันติวิธีพร้อมกันทั่วประเทศ โดยนายเสกสกล ระบุว่านายณัฐวุฒิคงลืมไปแล้วว่านายกฯเข้ามาบริหารบ้านเมืองแบบถูกต้องตามกฎหมาย และจะต้องทำงานจนครบเทอมตามกฎหมายไม่มีการยุบสภาหรือลาออก นายณัฐวุฒิอย่าไปรับคำสั่งจากนายใหญ่ทางไกลให้ไล่เพื่อหวังรางวัลโบนัสตอบแทนจากนายใหญ่เหมือนในอดีตที่ได้รับรางวัลเป็นสส.เป็นรัฐมนตรีมาแล้วประชาชนคนเสื้อแดง รู้เช่นเห็นชาติหมดแล้วมุกเก่าๆที่คนเสื้อแดงอ่านออก 

และการที่นายกฯบริหารประเทศตลอดเวลาที่ผ่านมา หากจะพิสูจน์ศักยภาพแล้วตนเองก็มองว่ามีศักยภาพมากกว่ารัฐบาลนายกฯที่มาจากพรรคเพื่อไทยในสมัยที่นายณัฐวุฒิเป็นรัฐมนตรี เพราะในยุคเพื่อไทย บริหารงานแบบไม่เคยทำอะไรเพื่อประชาชนและประเทศเลย มีแต่เพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องปล่อยให้มีการทุจริตมากมาย พอทำผิดก็หนีไปสุขสบายอยู่ในต่างประเทศ แบบนี้เรียกว่า ผู้นำที่มีศักยภาพตรงใหน โกงจนรวยแล้วหนีไปแสวงหาความสุขส่วนตัวมากกว่า ที่จะคิดสงสารชาวนาที่ถูกโกง
จะเดือดร้อนเช่นไร ฉันไม่สน นี่นะหรือผู้นำที่มีศักยภาพที่ทรงค่าของนายณัฐวุฒิช่างอับอายขี้หน้าสิ้นดี

ขณะที่การบริหารงานของนายกฯประยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ทั้งการรักษา ตรวจหาเชื้อเชิงรุก เยียวยาประชาชน รวมถึงการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้กับประชาชน นายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ ซึ่งคนที่ดีแต่ตำหนิและไม่เคยช่วยเหลืออย่างนายณัฐวุฒิ ก็คงจะไม่รู้คนอื่นๆเขาทุ่มเททำงานเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ไม่เคยรู้เรื่อง รู้อยู่เรื่องเดียวรอรับคำสั่งจากนายใหญ่ทางไกลสั่งมาว่าจะให้ปลุกระดมพาคนลงถนนขับไล่นายกฯเมื่อไร 

นายเสกสกลยังระบุว่าการที่นายณัฐวุฒิเตรียมที่จะเคลื่อนไหวอีกนั้นขอให้มีจิตสำนึกด้วยว่าการเคลื่อนไหวจะสร้างความเดือดร้อน และซ้ำเติมประเทศและประชาชนมากน้อยแค่ไหนในสถานการณ์โควิดระบาดหนักเช่นนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่านายณัฐวุฒิเองก็ไม่ได้หวังดีต่อประเทศชาติจริง แต่ที่เคลื่อนไหวออกมาเพราะทำตามใบสั่ง เพื่อช่วยนายใหญ่กลับประเทศและช่วยให้พ้นจากคดีทุจริตให้ได้ สมองคิดได้แต่เรื่องนี้ใช่ไหม

“อันที่จริงควรไปทำตามที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ  อดีตส.ส. จังหวัดพัทลุง พรรประชาธิปัตย์ ได้โพสต์แนะนำว่า ขอให้นายณัฐวุฒิจ่ายค่าเผาบ้านเผาเมืองที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ณัฐวุฒิจ่ายค่าเสียหาย จะไม่ได้ถูกใครเขาค่อนแคะเอาว่าคนใต้มันไม่จริงใจ ไม่รับผิดชอบกับคำว่า "เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง" และจะไม่ได้ถูกใครเขาค่อนแคะเอาว่า "สู้แล้วรวย" หากไม่จ่ายก็เอาผ้าถุงคลุมหัวซะ..นี่ทำเต๊ะท่า ยืนกอดอก นายมันก็เป็นตลกบริโภคชั้นต่ำ หากินไปวันๆ ช่างน่าอาย! ซึ่งเรื่องนี้ตนเองก็เห็นด้วยกับนายนิพิฏฐ์ ทุกประการ

"อันที่จริงตนยังสงสัยไม่เคยหายเลยว่าโครงการทุจริตจำนำข้าวในสมัยอดีตนายกฯนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ชื่อ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล ศาลตัดสินจำคุกเพราะทุจริตโครงการจำนำข้าวชาวนา แต่ตนก็อดสงสัยมาจนทุกวันนี้ว่า ทำไมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์อีกคนที่ชื่อณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ทำไมรอดคุกในคดีนี้มาได้ มีคนถามตนมาเยอะ จนตอบไม่ไหว ทั้งที่ตอนนั่งแถลงข่าวเรื่องโครงการจำนำข้าวก็นั่งอยู่ด้วย มีนักข่าวถามก็เห็นนั่งตอบเหมือนคนเป็นใบ้ จนคนหัวเราะกันทั้งประเทศว่ารัฐมนตรีไม่มีความรู้อะไรเลยหรือ แต่คำถามที่ว่า ทำไมนายณัฐวุฒิไม่ติดคุกคดีโกงข้าวชาวนาด้วยนั้น ตรงนี้ต้องช่วยกันค้นหาคำตอบ ตนเองยังสงสัยมาจนทุกวันนี้"

"แต่ที่น่าละอายใจที่สุด จากคนเคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีกลับกลายมาเป็นลูกน้องนายอานนท์ นายเพนกวิน นายไผ่ ดาวดิน นายไมค์ จาดนอก นายโตโต้ นางสาวรุ้งปภัสยา แกนนำม็อบสามกีบที่คิดล้มเจ้า  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่า หมดน้ำยาแล้วจริงๆใช่ไหม กับนักโต้วาทีสภาโจ๊ก ตลกบริโภคที่หมดแสงและวิ่งหาแสงในยามนี้  ช่างหมดค่าหมดราคาต้องหันมาเกาะหลังเดินตามแกนนำม็อบเด็กๆสามกีบที่จาบจ้วงก้าวล่วงสถาบันฯ ไม่ละอายใจตัวเองเลยหรือไง นายณัฐวุฒิไม่ละอายใจ แต่คนเสื้อแดงที่ปกป้องสถาบัน อับอายขายขี้หน้าแทนอย่างแน่นอน"

‘สมรักษ์ คำสิงห์’ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทย โดยกลายเป็นฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกคนแรก หลังเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ ในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่น

วันนี้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญ ที่กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเมืองไทย เมื่อ ‘สมรักษ์ คำสิงห์’ ได้กลายเป็นฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกคนแรกของไทย หลังเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ ในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นในโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2539

เมื่อย้อนกลับไปถึงเส้นทางสู่สังเวียนของสมรักษ์ เขาเริ่มต้นชกมวยตั้งแต่เด็ก และได้ขึ้นแข่งขันครั้งแรกตอน 7 ขวบ โดยชกทั้งมวยไทยและมวยสากลสมัครเล่น เขาได้ตระเวนชกตามเวทีต่าง ๆ จนทั่วจนได้รับการทาบทามจากสโมสรราชนาวีให้ชกมวยสากลสมัครเล่นและประสบความสำเร็จได้ทั้งแชมป์ประเทศไทยและเหรียญทองกีฬาแห่งชาติ

ในปี พ.ศ. 2535 สมรักษ์ ได้เข้าสู่ทีมชาติครั้งแรก ในการแข่งขันโอลิมปิกที่บาร์เซโลนา และเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเป็นครั้งแรก จากการเป็นนักกีฬาไทย ที่ได้เหรียญทองเพียงคนเดียว ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ในปี พ.ศ. 2537 ที่ประเทศญี่ปุ่น

กระทั่งในปี พ.ศ. 2538 สมรักษ์ได้เหรียญทองจากกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่ และผ่านการคัดเลือกไปแข่งกีฬาโอลิมปิกรอบสุดท้ายได้ โดยเส้นทางสู่เหรียญทองครั้งประวัติศาสตร์นี้ เริ่มจากรอบแรกเอาชนะแดเนี่ยล เซต้า นักชกเปอร์โตริโก 13-2, รอบสอง ชนะฟิลิป เอ็นดู จากแอฟริกาใต้ 12-7, รอบสามหรือรอบก่อนรองชนะ รามาส พาเลียนี่ จากรัสเซีย 13-4 นั่นหมายถึงว่าได้เหรียญทองแดงคล้องคอไว้แล้ว และสมรักษ์ชนะ พาโบล ชาคอน จากอาร์เจนตินาไปได้ 20-8 และท้ายที่สุดเอาชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรียไปได้ 

ซึ่งก่อนการชกในรอบชิงชนะเลิศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานกระเช้าผลไม้มายังสมรักษ์และทีมงานพร้อมทั้งทรงอวยพรให้สมรักษ์ได้รับชัยชนะด้วย โดยการแข่งขันโอลิมปิคในครั้งนี้ สมรักษ์ ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "Kamsing Somluck" โดยเจตนาให้มีนัยทางโชคด้วย (แต่ผู้บรรยายภาษาอังกฤษอ่านออกเสียงว่า คำซิง สมลุก)

ซึ่งการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในครั้งนี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศไทย ที่ทำให้สมรักษ์โด่งดังถึงขีดสุดในปี พ.ศ. 2539 จากการที่สามารถคว้าเหรียญทองจากโอลิมปิกมาได้ โดยชนะ เซราฟิม โทโดรอฟ จากบัลแกเรีย ด้วยคะแนน 8-5

นอกจากนี้ทางกองทัพเรือ (ทร.) ต้นสังกัดก็ได้เลื่อนยศให้สมรักษ์เป็นเรือตรี (ร.ต.) ซึ่งเดิมสมรักษ์มียศเป็นจ่าเอก (จ.อ.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ยังได้ออกแสตมป์ที่มีรูปการชกรอบชิงชนะเลิศของสมรักษ์ ราคาดวงละ 6 บาท เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์นี้ เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ ‘สมรักษ์ คำสิงห์’ กลายเป็นฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกเป็นคนแรกของประเทศไทย


ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/สมรักษ์_คำสิงห์


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'นุช-นนท์'​ ร้านทุเรียน (ตลาดสี่มุมเมือง) บริจาคน้ำดื่ม 6,000 ขวด / ผลไม้ 500 กล่อง สนับสนุน 'หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล'​ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ 'ต้องรอด'​

(4 ส.ค.64)​ ณ วัดเทวสุนทร แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.​ คุณชาลินี ลอยนุ้ย เจ้าของร้านทุเรียน​ 'นุช-นนท์' (ตลาดสี่มุมเมือง) มอบให้ 'สะพานบุญ'​ นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย / นายโกสินธ์ จินาอ่อน บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์สยามโฟกัสไทม์ / ที่ปรึกษาสมาคมสื่อมวลชนเพื่อสังคม นายณัฐวุฒิ เหมือนเพ็ชร ผู้อำนวยการข่าวจังหวัดสมุทรปราการ (น.ส.พ.โฟกัสไทม์) เป็นตัวแทนมอบน้ำดื่มจำนวน 6,000 ขวด / ผลไม้ 500 กล่อง เพื่อสนับสนุน 

โครงการ 'ต้องรอด'​ กลุ่ม Up for Thai เดินหน้าทำภารกิจใหญ่ missionบุษราคัม75 เพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัมเป็นระยะเวลา 75 วัน หรือจนกว่าจำนวนสิ่งของจะครบตามรายการ โดยเป็นการระดมสิ่งของและเงินทุนจากทุกภาคส่วน

ซึ่ง 'หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล'​ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ 'ต้องรอด'​ กลุ่ม Up for Thai  เปิดเผยว่า วันนี้ทางโครงการต้องรอด เดินหน้าทำภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด และผู้ได้รับความเดือดร้อน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ covid 19 มา​ 90​ วันแล้ว ภารกิจหลักในวันนี้ คือโครงการเฉพาะกิจ #missionบุษราคัม75 ที่เดินหน้ามาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม จนถึงวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ถือเป็นโครงการใหญ่ที่กลุ่ม Up for Thai "ต้องรอด"  และพันธมิตรภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคสื่อสารมวลชน จึงร่วมกันจัดตั้งโครงการเฉพาะกิจ #missionบุษราคัม75 ขึ้นมา​ เพื่อจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ป่วยที่เข้าพักรักษาในโรงพยาบาลสนามบุษราคัมเป็นระยะเวลา 75 วัน หรือจนกว่าจำนวนสิ่งของจะครบตามรายการ ก่อนจะมีการย้ายไปยังสถานที่ใหม่ เพื่อให้ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนได้รับปัจจัยเพียงพอและให้การดำเนินการของโรงพยาบาลเป็นไปอย่างราบรื่น โดยวันนี้มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมาร่วมภารกิจกว่า​ 70 คน ช่วยกันขนสิ่งของอุปโภคบริโภคใส่รถทั้งหมดกว่า 35​ คัน ไปที่โรงพยาบาลบุษราคัม รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

นอกจากนี้ศูนย์อาสาต้องรอด Up for Thai ยังคงปฏิบัติภารกิจหลักควบคู่กันไป ทั้งการนำส่งอาหารปรุงสุกวันละ​ 7,000​ กล่อง และเครื่องอุปโภคบริโภค ให้แก่ชุมชน โรงครัวชุมชน แคมป์คนงาน ผู้กักตัว ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ คนชรา ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ป่วยรอเตียง ส่งมอบอุปกรณ์ป้องกันสำหรับด่านหน้า โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม อสม. ศูนย์พักคอย สถานีอนามัย มูลนิธิและอาสากลุ่มอื่นๆ 

ทั้งนี้ นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์​ ผอ.รพ.บุษราคัม เปิดเผยว่า ขอบคุณทีมงาน "เพจต้องรอด" ที่นำสิ่งของอุปโภคบริโภคมาสนับสนุนให้กับผู้ป่วย และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าในเรื่องของอุปกรณ์แพทย์ ในขณะนี้สิ่งของที่ผู้ใจบุญนำมาบริจาคยังเพียงพอ ขาดแต่บุคลากรที่มาช่วยเหลือ เนื่องจากผู้ป่วยมีจำนวนค่อนข้างมาก ทั้งผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยที่พอช่วยตัวเองได้ หลากหลายกลุ่มสี ทางรพ.ยังสามารถรับมือได้อยู่ 

ผอ.รพ.บุษราคัม ยังตอบประเด็นที่เคยเป็นกระแสข่าวก่อนหน้านี้เรื่องของห้องสุขาที่ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะว่า คนไข้ ที่อยู่ในโรงพยาบาลกว่า 3000 คน ซึ่งมีผู้ป่วยหลากหลายประเภททั้ง เด็ก คนชรา คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ประกอบกับรอบทำความสะอาดน้อย ภาพจึงปรากฎอย่างที่เห็น แต่ในขณะนี้ได้มีการประสานกับทางรพ. พระนั่งเกล้า ซึ่งเป็นผู้ทำความสะอาด หรือเอ้าซอสที่ทางรพ.จ้างมา เพื่อเพิ่มจำนวนรอบทำความสะอาด รวมทั้งเพิ่มรถวิลแชร์ / เก้าอี้นั่งทำความสะอาดเข้าไปมากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ให้เพียงพอต่อความต้องการในการดูแล 

ส่วนกรณีสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วย​ "นพ.กิตติศักดิ์" ยอมรับว่า สิ่งของเครื่องใช้บางอย่างที่อาจจะไม่จำเป็นอาจไม่ถึงมือผู้ป่วย เนื่องจากทางรพ.จะแจ้งผู้ป่วยอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเข้าว่าให้นำสิ่งของเท่าที่จำเป็นมาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าหน้าที่ได้ 

ส่วนกรณีผู้เสียชีวิต ซึ่งมีจำนวนไม่แน่นอนในแต่ละวัน เฉลี่ย 4-5 ราย บางวันไม่มี บางวันมี 7-8 ราย ในช่วงกลางวันสามารถบริหารจัดการได้ แต่ที่เป็นปัญหาจะเป็นช่วงกลางคืน เนื่องจากข้อจำกัดของรพ.พระนั่งเกล้า บางครั้งจุดพักศพไม่เพียงพอ หรือ ถ้าต้องส่งไปที่วัด ถ้าหลัง 20.00 น.ทางวัดจะปิด ก็จะนำศพไว้ที่รพ.บุษราคัม ซึ่งจะมีห้องพักศพและก็ปิดซิปล็อคอย่างดี

ในท้ายนี้ "นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์" ผอ.รพ.บุษราคัม ขอบคุณทีมงาน เพจต้องรอด เป็นอย่างสูง

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ ห้าม นำ-ใช้ ครีมกันแดดที่มีสารเคมีอันตราย เข้าอุทยานแห่งชาติ ฝ่าฝืนปรับ 1 แสนบาท

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่อง ห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ใจความสำคัญระบุว่า ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการนำและใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการัง เข้าไปในอุทยานแห่งชาติ

โดยจากข้อมูลทางวิชาการพบว่าสารเคมีหลายชนิดที่พบในครีมกันแดด มีส่วนทำให้ปะการังเสื่อมโทรมลง เนื่องจากสารเคมีเหล่านั้นทำลายตัวอ่อนปะการัง ขัดขวางระบบสืบพันธุ์ และทำให้ปะการังฟอกขาว

กรมอุทยานฯ พิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการสงวน อนุรักษ์ คุ้มครองดูแลทรัพยากร และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อปะการังและระบบนิเวศในอุทยานแห่งชาติ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 จึงออกประกาศดังนี้

1.) ห้ามนำและใช้ครีมกันแดด ที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ได้แก่ Oxybenzone, Octinoxate, 4-Methylbenzylid Camphor และ Butylparaben หากผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดมาตรา 20 ประกอบมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

2.) ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ผบ.ทอ.'​ รับมอบ Negative Pressure Isolation Room จำนวน 4 เต๊นท์ และอุปกรณ์การแพทย์ มูลค่า 1,282,100 บาท

เมื่อวันที่ 4 ส.ค.64 เวลา 09.00 น.​ ณ​ ห้องรับรองพิเศษ 1 บก.ทอ.

พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณผบ.ทอ.รับมอบ Negative Pressure Isolation Room จำนวน 4 เต้นท์ และอุปกรณ์การแพทย์ มูลค่า 1,282,100 บาท จาก นาย เสริมศักดิ์  
วงศ์ชัยและคณะ จากชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับ

ผู้บริหารกองทัพอากาศ​ (พสบ.ทอ.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง​ (ปปร.22) ให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช 

ดีอีเอส-เอ็นที ลุยพัฒนาระบบ DE Covidhomecare Solution สู้โควิด

'ชัยวุฒิ' พาหมอ ลุยเยี่ยมผู้ป่วยโควิด เขตบางคอแหลม กทม.ติดตามการใช้งานระบบแอป “DE Covidhomecare Solution” โซลูชั่นช่วยโรงพยาบาลบริหารจัดการผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ ประยุกต์ใช้ไลน์และซูม (Zoom) หนุนผู้ป่วยได้รับคำปรึกษาแพทย์แบบเห็นหน้าผ่านจอมือถือ

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ดีอีเอส ร่วมกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที พัฒนาแอปพลิเคชั่น DE Covidhomecare Solution เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถบริหารจัดการผู้ป่วยโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการตอกย้ำบทบาทของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัดในการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวผ่านวิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19

โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ทำงานร่วมกับแพทย์จิตอาสา พัฒนาระบบแอปพลิเคชั่นดังกล่าว ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดกลุ่มกักตัวที่บ้าน ให้สามารถเข้าถึงการรักษาผ่านการประยุกต์ใช้ Line official account เข้ากับ Zoom เพื่อใช้ Video Call ติดต่อสื่อสาร และรับคำแนะนำในการดูแลรักษาได้แบบเห็นหน้ากัน ผ่านจอมือถือ หรือจอคอมพิวเตอร์ เป็นการให้บริการระบบสาธาณสุขที่สอดรับกับมาตรการ social distancing อีกด้วย  

“เพราะวันนี้ก็อย่างที่เราทราบกันว่าคนไข้เยอะมาก บางทีมันโหลดเกินไปสำหรับคุณหมอ เราก็เลยพัฒนาแอปนี้ขึ้นมาให้เป็นอีกหนึ่งช่องทางสนับสนุนงานด้านสาธารณสุข สำหรับผู้ป่วยกลุ่มรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) เพื่อจะช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นโควิด-19 และสามารถรักษาตัวเองที่บ้านได้ ก็จะมีการติดต่อคุณหมออยู่ตลอดทุกวัน และที่สำคัญก็จะมียา มีการช่วยเหลือเบื้องต้นนะครับ
แต่ถ้าผู้ป่วยอาการหนัก เช่น จำเป็นจะต้องไปโรงพยาบาล เราก็จะติดต่อประสานให้ เพื่อบริหารจัดการการใช้เตียงให้เกิดประโยชน์ที่สุด” นายชัยวุฒิกล่าว

อีกทั้ง ความร่วมมือข้ามภาคส่วนในครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพในการจัดระบบการบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน และมีประสิทธิภาพซึ่งประชากรทุกระดับสามารถเข้าถึงได้ดีขึ้น เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ในการเข้าถึงผู้ป่วย ทำให้การรักษาและติดตามอาการ ง่ายและสะดวก ที่สำคัญสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้อีกทางหนึ่ง

นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาลหลายแห่งติดต่อเข้ามาเพื่อขอใช้บริการแล้ว  และวานนี้ (3 ส.ค. 64) ตนได้ลงพื้นที่เขตบางคอแหลม  กับคุณหมอจิตอาสาเพื่อสำรวจการใช้งานว่าติดขัดหรือไม่ และต้องพัฒนาอะไรเพิ่มเติมเพื่ออำนวยความสะดวกบ้าง รวมทั้งได้รับเสียงตอบรับว่าการที่กระทรวงฯ และเอ็นที ช่วยพัฒนาระบบนี้ เป็นประโยชน์อย่างมาก

ด้านนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (เอ็นที)  กล่าวว่า เอ็นที ยินดีที่ได้เข้ามาร่วมพัฒนา DE Covidhomecare Solution  และได้มีส่วนช่วยประชาชนในสถานการณ์โควิด ที่ทุกคนต้องช่วยกันผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้ ปัจจุบันได้จัดตั้งไลน์กลางสำหรับระบบนี้ไว้ที่บัญชีไลน์ทางการชื่อ Covid Home Care

ขณะที่ น.พ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก กล่าวว่า ระบบช่วยบริหารจัดการผู้ป่วยซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ และเอ็นที ช่วยพัฒนาขึ้นมาครั้งนี้ เป็นประโยชน์อย่างมากในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ป่วยที่อาจไม่ต้องเดินทางไปยังโรงพยาบาล หรือไปศูนย์พักคอยต่างๆ  อีกทั้งช่วยแบ่งเบาภารกิจของแพทย์ สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

“ก็ต้องยอมรับนะครับว่าเป็นระบบที่ใช้งานง่าย เป็นระบบที่คุ้นเคยอยู่แล้ว คนไข้มาปุ๊ป สามารถบอกว่าโอเค มีส่วนที่เหมือน Line เหมือน Zoom ส่วนที่ทำงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” น.พ.ฆนัทกล่าว

นายกฯ ย้ำ เดินหน้าโครงการ EEC ดันเศรษฐกิจประเทศ รองรับโลกยุคใหม่ เพื่อวันนี้และอนาคต

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 2/2564 ผ่านระบบ Video Conference ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน นายอนุขา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า

ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยรัฐบาลให้ความสำคัญเดินหน้าปฏิรูปประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในทุกมิติ

ทั้งนี้ โครงการ EEC ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเร่งด่วน รัฐบาลทำงานเพื่อวันนี้และอนาคต รองรับโลกยุคใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงการพบปะหารือกับเอกอัครราชทูตหลายประเทศว่า หลายประเทศมีความสนใจที่จะมาร่วมลงทุนในประเทศไทย รวมถึงความร่วมมือในการที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงขอให้ทุกหน่วยติดตามและทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง รวมทั้ง ขอให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบความถึง ผลงานและความก้าวหน้าของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่และทั้งประเทศจะได้รับจากโครงการ  EEC สำหรับแก้ไขปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงานให้เป็นไปตามกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

“นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เร่งเพิ่มขีดความสามารถของแรงงานในประเทศ ให้เป็นแรงงานที่มีฝีมือสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการดึงคนรุ่นใหม่ หรือ Start Up ที่มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้านมาร่วมทำงานด้วย เพิ่มการจ้างงาน ทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอันส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ GDP และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย”

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี ขอบคุณ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการเรื่องของการจัดหาแหล่งน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเตรียมความพร้อมเรื่องน้ำทั้งด้านอุปโภค บริโภค การเกษตร การผลิต และอุตสาหกรรม สำหรับรองรับ EEC ในอนาคต

ขณะที่การพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน และการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาเมืองใหม่ที่จะมีประชากรเพิ่มขึ้นให้มีน้ำเพียงพอกับความต้องการของประชาชน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในเรื่องของอุตสาหกรรมต้องไม่ทำให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ให้มากที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งอันจะทำให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐเกิดผลได้เร็วขึ้นและเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด

“ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญเดินหน้าปฏิรูปประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในทุกมิติ  โครงการ EEC ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเร่งด่วน รัฐบาลทำงานเพื่อวันนี้และอนาคต รองรับโลกยุคใหม่และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ พร้อมกำชับทุกส่วนราชการเน้นใช้จ่ายงบประมาณต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนด้วย” นายอนุชา กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'น้าเดช' เปิดต้นเหตุความแตกแยกมาจากคำสั่ง 66/23 ทหารประมาทต่อ 'ศึกในเมือง' ที่ก่อตัวคุกรุ่นอยู่เงียบ ๆ

นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ หรือ 'น้าเดช' นักสื่อสารมวลชนด้านยานยนต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เรื่อง 66/23  มีเนื้อหาดังนี้...

๖๖/๒๓

ข้อความต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า เป็นความคิดเห็นที่ไม่มีหลักวิชาการ ไม่มีหลักฐานอะไรมาอ้างอิง ความคิดเห็นนี้ไม่ได้มีเจตนาจะต่อว่าต่อขานใคร เพราะในช่วงเวลาที่แตกต่าง ในสถานการณ์ที่แตกต่าง คนที่ตัดสินใจย่อมคิดเอาเฉพาะเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ มาเป็นองค์ประกอบสำหรับตัดสินใจ ต่างจากผมที่ใช้เหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมานาน มาเป็นองค์ประกอบในการแสดงความคิดเห็นครั้งนี้

เหตุการณ์ในประเทศไทยทุกวันนี้ ที่คนต่างวัยมีความเห็นที่แตกต่างกัน ผู้คนในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา มีความคิดที่ไปกันไม่ได้กับคนสูงวัยส่วนใหญ่ มีนักวิเคราะห์ นักวิชาการ มากมายออกมาแสดงความเห็นกันเอาไว้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีที่มาจากอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คราวนี้ผมจะขอแสดงความเห็นของผมบ้าง

ในความเห็นของผมก็คือ มันมีต้นเหตุมาจากคำสั่ง ๖๖/๒๓ อันโด่งดัง ครั้งนั้นประเทศไทยเรามีเหตุการณ์ต่อสู้กัน ทั้งทางความเชื่อและต่อสู้กันด้วยอาวุธ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศ มีคนไทยบาดเจ็บล้มตายกันทุกฝ่าย คนที่มีการศึกษากลุ่มหนึ่ง หนีภัยการเมืองเข้าป่า บางคนก็เตลิดไปไกลถึงประเทศอื่น แล้วก็ไปเพาะบ่มเชื้อทางความคิดให้กับชาวบ้านที่ห่างไกล ภายใต้แนวคิดแบบ “ป่าล้อมเมือง” จนกระทั่งมีนักคิดทางการทหาร ได้คิดมาตรการที่เรียกกันว่า ๖๖/๒๓ ขึ้นมา เป็นการเรียกร้องให้ฝ่ายที่ต่อสู้อยู่ในป่า กลับคืนมาเข้าเมืองโดยไม่มีความผิด  เพื่อให้กลับมาเป็น “ผู้พัฒนาชาติไทย” ร่วมกัน

คำสั่ง ๖๖/๒๓ ได้ผลดีตรงที่มีคนออกจากป่ากลับเข้าสู่บ้านเมืองมากมาย จนทำให้การต่อสู้ทางอาวุธยุติลงแทบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด 

แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การต้อนรับคนกลับจากป่า แม้จะมีการวางแผนเอาไว้ในทางวัตถุ แต่ไม่ได้มีการวางแผนในทางปฏิบัติการจิตวิทยาเอาไว้อย่างจริงจัง มันจึงเป็นการดึงศัตรูที่เคยปฏิบัติการ “ป่าล้อมเมือง” ให้เปลี่ยนแผนยุทธวิธีมาเป็น “ส้องสุมกำลังในเมืองเพื่อล้มเมือง”

โดยจะเห็นได้ว่า นักศึกษา นักวิชาการ นักคิดทางการเมือง นักปลุกระดมทางการเมือง ที่กลับออกมาจากป่า กลับมาส้องสุมกันในมหาวิทยาลัยในฐานะ “ผู้สอน” มาส้องสุมกันในสื่อหลายสำนักในฐานะ “คนเดือนตุลา” ที่เป็นนักคิดนักเขียน หลายคนกลับเข้ามาในฐานะนักการเมืองหัวก้าวหน้า คนกลุ่มนี้กลับจากป่ามาสู่เมือง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตา “ปลูกฝังความคิด” เสกเป่าความเชื่อและแนวทางของตนเอง ใส่คนรุ่นใหม่ในเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีการศึกษาดี ๆ สูง ๆ

พ่อแม่ที่เป็นคนอายุเท่าเทียมกับคนที่กลับเข้าเมืองและรู้เท่าทัน ก็ยังไม่ได้คิดระแวงอันใด เพราะยังคิดเหมือนกับสมัยที่ตนเองยังศึกษาอยู่ ว่าสถานศึกษาและมหาวิทยาลัยคือที่เพาะบ่มความรู้ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นความรู้พิษที่ถูกเพาะบ่มเอาไว้อย่างเนิ่นนาน ฝ่ายด้านนักการทหารก็คิดว่าศึกนี้สงบราบคาบไปแล้ว เพราะแนวคิด ๖๖/๒๓ ก็มาจากนักคิดฝ่ายทหารเอง จึงปล่อยวางและประมาทต่อ “ศึกในเมือง” ที่ก่อตัวคุกรุ่นอยู่เงียบ ๆ

วันนี้เมื่อสังคมไทยมีคนรุ่นใหม่ที่ถูกบ่มเพาะจากเชื้อร้าย ของผู้กลับออกมาจากป่าภายใต้คำสั่ง ๖๖/๒๓ มากขึ้น เราจึงเห็นสภาพความคิดของคนในสังคมแตกแยกกันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จนยากที่จะประสานได้ และหากต้องการที่จะแก้ไขในระยะยาว ก็คงต้องใช้วิธีการ “กำจัดปลวกด้วยการทำลายรังปลวก” เท่านั้น แต่ทั้งนี้ “แมงเม่า ที่บินออกมาจากรังปลวกเดียวกัน” ก็ต้องทำใจได้ หากว่ารังปลวกจะต้องถูกทำลายไป เพื่อสร้างรังใหม่ที่เข้มแข็งขึ้นมาแทนที่…

หมายเหตุ >> คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 หรือคำสั่งที่ 66/2523 หรือคำสั่งที่ 66/23 เป็นคำสั่งรัฐบาลไทยที่กำหนดนโยบายสำคัญในการต่อสู้กับการก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ช่วงปลายสงครามเย็น คำสั่งดังกล่าวออกเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2523 และลงนามโดยนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ คำสั่งนี้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากท่าทีทหารสายแข็งที่ดำเนินมาตั้งแต่รัฐบาลฝ่ายขวาธานินทร์ กรัยวิเชียร (ครองอำนาจ 2519 ถึง 2520) มาสู่สายกลางมากขึ้น ซึ่งให้ความสำคัญมาตรการทางการเมืองเหนือการปฏิบัติทางทหารอย่างเป็นทางการ

คำสั่งนี้กำหนดให้มีการจัดการความอยุติธรรมทางสังคม และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองและกระบวนการประชาธิปไตย มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสอดคล้องกับคำสั่งอนุญาตให้ผู้แปรพักตร์ผละขบวนการก่อการกำเริบ ซึ่งเมื่อประกอบกับการเสื่อมลงของการสนับสนุนจากต่างชาติ นำไปสู่การเสื่อมลงของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4236655333084162&id=100002192101649

https://www.thaipost.net/main/detail/112196

https://th.m.wikipedia.org/wiki/คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่_66/2523


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สำนักงานประกันสังคม แจงโอนเงินเยียวยา ม.33 ตามลำดับเลขบัตรประชาชน

จากกรณี สำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. จะโอนเงินเยียวยาให้กับประชาชนในกลุ่มผู้ประกันตน มาตรา 33 เริ่มต้นโอนในวันที่ 4 สิงหาคมเป็นต้นไป โดยล่าสุดมีรายงานว่ามีผู้ประกันตนในกลุ่มที่เข้าเงื่อนไขรับเงินเยียวยาได้รับเงินโอนเข้าบัญชีแล้ว ขณะที่อีกหลายคนยังไม่ได้

ล่าสุดสำนักงานประกันสังคม (สปส.) แจ้งรายละเอียดการโอนเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตน ม.33 ดังนี้

1.) วันที่ 4 สิงหาคม โอนเงินเข้าเลขบัตร ปชช.

1024200112971-1620400023507

2.) วันที่ 5 สิงหาคม โอนเงินเข้าเลขบัตร ปชช.

1620400023965-3460700773038

3.) วันที่ 6 สิงหาคม โอนเงินเข้าเลขบัตร ปชช.

3460700774417-8960900002244

กรณีผู้ประกันตนยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์บัญชีธนาคารด้วยเลขบัตรประชาชน ขอให้รีบดำเนินการ ทั้งนี้ จะมีการโอนเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตน ม.33 รอบต่อไปในวันที่ 13 สิงหาคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่ยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ จะมีการรวบรวมตัวเลข และโอนเงินให้ทุกวันศุกร์ ไปจนกว่าจะครบตามจำนวน หรือสิ้นสุดในวันที่ 29 ตุลาคม 2564

สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 ขณะนี้ สปส.อยู่ระหว่างประมวลผลข้อมูล คาดว่าจะเริ่มโอนเงินให้กับผู้ที่ได้สิทธิภายในเดือนสิงหาคมนี้


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-19 ย้ำ ไม่ได้คัดค้านการล็อกดาวน์ แต่การล็อกดาวน์ต้องไม่สูญเปล่า ต้องเจ็บแล้วจบ ขณะนั้นอัตราการตรวจพบเชื้อในไทยสูงกว่า 5% ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ซึ่งเป็นตัวเลขตามเพดานของ WHO ว่าต้องล็อกดาวน์

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊กเพจ โดยระบุว่า ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เคยได้ชี้แจงไว้ว่า ไม่ได้คัดค้านการล็อกดาวน์ แต่การล็อกดาวน์ต้องไม่สูญเปล่า ต้องเจ็บแล้วจบ ขณะนั้นอัตราการตรวจพบเชื้อในไทยสูงกว่า 5% ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ซึ่งเป็นตัวเลขตามเพดานของ WHO ว่าต้องล็อกดาวน์

“ตัวเลขอัตราการตรวจพบเชื้อมีนัยยะสำคัญอย่างไร ในช่วงที่สหรัฐอเมริกากำลังระบาดหนักที่สุด มีอัตราการตรวจพบเชื้ออยู่ที่ 15% ในขณะที่อินเดียมีอัตราการตรวจพบเชื้อนี้ที่ 23% ในส่วนของประเทศไทยตอนนี้ จากข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่าอัตราการตรวจพบเชื้อโควิดในประเทศไทยสูงถึง 24% และแนวโน้มกำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่ากลัว ตัวเลขนี้ตีความเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกเหนือจากหายนะ การล็อกดาวน์ของเรากำลังสูญเปล่า และในครั้งนี้ ประชาชนจะเจ็บแต่ไม่จบ เจ็บแล้วเจ็บเล่า โดยที่รัฐบาลก็อยู่ในสภาวะไร้ประสิทธิภาพเกินกว่าที่จะช่วยเหลืออะไรได้”

พิธา ระบุต่อไปว่า วิกฤตการณ์ที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ล้มเหลวในการจัดการวิกฤติอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่มีการออกมาตรการล็อกดาวน์ มีอำนาจเต็มจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่รวบอำนาจไว้ในมือ และมีเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 2 ฉบับจำนวนเงินกว่า 1.5 ล้านล้านบาทสาเหตุหนึ่งที่อัตราการตรวจพบเชื้อในไทยสูงขึ้นในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ ก็เพราะตัวเลขการตรวจน้อยลง จากข้อมูลของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในสัปดาห์ 11-17 ก.ค. มีการตรวจเฉลี่ย 6.9 หมื่นตัวอย่างต่อวัน ในสัปดาห์ 18-24 ก.ค. 6.75 หมื่นตัวอย่างต่อวัน ในสัปดาห์ 25-31 ก.ค. 6.18 หมื่นตัวอย่างต่อวัน

“การล็อกดาวน์ที่จะไม่ให้สูญเปล่านั้น ต้องมีการตรวจเชิงรุก การตรวจต้องมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง เพื่อที่จะแยกปลาออกจากน้ำ เพื่อทำการรักษาและยุติการระบาดให้ได้เร็วที่สุด ตัวอย่างของการตรวจเชิงรุกประชากรทั้งเมืองในต่างประเทศก็มีให้เห็นมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ประชากรหลักพันอย่าง Vò ที่อิตาลี หลักหมื่นอย่าง Bolinas, California ที่สหรัฐฯ หลักแสนอย่าง Southampton ที่อังกฤษ และหลักล้านอย่างอู่ฮั่น ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลต้องบังคับทุกคนให้มาตรวจโควิด แต่ศักยภาพในการตรวจ RT-PCR ของประเทศเราอยู่ที่ประมาณ 70,000 ตัวอย่างต่อวันและไม่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เดือน เม.ย. แล้ว รัฐบาลต้องมีการตรวจเชิงรุกและขยายศักยภาพในการตรวจมากกว่านี้”

พิธา ยังย้ำว่า การล็อกดาวน์ให้ไม่สูญเปล่า รัฐบาลต้องเยียวยาประชาชนให้ทั่วถึง จึงขอแสดงความกังวลต่อมาตรการเยียวยานายจ้างและลูกจ้างนอกระบบประกันสังคม โดยการให้นายจ้างมาเข้าระบบประกันสังคม เพราะจากแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงินเยียวยาตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ 26/2564 เมื่อ 23 ก.ค. 2564 นายจ้างที่มาขึ้นทะเบียนประกันสังคมรายใหม่จะต้องได้รับการตรวจสอบข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยจากตารางเวลาการดำเนินงาน อาจจะได้เงินเยียวยาล่าช้าถึงเดือนตุลาคม

“ผมขอย้ำอีกครั้ง ว่าปัญหาของรัฐบาลประยุทธ์ไม่ใช่ไม่มีงบประมาณมาใช้ในการเยียวยาประชาชนและแก้ปัญหาโควิด-19 จากดูตัวเลขการอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น และรายการแก้ปัญหาโควิด-19 ของปีงบ 64 ที่ตั้งเอาไว้รวมกัน 140,000 ล้านบาท จากที่สืบค้นได้ใน มติ ครม. (นอกจากนั้นจะมีเอาไปใช้ในทางลับอะไรอีกผมไม่ทราบ) พบว่ามีการอนุมัติแค่ 46,000 ล้านบาท หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของงบกลางที่ขอในปี 64 ไม่นับว่ามีเอกสารสำนักงบประมาณของรัฐสภารายงานว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย. 64 มีการเบิกจ่ายแค่ประมาณ 12,000 ล้านบาทเท่านั้น (ไม่ถึง 10%) นี่ยังไม่นับ พ.ร.ก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลออกมาได้จะ 3 เดือนแล้ว แต่ยังเป็น black box หรือ “พื้นที่ดำมืด” ที่เรายังไม่ทราบว่ารัฐบาลเอางบไปทำอะไรบ้าง

“ทุกปัญหา เราต้องแก้ให้ตรงจุด ตอนนี้ปัญหาวิกฤตของประเทศไม่ใช่ปัญหางบประมาณ แต่เป็นปัญหาเรื่องความสามารถของผู้นำและคณะ ผมจึงขอเสนอไปยังทุกท่านว่า ถ้าเราอยากออกจากวิกฤตนี้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้นำและคณะ คืนอำนาจให้ประชาชนรวมถึงแก้ไขปัญหาโครงสร้างการเมืองไทยโดยเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจ แต่ไร้ความสามารถกลุ่มเดิมกลับมาได้อีก” พิธา ระบุ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top