Monday, 9 June 2025
Hard News Team

‘ภูมิใจไทย’ ดัน นโยบายกัญชา สุดตัว ยกระดับจากสิ่งผิดกม. ให้เป็นพืชเศรษฐกิจ

ถึงจะโดนเรื่องโควิด-19 กลบ จนเรื่องกัญชา ต้องหายเงียบ แต่ในความเงียบ กลับมีความเคลื่อนไหว ที่สะท้อนความคืบหน้าในนโยบายกัญชา ซึ่งเป็นเดิมพันสำคัญของพรรค “ภูมิใจไทย”

รู้หรือไม่ ??? จากในอดีตที่กัญชา มีสถานะเป็น “สิ่งเสพติด” หากแม้นมีการครอบครอง ไปจนถึงนำมาใช้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดล้วน “ผิดกฎหมาย” เป็นผู้ร้ายตลอดกาล ปัจจุบัน ประเทศไทยคลายล็อกให้สามารถปลูกกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายแล้ว กัญชากำลังค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทให้กลายเป็น “พระเอก” มากยิ่งขึ้น จนไทยได้ชื่อว่ามีความก้าวหน้าในเรื่องการนำกัญชามาใช้ ที่ก้าวหน้าที่สุดในอาเซียน

รู้หรือไม่ ? วันนี้ ประชาชนสามารถเข้าถึงการปลูกกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายแล้วกว่า 1.6 ล้านตารางเมตร

รู้หรือไม่ ? ในปี 2564 เพียงปีเดียวสินค้าที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม มีมูลค่าในตลาดสูงถึงกว่า 7 พันล้านบาท

รู้หรือไม่ ? ประเทศไทย มีคลินิกกัญชาแล้วใน 760 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

รู้หรือไม่ ? มีประชาชนกว่า 7.6 หมื่นคน ใช้บริการคลินิกกัญชา เป็นทางออกในการรักษาโรค

เหล่านี้คือปรากฏการณ์ ที่เกิดขึ้นแล้ว ในประเทศไทย และเป็นเครื่องยืนยันความคืบหน้าของนโยบายกัญชาเสรี

เป็นผลจากการทุ่มกาย เทพลัง ตลอด 2 ปีเศษ ที่พรรคภูมิใจไทย “ต้อง” ผลักดันนโยบายกัญชาทางการแพทย์ให้ไปข้างหน้า เนื่องเพราะเป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้พรรคโกยคะแนนเลือกตั้ง กระทั่งได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล และหัวหน้าพรรคอย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อผลักดันให้นโยบาย เกิดความเป็นรูปธรรม ตามแผนบันได 3 ขั้น เริ่มจากแก้กฎหมาย ให้กลายเป็นพืชสมุนไพร ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ไปจนถึงเป็นพืชเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน

ซึ่งการก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นนั้น ไม่ใช่เรื่องหมู ต้องฝ่าฟัน “ความเชื่อ” จากสังคมไทย จำนวนไม่น้อย ที่ยังปฏิเสธกัญชา ขณะที่กฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ก็เป็นดั่งกำแพงที่ยากจะปีนข้าม มีเพียงการค่อยแก้กฎหมายทีละชั้นอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด ถึงจะสามารถคลายล็อกกัญชาได้

ข้อเท็จจริงคือ ประเทศไทยอยู่ภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 แก้ไขโดยพิธีสาร ค.ศ. 1972 และอนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 ซึ่งอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับนี้ยินยอมให้ใช้กัญชาทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ได้ แต่รัฐบาลต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพและการป้องกันการรั่วไหลไปยังตลาดมืด ซึ่งรัฐบาลต้องมีการข้อกำหนดที่ชัดเจนในการอนุญาตให้ผลิตปลูกหรือใช้กัญชาทางการแพทย์ที่จะต้องดำเนินการโดยมีระบบใบอนุญาต (Licensing System) เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดกัญชาของรัฐนั้น ๆ จะไม่เกินความต้องการใช้ทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์”

โดยมีคณะกรรมการการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศจะเป็นหน่วยงานที่เป็นกลไกกำกับดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ประเทศภาคีสมาชิกจะต้องรายงานให้ทราบเกี่ยวกับการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่ผิดกฎหมาย

นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ประเทศไทย ต้องนำเรื่อง “การแพทย์” มานำร่องเรื่องกัญชา เป็นไฟต์บังคับ ที่นายอนุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขทราบดี ซึ่งนายอนุทิน ค่อย ๆ ขยับแก้กฎหมายไปทีละขยัก ผ่านอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เริ่มจากวันที่ 6 สิงหาคม ปี 2562 ได้ ลงนามระเบียบกระทรวงสาธารณสุข รับรองสถานะหมอพื้นบ้าน เปิดช่องให้หมอพื้นบ้านใช้กัญชา เป็นส่วนผสมในตำรับยา 

ขณะเดียวกัน ยังได้ผลักดันให้ “วิสาหกิจชุมชน” ทั่วประเทศ ปลูกกัญชา สำหรับส่งไปยังโรงพยาบาลสำหรับใช้ผลิตยา เพื่อเตรียมใช้ในคลินิกกัญชา ที่จะเกิดขึ้นในปีเดียวกัน พร้อมไปกับการปลดล็อกให้สารสกัดจากกัญชา ทั้ง THC และ CBD ไม่เป็นยาเสพติด ตามเงื่อนไขที่กำหนด เหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อให้สามารถนำกัญชาไปในทางการแพทย์ได้ โดยมีเงื่อนไขน้อยที่สุด ขณะที่แหล่งผลิต ที่เกิดขึ้นจะกลายมาเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบในเชิงเศรษฐกิจด้วย

ซึ่งการเปลี่ยนร่างกัญชาจากพืชสมุนไพร สู่พืชเศรษฐกิจนั้น ต้องย้อนกลับไป ในวันที่ นายอนุทิน นำกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศกระทรวง เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (ฉบับที่ 2) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2563 ให้บางส่วนของต้นกัญชาและกัญชงไม่จัดเป็นยาเสพติด

ส่วนต่าง ๆ ของกัญชาที่ไม่จัดเป็นยาเสพติด ได้แก่ เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก ใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย สารสกัด CBD ที่มี THC ไม่เกินร้อยละ 0.2% และกากที่เหลือจากการสกัดกัญชา ซึ่งต้องมี THC ไม่เกิน 0.2%

ประชาชน เอกชน สามารถใช้ประโยชน์จากส่วนเหล่านี้ได้ แต่มีข้อกำหนดว่าต้องได้มาจากสถานที่ปลูกหรือผลิตในประเทศ ซึ่งได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น

เมื่อสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของกัญชามาใช้ประโยชน์ได้ทั่วไปแล้ว จึงเห็นร้านค้าจำนวนมาก นำวัตถุดิบจากกัญชามาใช้เพิ่มมูลค่าในผลิตภัณฑ์ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเป็นจำนวนมหาศาล จนกัญชาได้ชื่อว่าเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับคนไทยจำนวนไม่น้อย จากที่กัญชาต้องหลบเร้นอยู่ในมุมมืด การแก้กฎหมายที่ผ่านมา ทำให้เราได้มีโอกาสทานบราวนี่กัญชา ชาที่ทำมาจากกัญชา ข้าวผัดกัญชา พิซซ่ากัญชา ไปจนถึงใช้เครื่องสำอาง ที่มามีส่วนผสมของกัญชาประกอบอยู่

‘หมอหวิว’ ผู้ได้ทุน 'มนข.' พยานปิดทองฐานพระ ตอกย้ำ 'หลายสิ่งที่ราชวงศ์ทำ ไม่ได้ประกาศให้ใครทราบ'

พญ.ชัญวลี ศรีสุโข หรือ ‘คุณหมอหวิว’ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาว่า

“...พ.ศ. ๒๕๑๙  ฉันสอบเข้าคณะแพทย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ แต่ไม่มีคนส่งเรียน เฝ้าเขียนจดหมายขอทุนไปยังมูลนิธิต่าง ๆ ด้วยตนเอง แต่ใครไม่มีตอบกลับ

ใกล้เปิดเรียน ฉันไปเดินถนนท่าแพ หวังจะเข้าไปขอทุนจากเจ้าของคฤหาสน์ใหญ่ ๆ แต่ไม่มีบ้านใดที่อนุญาตให้ฉันเข้าไป 

รปภ. บ้านหนึ่งถามว่าได้นัดไหม? ไม่ได้นัด ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไป

ฉันร้องไห้กลับมาที่โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ 

อาจารย์สมาคมศิษย์เก่าได้ให้ฉันเขียนจดหมายขอทุน ‘มูลนิธินักเรียนขาดแคลนในพระบรมราชินูปถัมภ์’ (ม.น.ข.)โดยปั๊มตราโรงเรียน และอจ. เซ็นรับรอง

ไปเรียนวันแรก 
ฉันไม่มีชุดนักศึกษา 
ไม่มีเงินค่าลงทะเบียน 
ไม่มีเงินค่าหอ 
ไม่มีแม้แต่ตังค์กินข้าว 

อาจารย์เกษม วัฒนชัย 
พาไปหาคุณนายลัดดา เพื่อขอทุนการศึกษา 
ในวันนั้น คุณนายให้ทุนเดือนละ ๕๐๐ บาท
ตอนนั้นมีกฏว่า ขอได้ทุนเดียว 
เงินจำนวนนี้ อาจพอค่าอาหารต่อเดือน 
แต่ไม่เพียงพอค่าลงทะเบียน และอื่น ๆ

๑ สัปดาห์ต่อมา
ทุนจาก ม.น.ข. ก็มาถึง
มีทั้งค่าลงทะเบียน ค่าเสื้อผ้า ค่าอาหาร ค่าหนังสือ
เป็นเงินก้อนแรกที่ฉันรู้สึกว่ามันมาก 

มีจดหมายของเจ้าของทุนเขียนมา 
ท่านชื่อ คุณหญิง สมหญิง โปษยานนท์ 
ท่านอนุญาตให้ฉันเรียกแม่ 
มีเงินเดือนอีกเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท 
หากมีอะไรต้องซื้อเพิ่ม ให้แจ้งได้
จึงเป็นวันแรกที่ฉันซื้อนมสดกับเค้กกล้วยหอมกิน 
และรู้สึกว่า มันอร่อยเหลือเกิน

กะเทาะ 12 ข้อคิด จากมารดาแห่งแดนมังกร สินทรัพย์ล้ำค่า เพื่อลูกหลานชาวจีน

สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Somkiat Osotsapa ว่า สะเทือนไปทั่วทั้งวงการศึกษาของประเทศจีน.....

คำสอนของมารดาแห่งประเทศจีน นี่คือการชี้นำการศึกษาและการสร้างคนรุ่นต่อไป คนจีนจะเป็นแบบนี้เพราะผลของการศึกษา การศึกษาต้องมีปรัชญาและเป้าหมายชัดเจน

เมื่อภรรยาประธานาธิบดีสีจิ้นผิง (เผิงลี่หยวน) ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องคะแนนสอบเอ็นทรานซ์ ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวงการศึกษาของประเทศจีน......

คะแนนสอบของลูก ไม่ได้มีความสำคัญเทียบเท่ากับการสอนให้ลูกรู้จักสำนึกในบุญคุณ รู้จักเรียนรู้การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ลูกจะมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทอง ผู้ปกครองจะมีวิธีอบรมปลูกฝังอย่างไร การที่จะให้ทรัพย์สินแก่ลูกหลาน ทำไมไม่คิดจะสร้างลูกให้กลายเป็นทรัพย์สินล้ำค่าเล่า นั่นคือการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม

ดังนั้นการเก็บสะสมทรัพย์สินมหาศาลให้กับลูกหลานไม่สามารถเทียบเท่ากับการให้ข้อคิดดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตดังต่อไปนี้

1.) ลูกรัก...ลูกต้องเรียนรู้ที่จะทำอาหาร นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการดูแลปรนนิบัติคนอื่น แต่เมื่อคราที่คนที่รักลูกไม่ได้อยู่ข้างกายลูก ลูกก็จะสามารถดูแลตนเองได้ (อยู่รอดได้ด้วยตนเอง)

2.) ลูกรัก...ลูกจะต้องเรียนรู้ที่จะขับรถ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับฐานะตำแหน่งหน้าที่ เพราะเช่นนี้แล้ว ลูกก็จะสามารถไปในทุก ๆ ที่ลูกอยากไปทุกเวลา ไม่ต้องไปขอร้องใคร (มีอิสระเสรี)

3.) ลูกรัก...ลูกจะต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้มาตรฐาน นี่ไม่ได้เกี่ยวกับการรับรองฐานะการศึกษา ในชีวิตคนเราจำเป็นต้องผ่านประสบการณ์ในมหาวิทยาลัยสัก 3-4 ปี ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่มีเงื่อนไข และเป็นชีวิตที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะให้มีสติปัญญา ความนึกคิดและการใช้เหตุผล (เมื่อเข้าไปสู่สังคมก็เสมือนเข้าไปสู่ชีวิตจริง)

4.) ลูกรัก...ลูกรู้หรือไม่ ฝากรอยเท้าไกลเท่าไหน จิตใจจะกว้างเท่านั้น เมื่อใจกว้างแล้ว ลูกจึงจะมีความสุข หากเดินไปได้ไม่ไกล ให้หนังสือช่วยพาลูกเดินไป (เปิดกว้างโลกทัศน์ของตนเองโดยอาศัยโลกแห่งความรู้)

5.) ลูกรัก...หากโลกนี้เหลือเพียงน้ำสองถ้วย ให้เก็บถ้วยหนึ่งเอาไว้ดื่ม ส่วนอีกถ้วยหนึ่งใช้ทำความสะอาดใบหน้าและชุดชั้นในของลูก (การเห็นคุณค่าของตัวเองไม่เกี่ยวกับความจนความรวย)

'เท่าพิภพ' ซัด 'อัศวิน' สั่งเทเหล้าทิ้งหลัง 3 ทุ่ม จวก คิดได้แค่นี้ ไม่เหมาะเป็นผู้ว่า กทม.

จากกรณีที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้สัมภาษณ์ ยืนยันว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารจะต้องเป็นร้านที่ได้มาตรฐาน SHA และขายได้ถึงเวลา 21.00 น. เท่านั้น จะไม่มีการขยายเวลา หากดื่มไม่หมดก็เททิ้งไป

นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า หลังจากได้เห็นคำสัมภาษณ์ของผู้ว่าฯ อัศวินแล้วรู้สึกสลดใจและเห็นใจคนกลางคืนเป็นอย่างยิ่ง ที่มีผู้ว่าฯ ซึ่งไม่สนใจและไม่เข้าใจธุรกิจกลางคืนหรือคนกลางคืนแม้แต่นิดเดียว สาเหตุอาจเพราะการไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เป็นตำรวจมาทั้งชีวิตจึงเคยชินแต่การใช้คำสั่ง ถึงเวลาก็มีเงินเดือนมา ดีไม่ดีปีใหม่ สงกรานต์ ลอยกระทงก็ไม่รู้ว่ามีกระเช้ามาให้ด้วยหรือเปล่า ชินกับการรับ กระทั่งตำแหน่งผู้ว่าฯ ก็รับมาจากการแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ ไม่ได้มาจากประชาชน จึงไม่เข้าใจปัญหาของคนทำมาหากินเลย

"การเปิดร้านแต่ละวันแต่ละคืน เจ้าของร้านและลูกจ้างต้องมีภาระมากแค่ไหนท่านรู้หรือไม่ สมัยผมทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในร้านอาหารเวลาเริ่มงานคือ 16.00 น. - 01.00 น. คือ 9 ชั่วโมง ได้ค่าจ้างวันละ 500 บาท ลองคิดดูถ้าเลิก 21.00 น. เวลาทำงานจะเหลือเพียง 5 ชั่วโมง รายได้ก็ต้องลดตามชั่วโมงงาน แต่ค่ารถมาทำงานยังเท่าเดิม มันคุ้มกับเขาหรือไม่ ยังไม่นับธุรกิจกลางคืนที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดก็ขาดรายได้มานาน

ในมุมของเจ้าของร้านยิ่งแล้วใหญ่ หากเปิดร้าน 16.00 น. กว่าจะมีลูกค้าเข้าจริงคือหลังเลิกงานก็ประมาณ 18.30 เป็นต้นไป แต่ประมาณ 2 ทุ่มก็ต้องบอกลูกค้าว่าจะสั่งเครื่องดื่มเป็นรอบสุดท้ายไหม ต้องหยุดก่อนสามทุ่ม ตกลงได้ขายจริงก็แค่ราว 1 ชั่วโมงครึ่ง เปิดแบบนี้ก็เหมือนไม่เปิด เป็นนโยบายที่ไม่เข้าใจคนทำธุรกิจว่าวันสิ้นเดือนคือที่ตัดสินว่าตัวเขาและธุรกิจจะสิ้นใจหรือไม่"

ชะลอขึ้นค่าทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก 1 ปี แต่ต้องจ่ายแบบคูปอง

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมกำหนดมาตรการเยียวยาให้กับประชาชนจากกรณีการปรับอัตราค่าผ่านทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร มีมติให้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม ออกมาตรการเยียวยาให้กับประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์โควิด-19 โดยให้บีอีเอ็มออกมาตรการส่งเสริมการตลาด หรือชะลอการขึ้นค่าผ่านทางที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ 

ทั้งนี้เบื้องต้น บีอีเอ็มจะออกมาตรการการตลาดและโปรโมชั่นในรูปแบบผู้ใช้ทางที่ใช้คูปองชำระค่าผ่านทางในอัตราราคาเดิมที่ใช้อยู่ เป็นระยะเวลา 1 ปี (15 ธ.ค. 2564-15 ธ.ค. 2565) แต่การชำระด้วยเงินสด และอีซี่พาส ต้องจ่ายในราคาที่ปรับใหม่ ตามสัญญา ขณะที่ปัจจุบันมีผู้ใช้ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนประมาณ 5.9 หมื่นคันต่อวัน 

‘จุรินทร์’ ชมเปาะ ‘ทูตจีนคนใหม่’ ลึกล้ำ แค่เห็นของฝาก มองขาดขอช่วยส่งออกผลไม้

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ท่านทูตจีนคนใหม่ “หาน จื้อเฉียง” เข้าพบที่กระทรวงพาณิชย์เมื่อวันก่อน…

หลังจากท่านรับข้อเสนอที่ผมขอให้จีนช่วยเปิดด่านทางบกจาก “เชียงของ” เข้าจีนที่ด่าน “โมฮั่น” และด่านเชียงแสนของไทยผ่านแม่น้ำโขง เข้าจีนที่ “ท่าเรือกวนเล่ย” ทางตอนใต้ของ “ยูนนาน” ทั้งคู่

เพื่อจะได้ “เชื่อมเหนือ-เชื่อมโลก” ต่อไปในอนาคต 

พร้อมทั้งผมได้ขอให้ท่านทูตช่วยสนับสนุนการส่งออก “ไก่ รังนก ข้าวและผลไม้” ของไทยไปจีนได้สะดวกคล่องตัวมากขึ้นด้วย 

หลังการเจรจา ท่านมีของที่ระลึกมาฝาก…

เป็นแจกันจีนเพนต์ภาพเขียนรูปกวางและนกกระเรียนงดงามมาก 

'ออมสิน' ดึงคนฝากเงินแถมลุ้นเงินล้าน 20 รางวัล

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออก 2 แคมเปญเงินฝาก เพื่อส่งเสริมการออมส่งท้ายปี จูงใจด้วยดอกเบี้ยสูงและร่วมลุ้นรางวัลพิเศษ โดยแคมเปญแรกได้แก่ เงินฝากสลากออมสินพิเศษ 2 ปี (ใบสลาก) จับรางวัลพิเศษ ระหว่างวันที่ 2 พ.ย. – 29 ธ.ค.2564 ร่วมลุ้นเงินรางวัลพิเศษ 1 ล้านบาท จำนวน 20 รางวัล ออกรางวัล 2 ครั้ง ในวันที่ 1 ธ.ค.64 จำนวน 10 รางวัล และ วันที่ 30 ธ.ค.64 อีก 10 รางวัล 

สำหรับสลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบใบสลาก) ราคาหน่วยละ 100 บาท กำหนดผู้ฝากเป็นบุคคลธรรมดาอายุ 7 ปีขึ้นไป และนิติบุคคลทุกประเภท ฝากได้ที่สาขาธนาคารออมสิน ไม่จำกัดวงเงินฝากสูงสุด ระยะเวลาฝาก 2 ปี มีสิทธิลุ้นถูกรางวัล  24 ครั้ง กำหนดออกรางวัลทุกวันที่ 1 ของเดือน รางวัลสูงสุด รางวัลที่ 1 เป็นเงิน 5,000,000 บาท และรางวัลอื่น ๆ รวมถึงรางวัลเลขท้าย เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับดอกเบี้ยอีกหน่วยละ 0.10 บาท อัตราผลตอบแทนผู้ฝากขั้นต่ำเมื่อสลากครบกำหนดเฉลี่ยต่อปีตามจำนวนเงินฝาก ตั้งแต่ 0.05-0.35% ต่อปี ผู้ฝากเป็นบุคคลธรรมดา ดอกเบี้ยและเงินรางวัลจะได้รับการยกเว้นภาษี 

ทอ.เคลื่อนย้ายเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 6 (UH-1H) หรือ ฮิวอี้ (Huey) หลังบรรจุประจำการกว่า 50 ปี ไปตั้งแสดง  พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ

พล.อ.อ.นภาเดช  ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ได้สั่งการให้กรมช่างอากาศดำเนินการเคลื่อนย้ายเฮลิคอปเตอร์แบบที่6 (UH-1H) หมายเลข ทอ.7/12 ซึ่งบรรจุประจำการในกองทัพอากาศมากว่า 59 ปีและปัจจุบันได้ปลดประจำการแล้ว ไปตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ กองประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ กรมสารบรรณทหารอากาศ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกองทัพอากาศ เปิดโอกาสให้เยาวชนตลอดจนบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจเกี่ยวกับอากาศยานได้เข้ามาศึกษาและเยี่ยมชม

กองทัพอากาศได้รับมอบเฮลิคอปเตอร์แบบ UH-1H จากกองทัพสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ.2511 โดยกองทัพอากาศได้กำหนดชื่อว่า “เฮลิคอปเตอร์แบบที่ 6” หรือ ฮ.6 หรือ ฮิวอี้ (Huey) เริ่มประจำการในฝูงบิน 32 กองบิน 3 โดยมีภารกิจสนับสนุนโทรคมนาคม ให้ความช่วยเหลือ กองทัพบก กองทัพเรือ นาวิกโยธิน และตำรวจตระเวนชายแดน ในการปฏิบัติการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ทำการบินขนส่งพัสดุและกำลังพลให้กับทุกเหล่าทัพ อีกทั้งภารกิจในการให้ความช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ก่อนจะย้ายเข้าบรรจุประจำการ ณ ฝูงบิน ๒๐๓ กองบิน ๒ จังหวัดลพบุรี โดยมีภารกิจหลักคือ การบินค้นหาและช่วยชีวิตในพื้นที่การรบ

สำหรับเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 6 ที่นำมาตั้งจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ ฯ กองทัพอากาศได้รับมอบเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2511 บรรจุประจำการครั้งแรก ณ ฝูงบิน 32 กองบิน 3 ในปี พ.ศ.2512 กองทัพอากาศได้พิจารณาจัดเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 6 หมายเลข ทอ. 6/12 และ 7/12 เพื่อปฏิบัติภารกิจเป็นเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งแบบใหม่ทดแทนเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 4 (เอช-34) ได้รับหมายเลขประจำฝูงบิน 3201 ซึ่งเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 6 เครื่องดังกล่าว ปฏิบัติภารกิจบินรับ-ส่งเสด็จ ฯ เป็นระยะเวลานานสามปีตั้งแต่ พ.ศ.2512 - 2515 จึงถูกปรับระดับมาเป็นเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งสำรอง เปลี่ยนหมายเลขประจำฝูงบิน เป็น 3202 โดยกองทัพอากาศได้พิจารณาจัดเฮลิคอปเตอร์แบบที่ 6 หมายเลข 29/15  ซึ่งได้รับบรรจุเข้าประจำการเมื่อปี พ.ศ.2515 ปฏิบัติภารกิจเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งแทน

'สุพัฒนพงษ์' หวังเศรษฐกิจไทยปีหน้าโตพรวด 6%

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยในงานสัมมนาบูสอัพไทยแลนด์ 2022 เรื่องบูสอัพทุบโจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย ว่า เศราฐกิจไทยในปี 65 มีโอกาสขยายตัวได้ถึง 5-6% หากไม่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่เกิดขึ้น โดยเชื่อว่าหากทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกันรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นภายในประเทศ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วก็เป็นไปได้ แต่อาจจะกลับไปไม่เหมือนเดิม เพราะจะกลายเป็นเศรษฐกิจในวิถีใหม่ ซึ่งจะมีความเข็มแข็งมากกว่าเดิม

ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามสร้างระบบนิเวศน์ให้เอื้อกับการลงทุน และสร้างรายได้ใหม่ทางเศรษฐกิจเพื่อพลิกโฉมเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งบางอย่างต้องใช้เวลา แต่เชื่อมั่นว่าจะเริ่มเห็นผลที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น เรื่องของการลงทุนที่เกิดจากนโยบายในการกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่ และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในพื้นที่สำคัญของเศรษฐกิจ ทั้งสนามบิน และท่าเรือ ซึ่งเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจนจากตัวเลขการลงทุน 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.64) พบว่า การขอส่งเสริมการลงทุนมีวงเงินสูงถึง 5.2 แสนล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนและคาดว่าทั้งปีจะถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19

ภาคเอกชนประเมินเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น หวังส่งออกฟื้น

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. ประเมินว่าสถานกาณ์ที่ดีขึ้นเป็นลำดับ พร้อมกับมาตรการภาครัฐที่มีเสริมขึ้นมาจะทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวในกรอบ 0.5 % ถึง 1.5%ส่วนการส่งออก กกร. ยังคงคาดว่ามีแนวโน้มจะขยายตัว 12.0% ถึง 14.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2% ซึ่งมองว่าตัวเลขนี้อยู่ในเงื่อนไขที่ไม่มีการระบาดซ้ำเพิ่มเติมและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้กกร.ยังมองว่า การเปิดประเทศเมื่อ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ช่วยหนุนเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปี การเปิดประเทศและการคลายล็อกดาวน์ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ และประชาชน โดยมีการคาดการณ์จากผู้ประกอบการโรงแรมว่า อัตราการเข้าพักน่าจะขยับขึ้นไปที่ระดับ 25% ในเดือนพ.ย. จากเดือนก.ย.ที่มี 15% ประกอบกับการจับจ่ายใช้สอยในภูมิภาคดีขึ้น ส่วนภาคการค้าปลีกมองว่า ผ่านจุดต่ำสุดที่ไตรมาส 3 มาแล้ว สอดคล้องกับมุมมองของนักธุรกิจต่างชาติในประเทศไทยก็เชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 4 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top