Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

เวทีประชาธิปัตย์เดโมแครต ฟอรั่มแนะรัฐขจัดการผูกขาดลดทุจริตเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ ปชป.เสนอ7นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มศักยภาพประเทศลดเหลื่อมล้ำแก้จน

(2 ธ.ค. 67) ในการจัดเสวนา เดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “ขจัดการผูกขาด: ปฏิรูปเศรษฐกิจลดเหลื่อมล้ำแก้จน” ที่พรรคประชาธิปัตย์วันนี้เป็นการนำเสนอแนวทางในการขจัดการผูกขาดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จากหลายหน่วยงาน อาทิ ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายนริศ ขำนุรักษ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรมช.มหาดไทย ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ผศ. ดร. พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีนายพลีธรรม ตริยะเกษมทำหน้าที่พิธีกร

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นตัวแทนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน)เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษว่าการผูกขาดทางเศรษฐกิจเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำและความยากจนของประเทศ
ตัวอย่างเช่นประเทศจีน ประธานาธิบดีสีจี้นผิงดำเนินการปราบทุจริตคอรัปชั่นอย่างเฉียบขาดและตั้งแต่ปี 2564 ได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการผูกขาด และปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยให้เจ้าหน้าที่รัฐมุ่งต่อต้านการผูกขาดเพื่อนำไปสู่การแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ และลดความเหลื่อมล้ำที่พุ่งสูงขึ้นมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา แม้จะเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งทางทหารและเศรษฐกิจแต่ก็ยังเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และประธานาธิบดีโจ ไบเดนถึงกับประกาศความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาดังกล่าวเพราะคนระดับกลางหรือคนส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างฐานะได้เหมือนคนรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่กลุ่มรวยสุด 1% ของอเมริกากอบโกยประโยชน์ทางเศรษฐกิจ คิดเป็น 21% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10% ของ GDP เมื่อปี 1979

ในขณะที่World Bank และ IMF ได้จัดสัมมนาประจำปี 2021 เรื่อง Taxation of the Wealthy in Developing Countries เพื่อมุ่งแก้ปัญหาความร่ำรวยสุดขั้วที่กระจุกอยู่บนยอดปิรามิด อันเป็นปัญหาร่วมที่รุนแรงมากขึ้นในหลายประเทศกำลังพัฒนา เพราะคนรวยสุด 10% ทั่วโลก ถือครองความมั่งคั่งในประเทศเฉลี่ย 60-80% แต่คนฐานะ 50% ล่างของสังคม ถือครองเพียงแค่ 5% ของความมั่งคั่ง

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยพบว่า สินทรัพย์ของคนทั้งประเทศไทยมากกว่า 2ใน3กระจุกอยู่กับกลุ่มคนรวยที่มีสัดส่วนเพียง 10% ของประชากรทั้งหมด คนไทย 10% หรือประมาณ 7 ล้านคน ยังมีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน คนไทยมากกว่า 3 ใน 4 ไม่มีที่ดินของตัวเอง โฉนดที่ดิน 61% ของประเทศไทยอยู่ในมือประชากร 10%

ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรมสูงมาก อยู่ลำดับที่ 162 จาก 174 ประเทศ “กฎหมายสู้ทุนผูกขาดไม่ได้ เรามีกฎหมายหลายฉบับเกี่ยวกับการป้องกันการค้ากำไรเกินควร ป้องกันการผูกขาด ซึ่งกฎหมายป้องกันผูกขาดมีมาตั้งแต่ปี2522 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกพรบ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 และต่อมามีการปรับปรุงเป็น ฉบับแก้ไขพ.ศ.2560 ปรากฎว่า ไม่มีแม้แต่คดีเดียว ที่เกิดข้อพิพาทนำคดีขึ้นสู่ศาล จากการแข่งขันไม่เป็นธรรม จนประเทศไทยเป็นประเทศเสรีในการผูกขาด”
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ ทุนผูกขาดได้เข้ามามีอิทธิพลต่ออำนาจรัฐ เข้ามามีอิทธิพลสนับสนุนพรรคการเมืองจนท้ายที่สุดลงมาเล่นการเมือง มีตำแหน่งทางการเมืองด้วย จนต้องตั้งคำถามว่าปัญหาเหล่านี้จะสามารถจบลงในรุ่นเราได้หรือไม่ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่รับทุนสามานย์ผูกขาดทางการเมือง จึงมีการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนบริจาคภาษี 001 เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่เป็นอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของทุนผูกขาด ทุนสามานย์ ทุนสีเทาทั้งหลาย และเป็นการบริจาคอย่างโปร่งใส เพื่อให้พรรคการเมืองนำเงินบริจาคดังกล่าวไปดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนต่อไป 

นายอลงกรณ์ยังนำเสนอแนวนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในการขจัดการผูกขาดลดความเหลื่อมล้ำประกอบไปด้วย การส่งเสริมระบบเศรษฐกิจเสรีที่เป็นธรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำ ปรับปรุงกฎหมายแข่งขันทางการค้า การกระจายอำนาจให้เป็นธรรมและทั่วถึง จำกัดการถือครองที่ดิน และการกำจัดคอรัปชั่นทุกรูปแบบ ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า การผูกขาดเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ในอดีต มีมหาเศรษฐีในประเทศไม่กี่ราย มาในยุคที่อำนาจทหารเรืองรองมีการตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมามากมายถึง 140 แห่ง แม้วันนี้จะถูกแปรสภาพไปหมด แต่รัฐวิสาหกิจไทยในขณะนั้นได้ใช้ทรัพยากรของรัฐไปเป็นจำนวนมาก แต่ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับผู้มีอำนาจและกลุ่มนายทุนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น 

“คนไทยในอดีตหากอยากรวย ถ้าไม่กอดปืนก็ต้องกอดคนมีอำนาจในขณะนั้น การกอดปืนหรือกอดอำนาจมีมาจนถึงทุกวันนี้เพียงแค่รูปแบบลดความชัดเจนลง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากระบอกปืนกลับมามีอำนาจจึงเห็นกลุ่มคนที่มีอำนาจไปกอดปืนอีกรอบหนึ่ง ทำให้มีคนบางกลุ่มร่ำรวยแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากดำเนินการตรวจสอบในวันนี้จะเห็นว่าหลายกลุ่มได้งานสัมปทานของรัฐแบบผิดกฎหมาย” ดร.มานะ กล่าว 

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ธุรกิจที่เข้าสู่การผูกขาดจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ มีอัตราการขยายตัวของ product ต่ำ มีศักยภาพการผลิตของอุตสาหกรรมต่ำเกินความเป็นจริง มียอดการส่งออกต่ำเนื่องจากมีฐานในต่างประเทศน้อย และมีการลงทุนต่ำเกินจริงเนื่องจากมีรัฐอุดหนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองน้อย แต่จะใช้สิ่งที่มีอยู่เพื่อกอบโกยเงินของหลวงให้มากที่สุด จากปรากฏการณ์ดังกล่าวถือเป็นการทำลายศักยภาพการพัฒนาประเทศ จนเกิดเป็นกับดักทางรายได้ของประเทศ เนื่องจากผลประโยชน์ไปตกอยู่กับคนกลุ่มเดียว

ด้าน ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง คุณภาพชีวิตของคนไทยวันนี้พัฒนาต่ำลง ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้กับชีวิต ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์รถบัสไฟไหม้ ไปจนถึงสะพานถล่ม ทั้งที่ลาดกระบัง และล่าสุดพระราม 2 ล้วนเป็นภัยที่เริ่มใกล้ตัวมากกว่าที่คิด วันนี้ภาคประชาชนจึงได้เสนอกฎหมายความปลอดภัยสาธารณะ เพื่อมีคนกลางเข้ามาทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ 

“ผมอยากใช้เวทีนี้ซึ่งเป็นเวทีที่ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่เป็นการทำเวทีเพื่อให้บ้านเมืองหลุดพ้นเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องคอรัปชั่น จึงอยากให้มาร่วมกันสนับสนุนพระราชบัญญัติเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ให้เกิน 10,000 ชื่อ เพื่อให้มีเจ้าภาพคนกลางที่จะลงไปดูติดตามรายงานตรวจสอบและป้องกัน จะได้รู้สักทีว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร” ศ. ดร.สุชัชวีร์ กล่าว  

ด้าน ผศ. ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ ระบุว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ จึงเห็นว่าการแข่งขันจะช่วยเพิ่มการจัดสรรทรัพยากร เป็นการเปลี่ยนจากตลาดผูกขาด เป็นตลาดแข่งขันจะทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มถูกลง ทั้งเป็นการกระจายผลประโยชน์ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ 

นอกจากนี้ ผศ. ดร.พรเทพ ได้ยกตัวอย่างปัญหาการดำเนินการของ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ขาดการทำงานเชิงรุกเพื่อยับยั้งป้องกันหรือเยียวยาผลกระทบการกระทำอันไม่เป็นธรรมทางการค้าผู้บริโภคไม่สามารถใช้สิทธิ์ในการร้องเรียนโดยตรงได้ ทั้งยังขาดศักยภาพทางวิชาการและแรงจูงใจ ดังนั้นเพื่อการกำกับดูแลการแข่งขันของไทยให้มีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนพิจารณาเรื่องบทลงโทษทางอาญาด้วยเนื่องจากกระบวนการทางอาญาที่ใช้เวลานาน อีกนัยหนึ่งก็สามารถเป็นอุปสรรคในการกำกับดูแลเช่นกัน 

สำหรับ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้ระบุว่า อำนาจกับผลประโยชน์อยู่คู่กันมาโดยตลอด และมีพัฒนาการจากเดิมที่อำนาจและประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มทหาร ปัจจุบันจะเห็นว่ากลุ่มทุนได้ย้ายมาอยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง และสื่อมวลชน นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าไม่ได้มีแต่การผูกขาดเฉพาะทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีการผูกขาดทางการเมือง ไปจนถึงการผูกขาดทางทรัพยากร และลุกลามไปถึงการผูกขาดในกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย

รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ยังได้ตั้งคำถามถึงผู้มีอำนาจในปัจจุบันว่า เมื่อพวกเขาเติบโตมาจากการผูกขาดการค้า ก็ย่อมจะเห็นประโยชน์ของการผูกขาด เมื่อผู้นำไม่รังเกียจการผูกขาด วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการแจกเงินคนจน ซึ่งวิธีดังกล่าวยังเป็นการตอกย้ำระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย จะเห็นได้ว่านอกเหนือจากเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการผูกขาดโดยรัฐแล้ว ยังมีปัญหาซ้ำเติมในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และในอนาคตอันใกล้เมื่อประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จึงไม่ต่างจากระเบิดเวลาที่กำลังจะทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้ 

ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการสัมมนา ยังมีการเปิดเวทีให้ผู้เข้าชมได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ อาทิ ดร.เพ็ญจันทร์ ล้อสีทอง นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง นายปรพล อดิเรกสาร นายราม คุรุวาณิชย์ นายเมฆินทร์เอี่ยมสอาด กก.บห.พรรคประชาธิปัตย์นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิทเป็นต้น 

ไบเดนเล็งเพิ่มคว่ำบาตรรัสเซีย มุ่งตัดช่องการเงินทำสงครามยูเครน

(3 ธ.ค.67) ทำเนียบขาวเผยว่าสหรัฐฯ เตรียมประกาศคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยเน้นโจมตีภาคการเงินของมอสโก ก่อนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ

นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ระบุในแถลงการณ์ว่า “สหรัฐฯ ได้เตรียมดำเนินมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่กับภาคการเงินของรัสเซียแล้ว เพื่อทำลายศักยภาพในการสนับสนุนกลไกสงครามของประเทศ และยังมีแผนดำเนินการเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้นี้”

อย่างไรก็ตาม นายซัลลิแวน ไม่ได้ระบุว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อมุ่งเป้าตัดช่องทางการเงินของรัฐบาลมอสโกตามแถลง

การประกาศครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการกดดันมอสโกให้ยุติการสนับสนุนสงคราม ในห้วงเวลาอีกราวหนึ่งเดือนสุดท้ายก่อนประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะหมดวาระลง

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 รับมอบผ้าห่มกันหนาว จาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)

(3 ธ.ค.67) พลตรี สมบัติ บุญกอแก้ว เสธนาธิการกองทัพภาคที่ 3 ให้การต้อนรับคณะผู้บริหาร จาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในโอกาสมอบผ้าห่มกันหนาว ให้กับกองทัพภาคที่ 3 ณ บริเวณหน้าห้องรับรอง กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.เมือง จ.พิษณุโลก 

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) โดย คุณ ศรายุทธ เนียมฤทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการผลิต โครงการเอส 1 และคณะ ได้เข้ามอบผ้าห่มกันหนาว จำนวน 3,000 ผืน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งที่ผ่านมากองทัพภาคที่ 3 ได้รับความอนุเคราะห์จาก บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) มาด้วยดีโดยตลอด พร้อมกันนี้ เสธนาธิการกองทัพภาคที่ 3 ได้มอบหนังสือขอบคุณและมอบของที่ระลึกให้กับ คณะผู้บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นการขอบคุณอีกด้วย

กองทัพภาคที่ 3 เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศ และสภาพอากาศ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากจากการเกิดภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในทุกฤดู ทางกองทัพภาคที่ 3 จะได้นำผ้าห่มกันหนาวที่ได้รับมอบนี้ ไปมอบให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและประสบภัยในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนต่อไป

'มนุษย์ควัน' แนะออกกฎเข้มคุมบุหรี่ไฟฟ้า ถามกลับใครรับผิดชอบทุนจีนแอบตั้งโรงงานผลิตในไทย

(3 ธ.ค. 67) นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเพจ "มนุษย์ควัน" แสดงความคิดเห็นในเพจดังกล่าว แนะรัฐบาลหาแนวทางควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าโดยเผยว่ารัฐเคนทักกี้เตรียมออกกฎเข้ม “ลงดาบ” ร้านที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยจะเสนอร่างกฎหมายในปี 2025 ที่มุ่งควบคุมผู้ขายบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบ โดยกำหนดให้ผู้ขายต้องมีใบอนุญาต พร้อมให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบสถานประกอบการได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น รวมถึงยึดหลักฐานการกระทำผิด กฎหมายนี้ยังเพิ่มบทลงโทษ เช่น หากร้านใดถูกเพิกถอนใบอนุญาต จะไม่สามารถขอใหม่ได้ในระยะเวลา 2 ปี นอกจากนี้ยังมีการจัดสรรเงินค่าปรับไปใช้ในโครงการให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับอันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า นโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายชัดเจนในการป้องกันการขายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้เยาว์ และแก้ไขช่องโหว่ในกฎหมายเดิม

ในการประชุมสภานิติบัญญัติเมื่อต้นปี 2024 สมาชิกสภาฯ ได้ผ่านร่างกฎหมาย House Bill 11 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าให้กับผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยจํากัดการขายเฉพาะ "ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาต" จากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ซึ่งจนถึงปัจจุบัน FDA อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ารสชาติยาสูบและเมนทอล 34 รายการ สามารถจำหน่ายได้ในสหรัฐอเมริกา ในโพสต์ดังกล่าว นายสาริษฏ์ยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบุกทลายโรงงานบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีเจ้าของเป็นกลุ่มทุนจีน โดยระบุว่า “เห็นข่าวการบุกทลายโรงงานบุหรี่ไฟฟ้าที่นั่งทำกันสดๆ ในทาวเฮ้าส์ย่านบางขุนเทียน ทำกันขนาดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่ารัฐบาลจะจัดการกับปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าด้วยการห้ามแบบเดิมยังไง ตัดภาพไปที่อเมริกา ที่เน้นออกกฎหมายควบคุมและปรับกฎหมายให้เหมาะสม แบบที่รัฐเคนทักกี้เตรียมทำก็คือเพิ่มโทษให้กับผู้ขายที่ขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเยาวชน”
ทั้งนี้ ประเด็นการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายกำลังได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอยู่ในขณะนี้ จากกรณีที่เครือข่ายแพทย์ฯ ออกมาแถลงจุดยืนให้มีการห้ามบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งในขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายในไทย เพื่อออกกฎหมายที่เหมาะสม มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย

ซึ่งนายสาริษฏ์ยังได้โพสต์อีกหนึ่งข้อความ ตอบโต้เรื่องดังกล่าวโดยระบุว่า “เฮือกสุดท้ายของการไม่ยอมรับความจริง!! จะหมดปี 2024 แล้วยังไล่แบนบุหรี่ไฟฟ้า!! ยอมรับความจริงกันได้แล้วว่าแบนมันไม่เวิร์ค มีใช้กันทุกหัวมุมถนนเอาอะไรมาแบนต่อ นโยบายตัวเองผิดพลาดแต่โทษคนนั้นคนนี้ โทษกมธ. ไม่โปร่งใส” พร้อมบอกว่า “ห้ามบุหรี่ไฟฟ้าในไทยมาเป็น 10 ปีแล้วได้อะไร นอกจากลดทอนสิทธิผู้บริโภค เปิดช่องให้ตลาดมืด ออกข่าวเยาวชนใช้บุหรี่ไฟฟ้าไปวันๆ ที่ขอ (ให้ควบคุม) ไม่ใช่การเปิดเสรีแบบสินค้าอื่นๆ สิ่งที่อยากได้คือกฎหมายที่มาควบคุมซื้อ ขาย ใช้งาน เอาให้มันเป็นระเบียบ สังคมจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนกับควันดราก้อนบอลจากบุหรี่ไฟฟ้าอีก”

ที่มา GOP lawmaker calls for adding ‘teeth’ to Kentucky's new curbs on underage vaping • Kentucky Lantern https://www.facebook.com/share/p/H5QpatpUCgy9WBCB/

สถาบันพระปกเกล้า เปิดอบรม หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข(สสสส.)รุ่นที่ 15 มุ่งแก้ปัญหาความขัดแย้งทุกระดับ

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.67) สถาบันพระปกเกล้า โดยสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล จัดพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.)รุ่นที่ 15 โดยได้รับเกียรติจาก นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เป็นประธานเปิดการศึกษาอบรม 

นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ กล่าวว่า สถาบันพระปกเกล้า เปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรดังกล่าวขึ้น เพื่อเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างสร้างสรรค์ ด้วยการให้เกียรติและเคารพความหลากหลายของความคิด ความเชื่อ โดยเน้นให้ผู้เข้ารับการศึกษาจะนำความรู้ด้วยการลงไปดูปัญหาจริง จากพื้นที่จริง เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในระดับต่างๆ ได้อย่างแท้จริง

ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่างว่า หลักสูตร เสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.)รุ่นที่ 15 จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสภาพความขัดแย้ง สาเหตุ และวิธีแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งจากการจัดการฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และความขัดแย้งในสังคม พหุลักษณ์ ให้ผู้เข้าอบรมมีทักษะเบื้องต้นในการสร้างสันติสุขในสังคม ในมิติของการป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้น การจัดการและแก้ไขความขัดแย้ง การแปรเปลี่ยนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้กลายเป็นความรุนแรง การเยียวยาสร้างความสมานฉันท์ให้กลับคืนสู่สังคมภายหลังความขัดแย้งสิ้นสุดลง 

มีเจตคติที่ยอมรับและเห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลายในสังคม รวมทั้งยึดมั่นสันติวิธีทั้งในสำนึกและพฤติกรรม โดยเน้นการสร้างสันติวัฒนธรรม เพื่อทำให้สังคมไทยพัฒนาเปลี่ยนแปลงได้ก้าวหน้าสู่สันติวิธีได้ดียิ่งขึ้น 

อีกทั้งให้ผู้เข้าอบรมนำความรู้และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนกับบุคคลจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งในชั้นเรียนและในพื้นที่มาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางแก้ไขความขัดแย้งและสร้างสันติสุขในสังคมอย่างเป็นระบบ พร้อมนำเสนอต่อสังคมและผู้เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแก้ไขปัญหาต่อไป และให้ผู้เข้าอบรมเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างผู้เข้าอบรมที่มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน อันจะเป็นการสานต่อพลังในการเสริมสร้างสังคมสันติสุขในรูปของเครือข่ายผู้เข้ารับการศึกษาอบรมอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล กล่าวแนะนำกรรมการบริหารหลักสูตรฯ คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ประจำหลักสูตร และร่วมกันพูดคุยเนื้อหาเกี่ยวกับหลักสูตรพร้อมรับฟังการแนะนำการใช้งาน Application KPI-KIT โดย เจ้าหน้าที่ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ แนะนำการใช้ห้องสมุด โดยพนักงานบรรณารักษ์และสารสนเทศ

สำหรับหลักสูตรดังกล่าว มีผู้เข้ารับการศึกษาอบรม ประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือน รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทหาร ภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชน ผู้นำศาสนา และสื่อมวลชน จำนวนทั้งสิ้น 90 คน โดยมีระยะเวลาการศึกษาอบรมตั้งแต่ เดือนธันวาคม 2567 ถึง เดือนธันวาคม 2568

'พิชัย' เปิดงาน GCNT Forum 2567 ประกาศความสำเร็จ FTA ไทย-เอฟตา ดันเศรษฐกิจ เชื่อมั่น ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ PCB และ AI โลก หนุนสร้าง SME รุ่นใหม่ ส่งออกสินค้าทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงาน UN Global Compact Network Thailand Forum (GCNT Forum) 2567 และกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Inclusive Business – A Catalyst for Change to an Equitable Society : ธุรกิจแบบมีส่วนร่วม – เร่งสร้างสังคมไทยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งภายในงานมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย นางสาวมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (Ms. Michaela Friberg-Storey, UN Resident Coordinator, Thailand) และสมาชิกจาก UN Global Compact Network Thailand ร่วมด้วยที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ESCAP Hall ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ โดยนายพิชัยได้ถือโอกาสนี้ประกาศความสำเร็จของการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมเน้นย้ำถึงทิศทางของการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย อาทิ PCB Data Center และการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยให้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น 

นายพิชัย กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนมาเปิดงาน UN Global Compact Network Thailand Forum  (GCNT Forum) 2567 ในวันนี้ ซึ่งเป็นเครือข่ายของภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน วันนี้จีดีพีของประเทศเริ่มดีขึ้น เมื่อไตรมาสที่แล้วจีดีพีไทยโต 3% และการส่งออกของไทยตัวเลขล่าสุด (ต.ค.67) ขยายตัว 14.6% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี แต่จะทำอย่างไรให้ดีขึ้นอีก ให้เกิดการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น เรื่องหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ทำสำเร็จแล้วคือการเจรจา FTA ไทยกับเอฟตา หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ที่ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งกำลังจะลงนามกันที่ดาวอส โดยมีผู้นำหลายประเทศเข้าร่วม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาเขตการค้าเสรีฉบับต่อไป ขณะนี้มีหลายประเทศที่มาเร่งเรื่องการเจรจา FTA ทั้งกับ EU และ UAE และทางภาคเอกชน อย่างหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของรัฐบาลไทยและกระทรวงพาณิชย์ ในการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ที่จะช่วยเปิดโอกาส ทางการค้า ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้

“FTA มีความสำคัญมากเพราะจะทำให้มีการลงทุนเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนนักลงทุนจาก USABC (สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน) ก็สอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจา FTA ฉบับต่างๆ ของไทย วันนี้ ต้องเรียนว่า รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์จะพยายามเจรจาให้สำเร็จให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นศักยภาพทางการแข่งขันของไทยจะสู้กับเวียดนามได้ยาก เพราะเวียดนามมี FTA ครอบคลุมแล้วถึง 56 ประเทศ ในขณะที่ไทยเพิ่งมี 19 ประเทศ เราต้องเร่งเจรจาเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นต้นทุนการผลิตสินค้าของเราจะสู้เวียดนามไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนเวียดนามถูกกว่าของเราอยู่แล้ว 10% แต่ถ้าเราไม่มีเขตการค้าเสรีจะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20% ทำให้ต้นทุนต่างกันถึง 40% ทำให้เราต้องเร่งเจรจา FTA เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเดินหน้าเจรจา FTA จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ” รมว. พาณิชย์กล่าว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังไปได้ดี มีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ PCB (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) ที่หลายประเทศบอกว่าในอนาคตไทยจะเป็นศูนย์กลาง PCB ของโลก และเราจะเป็นศูนย์กลางของ Data Center และ AI ซึ่งเป็นทิศทางของโลก ที่เราต้องเร่งส่งเสริมในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ก็พยายามส่งเสริมให้มีเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น เมื่อวันก่อนตนไปที่เชียงใหม่ได้พบกับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เข้าไปให้การสนับสนุน พาไปออกบูธในต่างประเทศ พาไปขายของ และสำหรับบริษัทหรือแบรนด์ที่มีศักยภาพ ทางกระทรวงพาณิชย์มีแนวคิดที่จะสร้าง Thailand Brand เพื่อการันตีคุณภาพ ให้ผู้ประกอบการสามารถขายสินค้าและพัฒนาต่อยอดได้ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่าเป็นสินค้าชั้นเยี่ยม

“กระทรวงพาณิชย์ พยายามส่งเสริมให้มีเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น เน้นการขับเคลื่อนทุกภาคธุรกิจแบบมีส่วนร่วม ตามแนวทางของรัฐบาลในการส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าสู่ความยั่งยืน ผ่านนโยบายสำคัญ อาทิ 1.สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเพิ่มช่องทางการค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น 2.การบริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกรและผู้ประกอบการ สามารถเติบโตไปพร้อมกัน สร้างผลประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย 3.การขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และ 4.ส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงตลาดสินค้าสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการของตลาดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งขณะนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องเร่งพัฒนาให้ทันต่อต่อตลาด ใช้จุดแข็งต่างๆ ชูซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้สามารถขายสินค้าให้มากขึ้นได้ วันนี้โลกเปลี่ยนแล้วต้องกลับมาคิดใหม่ทำใหม่ คิดเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” นายพิชัยกล่าว

“นวัตกรรมโดรนโจมตีทิ้งระเบิด” หน่วยเฉพาะกิจราชมนู รางวัลชนะเลิศ เทคโนโลยีเพื่อการป้องกันชายแดน ระดับกองทัพบก

(3 ธ.ค. 67) หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร มีภารกิจหลัก ในการป้องกันชายแดน โดยการสกัดกั้น ยับยั้ง โต้ตอบ และผลักดันการละเมิดอธิปไตยของกองกำลังต่างชาติ ในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งได้รับมอบจาก ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก โดย ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งปัจจุบันรูปแบบการรบได้มีการพัฒนาและ นำอากาศยานไร้คนขับมาใช้ในการปฏิบัติการมากขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคนิค และวิธีการรบ ในรูปแบบใหม่ 

การโจมตีด้วยโดรนถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ และก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก ซึ่งฝ่ายเรา จะต้องมีการเรียนรู้ และพัฒนาขีดความสามารถในการใช้งาน ทั้งนี้ หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ได้ริเริ่มประดิษฐ์นวัตกรรม โดยการนำโดรนทางการเกษตร มาดัดแปลงเป็นโดรนโจมตีทิ้งระเบิด เพื่อใช้ในการ ปฏิบัติทางยุทธวิธี เข้าโจมตีทำลายข้าศึก

1. คุณลักษณะทั่วไป
   1.1 เป็นโดรน 4 ใบพัด ขนาด 36 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์บัสเลส ตัวลำเป็นไฟเบอร์คาร์บอน มีความแข็งแรงทนทานและน้ำหนักเบา - ควบคุมด้วย ไฟลท์คอนโทรล Pixhawk V6X พร้อม GPS ระบุตำแหน่งที่แม่นยำ 
   1.2 ติดตั้งกล้องตรวจการณ์แบบ FULL HD พร้อมไฟ LED 
   1.3 ใช้แบตเตอรี่ขนาด 30,000 มิลลิแอมป์ จำนวน 2 ก้อน 
   1.4 ด้านล่างติดตั้งเซอโว จำนวน 4 ตัว ควบคุมแยกกันอย่างอิสระ เพื่อใช้ในการทิ้งระเบิด 
   1.5 ติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมสัญญาณ เทเลมิสทรี เรดิโอ เชื่อมต่อสัญญาณกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ควบคุมการบิน ในระยะปฏิบัติการ 5 กิโลเมตร และบรรทุกน้ำหนักได้ 20 กิโลกรัม 
2. การควบคุม สามารถทำได้ 2 ระบบ ได้แก่ 
   2.1 การควบคุมด้วยรีโมทคอลโทรล ร่วมกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เพื่อควบคุมการบินผ่านหน้าจอและดูภาพจากกล้อง ปรับโหมดการบินได้ 3 โหมด คือ โหมดควบคุมด้วยตัวเอง, โหมดการบินด้วย GPS และ โหมดการบินแบบอัตโนมัติ มีระบบการบินกลับอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด หรือสัญญาณรีโมทขาดหาย โดยเฉพาะกรณีถูกเครื่องมือตัดสัญญาณจากฝ่ายตรงข้าม โดรนจะบินกลับเองแบบอัตโนมัติ 
   2.2 การควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรม Mission Planner โดยการติดตั้งอุปกรณ์ รับ-ส่ง ข้อมูล เทเลมิสทรี เรดิโอ ความถี่ 433 MHz กำลังส่ง 500 mW เพื่อเชื่อมต่อโดรนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการกำหนดแผนการบินด้วยพิกัดทางทหาร (MGRS) และทำการทิ้งระเบิดได้อย่างแม่นยำ จากการทดสอบ ที่ระยะความสูง 1,000 เมตร มีความคลาดเคลื่อน ระยะ 5 เมตร ข้อดีของการควบคุมแบบนี้ จะสามารถป้องกันการโจมตีจากอุปกรณ์ต่อต้านโดรนได้ 
3. การประยุกต์ใช้ ติดตั้งระเบิดได้พร้อมกันสูงสุด 4 ลูก ทิ้งระเบิดแบบอิสระ โดยใช้ระเบิดแสวงเครื่อง หรือระเบิดจริงจากเครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด 60 มิลลิเมตร และ 81 มิลลิเมตร ใช้งานควบคู่กับโดรนตรวจการณ์ เพื่อตรวจสอบพิกัดเป้าหมาย นำมาระบุตำแหน่งทิ้งระเบิดแล้วเข้าปฏิบัติการทำลายเป้าหมายแบบอัตโนมัติ 

จากผลงานนวัตกรรมดังกล่าวของหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากการประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ทางทหารด้านยุทโธปกรณ์ ของกองทัพบก ประจำปีงบประมาณ 2567 ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลดังกล่าว โดยมี ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร เป็นผู้รับมอบรางวัล เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่หน่วยสืบไป 

ทั้งนี้ จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพบก โดย กองทัพภาคที่ 3 จะมุ่งมั่น ตั้งใจพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อป้องกันชายแดน และรักษาอธิปไตยของชาติ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืนสืบไป 

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยเหลือแจกสิ่งของยังชีพผู้ประสบอุทกภัยน้ำท้วม

(2 ธ.ค. 67) เวลา 16.30 นาฬิกา ณ เทศบาลจังหวัดปัตตานี พลเอก สวัสดิ์  ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา  พร้อมด้วยกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการกิจการทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม ได้เดินทางเพื่อร่วมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจในการปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดปัตตานีในห้วงวิกฤติอุทกภัยในพื้นที่

ในการนี้ คณะกรรมาธิการได้มอบชุดยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัย โดยมีนางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีได้ให้การต้อนรับและนำคณะกรรมาธิการลงพื้นที่แจกสิ่งของยังชีพในชุมชนเทศบาลนครปัตตานีที่ได้รับความเดือดร้อนดังกล่าวประมาณ  60 ครัวเรือนเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตอุทกภัยในครั้งนี้ด้วยกัน

CEO ยูนิโคล่หลุดยอมรับ "ไม่ใช้ฝ้ายซินเจียง" ชาวเน็ตแผ่นดินใหญ่เดือดแห่ไม่ซื้อสินค้า

(3 ธ.ค. 67) ผ้าฝ้ายซินเจียง ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผ้าที่ดีที่สุดของโลก กลับกลายเป็นประเด็นอ่อนไหวที่สร้างแรงกดดันให้กับแบรนด์แฟชั่นระดับโลก โดยเฉพาะจากตะวันตก หลังจากมีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลจีนใช้แรงงานบังคับชาวอุยกูร์ในการผลิตผ้า  

ล่าสุด ยูนิโคล่ (Uniqlo) แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นรายใหญ่ของโลกจากญี่ปุ่น กำลังเผชิญกระแสความไม่พอใจจากลูกค้าชาวจีน หลังจาก ทาดาชิ ยาไน (Tadashi Yanai) ซีอีโอของ Fast Retailing บริษัทแม่ของยูนิโคล่ ให้สัมภาษณ์กับ BBC โดยระบุว่าบริษัทไม่ได้ใช้ผ้าฝ้ายซินเจียง แต่กลับหลีกเลี่ยงที่จะยืนยันหรือปฏิเสธชัดเจนว่าผ้าฝ้ายซินเจียงถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ของยูนิโคล่หรือไม่ พร้อมทั้งย้ำว่าต้องการรักษาจุดยืนเป็นกลางระหว่างจีนและสหรัฐฯ  

คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวกลายเป็นไวรัลบน Weibo โซเชียลมีเดียยอดนิยมในจีน ทำให้ผู้ใช้งานจำนวนมากออกมาประณาม พร้อมประกาศว่าจะไม่สนับสนุนสินค้าของยูนิโคล่  

แม้ยูนิโคล่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดยุโรปและสหรัฐฯ แต่ซีอีโอก็ยอมรับว่า “ยูนิโคล่ไม่ใช่แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก” โดยเอเชียยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะจีน ซึ่งถือเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ Fast Retailing รวมกับไต้หวันและฮ่องกง มีสัดส่วนรายได้ถึง 20% ปัจจุบันยูนิโคล่มีสาขาในจีนแผ่นดินใหญ่ประมาณ 900-1,000 แห่ง และซีอีโอเชื่อว่าจีนยังมีศักยภาพในการขยายสาขาได้ถึง 3,000 แห่ง นอกจากนี้ จีนยังเป็นศูนย์กลางการผลิตสำคัญของบริษัทอีกด้วย

ประเด็นนี้กลายเป็นข้อพิพาทระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2022 หลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการแบนการใช้ผ้าฝ้ายซินเจียงเนื่องจากข้อสงสัยเรื่องการใช้แรงงานบังคับ ส่งผลให้แบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ เช่น H&M หยุดใช้ผ้าฝ้ายซินเจียง จนถูกผู้บริโภคชาวจีนแบน ร้านค้าในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่ถูกถอด และบางสาขาถูกสั่งปิดไม่มีกำหนด  

ในขณะเดียวกัน ยูนิโคล่ยังต้องเผชิญการแข่งขันสูงในตลาดฟาสต์แฟชั่นจากแบรนด์จีนอย่าง Shein และ Temu ที่เน้นการขายสินค้าราคาถูก ซึ่งส่งผลให้ความท้าทายของยูนิโคล่ในตลาดจีนยิ่งเพิ่มขึ้น

‘เจ้าของแบรนด์ดัง’ แจงดรามา นินทาลูกสาวคนอื่นโตมาแรดแน่ ๆ รับเป็นพฤติกรรมในอดีต พร้อมขู่ฟ้องคนบิดเบือน - คอมเมนต์เกินเลย

เจ้าของแบรนด์ดัง ได้ออกมาชี้แจงแล้ว หลังเพจดัง เปิดปม เคยทำคลิป ไปสะกิดลูกคนอื่น แล้วนินทาว่า โตมาแรดแน่ ๆ ชัดเจนทุกประเด็น

จากกรณีเพจดัง อีซ้อขยี้แหลก ได้ออกมาโพสต์ข้อความ เปิดเรื่อง เจ้าของแบรนด์ดัง เคยทำคลิป ไปสะกิดลูกคนอื่น และไปนินทาลูกสาวเขาว่า โตมาแรดแน่ ๆ จนเป็นกระแสดรามาในโลกออนไลน์อยู่ในตอนนี้ ล่าสุดเจ้าตัว ได้ออกมาเคลื่อนไหว ผ่านเฟซบุ๊ก Atthakorn Kan Rattanarom เจ้าของ BEARHOUSE ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า 

ผมคือผู้ที่อยู่ในคลิป จึงอยากจะออกมาชี้แจงประเด็นครับ

- คลิปดังกล่าวโพสต์วันที่ 30 Nov 2017 (7 ปีที่แล้ว) ไม่ใช่เมื่อปีก่อน

- ในอดีตผมเป็น Youtuber และผมก็เล่นมุกเหี้ย ๆ แบบนั้นจริง ๆ ครับ ในสมัยนั้นไม่ได้มีการ Aware เรื่องการบูลลี่มากนัก แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้ Aware เช่นกัน ตอนนี้กลับไปดูคลิปตัวเองก็ไม่ได้ชอบตัวเองสมัยนั้นเหมือนกัน

- ตลอดการเดินทาง ได้มีทั้งผู้ติดตาม และผู้ใหญ่ให้คำแนะนำมากมาย ต้องขอบคุณทุก ๆ คนที่ทำให้ผมได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ

- ผมเรียนรู้และเติบโตมาพร้อมกับสังคมที่ Aware เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันผมก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นแล้วครับ หากใครติดตามกันเรื่อยมาก็จะรู้ว่า ผมในปัจจุบัน อายุ 32 แล้ว เติบโตขึ้นมากแล้วครับ ทั้งคำพูด ทั้งวุฒิภาวะ ไม่เหมือนเมื่อ 7 ปีที่แล้วครับ

- แล้วทำไมไม่ลบคลิป: เพราะมันคืออดีต ในช่วงเวลานั้น คำพูด และมุกที่ผมใช้ มันไม่เหมาะสมจริง ๆ อดีตเป็นสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันกับอนาคตให้ดีขึ้นได้ ผมอยากยืนยันแนวคิดเรื่องนั้นครับ

- ขอโทษทุกท่านที่ทำให้ไม่พอใจกับอดีตของผมนะครับ ผมน้อมรับผิดและได้แก้ไขการกระทำนั้นเรื่อย ๆ มานะครับ

สำหรับเพจหรือบุคคลที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง หมิ่นประมาท หรือคอมเมนต์เกินเลย ผมจะดำเนินการตามกฎหมายนะครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top