Monday, 12 May 2025
Hard News Team

'พิชัย' เปิดงาน GCNT Forum 2567 ประกาศความสำเร็จ FTA ไทย-เอฟตา ดันเศรษฐกิจ เชื่อมั่น ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ PCB และ AI โลก หนุนสร้าง SME รุ่นใหม่ ส่งออกสินค้าทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจาก นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในงาน UN Global Compact Network Thailand Forum (GCNT Forum) 2567 และกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Inclusive Business – A Catalyst for Change to an Equitable Society : ธุรกิจแบบมีส่วนร่วม – เร่งสร้างสังคมไทยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งภายในงานมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย นางสาวมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ ผู้ประสานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (Ms. Michaela Friberg-Storey, UN Resident Coordinator, Thailand) และสมาชิกจาก UN Global Compact Network Thailand ร่วมด้วยที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ESCAP Hall ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ โดยนายพิชัยได้ถือโอกาสนี้ประกาศความสำเร็จของการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมเน้นย้ำถึงทิศทางของการค้าและการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย อาทิ PCB Data Center และการสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยให้มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น 

นายพิชัย กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนมาเปิดงาน UN Global Compact Network Thailand Forum  (GCNT Forum) 2567 ในวันนี้ ซึ่งเป็นเครือข่ายของภาคธุรกิจที่ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน วันนี้จีดีพีของประเทศเริ่มดีขึ้น เมื่อไตรมาสที่แล้วจีดีพีไทยโต 3% และการส่งออกของไทยตัวเลขล่าสุด (ต.ค.67) ขยายตัว 14.6% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี แต่จะทำอย่างไรให้ดีขึ้นอีก ให้เกิดการค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น เรื่องหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์ทำสำเร็จแล้วคือการเจรจา FTA ไทยกับเอฟตา หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ที่ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งกำลังจะลงนามกันที่ดาวอส โดยมีผู้นำหลายประเทศเข้าร่วม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาเขตการค้าเสรีฉบับต่อไป ขณะนี้มีหลายประเทศที่มาเร่งเรื่องการเจรจา FTA ทั้งกับ EU และ UAE และทางภาคเอกชน อย่างหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของรัฐบาลไทยและกระทรวงพาณิชย์ ในการเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ที่จะช่วยเปิดโอกาส ทางการค้า ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้

“FTA มีความสำคัญมากเพราะจะทำให้มีการลงทุนเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนนักลงทุนจาก USABC (สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน) ก็สอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจา FTA ฉบับต่างๆ ของไทย วันนี้ ต้องเรียนว่า รัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์จะพยายามเจรจาให้สำเร็จให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นศักยภาพทางการแข่งขันของไทยจะสู้กับเวียดนามได้ยาก เพราะเวียดนามมี FTA ครอบคลุมแล้วถึง 56 ประเทศ ในขณะที่ไทยเพิ่งมี 19 ประเทศ เราต้องเร่งเจรจาเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นต้นทุนการผลิตสินค้าของเราจะสู้เวียดนามไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนเวียดนามถูกกว่าของเราอยู่แล้ว 10% แต่ถ้าเราไม่มีเขตการค้าเสรีจะต้องเสียภาษีเพิ่มอีก 20% ทำให้ต้นทุนต่างกันถึง 40% ทำให้เราต้องเร่งเจรจา FTA เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเดินหน้าเจรจา FTA จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ” รมว. พาณิชย์กล่าว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยกำลังไปได้ดี มีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ อาทิ PCB (แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์) ที่หลายประเทศบอกว่าในอนาคตไทยจะเป็นศูนย์กลาง PCB ของโลก และเราจะเป็นศูนย์กลางของ Data Center และ AI ซึ่งเป็นทิศทางของโลก ที่เราต้องเร่งส่งเสริมในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ก็พยายามส่งเสริมให้มีเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น เมื่อวันก่อนตนไปที่เชียงใหม่ได้พบกับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เข้าไปให้การสนับสนุน พาไปออกบูธในต่างประเทศ พาไปขายของ และสำหรับบริษัทหรือแบรนด์ที่มีศักยภาพ ทางกระทรวงพาณิชย์มีแนวคิดที่จะสร้าง Thailand Brand เพื่อการันตีคุณภาพ ให้ผู้ประกอบการสามารถขายสินค้าและพัฒนาต่อยอดได้ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่าเป็นสินค้าชั้นเยี่ยม

“กระทรวงพาณิชย์ พยายามส่งเสริมให้มีเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น เน้นการขับเคลื่อนทุกภาคธุรกิจแบบมีส่วนร่วม ตามแนวทางของรัฐบาลในการส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าสู่ความยั่งยืน ผ่านนโยบายสำคัญ อาทิ 1.สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเพิ่มช่องทางการค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น 2.การบริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกรและผู้ประกอบการ สามารถเติบโตไปพร้อมกัน สร้างผลประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย 3.การขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และ 4.ส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าถึงตลาดสินค้าสิ่งแวดล้อม ตอบสนองความต้องการของตลาดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งขณะนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราต้องเร่งพัฒนาให้ทันต่อต่อตลาด ใช้จุดแข็งต่างๆ ชูซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้สามารถขายสินค้าให้มากขึ้นได้ วันนี้โลกเปลี่ยนแล้วต้องกลับมาคิดใหม่ทำใหม่ คิดเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” นายพิชัยกล่าว

“นวัตกรรมโดรนโจมตีทิ้งระเบิด” หน่วยเฉพาะกิจราชมนู รางวัลชนะเลิศ เทคโนโลยีเพื่อการป้องกันชายแดน ระดับกองทัพบก

(3 ธ.ค. 67) หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร มีภารกิจหลัก ในการป้องกันชายแดน โดยการสกัดกั้น ยับยั้ง โต้ตอบ และผลักดันการละเมิดอธิปไตยของกองกำลังต่างชาติ ในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งได้รับมอบจาก ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก โดย ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งปัจจุบันรูปแบบการรบได้มีการพัฒนาและ นำอากาศยานไร้คนขับมาใช้ในการปฏิบัติการมากขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนเทคนิค และวิธีการรบ ในรูปแบบใหม่ 

การโจมตีด้วยโดรนถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ และก่อให้เกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก ซึ่งฝ่ายเรา จะต้องมีการเรียนรู้ และพัฒนาขีดความสามารถในการใช้งาน ทั้งนี้ หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ได้ริเริ่มประดิษฐ์นวัตกรรม โดยการนำโดรนทางการเกษตร มาดัดแปลงเป็นโดรนโจมตีทิ้งระเบิด เพื่อใช้ในการ ปฏิบัติทางยุทธวิธี เข้าโจมตีทำลายข้าศึก

1. คุณลักษณะทั่วไป
   1.1 เป็นโดรน 4 ใบพัด ขนาด 36 นิ้ว ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์บัสเลส ตัวลำเป็นไฟเบอร์คาร์บอน มีความแข็งแรงทนทานและน้ำหนักเบา - ควบคุมด้วย ไฟลท์คอนโทรล Pixhawk V6X พร้อม GPS ระบุตำแหน่งที่แม่นยำ 
   1.2 ติดตั้งกล้องตรวจการณ์แบบ FULL HD พร้อมไฟ LED 
   1.3 ใช้แบตเตอรี่ขนาด 30,000 มิลลิแอมป์ จำนวน 2 ก้อน 
   1.4 ด้านล่างติดตั้งเซอโว จำนวน 4 ตัว ควบคุมแยกกันอย่างอิสระ เพื่อใช้ในการทิ้งระเบิด 
   1.5 ติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมสัญญาณ เทเลมิสทรี เรดิโอ เชื่อมต่อสัญญาณกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ควบคุมการบิน ในระยะปฏิบัติการ 5 กิโลเมตร และบรรทุกน้ำหนักได้ 20 กิโลกรัม 
2. การควบคุม สามารถทำได้ 2 ระบบ ได้แก่ 
   2.1 การควบคุมด้วยรีโมทคอลโทรล ร่วมกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน เพื่อควบคุมการบินผ่านหน้าจอและดูภาพจากกล้อง ปรับโหมดการบินได้ 3 โหมด คือ โหมดควบคุมด้วยตัวเอง, โหมดการบินด้วย GPS และ โหมดการบินแบบอัตโนมัติ มีระบบการบินกลับอัตโนมัติเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด หรือสัญญาณรีโมทขาดหาย โดยเฉพาะกรณีถูกเครื่องมือตัดสัญญาณจากฝ่ายตรงข้าม โดรนจะบินกลับเองแบบอัตโนมัติ 
   2.2 การควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรม Mission Planner โดยการติดตั้งอุปกรณ์ รับ-ส่ง ข้อมูล เทเลมิสทรี เรดิโอ ความถี่ 433 MHz กำลังส่ง 500 mW เพื่อเชื่อมต่อโดรนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการกำหนดแผนการบินด้วยพิกัดทางทหาร (MGRS) และทำการทิ้งระเบิดได้อย่างแม่นยำ จากการทดสอบ ที่ระยะความสูง 1,000 เมตร มีความคลาดเคลื่อน ระยะ 5 เมตร ข้อดีของการควบคุมแบบนี้ จะสามารถป้องกันการโจมตีจากอุปกรณ์ต่อต้านโดรนได้ 
3. การประยุกต์ใช้ ติดตั้งระเบิดได้พร้อมกันสูงสุด 4 ลูก ทิ้งระเบิดแบบอิสระ โดยใช้ระเบิดแสวงเครื่อง หรือระเบิดจริงจากเครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด 60 มิลลิเมตร และ 81 มิลลิเมตร ใช้งานควบคู่กับโดรนตรวจการณ์ เพื่อตรวจสอบพิกัดเป้าหมาย นำมาระบุตำแหน่งทิ้งระเบิดแล้วเข้าปฏิบัติการทำลายเป้าหมายแบบอัตโนมัติ 

จากผลงานนวัตกรรมดังกล่าวของหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากการประกวดผลงานสิ่งประดิษฐ์ทางทหารด้านยุทโธปกรณ์ ของกองทัพบก ประจำปีงบประมาณ 2567 ในการนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลดังกล่าว โดยมี ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร เป็นผู้รับมอบรางวัล เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่หน่วยสืบไป 

ทั้งนี้ จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทราบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจได้ว่า กองทัพบก โดย กองทัพภาคที่ 3 จะมุ่งมั่น ตั้งใจพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อป้องกันชายแดน และรักษาอธิปไตยของชาติ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและยั่งยืนสืบไป 

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าว

กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยเหลือแจกสิ่งของยังชีพผู้ประสบอุทกภัยน้ำท้วม

(2 ธ.ค. 67) เวลา 16.30 นาฬิกา ณ เทศบาลจังหวัดปัตตานี พลเอก สวัสดิ์  ทัศนา ประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา  พร้อมด้วยกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการกิจการทหารด้านความมั่นคงแบบองค์รวม ได้เดินทางเพื่อร่วมเยี่ยมเยียนให้กำลังใจในการปฏิบัติภารกิจในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนของเจ้าหน้าที่ในจังหวัดปัตตานีในห้วงวิกฤติอุทกภัยในพื้นที่

ในการนี้ คณะกรรมาธิการได้มอบชุดยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์อุทกภัย โดยมีนางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีได้ให้การต้อนรับและนำคณะกรรมาธิการลงพื้นที่แจกสิ่งของยังชีพในชุมชนเทศบาลนครปัตตานีที่ได้รับความเดือดร้อนดังกล่าวประมาณ  60 ครัวเรือนเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตอุทกภัยในครั้งนี้ด้วยกัน

CEO ยูนิโคล่หลุดยอมรับ "ไม่ใช้ฝ้ายซินเจียง" ชาวเน็ตแผ่นดินใหญ่เดือดแห่ไม่ซื้อสินค้า

(3 ธ.ค. 67) ผ้าฝ้ายซินเจียง ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผ้าที่ดีที่สุดของโลก กลับกลายเป็นประเด็นอ่อนไหวที่สร้างแรงกดดันให้กับแบรนด์แฟชั่นระดับโลก โดยเฉพาะจากตะวันตก หลังจากมีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลจีนใช้แรงงานบังคับชาวอุยกูร์ในการผลิตผ้า  

ล่าสุด ยูนิโคล่ (Uniqlo) แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นรายใหญ่ของโลกจากญี่ปุ่น กำลังเผชิญกระแสความไม่พอใจจากลูกค้าชาวจีน หลังจาก ทาดาชิ ยาไน (Tadashi Yanai) ซีอีโอของ Fast Retailing บริษัทแม่ของยูนิโคล่ ให้สัมภาษณ์กับ BBC โดยระบุว่าบริษัทไม่ได้ใช้ผ้าฝ้ายซินเจียง แต่กลับหลีกเลี่ยงที่จะยืนยันหรือปฏิเสธชัดเจนว่าผ้าฝ้ายซินเจียงถูกใช้ในผลิตภัณฑ์ของยูนิโคล่หรือไม่ พร้อมทั้งย้ำว่าต้องการรักษาจุดยืนเป็นกลางระหว่างจีนและสหรัฐฯ  

คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวกลายเป็นไวรัลบน Weibo โซเชียลมีเดียยอดนิยมในจีน ทำให้ผู้ใช้งานจำนวนมากออกมาประณาม พร้อมประกาศว่าจะไม่สนับสนุนสินค้าของยูนิโคล่  

แม้ยูนิโคล่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดยุโรปและสหรัฐฯ แต่ซีอีโอก็ยอมรับว่า “ยูนิโคล่ไม่ใช่แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก” โดยเอเชียยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะจีน ซึ่งถือเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ Fast Retailing รวมกับไต้หวันและฮ่องกง มีสัดส่วนรายได้ถึง 20% ปัจจุบันยูนิโคล่มีสาขาในจีนแผ่นดินใหญ่ประมาณ 900-1,000 แห่ง และซีอีโอเชื่อว่าจีนยังมีศักยภาพในการขยายสาขาได้ถึง 3,000 แห่ง นอกจากนี้ จีนยังเป็นศูนย์กลางการผลิตสำคัญของบริษัทอีกด้วย

ประเด็นนี้กลายเป็นข้อพิพาทระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2022 หลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการแบนการใช้ผ้าฝ้ายซินเจียงเนื่องจากข้อสงสัยเรื่องการใช้แรงงานบังคับ ส่งผลให้แบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ เช่น H&M หยุดใช้ผ้าฝ้ายซินเจียง จนถูกผู้บริโภคชาวจีนแบน ร้านค้าในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่ถูกถอด และบางสาขาถูกสั่งปิดไม่มีกำหนด  

ในขณะเดียวกัน ยูนิโคล่ยังต้องเผชิญการแข่งขันสูงในตลาดฟาสต์แฟชั่นจากแบรนด์จีนอย่าง Shein และ Temu ที่เน้นการขายสินค้าราคาถูก ซึ่งส่งผลให้ความท้าทายของยูนิโคล่ในตลาดจีนยิ่งเพิ่มขึ้น

‘เจ้าของแบรนด์ดัง’ แจงดรามา นินทาลูกสาวคนอื่นโตมาแรดแน่ ๆ รับเป็นพฤติกรรมในอดีต พร้อมขู่ฟ้องคนบิดเบือน - คอมเมนต์เกินเลย

เจ้าของแบรนด์ดัง ได้ออกมาชี้แจงแล้ว หลังเพจดัง เปิดปม เคยทำคลิป ไปสะกิดลูกคนอื่น แล้วนินทาว่า โตมาแรดแน่ ๆ ชัดเจนทุกประเด็น

จากกรณีเพจดัง อีซ้อขยี้แหลก ได้ออกมาโพสต์ข้อความ เปิดเรื่อง เจ้าของแบรนด์ดัง เคยทำคลิป ไปสะกิดลูกคนอื่น และไปนินทาลูกสาวเขาว่า โตมาแรดแน่ ๆ จนเป็นกระแสดรามาในโลกออนไลน์อยู่ในตอนนี้ ล่าสุดเจ้าตัว ได้ออกมาเคลื่อนไหว ผ่านเฟซบุ๊ก Atthakorn Kan Rattanarom เจ้าของ BEARHOUSE ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า 

ผมคือผู้ที่อยู่ในคลิป จึงอยากจะออกมาชี้แจงประเด็นครับ

- คลิปดังกล่าวโพสต์วันที่ 30 Nov 2017 (7 ปีที่แล้ว) ไม่ใช่เมื่อปีก่อน

- ในอดีตผมเป็น Youtuber และผมก็เล่นมุกเหี้ย ๆ แบบนั้นจริง ๆ ครับ ในสมัยนั้นไม่ได้มีการ Aware เรื่องการบูลลี่มากนัก แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้ Aware เช่นกัน ตอนนี้กลับไปดูคลิปตัวเองก็ไม่ได้ชอบตัวเองสมัยนั้นเหมือนกัน

- ตลอดการเดินทาง ได้มีทั้งผู้ติดตาม และผู้ใหญ่ให้คำแนะนำมากมาย ต้องขอบคุณทุก ๆ คนที่ทำให้ผมได้พัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ

- ผมเรียนรู้และเติบโตมาพร้อมกับสังคมที่ Aware เรื่องนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันผมก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นแล้วครับ หากใครติดตามกันเรื่อยมาก็จะรู้ว่า ผมในปัจจุบัน อายุ 32 แล้ว เติบโตขึ้นมากแล้วครับ ทั้งคำพูด ทั้งวุฒิภาวะ ไม่เหมือนเมื่อ 7 ปีที่แล้วครับ

- แล้วทำไมไม่ลบคลิป: เพราะมันคืออดีต ในช่วงเวลานั้น คำพูด และมุกที่ผมใช้ มันไม่เหมาะสมจริง ๆ อดีตเป็นสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันกับอนาคตให้ดีขึ้นได้ ผมอยากยืนยันแนวคิดเรื่องนั้นครับ

- ขอโทษทุกท่านที่ทำให้ไม่พอใจกับอดีตของผมนะครับ ผมน้อมรับผิดและได้แก้ไขการกระทำนั้นเรื่อย ๆ มานะครับ

สำหรับเพจหรือบุคคลที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง หมิ่นประมาท หรือคอมเมนต์เกินเลย ผมจะดำเนินการตามกฎหมายนะครับ

เซเลนสกี ส่งสัญญาณยอมรัสเซีย ยึดดินแดนบางส่วนแลกจบสงคราม

(3 ธ.ค. 67) โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน แสดงความประสงค์ที่จะยุติสงครามกับรัสเซียในเร็ววัน พร้อมระบุว่ายูเครนอาจสามารถฟื้นกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดครองได้ผ่านการเจรจาทางการทูต หากได้รับการยืนยันสถานะสมาชิกในองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต)

ถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงจุดยืนของเซเลนสกี ซึ่งก่อนหน้านี้ยืนกรานว่าสงครามจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อรัสเซียคืนดินแดนทั้งหมดที่ยึดครองจากยูเครน  

ในการให้สัมภาษณ์กับ **สกายนิวส์** ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน เซเลนสกีระบุว่าความขัดแย้งสามารถยุติได้ หากนาโตให้คำมั่นในการค้ำประกันความมั่นคงของยูเครนในดินแดนที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลยูเครนในปัจจุบัน  

เซเลนสกีย้ำว่าข้อตกลงหยุดยิงใดๆ จะต้องมีการรับประกันว่ารัสเซียจะไม่กลับมายึดครองดินแดนยูเครนเพิ่มเติม หลังจากที่รัสเซียได้ครอบครองดินแดนยูเครนไปแล้วราว 20% โดยเฉพาะการผนวก คาบสมุทรไครเมีย ในปี 2014 รวมถึง แคว้นโดเนตสก์ ลูฮันสก์ เคอร์ซอน และ ซาปอริซเซีย ในปี 2022  

ถ้อยแถลงของเซเลนสกีสะท้อนถึงความพยายามในการหาทางออกทางการทูตท่ามกลางความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ขณะที่นาโตยังคงมีบทบาทสำคัญในสมรภูมิทางการเมืองระหว่างยูเครนและรัสเซีย

3 ธันวาคม ของทุกปี วันคนพิการสากล (International day of persons with disability) สร้างโอกาสในการเข้าถึงสิทธิอย่างเท่าเทียม

วันที่ 3 ธันวาคม ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น ‘วันคนพิการสากล’ (International day of persons with disability) เป็นวันสำคัญระหว่างประเทศที่สหประชาชาติส่งเสริมตั้งแต่ปี 2525 เพื่อส่งเสริมความเข้าใจปัญหาความพิการและการระดมการสนับสนุนสำหรับศักดิ์ศรี สิทธิและความเป็นอยู่ดีของผู้พิการ นอกจากนี้ ยังมุ่งเพิ่มความตระหนักถึงประโยชน์ที่จะได้จากการรวมผู้พิการเข้ากับทุกแง่มุมของชีวิตการเมือง สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม แต่ละปีจะเน้นปัญหาต่างกัน รวมถึงสร้างโอกาสในการเข้าถึงทุกพื้นที่อย่างเท่าเทียม

นับตั้งแต่องค์การสหประชาชาติ ประกาศให้ปี พุทธศักราช 2526 – 2535 เป็นทศวรรษคนพิการแห่งสหประชาชาติ หรือ UNITED NATION DECADE OF DISABLED PERSONS,1983-1992. ยังผลให้ประเทศต่างๆ รวมไปถึงองค์การต่างๆในทุกภูมิภาคทั่วโลก ได้ตื่นตัวในการส่งเสริมฟื้นฟูสมรรภาพคนพิการอย่างกว้างขวาง มีการติดต่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างประเทศองค์การสมาชิกอย่างเป็นรูปธรรม การเสนอแนะประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ให้ใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์สูงสุด การป้องกันความพิการ การสนองความต้องการของคนพิการ การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ ในทุกรูปแบบต่อประเทศกำลังพัฒนา ตลอดจนรณรงค์เรื่องสิทธิ และความเท่าเทียมกันในสังคมเพื่อคนพิการ รวมไปถึงมรการจัดกิจกรรมคนพิการ เพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนา ทักษะการช่วยตัวเอง การเพิ่มพูนสมรรถภาพทางกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมของคนพิการ และเสริมสร้างความเข้าใจอันดีร่วมกัน ระหว่างคนพิการและคนปกติ

‘ซอ ลิน อู’ นักมวยดังศึก ONE ขับรถตกเขา บาดเจ็บหนัก ชวดขึ้นชกกับ ‘เสกสรร’ แน่นอนแล้ว

(2 ธ.ค. 67) ‘ซอ ลิน อู’ นักมวยคนดัง ONE ชาวเมียนมา ประสบอุบัติเหตุขับรถตกเขา บาดเจ็บหนัก ต้องยกเลิกไฟต์ ONE 170 ที่จะชกปีหน้า

ซอ ลิน อู นักมวยคนดัง ONE Championship Thailand ประสบอุบัติเหตุขับรถตกเขา ได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ทำให้ไฟต์ระหว่าง ซอ ลิน อู กำปั้นชาวเมียนมา ที่จะเจอกับ เสกสรร อ.ขวัญเมือง ในวันที่ 24 มกราคม 2568 ศึก ONE 170 ที่อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี กติกามวยไทย 142 ปอนด์ เป็นอันต้องยกเลิกไป  เพราะกำปั้นคนดังชาวเมียนมาบาดเจ็บค่อนข้างหนัก หายไม่ทัน

สำหรับ ซอ ลิน อู หรือฉายา "Man of Steel" ถูกยกให้เป็นกำปั้นจอมแกร่ง สุดอึด สวมหัวใจนักสู้อันสุดทรหด ประกอบกับสไตล์การชกอันดุดัน ลุยแหลก ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซึ่งผลงานการชกในศึก ONE ลุมพินี ก่อนหน้านี้ ชนะรวด ส่งผลให้ฟอร์มไปเข้าตา จนคว้าสัญญานักกีฬา ONE เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567ที่ผ่านมา

ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 30 พ.ย.67 ซอ ลิน อู ได้ประสบอุบัติเหตุ ขับรถตกเข้า พร้อมโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Soe Lin Oo – Doe Yoe Yar กับภาพรถยนต์ที่พังเสียหาย สาเหตุจากเบรกไม่ทัน พร้อมกับภาพการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล หลังจากได้รับบาดเจ็บหนัก

บุกซื้อกิจการ-ลงทุน เวียดนามต่อเนื่อง 10 เดือนแรกปีนี้ ทุ่มแล้วกว่า 4,800 ล้านบาท

(2 ธ.ค. 67) สำนักข่าวบีบีซีภาคภาษาเวียดนาม รายงานว่าบรรดานักวิเคราะห์บางส่วนกำลังติดตามความเคลื่อนไหวของบรรดามหาเศรษฐีนักลงทุนจากไทยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพบว่าตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบริษัทกลุ่มทุนใหญ่จากไทยหลายรายแห่เข้าไปลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

บีบีซีระบุว่า ช่วงเดือนกันยายน 2024 รัฐบาลเวียดนามและไทยประกาศแผนปฏิบัติการภายใต้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง เพื่อผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีให้ถึง 25,000 ล้านดอลลาร์  ข้อมูลจากกระทรวงแผนและการลงทุนเวียดนามเผยว่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 มีนักลงทุนไทยลงทุนในเวียดนามกว่า 141.42 ล้านดอลลาร์ (ราว 4,800 ล้านบาท) ทำให้ไทยอยู่อันดับที่ 15 จาก 106 ประเทศที่นิยมลงทุนในเวียดนาม  

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา บริษัท WHA ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเวียดนามให้ลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดทัญฮว้า ด้วยเงินทุน 55 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน บริษัททานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ลงนามสัญญาเช่าโรงงานในเตยนินห์เป็นเวลา 30 ปี  

ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เวียดนามรับเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากกลุ่มทุนไทยที่มักใช้กลยุทธ์เข้าซื้อกิจการในเวียดนามเพื่อทำกำไรอย่างต่อเนื่อง เช่น ช่น บริษัท SCBX เข้าซื้อ Home Credit Vietnam ในราคา 860 ล้านดอลลาร์ และ SCG ลงทุนในโครงการปิโตรเคมี Long Son มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์  ทั้งยังถือหุ้นอีก 55% ในบริษัท Binh Minh Plastic หนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกพลาสติกรายใหญ่ของเวียดนาม

ขณะที่ภาคธุรกิจอาหารและค้าปลีก ในปี 2015 กลุ่ม  Central Group ขยายการลงทุนในเวียดนามกว่า 1.45 พันล้านดอลลาร์ และดำเนินธุรกิจค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าและห้างค้าปลีก 41 แห่งทั่วเวียดนาม เช่น Big C และ อีคอมเมิร์ซ Nguyễn Kim และในปีเดียวกันนี้กลุ่มเซ็นทรัลยังประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการบิ๊กซีเวียดนามจากกลุ่มคาสิโน (ฝรั่งเศส) ด้วยมูลค่าข้อตกลงมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปี 2017 กลุ่มไทยเบฟเวอเรจของมหาเศรษฐีเจริญ สิริวัฒนภักดีใช้เงินเกือบ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อบริษัท Saigon Beer Alcohol Beverage Corporation (Sabeco) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 54% เช่นเดียวกับบริษัทในเครือสองแห่งของ Fraser & Neave Ltd. (F&N) ในเครือของเจ้าสัวเจริญ  ปัจจุบันถือหุ้นมากกว่า 20% ใน Vinamilk ผู้ผลิตนมสัญชาติเวียดนาม 

เช่นเดียวกับกลุ่ม TCC Group ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยที่ดำเนินงานในภาคการค้าปลีก ในปี 2016 ได้ทุ่มเงิน 655 ล้านยูโรเพื่อซื้อกิจการค้าส่ง Metro Cash & Carry Vietnam ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น MM Mega Market ขณะที่บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส แห่งประเทศไทย ถือหุ้นประมาณ 98% ใน Ngoc Nghia Plastic

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า การเข้าซื้อกิจการของกลุ่มบริษัทไทยในภาคการผลิตและการค้าส่งของเวียดนาม อาจทำให้บริษัทเวียดนามเสียเปรียบในตลาด อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่านี่เป็นแนวโน้มปกติของโลกธุรกิจที่บริษัทเวียดนามต้องพัฒนาตัวเองเพื่อแข่งขันต่อไป  อีกทั้งมีความเห็นในแนวโน้มที่ว่า การเข้ามาของทุนใหญ่ไทยเป็นสถานการณ์ทางธุรกิจแบบ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตามโลกทุนยิม ซึ่งบริษัทท้องถิ่นในเวียดนามมีทางเลือกไม่มากนอกจากต้องหาทางดิ้นรนด้วยตนเองในแบบเท่าที่จะทำได้

‘นายกฯอิ๊งค์’ โพสต์เหน็บ คนคิดเชิงลบ - ขาดความมั่นใจ หวังกดคนอื่นเพื่อยกตัวเองให้สูง ปมดรามา “สามีคนใต้”

นายกฯ โพสต์อินสตาแกรมหลังเกิดดรามา “สามีคนใต้” ชี้ “คนคิดเชิงลบ ไม่มั่นใจ มักกดคนอื่นต่ำลง ยกตัวสูงขึ้น”

วันนี้ (2 ธ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ในอินสตาแกรมส่วนตัว บัญชีผู้ใช้ Ingshin21 เมื่อเวลาประมาณ 08.30 น. หลังเจอกระแสดรามาทั้งในโซเชียลและฝ่ายตรงข้าม กล่าวหาว่าละเลยภาคใต้ หลังเกิดสถานการณ์น้ำท่วมหนัก แต่ไม่ลงไปดูแลคนในพื้นที่ และเมื่อวานนี้ นายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า “คำว่าละเลยภาคใต้ สามีเป็นคนใต้ ครอบครัวสามีเป็นคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ ไม่รักคนใต้ แต่งงานคนใต้ไม่ได้” จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรี

โดยวันนี้ นายกฯ ได้โพสต์ข้อความในสตอรี่อินสตาแกรมส่วนตัว ระบุข้อความภาษาอังกฤษว่า “Your negativity is a reflection of your own reality.” 100% ซึ่งเมื่อแปลเป็นภาษาไทย ว่า “ความคิดเชิงลบของคุณ สะท้อนถึงความเป็นจริงของตัวคุณเอง”

นอกจากนั้น ยังมีการแชร์อีก 1 ข้อความภาษาอังกฤษว่า “INSECURE PEOPLE PUT OTHERS DOWN TO RAISE THEMSELVES UP.” ซึ่งแปลความหมายคือ “คนที่ไม่มีความมั่นใจ กดคนอื่นให้ต่ำลง เพื่อยกตนเองให้สูงขึ้น”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top