Wednesday, 14 May 2025
Hard News Team

'พิชัย' เผย 'นายกฯ' กำชับแต่แรก ให้ดูแลสินค้าอุปโภคบริโภคภาคใต้ ห้ามขาด ห้ามแพง! เร่งจัดส่งถุงยังชีพให้ ปชช. สั่งพาณิชย์จังหวัดลุยฟื้นฟูหลังน้ำลด 

(4 ธ.ค.67) ที่สำนักงานชั่งตวงวัด กระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลัง นำกระทรวงพาณิชย์ปล่อย 'คาราวานถุงยังชีพช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้' ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทุกหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ทันที และเตรียมมาตรการดูแลหลังน้ำลด ขณะนี้มีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยหนัก รวมทั้งสิ้น 6 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี  ยะลา นราธิวาส และจังหวัดอื่นๆในภาคใต้

นายพิชัย กล่าวว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่ตอนที่อยู่เชียงใหม่ ตอนที่ทราบว่าน้ำท่วมภาคใต้ให้ทุกคนเร่งช่วยกัน สำหรับกระทรวงพาณิชย์ได้มีการแพ็คถุงยังชีพเพื่อส่งไปที่ภาคใต้อย่างเร่งด่วน โดยถุงยังชีพในวันนี้จะถูกส่งไปถึงสงขลาประมาณเที่ยงคืนวันนี้ และจะกระจายไปในจังหวัดภาคใต้ในช่วงเที่ยงของอีกวันนึง ส่วนมาตรการอื่นคือ ของห้ามขาดห้ามแพง ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนเพื่อแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ 

ถ้าพบว่ามีการกักตุนสินค้าหรือพบว่าราคาแพงผิดปกติให้แจ้งมาที่สายด่วน 1569 กระทรวงพาณิชย์จะรีบเข้าไปแก้ไขให้อย่างเต็มที่และหลังจากนี้ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทั้งห้างค้าส่ง-ค้าปลีก สำหรับการเตรียมการในช่วงหลังน้ำลดให้มั่นใจว่าของไม่ขาด และหลังน้ำลดจะมีมาตรการฟื้นฟูจัดธงฟ้าขายสินค้าในราคาถูก โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในการทำความสะอาด ถ้าจังหวัดไหนเดือดร้อนเราจะเข้าไปดูแลอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ทางภาคเหนือประสบภัยน้ำท่วมหลังน้ำลดก็มีการจัดธงฟ้าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูก และสินค้าทำความสะอาดบ้านเรือนที่เสียหาย เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้กลับมาฟื้นได้ตามปกติ

“ท่านนายกได้สั่งการตั้งแต่ที่เชียงใหม่เชียงราย ทันทีที่เกิดเหตุให้ทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือและฟื้นฟูดูแลประชาชน โดยกระทรวงพาณิชย์มีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมกระทรวงพาณิชย์ และร่วมมือกับภาคเอกชนจัดส่งถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมและภายหลังน้ำลดก็มีการจัดโครงการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ขอความร่วมมือห้างท้องถิ่นลดราคาสินค้าและจัดธงฟ้าจัดจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ซ่อมแซมที่จำเป็นในราคาถูกลดภาระค่าครองชีพในยามวิกฤต”นายพิชัย กล่าว

มท. อิ่ม ยืนยัน กระทรวงมหาดไทยพร้อมจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม 22 ม.ค. นี้

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันความพร้อมของกระทรวงมหาดไทยในการเปิดให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมแก่ประชาชนทุกคู่สมรส โดยนายทะเบียนทั้ง 878 อำเภอทั่วประเทศ และ 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ได้รับการอบรมและซักซ้อมการให้บริการอย่างครบถ้วน พร้อมระบบรองรับที่จัดเตรียมไว้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร พร้อมในการอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม ตามกฎหมายฉบับใหม่ที่มีการบังคับใช้ ในวันที่ 22 มกราคม 2568 นี้ ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม โดยมีการประชาสัมพันธ์อย่างแพร่หลายเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล

นางสาวธีรรัตน์ระบุว่า การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทยในการส่งเสริมความเท่าเทียมและการยอมรับความหลากหลายทางเพศ ทั้งยังแสดงความยินดีกับคู่รักทุกคู่ ที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างเท่าเทียมกัน ผ่านการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายฉบับใหม่นี้

"นี่คือก้าวสำคัญในเรื่องความเท่าเทียมของสังคมไทย ที่เปิดรับทุกความหลากหลาย และขออวยพรให้คู่รักทุกคู่ ที่จะมาจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายฉบับใหม่นี้ ประสบความสุขและความสำเร็จในชีวิตคู่" นางสาวธีรรัตน์กล่าว

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเขต ทุกเขต และที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง ทั่วประเทศ

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เผยความสำเร็จโครงการ ‘ดีอี’ จับมือ ‘Google’ ปกป้องคนไทย ด้วยฟีเจอร์ความปลอดภัยใน Google Play Protect 

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยผลลัพธ์โครงการความร่วมมือกับ Google ในการปกป้องคนไทยจากกลโกงออนไลน์ที่หลอกให้ติดตั้งมัลแวร์ด้วยฟีเจอร์ป้องกันกลโกงใหม่ใน Google Play Protect ที่ได้นำร่องการใช้งานในประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายนปี 2567 ที่ผ่านมาว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้ความสำคัญกับการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับร้ายแรงอย่างทันท่วงที ดังนั้นกระทรวงดีอี จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ Google ในการเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับประชาชนชาวไทย ความร่วมมือครั้งนี้ได้เห็นผลลัพธ์ผ่านฟีเจอร์ Google Play Protect ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันในการตรวจจับและบล็อกแอปพลิเคชันที่อาจเป็นอันตรายก่อนที่จะติดตั้งลงในอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน เช่น แอปที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมโทรศัพท์ หรือแอปดูดเงิน จากความเชี่ยวชาญของ Google รวมถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสร้างความตระหนักรู้และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยี เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งให้กับประชาชน พร้อมพาคนไทยก้าวสู่สังคมดิจิทัลที่ทั้งปลอดภัย ยั่งยืน และรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นคง

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวซึ่งกระทรวงดีอีได้ร่วมกับ Google นั้นเริ่มดำเนินการร่องการใช้งานในประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา ฟีเจอร์ดังกล่าวได้ช่วยบล็อกความพยายามในการติดตั้งแอปที่มีความเสี่ยงไปแล้วกว่า 4.8 ล้านครั้งบนอุปกรณ์ Android กว่า 1 ล้านเครื่อง บล็อกแอปไปกว่า 41,000 รายการ ซึ่งรวมถึงแอปปลอมที่แอบอ้างเป็นแอปรับส่งข้อความ แอปเกม และแอปอีคอมเมิร์ซยอดนิยม 

ฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ใน Google Play Protect ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องผู้ใช้อุปกรณ์ Android จากกลลวงต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการบล็อกการติดตั้งแอปที่อาจมีความเสี่ยงซึ่งโหลดมาจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักบนอินเทอร์เน็ต (เช่น เว็บเบราว์เซอร์ แอปรับส่งข้อความ หรือโปรแกรมจัดการไฟล์) ที่อาจใช้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลละเอียดอ่อน ซึ่งมักจะถูกนำไปใช้ในกลโกงทางการเงิน

ขณะที่ Eugene Liderman, Director of Android Security Strategy, Google กล่าวว่า “แม้ว่าฟีเจอร์ป้องกันกลโกงใหม่ใน Google Play Protect จะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แต่เราก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เนื่องจากมิจฉาชีพมีการพัฒนารูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้จำเป็นต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภคในเชิงรุก ซึ่ง Google ก็มุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ Android ทุกคนได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีและปลอดภัย นอกจากนี้ การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่สำคัญ เช่น รัฐบาลไทยและนักพัฒนาแอป ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างระบบนิเวศของโทรศัพท์มือถือที่ปลอดภัยและทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้อย่างสมเหตุสมผล ซึ่งจะช่วยเสริมความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ให้กับทุกคน”

ด้าน แจ็คกี้ หวาง Country Director, Google ประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่าง Google กับรัฐบาลไทยในการปกป้องคนไทยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยกล่าวว่า “ดิฉันดีใจที่ได้เห็นความคืบหน้าของความร่วมมือระหว่าง Google และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในการต่อสู้กับกลลวงบนโลกออนไลน์ ท่ามกลางการระบาดของภัยการหลอกหลวงทางโทรศัพท์ในประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้คนไทยพร้อมรับมือกับกลโกงรูปแบบต่างๆ ซึ่ง Google มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนไทยทั่วประเทศ”

ความมุ่งมั่นในเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยมีคดีหลอกลวงและกลโกงทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าในปีที่ผ่านมาผู้คนจะตระหนักถึงกลโกงทางออนไลน์กันมากขึ้น แต่กลับพบว่า 7 ใน 10 ของผู้ใช้ออนไลน์ในประเทศไทยตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางออนไลน์ ทั้งๆ ที่มีความมั่นใจว่าตนเองนั้นสามารถมองกลโกงออกและหลีกเลี่ยงได้

สำหรับกลไกการทำงานของฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ใน Google Play Protect นั้น หากผู้ใช้พยายามติดตั้งแอปที่อาจมีความเสี่ยงจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักบนอินเทอร์เน็ต (เช่น เว็บเบราว์เซอร์ แอปรับส่งข้อความ หรือโปรแกรมจัดการไฟล์) ที่อาจใช้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลละเอียดอ่อน ซึ่งมักจะถูกนำไปใช้ในกลโกงทางการเงิน Google Play Protect จะบล็อกการติดตั้งโดยอัตโนมัติ โดยจะตรวจสอบสิทธิ์ของแอปแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะสิทธิ์ 4 รายการนี้ ซึ่งได้แก่ การรับ SMS (RECEIVE_SMS) การอ่าน SMS (READ_SMS) การฟังการแจ้งเตือน (BIND_Notifications) และการช่วยเหลือพิเศษ (Accessibility) มิจฉาชีพมักจะใช้สิทธิ์เหล่านี้เพื่อดักจับรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (One-time Password หรือ OTP) ที่ส่งมาทาง SMS หรือการแจ้งเตือน รวมทั้งแอบส่องเนื้อหาบนหน้าจอของผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้พยายามติดตั้งแอปที่อาจมีความเสี่ยงจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักบนอินเทอร์เน็ต และมีการขอใช้สิทธิ์เหล่านี้ Google Play Protect จะบล็อกการติดตั้งโดยอัตโนมัติ พร้อมแสดงคำอธิบายให้ผู้ใช้ทราบ

Google ยังคงยึดมั่นในพันธกิจ Leave No Thai Behind และเดินหน้าส่งเสริมศักยภาพของคนไทยด้วยการให้ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาสามารถท่องโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย นอกจากนี้ Google ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ส่งเสริมนวัตกรรมและความปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัว มีความปลอดภัยโดยค่าเริ่มต้น และให้ผู้ใช้ควบคุมประสบการณ์การใช้งานด้วยตนเอง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Google รักษาความปลอดภัยให้กับผู้คนในทุกวันได้ที่ https://safety.google 

รู้จัก 'กลุ่มชุงอัม' พรรคพวก 'ยุนซอกยอล' เพื่อนร่วมรุ่นมัธยม กุมอำนาจฝ่ายความมั่นคงเกาหลีใต้

(4 ธ.ค.67) การเมืองเกาหลีใต้ร้อนระอุ หลังประธานาธิบดียุนซอกยอล ประกาศกฎอัยการศึกช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่าพรรคฝ่ายค้านที่ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา มีพฤติการณ์ต่อต้านรัฐโดยได้รับการสนับสนุนจากเกาหลีเหนือ ส่งผลให้สมาชิกรัฐสภาเรียกประชุมฉุกเฉิน ทั้งสส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ลงมติเอกฉันท์โหวตคว่ำกฎอัยการศึก ส่งผลให้ต่อมาประธานาธิบดียุนซอกยอล ยอมยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกในที่สุด 

ในรายงานข่าวของสื่อเกาหลีใต้ระบุถึงแหล่งข่าวว่า การประกาศกฎอัยการศึกของยุนซอกยอลได้รับการวางแผนและการสนับสนุนจาก 'กลุ่มชุงอัม' (Chungam faction) ซึ่งเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมชุงอัมในกรุงโซล ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกันกับที่ยุนซอกยอลเรียนจบ

สมาชิกกลุ่มชุงอัม ถูกระบุว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของยุนซอกยอล โดยศิษย์เก่าโรงเรียนชุงอัมหลายคน ปัจจุบันมีบทบาทใกล้ชิดประธานาธิบดียุนซอกยอล ทั้งสิ้น หลายคนดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลยุน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรอง หรือหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย

คีย์แมนคนสำคัญในเหตุการณ์คืนวันที่ 3 ธ.ค. คือ คิมยองฮยอน รัฐมนตรีกลาโหม ผู้เป็นอดีตรุ่นพี่ของประธานาธิบดียุนซอกยอนในโรงเรียนมัธยมชุงอัม ได้หลีกเลี่ยงที่จะรับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ แต่กลับรับคำสั่งโดยตรงจากประธานาธิบดี โดยคิมยองฮยอน ได้สั่งให้กองพลรบพิเศษทางอากาศที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษ ที่ได้ฉายาว่า 'หน่วยอีเกิล' ภายใต้กองบัญชาการสงครามพิเศษของกองทัพบกเกาหลีบุกเข้าอาคารรัฐสภา

บุคคลสำคัญอีกรายคือ พลเอกปาร์กอันซู อดีตรุ่นน้องจากโรงเรียนมัธยมชุงอัน ซึ่งเมื่อเดือนตุลาคม ปี 66 ยุนซอกยอล ได้แต่งตั้งเขาให้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพบกเกาหลีใต้ ทั้งรับหน้าที่เป็นนายทหารผู้บังคับบัญชากฎอัยการศึกด้วย อย่างไรก็ตามมีรายงานอีกฝ่ายระบุว่า พลเอกปาร์กอันซู ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มชุงอันตามข่าว โดยว่าเขาจบจากโรงเรียนมัธยม Deokwon ในเมืองแดกู และเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยเกาหลีใต้รุ่นที่ 46 

นอกจากบรรดาสายทหารแล้ว ยุนซอกยอน ยังได้แต่ตั้งนาย อีซังมิน รุ่นน้องจากโรงเรียนมัธยิมชุงอัม อีกทั้งยังเป็นอดีตผู้พิพากษาให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในและความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลกองกำลังตำรวจโดยตรง ในคืนกฎอัยการศึกมีรายงานว่า นายอีซังมิน ได้สั่งการโดยตรงต่อตำรวจนครบาลกรุงโซลให้เขาควบคุมพื้นที่อาคารรัฐสภา โดยหลีกเลี่ยงที่จะสั่งการผ่านหน่วยงานตำรวจแห่งชาติเกาหลี

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พรรคฝ่ายค้านเคยออกมาเตือนเรื่องความเป็นไปได้ในการประกาศกฎอัยการศึกโดยกลุ่มชุงอัม แต่ทางสำนักประธานาธิบดีออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ในเกาหลีใต้ยังไม่มีความชัดเจน แต่นักวิเคราะห์การเมืองต่างเห็นพ้องกันว่าการประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดภายในรัฐบาลที่แตกขั้วอย่างชัดเจนเพราะในคณะรัฐมนตรีเกาหลีบางราย ไม่ทราบถึงการเตรียมประกาศกฎอัยการศึกมาก่อน จึงมองได้ว่าความวุ่นวายเมื่อคืนวันที่ 3 ธ.ค. เป็นความพยายามรักษาอำนาจของ 'กลุ่มชุงอัม' ของประธานาธิบดียุนซอกยอลอย่างชัดเจน

ส่องหนทาง ‘ยิ่งลักษณ์’ กลับบ้าน ผสมผสาน ‘ทักษิณ - บุญทรง’ โมเดล..!?

25 ส.ค. 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสิน คดีรับจำนำข้าว...บุญทรง เตริยาภิรมย์  อดีตรมว.พาณิชย์และพวกเดินเข้าคุกด้วยโทษที่สูงเต็มพิกัด  ส่วน ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ อดีตนายกฯใช้ช่องทางธรรมชาติหลบหนีออกนอกประเทศ ศาลออกหมายจับและอ่านคำพิพากษาย้อนหลังในวันที่ 27 ก.ย.2560..ลงโทษจำคุก 5 ปี

เมื่อ (2 ธ.ค. 67) ที่ผ่านมา บุญทรงที่มีโทษจำคุก 48 ปี แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษต่างกรรมต่างวาระ 4 ครั้ง เหลือรับโทษจริง 10 ปี 8 เดือน นับแต่ 25 ส.ค. 2560 ถึง 2 ธ.ค. 2567 ติดคุกมาแล้ว 7 ปี 3 เดือน 10 วัน  เหลือโทษ 3 ปี 4 เดือน 20 วัน กำหนดพ้นโทษวันที่ 21 เม.ย. 2571 เข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ...

2 ธ.ค. ที่ผ่านมา บุญทรงได้รับอิสรภาพภายใต้ติดกำไล EM ไปคุมประพฤติอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นที่เรียบร้อย  เช่นเดียวกับ ภูมิ สาระผล  อดีตรมช.พาณิชย์  ที่มีโทษจำคุก 36 ปี ได้รับการพักโทษไปแล้วเมื่อเดือน ก.ย. 2567 จะพ้นโทษจริง 25 ส.ค. 2568

ตอนนี้สปอตไลท์ฉายจับไปที่ ‘อาปู’ ของนายกรัฐมนตรี  น้องสาวสุดเลิฟของ ‘ทักษิณ  ชินวัตร’  จะมารับโทษ..พักโทษกับเขาเมื่อไหร่..

แทบทุกวงการเชื่อตามทักษิณว่า...อดีตนายกฯปู  ยิ่งลักษณ์น่าจะได้กลับมาก่อนหรือหลังสงกรานต์ 2568 เล็กน้อย...ถามว่าจะกลับเข้ามาด้วยวิธีการไหน.. ‘ทักษิณโมเดล’ ที่ไม่ติดคุกจริงๆ แม้แต่วันเดียวจนคนด่ากันทั้งเมืองอย่างนั้นหรือ...คำตอบคือ...ไม่ใช่แต่อาจใกล้เคียง...ยังไงๆ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม...

ส่องกล้องมองทางยาวดูแล้ว ความเป็นไปได้กรณียิ่งลักษณ์มี 2-3 หนทางที่กุนซือทีมงานกำลังตกผลึกออกแบบกันอยู่...

1)เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกลับมารับโทษ  แต่ใช้พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560, กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563และกฎกติกาต่างๆ โดยเฉพาะระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566  เอื้ออำนวยการคุมขังนอกเรือนจำ...ที่แม้อาจไม่เหมือนห้องสูทชั้น 14 รพ.ตำรวจ เป็นนักโทษนางฟ้าไม่ได้..แต่ก็ถือว่าอยู่ในที่ที่ชิล ๆ ...สบาย ๆ

เมื่อเข้าสู่กระบวนการรับโทษ..ก็ถวายฎีกาของพระราชทานอภัยโทษแบบทักษิณ...ติดคุกครบ 2 ใน 3 ของโทษจริงแล้วก็เข้าข่ายพักโทษได้..

2)หาหนทางฟื้นคดีจำนำข้าว...ต่อสู้ให้หลุดพ้นข้อหาปล่อยปละละเลย...อ้างกรณีข้าว 10 ปียังกินได้ขายได้..ฯลฯ...ระหว่างสู้คดีก็ขอประกันตัว..

3)หนทางอื่นๆ  เช่น การนิรโทษกรรม  ที่สภาฯจะพิจารณากันในเดือนนี้เดือนหน้าไม่เข้าข่ายเช่นเดียวกับความผิดมาตรา 112 ใครขืนแปรญัตติเพิ่มใส่ไปวงแตก รัฐบาลหัวคะมำแน่นอน

กล่าวโดยสรุป ความเป็นไปได้ยากจะเป็นอื่นไปได้ นอกจากต้องเริ่มต้นด้วยช่องทาง ‘กฎหมาย’ แล้วค่อยผ่อนคลายด้วยกฎ-ระเบียบกระทรวง  ความสุขสบายอาจไม่เทียบชั้นพี่ชายแต่ก็ชิล ๆ ก่อนที่จะขอพักโทษเหมือนบุญทรง..แนวทางนี้น่าจะสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองน้อยที่สุด...ยิ่งถ้า ‘ยิ่งลักษณ์’ แต่งชุดนักโทษให้เห็นกันแบบเต็มตา  ชดเชยไถ่บาปให้กับ ‘นักโทษเทวดา’  แรงเสียดสีต่างๆ ก็คงจะไม่มี  เผลอๆอาจจะมีเสียงปรบมืออีกต่างหาก..

เล่ากันว่าวันที่ 25 ส.ค. 2560 ก่อนศาลตัดสิน… ‘บุญทรง’ ได้รับโทรศัพท์เสียงสุภาพสตรีบอกว่า..รอแป๊บ..เดี๋ยวถึง แต่สุดท้ายเจ้าของเสียงล่องหนหายไป 7 ปี....สงกรานต์ปีหน้าก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะกลับมาหรือไม่…

สำหรับ ‘บุญทรง’ ที่อยู่ในมุ้งใหญ่ของ ‘เจ๊แดง’ เยาวภา  วงศ์สวัสดิ์  ชีวิตก็คงจะตกผลึกหลายเรื่อง  แต่ยังไงๆ เชื่อว่าคงไม่ถึงขั้นปลีกวิเวกหลีกหนีการเมืองไปได้  โดยสถานภาพและบารมีเก่าๆ เขาก็คงจะเป็นพลังสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูกู้ชีพให้พรรคเพื่อไทย เชียงใหม่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง...

แน่นอนด่านแรก 1 ก.พ. 2568 คือต้องช่วยเจ๊แดง-นายใหญ่ ให้ ‘นายกก๊อง’ พิชัย  เลิศพงษ์อดิศร รักษาแชมป์นายกอบจ.เชียงใหม่เอาไว้ให้ได้..!!

คณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัด 'งานกาชาดประจำปี 2567' วันที่ 11-22 ธันวาคม 2567 ณ สวนลุมพินี และงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org

(3 ธ.ค.67) เวลา 09.30 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย รองประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 พร้อมด้วย นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 นางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ประธานคณะกรรมการแผนกประชาสัมพันธ์งานกาชาดประจำปี 2567 ร่วมด้วย คณะกุลบุตร-กุลธิดากาชาด เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด 'ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร' ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 ธันวาคม 2567 ณ สวนลุมพินี และแพลตฟอร์มงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org (เวิล์ด-ไวด์-เว็บ-ดอท-ไอ-เรด-คอส-ดอท-โอ-อาร์-จี) เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย 

กองอำนวยการจัดงานกาชาด ได้จัดกิจกรรมเข้าพบนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด 'ทศมราชา ๗๒ พรรษา ถวายพระพร' เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 ธันวาคม 2567 เวลา 11.00-22.00 น. ณ สวนลุมพินี และงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณและพระราชกรณียกิจขององค์พระบรมราชูปถัมภก  สภากาชาดไทย องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย และองค์อุปนายิกาผู้อํานวยการสภากาชาดไทย รวมถึงเผยแพร่ภารกิจของสภากาชาดไทยและสร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา มูลนิธิสมาคม สโมสร ผู้มีอุปการคุณ และประชาชนทั่วไป และเพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบํารุงสภากาชาดไทย ในการบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข บำบัดโรค กำจัดภัยแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ประสบภัยพิบัติ

ในการนี้ นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 นำเสนอการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ในรูปแบบ พรีเซนเทชันบนจอทัชสกรีน ทั้งกิจกรรมออนกราวน์ ณ สวนลุมพินี และกิจกรรมงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org พร้อมกันนี้เชิญชวนให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ร่วมอุดหนุนสลากบำรุงสภากาชาดไทยออนไลน์ของร้านสำนักงานจัดหารายได้ ซึ่งจำหน่ายในราคาพิเศษราคาใบละ 95 บาท ถึงวันที่ 10 ธันวาคมนี้ และจะจำหน่ายในราคาปกติ 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2567 ไปจนถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 14.00 น. และในวันเดียวกัน เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ร่วมลุ้นประกาศผลรางวัลสลากบำรุงสภากาชาดไทย จากนั้นนำชมตัวอย่างเสื้อและกางเกงงานกาชาดที่จะมีจำหน่ายเฉพาะในงานกาชาดเท่านั้น และสินค้าจากร้านโครงการส่วนพระองค์ ผักดองจากร้านอุปนายิกา 

การจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ได้จัดให้มีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อสภากาชาดไทยและพสกนิกรทุกหมู่เหล่า อาทิ การแสดงพิธีเปิดงานกาชาดประจำปี 2567 ชุด “ทศมราชา ๗๒ พรรษา มหามงคลสมโภช” ในวันพุธที่ 11 ธันวาคม 2567 เวลา 17.00 น. ณ สวนลุมพินี, การแสดงประดับไฟ “แสงแห่งพระบารมี”, จัดแสดงว่าวเฉลิมพระเกียรติ-โคมถวายพระพร, การแสดงน้ำพุประกอบดนตรีเฉลิมพระเกียรติ และเชิญชวนหน่วยงานที่ร่วมออกร้านในงานกาชาดและประชาชนที่มาชมงานได้ร่วมกิจกรรมจุดเทียนถวายพระพรในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2567 ณ เวทีกลาง สวนลุมพินี โดยพร้อมเพรียงกัน

ด้านกิจกรรมรื่นเริงเปี่ยมสุข ทั้งการเสี่ยงโชคชิงรางวัลในรูปแบบต่างๆ ตักไข่ สอยดาว ลุ้นรางวัลกับสลากบำรุงสภากาชาดไทย การจำหน่ายสินค้าจากโครงการส่วนพระองค์ สินค้าจากเหล่ากาชาดจังหวัด รวมถึงสินค้าคุณภาพดีราคาประหยัดจากหน่วยงานที่มาร่วมออกร้านกว่า 200 หน่วยงาน การบริการรับปรึกษาสุขภาพฟรี การรับบริจาคโลหิต บริจาคดวงตา และบริจาคอวัยวะ การจำหน่ายยาจุฬาโอสถ การจำหน่ายอาหารเมนูดังจากร้านค้าต่าง ๆ ที่ร่วมออกร้านในงานกาชาดกว่า 100 ร้านค้า รับชมการแสดงแสงสีเสียงจากศิลปิน ดารา นักแสดง การแสดงศิลปวัฒนธรรม ณ เวทีกลาง การแสดงดนตรีเปิดหมวกจากนักเรียนนักศึกษาเยาวชนคนรุ่นใหม่ ชมแฟชั่นโชว์ผ้าไทยในสวนในวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2567 เวลา 17.00 น. ณ บริเวณหน้าห้องสมุดประชาชน สวนลุมพินี และการจำหน่ายเสื้อและกางเกงงานกาชาด กระเป๋าผ้าที่ระลึกสภากาชาดไทย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสุดครื้นเครงในแต่ละวันอีกมากมายให้รอติดตาม 

ด้านกิจกรรมงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org พบกับ Map งานกาชาดในรูปแบบ Fantasy art Style กับ 3 กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติบนเกาะลอยฟ้า และ 13 กิจกรรมสุดแสนหรรษาบนเกาะงานกาชาดออนไลน์ อาทิ โดรน–โคมถวายพระพร ม่านน้ำพุ ขบวนพาเหรดน้องไอจังสุดน่ารัก กิจกรรมแข่งว่าวกาชาดที่ทุกคนรอคอย กิจกรรมบ้านผีสิงสุดหลอนร่วมกับ The Ghost Radio และเอาใจสายมูด้วยบริการทำนายดวงชะตาออนไลน์กับนักพยากรณ์ตัวจริง ตามด้วยการซื้อสลากบำรุงสภากาชาดไทยออนไลน์ และเลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษจากร้านค้ามากมายได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมผุดกิจกรรมใหม่สุดเพลิดเพลินเลี้ยงน้องไอจังใน iJung wonderland

มาร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์อัตลักษณ์งานกาชาดมหรสพรื่นเริงการกุศลแห่งปี ระหว่างวันที่ 11–22 ธันวาคม 2567 ตลอด 12 วัน 12 คืน เวลา 11.00–22.00 น. วันสุดท้ายปิดงานเวลา 23.00 น. ณ สวนลุมพินี เข้างานฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยในปีนี้ยังคงขอความร่วมมือให้ทุกท่านที่มาเที่ยวงาน เดินทางโดยรถสาธารณะเพื่อความสะดวก และใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก คัดแยกขยะไม่เทรวม และร่วมสนุกแบบไร้ขีดจำกัดที่งานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ยูเนสโก’ ขึ้นทะเบียน ‘ต้มยำกุ้ง’ เป็นมรดกวัฒนธรรมฯ นับเป็นรายการที่ 5 ของไทย ที่ได้รับการรับรอง

ข่าวดีของประเทศไทย!! ‘ต้มยำกุ้ง’ ถูกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมฯ จากยูเนสโก เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา นับเป็นรายการที่ 5 ของไทย ที่ได้รับการรับรองต่อจาก โขน, นวดไทย, โนราห์, และ ประเพณีสงกรานต์

(4 ธ.ค. 67) เวลา 02.00 น. เวลาในประเทศไทยที่ กรุงอะซุนซิออง สาธารณรัฐปารากวัย องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้มีการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนการรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 (The 19th Session of the Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage) โดยที่ประชุมได้ประกาศขึ้นทะเบียน ‘ต้มยำกุ้ง’ เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (The Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) ในการประชุมฯ

โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีผ่านระบบวีดิทัศน์ ว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติในโอกาสพิเศษนี้ ในนามของรัฐบาลไทยและคนไทยทั้งประเทศ ขอขอบคุณสาธารณรัฐปารากวัยสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ในครั้งนี้ รวมถึงคณะกรรมการฯ ที่ได้ขึ้นทะเบียนให้ 'ต้มยำกุ้ง' เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ 

ทั้งนี้การขึ้นทะเบียน 'ต้มยำกุ้ง' ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 ในการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยต้มยำกุ้งของไทย เป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ มีต้นกำเนิดจากภูมิปัญญาและวิถีปฏิบัติอันประณีตของชุมชนริมน้ำในภาคกลางของไทย สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นในทุกระดับของสังคม ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว ชุมชน โรงเรียน และร้านอาหาร จนกลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ต้มยำกุ้งจึงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีถึงมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power ไทย โดยอาหารไทยจานนี้ยังสะท้อนถึงความเข้าใจในการใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องร่วมกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ทั้งการใช้สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การเพาะเลี้ยงกุ้งน้ำจืด การอนุรักษ์น้ำ ดิน และอากาศ การคัดเลือกและเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน และท้ายสุดคือศิลปะการปรุงอาหารไทยที่ผสมผสานรสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการอย่างลงตัว

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ความรู้และแนวปฏิบัติเหล่านี้ไม่เพียงช่วยสร้างความมั่นคงด้านอาหาร สุขภาพและความอยู่ดีกินดีของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และความสมานฉันท์ในสังคมอีกด้วย ประเทศไทยจึงมุ่งมั่นในการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage – ICH) ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติอย่างเต็มที่ และพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อรักษา (safeguard) ICH ในฐานะทรัพยากรเพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืนในทั้ง 3 ด้าน - เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้เชิญชวน ลิ้มลองต้มยำกุ้ง ที่ร้านอาหารไทยทั่วโลก หรือค้นหาสูตรอาหารออนไลน์เพื่อทดลองทำต้มยำกุ้งเองที่บ้าน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางอันแสนอร่อยและเต็มไปด้วยรสชาตินี้ด้วยกัน

แน่นอนว่า การขึ้นทะเบียนต้มยำกุ้งในครั้งนี้ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ในฐานะประเทศที่มากด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีและอาหารที่มีทั้งสตรีทฟู้ด อาหารนานาชนิดที่ขึ้นชื่อจนทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย หรือแม้แต่คนในต่างประเทศที่มีร้านอาหารไทยอยู่ในเมนูอันดับแรก ๆ ที่มักจะสั่งก็คือต้มยำกุ้งของไทย ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เมดอินไทยแลนด์ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทย มีรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจากยูเนสโกมาแล้ว 4 รายการ คือ  โขน/ นวดไทย/ โนราห์ และ ประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทย โดย ต้มยำกุ้ง ถือเป็นรายการที่ 5 ของไทย ที่ได้รับการรับรอง

นอกจากนี้ ยังมีประกาศขึ้นทะเบียน ‘ชุดเคบาย่า’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งเป็นรายการที่เสนอร่วม 5 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย

สรุปเหตุการณ์ 'ยุนซอกยอล' ชิงประกาศกฎอัยการศึก แต่สภาปัดตกโหวตคว่ำ จบ 3 ชั่วโมงแห่งวิกฤตการเมืองโสมใต้

(4 ธ.ค. 67) เปิดไทม์ไลน์ประธานาธิบดียุนซอกยอลประกาศกฎอัยการศึก โกลาหลทั้งเกาหลีใต้ สุดท้ายสภาโหวตเอกฉันท์เป็นโมฆะ จับตาอนาคตผู้นำเกาหลีถูกถอดถอน 

ช่วงคืนวันที่ 3 ธ.ค.67 เกาหลีใต้เผชิญความสั่นคลอนทางการเมืองที่ตึงเครียดที่สุดในรอบหลายสิบปี เมื่อประธานาธิบดียุนซอกยอล ประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉิน โดยอ้างว่ามี "กองกำลังต่อต้านรัฐที่ได้รับการสนับสนุนโดยเกาหลีเหนือ" ที่วางแผนก่อกบฏ เหตุการณ์นี้สร้างความตึงเครียดอย่างหนักทั่วประเทศ ก่อนที่สมาชิกรัฐสภาจะลงมติยกเลิกกฎอัยการศึกภายในเวลาเพียง 157 นาที

เวลา 22:23 น. ประธานาธิบดียุนแถลงผ่านโทรทัศน์ถึงการประกาศกฎอัยการศึกฉบับที่ 1 โดยให้เหตุผลอ้างว่าจำเป็นเพื่อปกป้องประชาธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนจากการโค่นล้มระบบรัฐบาล ข้อบังคับกฎอัยการจะสั่งระงับกิจกรรมทางการเมืองทุกประเภท ควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด และกำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์กลับมาปฏิบัติหน้าที่  

คำสั่งนี้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยฝ่ายค้านนำโดยนายอี แจ-มยอง ประกาศประชุมฉุกเฉินเพื่อเพิกถอนคำสั่ง ขณะที่นายฮัน ดง-ฮุน หัวหน้าพรรคฝ่ายรัฐบาลเองก็ออกมาต่อต้านคำสั่งดังกล่าวด้วยเช่นกัน

เวลา 23:00 น. หลังกฎอัยการศึกเริ่มมีผลบังคับใช้ กองกำลังติดอาวุธเข้าควบคุมอาคารรัฐสภา สร้างความตึงเครียดสูงสุด สมาชิกรัฐสภาจำนวนมากพยายามฝ่าด่านเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าสู่อาคาร ท่ามกลางประชาชนชาวเกาหลีใต้กลุ่มใหญ่ออกมาชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อปิดกั้นทหารและพยายามเปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาเข้าไปภายใน

เวลา 24:00 น. การประชุมรัฐสภาเริ่มต้นขึ้นอย่างทุลักทุเล เมื่อสมาชิกเกิน 150 คน เข้าร่วมครบองค์ประชุม ท่ามกลางแรงกดดันจากกองกำลังทหารที่พยายามปิดกั้นการประชุม  

เวลา 01:01 น. ญัตติการยกเลิกกฎอัยการศึกถูกเสนอ ทั้งพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างลงเสียงเป็นเอกฉันท์ ในเวลา 01:04 น. กองกำลังติดอาวุธจึงเริ่มถอนตัวออกจากอาคารรัฐสภา แม้ว่ากองทัพจะยืนยันว่ากฎอัยการศึกยังมีผลอยู่ ขณะที่ประชาชนยังคงชุมนุมอยู่บริเวณด้านนอก เช่นเดียวกับสมาชิกรัฐสภาที่เข้าประชุมอยู่ภายในตลอดทั้งคืน จนกระทั่งเวลา 04:26 น. ประธานาธิบดียุนแถลงผ่านโทรทัศน์ ยอมรับมติรัฐสภาและสัญญาจะประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเลิกอย่างเป็นทางการ  

ต้นสายปลายเหตุของวิกฤตการเมืองครั้งนี้ต้องย้อนไปเมื่อ 11 เมษายน 67 ผลการเลือกตั้งในเกาหลีใต้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับรัฐบาลของ ประธานาธิบดียุน ซอคยอล โดยพรรคฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปไตย (DP) และพรรคพันธมิตร สามารถคว้าชัยชนะได้ 175 ที่นั่งในสภา เพิ่มขึ้นจากเดิม 169 ที่นั่ง ในขณะที่พรรครัฐบาล พรรคพลังประชาชน (PPP) และพันธมิตร ได้เพียง 108 ที่นั่ง ลดลงจากเดิม 131 ที่นั่ง จากจำนวนที่นั่งทั้งหมด 300 ที่นั่ง

ความไม่พอใจของประชาชน ต่อการบริหารงานของรัฐบาลยุนสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนผ่านผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่งผลให้รัฐบาลกลายเป็น "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" หรือที่หลายคนเรียกว่า "ยุนเป็ดง่อย" เพราะขาดเสียงสนับสนุนในสภา ในขณะที่รัฐบาลยุนเพิ่งครองอำนาจมาได้เพียง 1 ปีเศษ กว่าจะหมดว่าระในปี 2570 ทำให้รัฐบาลยุนแทบไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้มากนัก

เมื่อพรรคประชาธิปไตย (DP) และพรรคพันธมิตรสามารถครองเสียงข้างมากในสภาได้ ส่งผลให้เกิดการคว่ำร่างงบประมาณประจำปี ซึ่งตามธรรมเนียมการเมืองของโสมขาว อาจนำไปสู่การยุบสภาหรือการลาออกของประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดียุนกลับเลือกใช้วิธีการที่สร้างความตกตะลึง โดยประกาศกฎอัยการศึกและกล่าวหาว่าฝ่ายค้านมีความเชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ

ไม่เพียงแค่นั้น รัฐบาลของยุนยังต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากการบริหารประเทศที่ไร้เสถียรภาพและปัญหาด้านภาพลักษณ์ โดยเฉพาะกรณี ภรรยาของประธานาธิบดี ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการปั่นหุ้นและการรับของขวัญเกินมูลค่าที่กฎหมายกำหนด

เหตุการณ์ในคืนวันที่ 3 ธ.ค. ครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายวิจารณ์การบริหารงานของประธานาธิบดียุนว่าอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพ ตั้งแต่เขาเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากการบริหารประเทศไม่เป็นไปตามคาด และการสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภาหลังพรรคฝ่ายค้านชนะเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่ายุนใช้กฎอัยการศึกเพื่อแก้ปัญหาการเมืองที่ตึงเครียดจากการถูกคัดค้านในรัฐสภา แต่กลับสร้างแรงต้านมหาศาลทั้งในประเทศและจากนักการเมืองพรรคของเขาเอง  

คาดหมายกันว่าภายในไม่เกิน 2 วันข้างหน้าประธานาธิบดียุนอาจถูกรัฐสภายืนถอดถอนออกจากตำแหน่งก็เป็นได้ เกมการเมืองเกาหลีมีท่าว่าจะได้เปลี่ยนตัวประธานาธิบดีใหม่ในเร็วๆนี้ 

4 ธันวาคม ของทุกปี ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวง ร.9 ที่

วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปี เป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชดำรัสถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของประเทศไทย

วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปี เป็น ‘วันสิ่งแวดล้อมไทย’ กำหนดขึ้นเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชดำรัสถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลก เมื่อครั้งเสด็จออกให้คณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลา ดุสิดาลัย พระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2532 เพื่อตรัสเตือนคนไทยให้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และให้ถือว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้มีพระราชดำรัสใจความตอนหนึ่งว่า

“วันก่อนนี้เราพูดถึงปัญหาว่า เมืองไทยนี้อีกหน่อยจะแห้ง ไม่มีน้ำเหลือจะต้องไปซื้อน้ำจากต่างประเทศซึ่งก็อาจเป็นได้ แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าถ้าคำนวณดูน้ำในประเทศไทยที่ไหลเวียนนั้นยังมีอยู่ เพียงแต่ต้องบริหารให้ดี ถ้าบริหารให้ดีแล้ว มีเหลือเฟือ มีตัวเลขแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ไปแยกแยะตัวเลข เหมือนที่ได้แยกแยะตัวเลขของคาร์บอน น้ำนั้นน่ะ ในโลกมีมากแล้วที่ใช้จริงๆ มันเป็นเศษหนึ่งส่วนหมื่นของน้ำที่มีอยู่ อาจไม่ถึง ก็ต้องบริหารให้ดีเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำ น้ำนี้จะต้องใช้ให้ดี คือ น้ำนั้นมีคุณอย่างที่เราใช้สำหรับบริโภค น้ำสำหรับการเกษตร น้ำสำหรับอุตสาหกรรมทั้งหมดนี้ต้องใช้น้ำที่ดี หมายความว่าน้ำที่สะอาด”

“น้ำมีมากในโลก เป็นน้ำทะเลส่วนใหญ่ซึ่งจะใช้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว นอกจากนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังมีมากขึ้นก็คือ น้ำเน่า จะต้องป้องกันไม่ให้มีน้ำเน่า น้ำเน่าจะมีอยู่เสมอ แต่อย่าให้น้ำเน่านั้นเป็นโทษมากเกินไป ฉะนั้น นี่เป็นอีกโครงการหนึ่งที่เราจะต้องปฏิบัติ แล้วก็ถ้าไม่จัดการโดยเร็วเราจะนอนอยู่ในน้ำเน่า น้ำดีจะไม่มีใช้แม้จะไปซื้อน้ำจากต่างประเทศมา ก็กลายเป็นน้ำเน่าหมด เพราะว่าเอามาใช้โดยไม่ได้ระมัดระวัง”

“ถ้าเรามีน้ำแล้วมาใช้อย่างระมัดระวังข้อหนึ่ง และควบคุมน้ำที่เสียอย่างดีอีกข้อหนึ่ง ก็อยู่ได้ เพราะว่าภูมิประเทศของประเทศไทย ‘ยังให้’ ใช้คำว่า ‘ยังให้’ ก็หมายความว่า ยังเหมาะแก่การอยู่กินในประเทศนี้ ไม่ใช่ไม่เหมาะ ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ไม่ทำให้ประเทศไทยซึ่งเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทรายก็ป้องกันได้ ทำได้”

จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นจุดเริ่มต้นในการเคลื่อนไหวของทุกฝ่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่หันมาร่วมมือกันริเริ่มโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงเป็นการปลูกจิตสำนึกของประชาชนให้มีจิตสำนึกในการเห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ

จากนั้นเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ 2534 ในการประชุมของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบ กำหนดให้วันที่ 4 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมไทย

Starbucks เปิดสาขาใหม่บน DMZ จิบกาแฟชมวิวโสมเหนือ จากฝั่งเกาหลีใต้

(3 ธ.ค. 67) Starbucks ได้เปิดร้านกาแฟแห่งใหม่บนหอสังเกตการณ์ในเขตปลอดทหาร (DMZ) ฝั่งเกาหลีใต้ ตั้งอยู่ที่ Aegibong Peace Ecopark ในเมืองกิมโป ห่างจากกรุงโซลประมาณ 20 ไมล์ โดยร้านขนาด 30 ที่นั่งนี้ จะมอบประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าได้จิบกาแฟพร้อมชมวิวข้ามแม่น้ำโจ (Jo River) ไปยังฝั่งเกาหลีเหนือ ท่ามความตึงเครียดระหว่างสองเกาหลี  

สาขาเปิดใหม่ในจุดที่มีความเสี่ยงเช่นนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2024 ผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน ขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์หากถูกโจมตี หลังประธานาธิบดีเกาหลีใต้เตือนว่าการใช้กำลังจะนำไปสู่ "จุดจบของระบอบการปกครองฝั่งเหนือ"  

แม้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ถือว่าอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่ Starbucks สาขาใหม่นี้กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม นับตั้งแต่เปิดสาขาเมื่อ 29 พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา โดยลูกค้าสามารถเพลิดเพลินกับกาแฟ พร้อมชมวิวฟาร์มและอาคารเตี้ย ๆ ในเมืองแกปง (Kaepung) ของฝั่งเกาหลีเหนือ โดยในวันที่อากาศดี ลูกค้าที่มีกล้องส่องทางไกลหรือสมาร์ทโฟนอาจสามารถซูมได้เห็นชีวิตของชาวเกาหลีเหนือที่อาศัยในบริเวณดังกล่าว

ลิม จอง-ชุล (Lim Jong-chul) ชายวัย 80 ปี ผู้เคยเข้าร่วมสงครามเวียดนามและเป็นหนึ่งในลูกค้าร้านนี้กล่าวว่า "ความเคร่งเครียดของพื้นที่ทำให้รู้สึกกดดัน แต่การมี Starbucks อยู่ที่นี่ช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบและอบอุ่นขึ้น"  

เมืองกิมโปได้ใช้ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของ DMZ เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยนายกเทศมนตรีเมืองกิมโป คิม บยอง-ซู ระบุว่า สถานที่นี้มีความเอกลักษณ์พิเศษ และสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมเกาหลีอย่างแท้จริง  

องค์การการท่องเที่ยวเกาหลี ยังกล่าวว่าการเปิด Starbucks ในพื้นที่ดังกล่าว มีส่วนช่วยให้เพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เยี่ยมชมเขต DMZ ซึ่งดึงดูดผู้คนจำนวนมากในแต่ละปี  

ทั้งนี้ บริษัททัวร์สองแห่งที่รับหน้าที่พาทัวร์เกาหลีเหนือ เปิดเผยว่า ในเร็วๆนี้ เกาหลีเหนืออาจกำลังเตรียมกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งช่วงสิ้นปี 2024 หลังปิดพรมแดนมานานกว่า 5 ปีตั้งแต่โควิดระบาด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top