Monday, 1 July 2024
Hard News Team

‘เสรีพิศุทธ์’ เหน็บแรง ‘ปารีณา’ พังเพราะความไม่รู้ ซัด นั่ง กมธ.ป.ป.ช.แต่ไม่ทำงาน มากินของฟรี - เซ็นรับเบี้ยประชุมแล้วก็ไป ได้ทีแขวะพรรคการเมือง ควรเลือกคนที่มีความรู้ ความสามารถ มาทำหน้าที่กมธ. ไม่ใช่ส่งใครมาก็ได้

พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีการับคำร้องคดี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน จ.ราชบุรี โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ไว้ก่อน

ซึ่ง น.ส.ปารีณา เป็นหนึ่งในกมธ.ด้วย ว่า เป็นดุลยพินิจของศาลที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ยังไม่ถือว่าพ้นจากตำแหน่งส.ส. ซึ่งเมื่อหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ก็ไม่อาจมาปฏิบัติหน้าที่กมธ.ได้ จนกว่าศาลจะวินิจฉัย หากไม่ผิดก็สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่หากผิดก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรเพราะพล.ต.อ.เสรีศุทธิ์ ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับน.ส.ปารีณามาโดยตลอด พล.ต.อ.เสรีศุทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ น.ส.ปารีณา อย่าคิดว่าส.ส. ต้องรู้กฎหมาย ส.ส. จำนวนมากเลือกตั้งเก่ง ซื้อเสียงกันมา ทางราชบุรีก็เหมือนกัน เป็นตั้งแต่รุ่นพ่อ มีหัวคะแนนต่างๆ สืบทอดมาถึงรุ่นลูก เมื่อมาเป็นส.ส. ซึ่งไม่เคยบริหารราชการมาก่อนจึงขาดความรู้และประสบการณ์ ที่ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็เป็นเรื่องของตนเองแท้ ๆ แต่ไม่รู้ว่าที่ดินเหล่านี้เป็นที่ดินที่ผิดกฎหมาย ก็ตายเพราะความไม่รู้

"สำหรับ น.ส.ปารีณามีเรื่องในกมธ.มากมาย ผมมอบงานให้ก็ไม่ทำ มาถึงก็มานั่งทาน ทานเสร็จแล้วก็ไป บางครั้งก็มาเซ็นชื่อแล้วก็ไป ไม่ได้ทำงาน แต่ก็รับเบี้ยประชุม ย้อนแย้งผมอยู่ตลอดเวลา ผมก็ปล่อยไปไม่เอาเรื่องเอาราว" พล.ต.อ.เสรีศุทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าหากท้ายที่สุดแล้ว น.ส.ปารีณา ไม่มีความผิด ยังมีความเหมาะสมที่จะมาทำหน้าที่ในกมธ.อยู่หรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถตอบได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่ถ้าส่วนตัวก็คือไม่เหมาะสม เพราะไม่ได้มีความรู้และไม่ได้มีความสนใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้กมธ.มีมติไม่มอบหมายให้ น.ส.ปารีณา มานานแล้ว แต่กมธ.เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะส่งมาตามโควตา ตนกล่าวเพียงว่าจะเลือกส.ส.มาอยู่กมธ.คณะไหน ก็ขอให้คัดเลือกคนที่มีความรู้ ความสามารถตรงตามอำนาจหน้าที่ของกมธ.นั้นๆ ไม่ใช่ส่งใครมาก็ได้ และมาเป็นที่หนักใจของกมธ.


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

“ผบ.ตร.” ยันฝึกควบคุมฝูงชนตามวงรอบ ยึดมาตรฐานยูเอ็น โยนนครบาลเคลียร์คืนพื้นที่ม็อบข้างทำเนียบฯ

เมื่อวันที่ 25 มีนาคาม ที่หาดท้ายเหมือง จ.พังงา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีออกคำสั่งฝึกทบทวนข้าราชการตำรวจ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลการชุมนุมสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ว่า มีวงรอบอยู่แล้วที่ตนสั่งการไปล่าสุดและเน้นย้ำไปคือให้ยึดตามมาตรฐานองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)เป็นตัวตั้ง ซึ่งจริง ๆ แล้วเราฝึกมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาฝึก แต่มีหลากหลายรูปแบบ แต่เราจะเน้นอันนี้เป็นตัวหลัก โดยให้หน่วยเขารับทราบ เพราะเวลามาปฏิบัติร่วมกันก็จะใช้มาตรฐานเดียวกันหมด 

เมื่อถามถึงการรับมือการชุมนุม หลังมีผู้ชุมนุมไปร่วมชุมนุมที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นจำนวนมาก พล.ต.อ.สุวัฒน์  กล่าวว่า เราดูแลเรื่องความสงบ เรื่องความเรียบร้อย ไม่ให้เขาละเมิดกฎหมาย ก็ยังคงใช้ตามเดิม ส่วนเรื่องจำนวนคนที่ชุมนุมก็สุดแล้วแต่ แต่เราก็มีมาตรการของเรา

เมื่อถามถึงกระแสข่าวเจ้าหน้าที่จะขอพื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ชุมนุมอยู่บริเวณด้านข้างทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องการปฎิบัติของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)เขาอาจจะต้องดูเวลาและความเหมาะสมในการบังคับใช้  ซึ่งตนขอชี้แจงว่าการชุมนุมในบริเวณดังกล่าวผิดกฎหมายอยู่แล้ว 

เมื่อถามต่อถึงภาพรวมการชุมนุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังมีการปรากฏภาพผู้สื่อข่าวได้รับบาดเจ็บ และภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจจับผู้ชุมนุมกดลงไปกับพื้น จนทำให้ทั้งสองฝ่ายมีการปะทะกัน พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ทุกครั้งเมื่อมีการปฏิบัติ เรามีการทบทวนบทเรียนเสมอ สิ่งใดที่ทำดีอยู่แล้ว เราก็รักษาต่อไป อะไรที่ต้องปรับปรุงเราก็ต้องทำ ส่วนการทบทวนนั้น มีการนำเข้าสนามฝึกและมีการทำความเข้าใจกับกำลังพลให้มีความแม่นยำในการปฎิบัติหน้าที่

เมื่อถามว่ามีการกล่าวถึงคำพูดที่ว่าทำตามคำสั่งนาย  มองคำว่าคำสั่งนายกับกฎหมายอย่างไร พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า คำสั่งผู้บังคับบัญชาก็สั่งตามกฏหมายไม่ได้ออกนอกกฏหมายอยู่แล้ว

"โรม" อัด ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ จงใจปิดกั้นสิทธิเสรีภาพปชช. ชี้ หากบังคับใช้จะเป็นภัยใหญ่หลวง

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ว่า ดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือฉบับ พ.ศ. 2540 แต่เมื่อได้อ่านในสาระสำคัญ 16 ข้อ ที่เผยแพร่ออกมา ก็น่ากังวลว่าหากมีการบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ขึ้นมาจริง ๆ ในสถานการณ์บ้านเมืองเช่นนี้ จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน 

ตัวอย่างสาระสำคัญที่น่ากังวล เช่น ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฉบับ พ.ศ. 2540 กำหนดว่าข้อมูลข่าวสารของราชการที่ "อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์" จะเปิดเผยมิได้ แต่ในร่างฉบับใหม่นี้ไปขยายอีกว่าแม้กระทั่งข้อมูลที่ “หากเปิดเผยแล้วอาจมีการนำไปใช้ในทางที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์" ก็เปิดเผยไม่ได้ด้วย กล่าวคือจากแค่ตีความในตัวเนื้อหาของข้อมูลเอง กลายเป็นต้องตีความเจตนาของผู้ได้รับข้อมูลด้วยว่าจะเอาไปใช้อย่างไร 

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สอง ข้อมูลที่เมื่อเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคง ฯลฯ เดิมกำหนดให้ "จะเปิดเผยหรือไม่ก็ได้" โดยชั่งน้ำหนักถึงประโยชน์สาธารณะ แต่ในร่างฉบับใหม่เปลี่ยนเป็นว่า ข้อมูลความมั่นคงของรัฐด้านการทหารและการป้องกันประเทศ ฯลฯ จะเปิดเผยมิได้ กล่าวคือจากเดิมต้อง "เปิดเผยแล้วเกิดความเสียหาย" จึงให้พิจารณาชั่งน้ำหนักก่อนว่าจะเปิดเผยหรือไม่ ซึ่งสุดท้ายอาจเปิดเผยก็ได้ เปลี่ยนเป็นแค่เป็นเรื่องความมั่นคงทางทหาร ต่อให้เปิดเผยแล้วไม่เสียหายก็ห้ามเปิดเผย

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สาม ในการใช้ดุลยพินิจของหน่วยงานรัฐ เพิ่มเติมเข้ามาว่าหากมีผลเป็นการสร้างภาระจนเกินสมควรแก่หน่วยงานรัฐ หรือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต หน่วยงานรัฐจะไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารให้ก็ได้ จากเดิมต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการในการพิจารณาตามความเหมาะสม กลายเป็นโอนอำนาจให้หน่วยงานต้นเรื่องตัดสินได้เอง 

ประเด็นที่สี่ ในการพิจารณาคดีในศาลเกี่ยวกับข้อมูลที่มีห้ามเปิดเผย เดิมกำหนดแค่ว่าจะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาโดยมิให้ข้อมูลนั้นเปิดเผยแก่บุคคลอื่นที่ไม่จำเป็นแก่การพิจารณา แต่ในร่างฉบับใหม่เปลี่ยนมาเป็นบังคับให้ต้องพิจารณาเป็นการลับเท่านั้น กลายเป็นว่านอกจากเรื่องการป้องกันข้อมูลถูกเปิดเผยแล้ว กระบวนการพิจารณาส่วนอื่น ๆ ยังถูกปิดกั้นไม่ให้สาธารณะได้รับรู้ด้วย

“ผมเกรงว่าหากปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้บังคับใช้ได้จริง ๆ ข้อมูลข่าวสารพื้นฐานที่ประชาชนควรรู้ เช่น เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ ที่ใช้เงินภาษีประชาชน ก็จะถูกปิดกั้นไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ ถึงการใช้จ่ายซื้ออาวุธของกองทัพ ที่อ้างตลอดว่าเป็นไปเพื่อความมั่นคงด้านการทหาร แต่เมื่อได้เห็นรายการที่สั่งซื้อ เห็นตัวเลขวงเงิน ก็บ่งชี้ว่านี่คือการใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่า เกินความจำเป็น หรืออาจเข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชันด้วยซ้ำ ลองคิดดูว่าหาก พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับใหม่ประกาศใช้ เรื่องเหล่านี้จะยังถูกเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้หรือไม่?" นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ใน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ พ.ศ. 2540 ได้เขียนเหตุผลของการมี พ.ร.บ. ดังกล่าวไว้ว่า "ในระบอบประชาธิปไตย การให้ประชาชนมีโอกาสกว้างขวางในการได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่ประชาชนจะสามารถแสดงความคิดเห็นและใช้สิทธิทางการเมืองได้โดยถูกต้องกับความเป็นจริง อันเป็นการส่งเสริมให้มีความเป็นรัฐบาลโดยประชาชนมากยิ่งขึ้น สมควรกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิได้รู้ข้อมูลข่าวสารของราชการ" 

แต่ใน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับใหม่นี้ยิ่งทำให้เลวร้ายลงไปอีก จากกฎหมายที่เป็นหลักประกันสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร กำลังถูกบิดเบือนให้กลายเป็นกฎหมายแห่งการปิดกั้นข้อมูลไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้แจ้งอีกว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็น "กฎหมายปฏิรูป" หมายความว่าตามรัฐธรรมนูญในบทเฉพาะกาล มาตรา 270  ส.ว. จะมีอำนาจเข้ามาร่วมลงมติร่วมกับ ส.ส. ได้ตั้งแต่แรก คงตั้งใจจะเอาให้ผ่านสภาให้ได้จริง ๆ ฉะนั้น ถ้ากฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ขึ้นมาจะเป็นภัยกับประชาชนอย่างใหญ่หลวงแน่นอน ปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด

"อนุทิน" ลั่น​ ถ้าวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้​ พร้อมเปิดประเทศ​ การันตี​ ยี่ห้อไหนผ่าน อย.ไทยปลอดภัยหมด “ฟุ้ง”​ สธ.ทำงานได้เกินเป้า

วันที่ 25 มี.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล​ นายอนุทิน​ ชาญวีรกูล​ รองนายกรัฐมนตรี​ และรมว.สาธารณสุข​ ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดประเทศว่า มาตรการผ่อนคลายต่างๆที่จะเกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีน​ ซึ่งจากนี้ถึงอีก 2 เดือนข้างหน้า จะมีการกระจายฉีดวัคซีนเป็นล้านคน ที่ผ่านมาใช้ไปประมาณ 1 ล้านโดส และเดือนหน้าอีกประมาณ 1-2 ล้านโดส ดังนั้นภายในเดือนพ.ค.นี้เราจะเริ่มรู้แล้วว่า คนที่ได้รับวัคซีนมีภูมิคุ้มกันระดับไหน ซึ่งถ้าผลเป็นที่น่าพอใจก็จะมั่นใจได้ว่าจะต้องฉีดให้คนจำนวนมาก จากนั้นจะเป็นการผ่อนคลายมาตรการให้เกิดความสะดวกและเป็นปกติมากขึ้น 

หลักการแรกคือต้องดูความปลอดภัยของประชาชน ปลอดภัยเมื่อไหร่เปิดเมื่อนั้น ไม่เก็บไว้แน่นอน ส่วนแผนและระยะเวลานั้น ขึ้นอยู่กับความปลอดภัย รวมทั้งการเจรจากับประเทศคู่เจรจาต่างๆ​ ทั้งนี้​ หากวัคซีนเข็มแรกที่ได้ฉีดให้กับทุกคนได้ผล มีภูมิคุ้มกันกันหมดจะเป็นตัวชี้วัดได้ ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังเร่งทำในเรื่องนี้อยู่แล้ว และกำลังเร่งขึ้นทะเบียนวัคซีน อย่างวันนี้องค์การอาหารและยา​ (อย.)​ ก็ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เท่ากับเรามีทางเลือกเพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเราไม่ได้มีการปิดกั้นในเรื่องของวัคซีน ตราบใดที่ผู้ผลิตวัคซีนยื่นเอกสารเข้ามา ถ้าทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอนเราจะอนุมัติโดยเร็ว 

เมื่อวันนี้ประเทศไทยเรามีวัคซีน 3 ยี่ห้อแล้ว ประกอบด้วย ซิโนแวค แอสตราเซเนกา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ใครสามารถไปเจรจาและเขายอมขายวัคซีนให้ ก็ถือว่ามีความชอบธรรมที่จะนำเข้า แต่เขาจะยอมขายหรือไม่เป็นอีกเรื่อง เพราะทุกบริษัทผลิตมาในช่วงภาวะฉุกเฉิน และหากผู้นำเข้ารับสภาพได้ว่า เป็นการนำเข้ามาเฉพาะในภาวะฉุกเฉิน ความรับผิดชอบของผู้ผลิตมีจำกัด ผู้ที่จะมารับขอวัคซีนเองรับสภาพได้ กระทรวงสาธารณสุขก็ไม่มีปัญหา แค่ระบุว่าจะนำเข้ามาและไปฉีดที่โรงพยาบาลใด มีการขอและขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการกับกรมควบคุมโรค เราก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำคุณประโยชน์ให้กับกระทรวงสาธารณสุข เป็นการแบ่งเบาภาระ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าในเรื่องของวัคซีนแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ การเข้าถึงวัคซีนมีเพิ่มมากขึ้น แต่เราไปซื้อจำนวนมากก็ไม่ได้ เผื่อมีการกลายพันธุ์ อนาคตก็ต้องดูวัคซีนที่มีการพัฒนา เราต้องใช้วัคซีนที่เหมาะสมที่สุด แต่ช่วงนี้ก็ต้องใช้สายพันธุ์นี้ไปก่อน

"วัคซีนที่ดีที่สุดในโลกมันไม่มีหรอก มีแต่วัคซีนที่เหมาะ​ มาถูกเวลา ราคาอยู่ในเกณฑ์ที่เรารับได้ และส่วนใหญ่วัคซีนที่กว่าจะมาถึงมือเราใช้เวลามาก และกว่าจะผ่านขั้นตอนของอย.ไทยยากเย็นแสนเข็ญ ดังนั้นหากอนุญาตให้มาใช้ได้แสดงว่ามีความปลอดภัยขั้นสูงสุดแล้ว" รมว.สาธารณสุขกล่าว

นายอนุทิน​ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการมาถือว่าเกินเป้าหมายทั้งตั้งไว้ ทั้งเรื่องการพัฒนา การเข้าถึงวัคซีน และความรวดเร็ว เกินคาดกว่าที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าไว้ วันนี้ปัญหาที่ต้องทำให้เร็วที่สุด คือการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ยิ่งฉีดได้มาก​ ฉีดได้เร็ว​ และมีประสิทธิภาพก็จะทำให้เปิดประเทศได้เร็ว วันนี้ทางสถานเอกอัครราชทูตก็เริ่มมาพูดคุยกันแล้วในเรื่องการพิจารณาการเข้าประเทศ

ศาลสูงสิงคโปร์พิพากษาให้บล็อกเกอร์รายหนึ่งชดใช้ค่าเสียหายแก่นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง เป็นเงิน 133,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือเกือบ 3 ล้านบาท ในความผิดฐานหมิ่นประมาท จากการที่จำเลยได้แชร์บทความกล่าวหานายกฯ ลี

ผู้นำสิงคโปร์ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย เหลียง ซื่อ เฮียน (Liang Sze Hian) ที่ปรึกษาด้านการเงิน สืบเนื่องจากการที่นาย เหลียง ได้นำบทความจากเว็บไซต์ข่าว The Coverage ของมาเลเซียมาแชร์ลงเฟซบุ๊กเมื่อเดือน พ.ย. ปี 2018 โดยที่บทความดังกล่าวมีการอ้างว่านายกฯ ลี พัวพันกับเครือข่ายฉ้อโกงเงินกองทุน วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB)

ทีมทนายของ ลี ระบุว่า บทความดังกล่าวเต็มไปด้วยข้อครหาที่ “ไม่ถูกต้องและไม่มีมูลความจริง” และยังกล่าวหา เหลียง ว่าจงใจแชร์โพสต์ดังกล่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้นำประเทศ ขณะที่ เหลียง ก็ได้ลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งหลังจากที่แชร์ไปได้เพียง 3 วัน

ผู้พิพากษา เอดิต อับดุลเลาะห์ ระบุในคำตัดสินว่า เหลียง “ไม่สามารถอ้างอย่างมีเหตุผลได้ว่า ถ้อยคำดูหมิ่นเหล่านั้นไม่เป็นการกล่าวหา นายกฯ ลี” เนื่องจากบทความดังกล่าวมีการระบุชัดเจนว่านายกฯ สิงคโปร์ “อย่างน้อยที่สุดก็เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาญาร้ายแรง”

ผู้พิพากษาระบุด้วยว่า โพสต์ของ เหลียง ถูกตั้งค่าเป็นสาธารณะ และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นถึง 45 คน

เหลียง อ้างว่าเขา “แค่แชร์” บทความดังกล่าวโดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือปรับแก้เนื้อหาเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังปฏิเสธข้อครหาที่ว่าตนมีเจตนามุ่งร้ายต่อนายกฯ ลี

เลขานุการฝ่ายสื่อมวลชนของ ลี แถลงว่า คำตัดสินดังกล่าวเป็นดุลยพินิจของศาล และนายกฯ ไม่มีอะไรจะกล่าวเพิ่มเติมอีก

ด้านนาย เหลียง ให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกโล่งใจที่คดีนี้มาถึงจุดจบเสียที แต่ก็ยอมรับว่าผิดหวังกับคำตัดสินของศาล และเตรียมที่จะขอคำปรึกษาทางด้านกฎหมาย รวมถึงรับฟังความเห็นจากชาวสิงคโปร์คนอื่น ๆ

ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ประกาศนโยบาย “ความอดทนเป็นศูนย์” กับการทุจริตคอร์รัปชัน ลี เซียนลุง วัย 69 ปี เคยใช้กลไกทางกฎหมายปกป้องชื่อเสียงของตนมาแล้วหลายครั้ง ในขณะที่บรรดาผู้นำอาวุโสของพรรคกิจประชาชน (PAP) ซึ่งรวมถึง ลี กวนยู บิดาของนายกฯ ลี ก็เคยฟ้องร้องเอาผิดกับสื่อต่างชาติ, ศัตรูทางการเมือง รวมถึงบุคคลที่โพสต์ข้อความดูหมิ่นทางออนไลน์มาแล้วด้วย

ที่มา: รอยเตอร์

https://mgronline.com/around/detail/9640000028254


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ดันเส้นทางไหว้พระ 15 เส้นทางทั่วไทย

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดทำเส้นทางแห่งศรัทธาเพื่อเสริมสิริมงคล ความรุ่งเรืองแห่งชีวิต เชื่อมโยงชุมชนที่มีศักยภาพและแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่พร้อมเสนอขาย 

โดยนำร่อง 15 เส้นทางทั่วประเทศ คือ จังหวัดพิจิตร แพร่ น่าน เชียงราย ชัยนาท สระบุรี เพชรบุรี บุรีรัมย์ ชัยภูมิ นครพนม ระยอง ปราจีนบุรี พังงา สุราษฎร์ธานี และสงขลา หวังว่าจะช่วยกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศปีนี้ให้ได้ตามเป้าหมาย 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 8.5 แสนล้านบาท

นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทย มีวัดกว่า 41,654 วัด ซึ่งในหลายวัดมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ทรงคุณค่า เป็นที่เลื่อมใสทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่ด้วยพื้นที่ที่แตกต่างกัน ทำให้หลายวัดมีสถานที่ตั้ง ที่สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นริมฝั่งแม่น้ำ เช่น วัดอรุณราชวราราม กทม. วัดพระศรีมหาธาตุ จ.พิษณุโลก หรือวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเล เช่น วัดท่าไทร จ.พังงา วัดถ้ำเขาเต่า จ.ประจวบคีรีขันธ์ 

ขณะเดียวกันยังมีวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขา เช่น วัดเฉลิมพระเกียรติ พระจอมเกล้าราชานุสรณ์ จ.ลำปาง วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์ วัดป่าภูก้อน จ.อุดรธานี นอกจากนั้นหลายวัดยังเป็นที่สำหรับปฏิบัติธรรม เช่น วัดร่ำเปิง (ตะโปทาราม) จ.เชียงใหม่ วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี และวัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งรัฐบาลพร้อมส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว

กลาโหมยันทหารโอนย้ายเป็น ตร.ได้ หากปลายทางเปิดรับ เชื่อแต่ละอัตราคุณสมบัติชัดเจน เอื้อประโยชน์ไม่ได้

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่โลกออนไลน์มีการเผยแพร่เอกสารนายทหารชั้นประทวนโอนย้ายไปเป็นข้าราชการตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองหลายนาย แต่ในส่วนของตำรวจเองจะโอนย้ายกลับต้องผ่านการทดสอบความรู้ตามหลักเกณฑ์มากมายกว่านั้น ว่า เรื่องการโอนย้ายระหว่างหน่วยงาน หรือกระทรวงหนึ่งไปอีกกระทรวงหนึ่งสามารถดำเนินการได้ตามระเบียบข้าราชการปกติ หากหน่วยงานปลายทางเปิดรับในตำแหน่งที่ว่าง แต่ถ้าเขาไม่เปิดรับก็โอนย้ายไม่ได้ ทั้งนี้การโอนย้ายแต่ละอัตราจะมีรายละเอียดคุณสมบัติระบุต่อท้ายชัดเจน ซึ่งไม่สามารถเอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือเฉพาะกลุ่มได้
 

รัฐบาล จ่อ! ออกมาตรการใหม่ดึงคนใช้จ่ายเพิ่ม

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษามาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ โดยรูปแบบเบื้องต้นจะให้กลุ่มคนมีรายได้ปานกลางถึงสูง นำเงินออมออกมาใช้จ่าย ในลักษณะร่วมกันจ่ายกับภาครัฐเร่งการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้า คล้ายกับมาตรการช้อปดีมีคืน แต่ครั้งนี้จะมีการลดหย่อนภาษีอย่างไรหรือไม่ จะมีการพิจารณาอีกครั้ง

"ในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาทำให้คนไทยไม่กล้าใช้จ่ายจนเงินออมเพิ่มขึ้นถึง 11% มูลค่าหลายแสนล้านบาท จากช่วงสถานการณ์ปกติจะมีการออมเพิ่ม 3% ในแต่ละปี จึงมีแนวคิดว่าให้นำเงินออมส่วนต่างที่เกินมาช่วยชาติใช้จ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยในปี 64 ขยายตัวได้ 4% ตามที่รัฐบาลคาดหวังเอาไว้"

รองนายกฯ กล่าวว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ในวันที่ 26 มี.ค.นี้จะมีการหารือจังหวัดนำร่องเป็นต้นแบบที่จะเปิดรับต่างชาติ ซึ่งได้มีจังหวัดภูเก็ตเสนอตัวเป็นจังหวัดต้นแบบเป็นแห่งแรก ซึ่งที่ผ่านมาเป็นจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนจริงเพราะถึงพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก และหากต้องการให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 4% จะต้องเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเที่ยวไทยก่อนเดือนต.ค.นี้

เร่งปรับกฎหมายค้ามนุษย์ มุ่งป้องการละเมิดทางเพศและอายัดทรัพย์ เพื่อเยียวยาเหยื่อผู้เสียหาย

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก ประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พร้อมกับคณะกรรมการประสานและกำกับติดตามการดำเนินงาน ทั้งสองคณะต่อเนื่องกัน  ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ ทำเนียบรัฐบาล โดยมี รมว.ยุติธรรม รมว.แรงงาน และรมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมส่วนราชการต่างๆเข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้าการขับเคลื่อนงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล ด้านป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

ที่ประชุมรับทราบการดำเนินงานที่สำคัญ ในการเร่งทบทวนแก้ไขและปรับปรุงกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ .2551  ที่ให้น้ำหนักความสำคัญกับการลดอุปสงค์การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก การบังคับใช้แรงงานหรือการบริการและการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบมากขึ้น  รวมทั้งการกำหนดให้มีแนวทางการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิด เข้ากองทุนเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน  พร้อมกับรับทราบความร่วมมือการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์กับออสเตรเลีย รวมทั้งรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 63 ( Progress Report ) เพื่อประกอบการพิจารณาจัดระดับประเทศในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์

พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำถึงการค้ามนุษย์ เป็นความเสียหายทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ จึงถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ร่วมขับเคลื่อนเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ที่มุ่งความยั่งยืน  จึงต้องพิจารณาให้รอบด้านและครอบคลุมในทุกมิติ  โดยเฉพาะการป้องกันการล่อลวงการละเมิดทางเพศต่อกลุ่มเปราะบาง เด็กและสตรีในสื่อออนไลน์ รวมทั้งการเยียวยาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์มากขึ้น  จึงขอให้เร่งปรับปรุงกฎหมายที่ยังไม่เสร็จสิ้น โดยเฉพาะการมอบหมายให้ สตม. ติดตามการลักลอบผู้โยกย้ายถิ่น และมอบสำนักงาน ป.ป.ง. ติดตามนำเงินที่ได้จากการยึดอายัดทรัพย์ไปเยียวยาผู้เสียหายให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับ การบริหารจัดการกองทุนเพื่อป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยคณะกรรมการบริหารกองทุน ต้องให้โปร่งใสและเป็นไปตามวัตถุประสงค์  ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์ของการจัดทำรายงานความคืบหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ปี 63 และให้ความสำคัญกับความร่วมมือระหว่างประเทศควบคู่กันไปโดยเฉพาะความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ และ ไทย - ออสเตรเลีย  ทั้งนี้ ขอให้พิจารณาปรับแผนปฏิบัติการ ปี 64 รองรับสถานการณ์โควิด-19 และสถานการณ์ทางสังคม เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคการปฏิบัติงาน พร้อมย้ำกับทุกส่วนราชการ เอาผิดเด็ดขาดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้อง

นิพนธ์ฯ กำชับ องค์การจัดการน้ำเสีย เร่งจับมือ ท้องถิ่น แก้น้ำเสีย 7 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน หวังรักษาสมดุลน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค พร้อมประสานทุกความร่วมมือ ดำเนินแนวทาง "น้ำเสีย อยู่คู่ชุมชนได้"

วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะได้เดินทางมาตรวจเยี่ยม เพื่อมอบนโยบายการดำเนินงานขององค์การจัดการน้ำเสีย โดยมี นายพรพจน์ เพ็ญพาส ประธานกรรมการ อจน. พร้อมด้วยคณะกรรมการ นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการ อจน.ให้การต้อนรับ

นายนิพนธ์ กล่าวว่า "ปัญหาน้ำเสียเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยและต้องดำเนินการให้เป็นกิจจะลักษณะเป็นปัญหามลพิษทางน้ำที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ปัญหาน้ำเสียอย่างจริงจัง คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติเห็นชอบกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียขององค์การจัดการน้ำเสียให้ครอบคลุมทุกจังหวัดของประเทศไทย เพื่อเร่งรัดการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเสียของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบูรณาการดำเนินงานร่วมกันระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)

นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้เน้นย้ำให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน รวมถึงการสร้างความตระหนักในการช่วยกันลดความสกปรกของน้ำเสียจากแหล่งกำเนิด การมีส่วนร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน สร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนว่าต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาน้ำเสียด้วยกันถึงจะประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย พร้อมบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างๆ อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เช่น องค์การจัดการน้ำเสีย ในฐานะหน่วยงานในการบริหารจัดการน้ำเสีย การประปาส่วนภูมิภาค และการประปานครหลวง ในฐานะหน่วยงานที่ผลิตน้ำประปา บูรณาการความร่วมมือระหว่างกันในการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการคุณภาพน้ำอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพ เน้นการดำเนินงานตามกรอบแนวทางการกำกับกิจการที่ดีและตามมาตรฐานสากล ดำเนินงานอย่างโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 

อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือต้องเข้าไปประสานงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆที่มีความพร้อมดำเนินการเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาน้ำเสียที่มีมากถึง 7 ล้านลบ.ม.ต่อวัน โดยน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วสามารถนำมาเป็นนำกลับมาใช้ได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย ดังนั้น จึงถือว่าแนวทางดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้การใช้ทรัพยากรน้ำเกิดความคุ้มค่าสูงสุด”

นอกจากนี้ เรื่องบุคลากรถือเป็นกลไกหลักในการสนับสนุนภารกิจขององค์กร ควรมีการเพิ่มศักยภาพความรู้ความสามารถของบุคลากรในองค์กรให้มีทักษะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีในการบำบัดน้ำเสียให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ประชาชนในชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต้องทำให้เห็นว่าน้ำเสียสามารถอยู่คู่กับชุมชนได้อย่างเป็นระบบ มุ่งเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประยุกต์ใช้พื้นที่ของระบบบำบัดน้ำเสียให้เป็นสถานที่ที่ประชาชน โดยใช้โรงงานน้ำเสียที่บำบัดอยู่ใต้ดิน ส่วนข้างบนเป็นสวนสาธารณะ หรือสนามฟุตบอลตามที่ท้องถิ่นต้องการให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมทั้งมีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top