Wednesday, 3 July 2024
Hard News Team

ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

กระทรวงแรงงาน จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์   และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 12 องค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ในสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่มของประเทศไทย โดยสินค้าเหล่านี้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ 

ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา จึงมีพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับ  องค์กรในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม 12 องค์กร ได้แก่ สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย  สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย สมาคมกุ้งตะวันออกไทย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย และคลัสเตอร์สหกรณ์กุ้งคุณภาพภาคใต้ 

เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทยที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและยังเป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการร่วมกัน เช่น การสำรวจข้อมูลของแรงงาน การให้ความรู้แก่แรงงาน การสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันสินค้าของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดผลทางจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป โดยถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาแก่สินค้าของประเทศไทย ทำให้กระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันถือเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ก.แรงงาน จับมือ 12 องค์กร สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ลงนาม MOU มุ่งมั่นแก้ปัญหาแรงงานเด็กและแรงงานบังคับ

กระทรวงแรงงาน จัดพิธีประกาศเจตนารมณ์   และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ ในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ระหว่างสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย จำนวน 12 องค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในฐานะประธานเปิดพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับในกิจการสินค้าประเภท กุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่ม ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ในสินค้าประเภทกุ้ง ปลา อ้อย และเครื่องนุ่งห่มของประเทศไทย 

โดยสินค้าเหล่านี้ปรากฏอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา จึงมีพิธีประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กับ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ประกอบด้วย 12 องค์กร ได้แก่ สมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย  สหสมาคมชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย

สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย  สมาคมกุ้งตะวันออกไทย สมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย และคลัสเตอร์สหกรณ์กุ้งคุณภาพภาคใต้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐและเอกชนไทยที่จะดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและยังเป็นจุดเริ่มต้นในการร่วมมือกันดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการร่วมกัน เช่น การสำรวจข้อมูลของแรงงาน การให้ความรู้แก่แรงงาน การสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (Good Labour Practices : GLP) ไปจนถึงการตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป

ด้าน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า  ปัจจุบันสินค้าของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่มีเหตุเชื่อได้ว่าผลิตโดยการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับ 

ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย เกิดผลทางจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ ผู้บริโภคในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป โดยถูกใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้า ส่งผลต่อการพิจารณาให้สิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกาแก่สินค้าของประเทศไทย ทำให้กระทบต่อธุรกิจการส่งออกอันถือเป็นแหล่งรายได้หลักทางหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ศาลปกครองพิพากษาให้ ‘บุญทรงกับพวก’ ต้องชดใช้ค่าเสียหายคดีทุจริตระบายข้าว G to G มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท ตามจำนวนเดิมรวมกันกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ชี้ชัดแบ่งหน้าที่กันทำ จงใจทุจริต ทำกระทรวงพาณิชย์เสียหาย

ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่

1 นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่ 2 นายอัฐฐิติพงศ์ หรืออัครพงศ์ ทีปวัชระ หรือช่วยเกลี้ยง อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ผู้ฟ้องคดีที่ 3 นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีที่ 4 และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ผู้ฟ้องคดีที่ 5 กับ นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 รมว.พาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 กระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 กรณีมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)

โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ที่มีคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ลับ ที่ 453/2559 ลงวันที่ 19 กันยายน 2559 เรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ารับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กระทรวงพาณิชย์ กรณีการระบายข้าวโดยเจรจาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงที่ 3 รับผิดเป็นเงินคนละ 4,011,544,752.33 บาท ผู้ฟ้องคดีที่ 4 รับผิดเป็นเงิน 2,242,571,739.67 บาท และผู้ฟ้องคดีที่ 5 รับผิดเป็นเงิน 1,768,973,012.66 บาท

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ปฏิบัติหน้าที่ในการระบายข้าวโดยการแบ่งหน้าที่กันทำในลักษณะจงใจกระทำต่อกระทรวงพาณิชย์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับความเสียหายตามสัญญาระบายข้าวรวม 4 ฉบับ คิดเป็นเงินจำนวน 20,057,723,761.66 บาท อันเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้ว มีเหตุให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 5 ไม่ต้องใช้เต็มจำนวนความเสียหาย ตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 การมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดี 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 รับผิดในอัตราร้อยละ 20 ของความเสียหายในแต่ละสัญญาที่แต่ละคนมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้ว

แต่ในส่วนของผู้ฟ้องคดีที่ 3 เพิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว การมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีที่ 3 รับผิดในอัตราร้อยละ 20 เท่ากับผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในสัญญาฉบับที่ 1 และที่ 2 ซึ่งบางส่วนเกิดขึ้นก่อนผู้ฟ้องคดีที่ 3 จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว จึงไม่เป็นธรรม

พิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงพาณิชย์ ลับ ที่ 456/2559 ลงวันที่ 19 กันยายน 2559 เฉพาะในส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 2,694,464,066.21 บาท ยกฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

เอย่าได้ดูคลิปที่หลายคนจะเรียกได้ว่าเป็นคลิปเรียกน้ำตาแห่งปีก็ว่าได้ เมื่อ มิสแกรนด์เมียนมา ‘ฮันเลย์’ (Han lay) ใช้เวทีประกวดขอให้นานาชาติเข้ามาช่วยประเทศของเธอ เพราะตอนนี้ทหารกำลังเข่นฆ่าประชาชน

สำหรับคนที่ไม่อยู่ในเมียนมาตอนนี้ คงน้ำตาท่วมจอแล้วบอกว่า ทหารเมียนมาช่างเป็นคนโหดร้ายฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา แต่สำหรับ เอย่า ที่อยู่ในเมียนมาตอนนี้ อยากตั้งคำถามไปยัง ฮันเลย์ ว่า “ทำไมเธอพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวล่ะ”

อย่างที่คนไทยทราบดีว่าเวทีมิสแกรนด์นี้ เป็นเวทีประกวดนางงามที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเวทีเรียกแขกได้ตลอด ตั้งแต่ผู้จัดที่เอียงข้าง จนถึงตัวแทนประเทศไทยที่จะเรียกได้ว่าได้ตำแหน่งเพราะถอดแบบผู้จัดออกมาแบบด้ามเดียวกัน โดยเฉพาะทัศนคติทางการเมืองที่สุดโต่งแบบค้านระบอบการปกครองของไทยที่เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แต่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งสุดโต่งของเวทีนี้จะไม่ได้สะเทือนแค่ในประเทศไทยเท่านั้น เมื่อตัวแทนมิสแกรนด์คนนี้ได้ขึ้นพูดสุนทรพจน์ด้วยน้ำตาประหนึ่งว่าช่วยผู้คนของเธอด้วย และพยายามบอกว่าประชาชนของพวกเขากำลังโดนฆ่าด้วยทหารของพวกเขาเอง เอย่าว่านี่มันไม่ใช่แล้ว

อันแรกฮันเลย์ ถ้าเธอจำได้ เมื่อหลายปีก่อนผู้นำหญิงที่เธอรักตอนนั้นได้ร่วมมือกับทหารในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา แม้ต่างประเทศจะประณามอย่างไร จะถอดรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอย่างไรก็ตาม ‘โนสน โนแคร์’ ทำไมเธอไม่พูดล่ะ หรือเพราะนั่นเป็นผู้นำที่เธอรัก

อย่างว่าแหละ…รักใครชอบใคร ตดที่ว่าเหม็นก็ยังหอม!!

เรื่องต่อมาทำไมเธอไม่พูดให้ครบล่ะว่าภาพที่เกิดขึ้นหลายๆ ภาพในประเทศเธอทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นถนนด้วยวัสดุต่างๆ ก็ดี หรือล่าสุดคือการเผายางกลางถนนก็ดี มันไม่ได้เป็นฝีมือของทหาร แต่เป็นฝีมือของชาวบ้านที่ข่าวใช้คำว่าผู้ก่อการร้าย

ในเมียนมาตอนนี้ไม่มีผู้ก่อการร้ายหรอก มีแต่ผู้ประท้วงหัวรุนแรงเท่านั้นแหละ!!

ทำไมเธอไม่พูดให้หมดละว่าทำไมคนเมียนมาที่เขาไม่ยอมรับในอำนาจทหารแต่เขาเลือกจะอยู่ที่บ้าน ไม่ออกไปประท้วงหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เป็นแกนนำ ก็ไม่เสียชีวิต

ทำไมเธอไม่พูดล่ะว่าการที่ทหารบุกค้นบ้านพักหรือสถานที่ใดๆ ก็ดี เขาเรียกให้เปิดก่อน แต่ด้วยคนในบ้านไม่เปิดไม่ตอบ เขาถึงต้องใช้กำลังในการบุกเข้าไป

อย่าลืมสิว่าเขาเข้าตรวจค้นนะ จะรอให้พวกคุณทำลายหลักฐานก่อนก็คงไม่ใช่!!

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นตามภาพข่าวนั้น พวกคุณน่าจะรู้ดีนะ บ้านพม่าไม่ใช่หลังใหญ่ขนาดคนเคาะประตูหน้าห้องแล้วจะไม่ได้ยิน ถ้าคุณรีบเปิดประตู ความสูญเสียจากการใช้กระสุนปืนคงไม่เกิดขึ้น คงไม่ต้องบอกนะว่า เอย่า กำลังพูดถึงกรณีไหน? หลายๆ คนคงทราบดี

ถามว่าทำไมถึงรู้? เพราะการบุกค้นไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่บ้านหรือสำนักงานของคนเมียนมาเท่านั้น แม้แต่สำนักงานที่มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติเขาก็ค้น แต่ถ้าเราไม่ขัดขืน ทำตามที่เขาบอก เขาอยากดูอะไร เช็คอะไร เปิดให้เขาดู

คุณรู้ไหมฮันเลย์ ตำรวจและทหารที่เข้าตรวจค้น เขาพูดว่าอะไร เขาบอกว่า “ขอโทษนะครับที่ทำให้พวกคุณกลัว พวกผมทำไปตามหน้าที่ครับ”

ถามว่าคำพูดแบบนี้ทำไมมันไม่เคยปรากฎต่อหน้าสื่อละ เพราะพูดไปใครๆ ก็หาว่าโกหกไงละ เพราะคนพม่าเลือกจะเชื่อไปแล้ว

สุดท้ายในเมื่อคุณเลือกที่จะ ‘หาแสง’ คุณอย่ามาอ้างว่าคุณกลับประเทศคุณไม่ได้ คุณสามารถดำเนินการกลับประเทศคุณได้นะ โดยติดต่อสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ไม่ต้องทำอะไรเลยจ้า แค่ยื่นพาสปอร์ต ลงชื่อไว้ เดี๋ยวเดือนหน้ามี Relieve Flight ทางสายการบินก็ติดต่อคุณเพื่อซื้อตั๋วก็แค่นั้น

แถมไม่ต้องมีการตรวจโควิดหรือทำเอกสาร Fit to Fly ก่อนบินด้วยนะไม่เหมือนคนต่างชาติ…อ้อ ได้ข่าวว่าต้นเดือนเมษายนนี้นี่ มีไฟลท์ คุณก็กลับได้แล้ว อย่าใช้คำอ้างว่าอันตรายแล้วตีเนียนขอลี้ภัยใช้ประเทศไทยเพื่อมาสร้างปัญหาในประเทศเมียนมา

ส่วนคนไทยในคลิปที่อ้างว่านางกลับไปเมียนมาไม่ได้นั้น ไม่ใช่นะจ๊ะ คนเมียนมาไม่มีเงิน เดินทางโดยเครื่องบินไม่ได้หรอก การที่นางมาได้ นางต้องประเมินค่าใช้จ่ายสำหรับตอนกลับไว้แล้ว สิ่งที่นางได้กระทำบนเวทีมิสแกรนด์นั้น นางก็แค่เป็นเหมือนดาราจำนวนหนึ่งที่ไม่เอาด้วยกับการรัฐประหารครั้งนี้

อย่ามาหากินกับวิกฤตบ้านเมืองตัวเอง ถ้าอยากออกตัวแรงวิ่งหาแสง ก็ควรจะรับผิดชอบโดยไปร่วมชุมนุมกับผู้เรียกร้องของเธอนะ อย่ามาเสวยสุขกินหรูอยู่สบายในไทย แล้วปล่อยให้พี่น้องที่เธอบอกว่าทหารกำลังฆ่าพวกขาตายนั้นถูกฆ่าไป โดยอ้างว่ากลับไปไม่ได้

เลือกจะพูดแล้วก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พูดนะคะ เอย่าหวังว่าทางการไทยคงไม่ปล่อยให้นางเป็นคนที่จะสร้างปัญหาในประเทศไทยนะคะ ทุกวันนี้ลำพังปัญหาคนกลุ่มนี้ในประเทศไทยก็มากมายเหลือคนานับแล้ว เป็นเอย่าจะรีบส่งกลับประเทศเมียนมาให้ไวเลยค่ะ

.

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

‘บิ๊กตู่’ จัดให้ ! ฉีดวัคซีนนศ.ไทย ได้กลับไปเรียนต่อจีนและประเทศอื่น

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มีความห่วงใยนักศึกษาไทยที่เรียนอยู่ในต่างประเทศ แต่ยังไม่สามารถกลับไปเรียนต่อได้ เช่น นักศึกษาไทยในประเทศจีน ที่คาดว่าจะมีประมาณ 1,000 คน จึงได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข ทำงานร่วมกัน เพื่อดูแลในเรื่องการจัดการฉีดวัคซีนแก่นักศึกษาทุกคน

ซึ่งขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าได้จัดเตรียมวัคซีนและสถานที่ ๆ สถาบันบำราศนราดูร เพื่อดำเนินการฉีดวัคซีนไว้แล้ว เหลือเพียงการรวบรวมและจัดระบบข้อมูล และกระบวนการอำนวยความสะดวกแก่นักศึกษา ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการอยู่ ขอให้นักศึกษาสบายใจ และรัฐบาลจะแจ้งให้ทราบถึงวันที่ให้เริ่มไปรับการฉีดวัคซีน ที่จะมีให้เร็ว ๆ นี้

รฟท. เดินหน้ารถไฟความเร็วสูงไทย-จีนต่อ พร้อมลงนามก่อสร้างงานโยธาอีก 3 สัญญา คาดให้บริการได้ในปี 2569

วันที่ 29 มีนาคม 2564 ณ ห้องประชุมอาคารสโมสร กระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) จำนวน 3 สัญญา ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย 

โดยนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัทคู่สัญญา ได้แก่ สัญญาที่ 4-3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร-บ้านโพ ผู้แทนจากบริษัท เอ.เอสแอสโซศซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด สัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย ผู้แทนจาก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) สัญญาที่ 4-6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว-สระบุรี ผู้แทนจาก บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีแขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) จำนวน 3 สัญญา ในวันนี้ เป็นโครงการที่สำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญในการเชื่อมไทยสู่โลก และเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสนใจและเร่งรัด ติดตามความก้าวหน้าของโครงการมาโดยตลอด และในขณะเดียวกัน เส้นทางนี้ก็จะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ในการเชื่อมไทยไปสู่ สปป.ลาว และจีน 

โดยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ที่เรียกว่า Belt and Road Initiative หรือ BRI ที่จะเชื่อมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปถึงยุโรปได้ด้วยทางรถไฟ โดยกระทรวงคมนาคมพยายามเร่งรัดโครงการให้เดินหน้าโดยเร็ว ล่าสุด ก็ได้มีการลงนามในสัญญาจ้างงานระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร (สัญญา 2.3) ของโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา) ไปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา 

ส่วนวันนี้เป็นการลงนามในสัญญาก่อสร้างเพิ่มเติม 3 สัญญา ประกอบด้วย สัญญาที่ 4-3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร-บ้านโพ วงเงินก่อสร้าง 11,525,350,500 บาท สัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย วงเงินก่อสร้าง 6,573,000,000 บาท และสัญญาที่ 4-6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว-สระบุรี วงเงินก่อสร้าง 9,428,999,969.37 บาท มีระยะเวลาก่อสร้างแต่ละสัญญา 1,080 วัน รวมวงเงินก่อสร้างทั้ง 3 สัญญา 27,527,350,469.37 ล้านบาท

ด้านนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับสัญญาที่ 4-3 งานโยธาสำหรับช่วงนวนคร-บ้านโพ ประกอบด้วย งานโครงสร้างทางรถไฟเป็นทางยกระดับ 23 กม. งานก่อสร้างทางวิ่งเข้าศูนย์ซ่อมบำรุง งานอาคารและสิ่งปลูกสร้างรองรับงานระบบรถไฟฟ้า งานระบบระบายน้ำ งานรื้อย้ายรางและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ สัญญาที่ 4-4 งานโยธาสำหรับศูนย์ซ่อมบำรุงเชียงรากน้อย ประกอบด้วย ทางรถไฟระดับพื้นในศูนย์ซ่อมบำรุง งานอาคารภายในศูนย์ซ่อมบำรุงรวมถนนต่อเชื่อม ได้แก่ อาคารระบบซ่อมบำรุงขบวนรถไฟ 19 อาคาร อาคารควบคุมระบบการจัดการเดินรถและฝึกอบรม 4 อาคาร  อาคารสำหรับระบบซ่อมบำรุงทาง 8 อาคาร งานก่อสร้างถนนงานระบบระบายน้ำและงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ

สัญญาที่ 4 - 6 งานโยธาสำหรับช่วงพระแก้ว-สระบุรี ประกอบด้วย งานโครงสร้างทางรถไฟ ระยะทางรวม 31.60 กม. แบ่งเป็น คันทางระดับดิน 7.02 กม. และทางยกระดับ 24.58 กม. งานอาคารและสิ่งปลูกสร้างรองรับงานระบบรถไฟฟ้า 7 แห่ง รวมทั้งงานรื้อย้ายสถานีเดิม งานปรับปรุงย้ายถนนเดิม งานก่อสร้าง สะพานข้ามทางรถไฟ งานระบบระบายน้ำ และงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ 

ภายหลังเปิดงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวในตอนท้ายว่า โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ถือเป็นเส้นทางที่มีความสำคัญเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiative: BRI) ที่เชื่อมโยงโครงข่ายระบบรางของไทย อาเซียนและจีนให้เป็นหนึ่งเดียว 

โดยเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นการยกระดับมาตรฐานรถไฟไทย ให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นการลงทุนเพื่อวางรากฐานความมั่นคงด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทยในระยะยาว สนับสนุนให้ประเทศเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาค สร้างโอกาสใหม่ทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว กระจายรายได้ นำความเจริญสู่ท้องถิ่นตลอดแนวเส้นทางโครงการ

คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ทุ่มงบฯ 54.83 ล้าน ตั้ง สคทช. - หนุน กรมป่าไม้ ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม จัดการที่ดิน

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการประชุมร่วมกับคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. จำนวน 9 คณะ และได้รับทราบผลการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ผลการดำเนินงานที่สำคัญของฝ่ายเลขานุการฯ คทช. และคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. 

เห็นชอบแผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยยะสำคัญ (บิ๊ก ร็อค) กิจกรรมปฏิรูปด้านสังคม การสร้างมูลค่าให้กับที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน และ ขอรับการสนับสนุนเพื่อดำเนินการโครงการนำร่องระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน

ที่ประชุมเห็นชอบแต่งตั้งประธานสภาเกษตรกรจังหวัด และท้องถิ่นจังหวัด เป็นอนุกรรมการใน คทช. จังหวัด
และเห็นชอบแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการนโยบายแนวทาง และมาตรการการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินและเห็นชอบเพิ่มหน้าที่และอำนาจของคณะอนุกรรมการจัดที่ดินในการสำรวจ ตรวจสอบ และจัดทำข้อมูลผู้ยากไร้ที่ไม่มีที่ทำกิน และที่อยู่อาศัย 

คทช. เห็นชอบ ร่างประกาศ คทช. เรื่องหลักเกณฑ์การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศ พ.ศ. .... เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 13 โดยคทช. เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานและ การประเมินผลการปฎิบัติงานของ คทช. ตั้งแต่ปีงบประมาณพ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน และให้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐสภา และเผยแพร่ต่อสาธารณะชน

คทช. เห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. เพิ่มเติม เพื่อดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐจำนวน 2 คณะได้แก่ 1. คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) 2. คณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ และการของบฯกลาง จำนวน 8,448,400 บาท เพื่อเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิที่ยังค้างอยู่ โดย คทช. เห็นชอบกรอบอัตรากำลังของ สคทช. จำนวน 100 อัตรา และการของบฯกลาง จำนวน 54,834,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตั้งสำนักงาน รวมทั้งเห็นชอบแบบตราสัญลักษณ์ของสำนักงาน

ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการเสนอความเห็นของ คทช. ประกอบการพิจารณาของ ครม. โดยมอบหมายให้ สคทช. เสนอความเห็นได้ในกรณีเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ กฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือเป็นไปตามแนวนโยบายของ คทช. กรณีที่มีแนวทางปฏิบัติชัดเจน และเห็นชอบให้สำนักงบประมาณ สนับสนุนงบประมาณให้กรมป่าไม้ ในการจัดหาข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูงปี 2557 เพื่อใช้ในการบริหารจัดการที่ดินตามนโยบาย คทช.

ด่วน! เรือ Ever Given เริ่มขยับแล้ว หลังเจ้าหน้าที่ระดมช่วยให้หลุดเกยตื้นในคลองสุเอซตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบขณะนี้มีเรือสินค้ากว่า 450 ลำ รอสัญจร

บริษัทอินช์เคป (Inchcape) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางทะเล ได้ประกาศผ่านทางทวิตเตอร์ว่า เรือ Ever Given ซึ่งเป็นเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ที่เกยตื้นจนกีดขวางเส้นทางสัญจรในคลองสุเอซ ขณะนี้กลับมาลอยได้อีกครั้งแล้ว และกำลังได้รับการช่วยกู้เพิ่มเติมโดยทีมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน

อินช์เคปเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ว่า “เรือ Ever Given ได้รับการกู้จนกลับมาลอยอีกครั้งได้สำเร็จ ณ เวลา 04.30 น.ของวันที่ 29 มี.ค. 2564 ขณะนี้กำลังมีการช่วยกู้อย่างต่อเนื่อง และจะประกาศข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องแผนดำเนินการขั้นต่อไปเมื่อทราบแน่นอนแล้ว”

อินช์เคป ระบุว่า ทีมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการภารกิจกู้เรือครั้งนี้ได้สำเร็จโดยใช้เวลาเกือบ 1 สัปดาห์หลังจากเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ดังกล่าวประสบเหตุเกยตื้นจนกีดขวางเส้นทางสัญจรในคลองสุเอซ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางการค้าที่สำคัญที่สุดในโลก

โดยความสำเร็จในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังทีมปฏิบัติการขุดลอกคลองได้ขุดทรายออกมาแล้ว 2.7 หมื่นลูกบาศก์เมตรจากการขุดสองฝั่งของคลองสุเอซเข้าไปเป็นระยะทางลึก

อย่างไรก็ดี ถึงแม้เรือ Ever Given จะกลับมาลอยได้อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าคลองสุเอซจะสามารถเปิดเส้นทางให้สัญจรได้อีกครั้งเมื่อใด หรือจะต้องใช้เวลานานเท่าใดในการจัดการลำเลียงเรือจำนวนกว่า 450 ลำที่ยังคงติดค้าง รอสัญจร หรืออยู่ระหว่างการเดินทางมายังคลองสุเอซในขณะนี้

.

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/73997


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ปชป. ขอแสดงความยินดีผู้ชนะและเป็นกำลังใจให้ทุกคน ต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกเขตเทศบาลทั่วประเทศ พร้อมทำงานร่วมกัน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่นในส่วนของเทศบาลว่า “ขอแสดงความยินดีต่อผู้ที่ชนะการเลือกตั้งในทุกเขตของเทศบาลทั่วประเทศ

ทั้งผู้บริหาร คือนายกเทศมนตรี และ สมาชิกสภาเทศบาล (สท.) ประชาชนในทุกเขตเทศบาลจะได้มีตัวแทนที่จะเข้าไปทำหน้าที่ในสภาท้องถิ่น และขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่พลาดหวังจากการเลือกตั้ง แต่เชื่อว่าทุกคนจะร่วมกันพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเจริญก้าวหน้าภายใต้การปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตในการทำหน้าที่  พี่น้องประชาชนจะต้องใช้งานคนที่เป็นตัวแทนให้คุ้มค่าจากการใช้สิทธิในการเลือกผู้แทนของตนเข้าไปทำงาน”

พรรคประชาธิปัตย์พร้อมทำงานร่วมกันกับทุกเขตเทศบาลทั่วทั้งประเทศเพื่อร่วมกันทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายคือประโยชน์ของประชาชนและประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ยึดมั่นในอุดมการณ์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นโดยมุ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็งและมีธรรมาภิบาล เพื่อให้สามารถเข้าถึงปัญหาและแก้ไขได้ตรงกับความต้องการของคนในท้องถิ่นนั้น จุดเริ่มต้นที่สำคัญของการพัฒนาบ้านเมือง ท้องถิ่นถือเป็นกลไกที่สำคัญที่สุด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top