Friday, 27 June 2025
Hard News Team

“โครงการอาสาตาจราจร มอบเงินเจ้าของคลิปอุบัติเหตุ หรือรถที่ฝ่าฝืนกฎหมาย รวม 100,000 บาท”

ตำรวจ จับมือ วิริยะประกันภัย มูลนิธิเมาไม่ขับ มอบเงินรางวัลรอบเดือน ม.ค.- ก.พ.65 หวังช่วยลดอุบัติเหตุ และเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ

วันนี้ (18 ม.ค. 65) เวลา 10.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) ,พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์  รอง ผบช.น. พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ, คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ผู้แทนสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์  สวพ.91 และ สถานีวิทยุ จส.100  ร่วมแถลงผลการมอบรางวัลและเกียรติบัตร โครงการอาสาตาจราจร ประจำเดือน ม.ค. และ ก.พ. 65 ให้แก่เจ้าของคลิปวิดีโอที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 20 คลิป  

โครงการมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนทุกคนร่วมเป็นอาสาตาจราจร สามารถส่งข้อมูลพยานหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือ การกระทำความผิดบนท้องถนนต่างๆ ผ่านทางกล้องหน้ารถ หรือโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถส่งคลิปวิดีโอผ่านช่องทางมูลนิธิเมาไม่ขับ, ศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร. , จส.100 และ สวพ.91 และแต่ละเดือนมูลนิธิเมาไม่ขับจะพิจารณาคัดเลือกคลิปที่เป็นการกระทำผิดกฎจราจรสำคัญหรือคดีอุบัติเหตุจราจร  และคลิปนั้นใช้เป็นหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ทำกระทำผิดได้ตามกฎหมาย เดือนละ 10 รางวัล  รางวัลที่ 1  20,000 บาท , รางวัลที่ 2  10,000 บาท , รางวัลที่ 3  6,000 บาท และรางวัลชมเชย 7 รางวัลๆละ 2,000 บาท  รวม 50,000 บาทต่อเดือน  โดยได้รับการสนับสนุนเงินรางวัลจากบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด  

สำหรับในเดือน ม.ค. และ ก.พ.65 มีคลิปการกระทำผิดที่สำคัญ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการฝ่าฝืนเครื่องหมายทางข้าม (ทางม้าลาย) ดังนี้

1) คลิปรถเอสยูวี กลับรถตรงสี่แยกคู้บอน ชนคนเดินข้ามถนนตรงทางม้าลายได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 65 พื้นที่ สน.คันนายาว ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีกับผู้ขับขี่รถเอสยูวี จำนวน 5 ข้อหา  1.ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ (ปรับ 400 บาท)  2.กลับรถในที่ห้าม (ปรับ 1,000 บาท) 3.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย (ปรับ 1,000 บาท) 4.นำรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียนมาใช้ในทาง (ปรับ 1,000 บาท) 5.ใช้รถยนต์ที่ติดป้ายสำหรับขายหรือซ่อม (ป้ายแดง) ในเวลากลางคืน (ปรับ 1,000 บาท) เปรียบเทียบปรับผู้ขับขี่ รวมเป็นเงิน 4,400 บาท

2) คลิปรถโดยสารและรถบรรทุก ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย ขณะที่ไฟสัญญาณทางข้ามเป็นไฟแดงพื้นที่ สน.พญาไท อยู่ระหว่างดำเนินการเรียกตัวผู้ขับขี่มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

3) คลิปรถจักรยานยนต์ไรเดอร์ เลี้ยวกลับรถบริเวณเกาะกลางทางม้าลายคนข้าม จนเกือบชนคนเดินข้ามถนน พื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ อยู่ระหว่างดำเนินการเรียกตัวผู้ขับขี่มาดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มโครงการมา  มีประชาชนส่งคลิปมาจำนวนมาก  มีคลิปที่เป็นพยานหลักฐานในทางคดีได้ทั้งหมด 76 คลิป  ซึ่งคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ ศจร.ตร. ได้ส่งข้อมูลและเร่งรัดติดตามผลคดี กับสถานีตำรวจที่เกิดเหตุ  จนสามารถติดตามตัวผู้กระทำผิดตามคลิปมาดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว จำนวน 25 คดี    
 

'มาคาเลียส' จับมือพันธมิตรโรงแรมดังใกล้กรุง อัดโปรโมชั่นแรงดักกำลังซื้อก่อนสงกรานต์

มาคาเลียส (Makalius) สตาร์ตอัปธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทย เผยภาพรวมการท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้นตัว ปัจจัยหลักจากภาครัฐคลายล็อกดาวน์ พร้อมเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19 เกินกว่าครึ่ง ส่งผลให้คนไทยออกมาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เพราะมั่นใจในสถานการณ์ปัจจุบัน เตรียมอัดโปรโมชั่นแรง ดักกำลังซื้อคนไทยเตรียมเที่ยวช่วงสงกรานต์

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด (Makalius) กล่าวว่า “ภายหลังจากภาครัฐบาลได้มีมาตรการเร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงการคลายล็อกดาวน์ในช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนเริ่มเกิดความมั่นใจและออกมาท่องเที่ยวกันเพิ่มมากขึ้น ทำให้ภาพรวมการท่องเที่ยวภายในประเทศเกิดการฟื้นตัวตามลำดับ จากการสำรวจอัตราการซื้อของผู้บริโภคมาคาเลียส พบว่า กว่า 50% เริ่มหันมาจองวอเชอร์ที่พักสำหรับการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น จากเดิมจะเน้นไปที่การจองวอเชอร์รับประทานอาหารบนเรือสำราญ ซึ่งที่พักยอดนิยมส่วนใหญ่จะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ได้แก่ เกาะช้าง กาญจนบุรี พัทยา หัวหิน เป็นต้น ส่วนอัตราการซื้อวอเชอร์ในแต่ละครั้งเฉลี่ยที่ 5,000-10,000 บาทต่อครั้ง และยังคงรูปแบบการท่องเที่ยวกับกลุ่มคนใกล้ชิด อย่างคู่รักและครอบครัว อีกทั้งยังเลือกที่พักที่มีบริการครบจบในสถานที่เดียว

“บิ๊กตู่” มอบรางวัลเชิดชูเกียรติ อสม.สาธารณสุข ดีเด่น “ชู” เป็นกลไกสำคัญแบ่งเบาภาระ ก่อนพบหมอประจำบ้าน “วอน” ช่วยสร้างการรับรู้ประชาชน หวั่นตกเป็นทาสตลาดอาหารเสริมออนไลน์ พร้อมฝากประชาสัมพันธ์งานรัฐบาลไปพร้อมกัน 

ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านดีเด่น เนื่องในวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ ประจำปีพุทธศักราช 2565 สำหรับรางวัลที่ได้รับไปในครั้งนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะตัวเองแต่เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว บุตรหลาน ในการทำงานที่เสียสละและมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในปัจจุบัน ทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยได้มีการวางรากฐานทางด้านระบบสาธารณสุขมาอย่างยาวนานและเข้มแข็ง เห็นได้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโลกในปัจจุบัน ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกๆ ที่สามารถบริหารจัดการ ในการบริหารจัดการโรคระบาดในครั้งนี้ ซึ่งกลไกที่สำคัญที่สุดของเราคือ อสม. ที่ทำงานด้วยใจด้วยความรักโดยเฉพาะการรักคนไทยด้วยกันมีการเสียสละช่วยกันทำงาน สร้างความทึ่งให้กับต่างชาติ  ซึ่งประเทศไทยยินดีที่จะให้คำแนะนำกับประเทศต่างๆ เพราะประเทศที่มีรายได้น้อยซึ่งในอาเซียนก็ยังมีอยู่ก็อยากมี อสม. เหมือนกับไทย เพราะบางประเทศการสัญจรไปมาไม่เหมือนกับบ้านเราการเดินทางมีความยากลำบาก จึงต้องการที่จะมีบุคลากรดำเนินการในชั้นประฐมภูมิ เพื่อแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลหลักให้ได้มากที่สุดหรือบรรเทาความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้นเพราะถ้าปล่อยประละเลยไปก็จะเกิดความเจ็บปวดมากขึ้นจนกระทั่งถึงการเสียชีวิต

“อสม. ถือเป็นนักรบในด่านหน้าของเรา ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง อะไรที่จะสามารถดูแลได้รัฐบาลก็จะดูแลให้อย่างเต็มที่ โดยขอให้เข้าใจว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นก็อาจจะดูแลได้มากยิ่งขึ้นในวันข้างหน้า วันนี้ขอให้ทำงานไปด้วยใจให้ผ่านสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปก่อน ผมยืนยันว่า จะดูแลให้ดีที่สุด”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการที่เรามี อสม. ที่เข้มแข็งและทุ่มเท  องค์การอนามัยโลกเห็นพ้องและกล่าวชื่นชม ว่า อสม.ถือเป็นพลังสำคัญในการจัดการกับปัญหาทางด้านสุขภาพ ปัจจุบันแม้จะมีการแพร่ระบาดของโรคไวรัส โควิด-19 มาเป็นเวลายาวนานเป็นปีๆ ที่ผ่านมา ก็ยังสร้างความเชื่อมั่นในระบบบริการสาธารณสุขของไทย บุคลากรด้านการแพทย์ และ อสม.ทุกคน ที่มีความพร้อมรับมือวิกฤติที่เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องยึดถือ คือความปลอดภัยของคนในชาติ ส่งเสริมให้ทุกคนมีสุขภาพดีวิถีใหม่ รองรับการเปิดและพัฒนาประเทศในอนาคต รัฐบาลและตนได้วางนโยบายไว้หลายอย่างในการปฏิรูปประเทศเพื่อให้มีการเจริญเติบโตอย่างทัดเทียมและเข้มแข็งกับนานาประเทศ การเพิ่มรายได้จีดีพีของประเทศทั้งด้านการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในเศรษฐกิจใหม่ อุตสาหกรรมใหม่ ในหลายพื้นที่ซึ่งทำให้เราเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจ เป็นประเทศที่เป็นเป้าหมายหลัก ในการลงทุน เพราะประเทศไทยมีความสงบสุขร่มเย็น มีการดูแลอย่างดียิ่งจากบุคลากรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน เรามีคนที่มีจิตใจที่เปิดกว้าง เป็นเจ้าภาพที่ดีกริยามารยาทเรียบร้อย อาหารอร่อย มีสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมาก เป็นทรัพยากรที่เรามีอยู่นอกเหนือจากทรัพยากรธรรมชาติเรายังมีทรัพยากรบุคคล ที่มีอัตลักษณ์และความงดงาม 

“ วันนี้ถ้าพูดถึงสัดส่วนการดูแลของแพทย์พยาบาลเมื่อเทียบกับสัดส่วนของประชาชนก็ยังอยู่ในจำนวนที่ไม่มากนัก แต่เรามี อสม.เข้ามาช่วย ลดภาระการไปโรงพยาบาล ขอฝากคำขอบคุณไปถึง อสม.ทั่วประเทศ รัฐบาลตระหนักถึงคุณค่าและความดีของทุกคน ที่เข้ามาทำงานด้วยจิตอาสา ทำให้เกิดความแข็งแกร่งในระบบปฐมภูมิของเรา วันนี้ต้องยอมรับว่าประชาชนเราเข้าไม่ถึงภาคบริการประชาชนเพราะเกิดความไม่เข้าใจไม่รู้ว่ารัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง จึงขอฝากหน้าที่นี้ไว้ด้วย ไหนๆ ก็ไปดูแลในเรื่องของโรค คนเจ็บป่วยอยู่แล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่เล่าและชี้แจงให้ประชาชนฟังว่า การเข้าถึงการบริการนั้นทำอย่างไร การใช้ระบบออนไลน์ของการบริการภาครัฐที่ไม่ต้องเดินทางหรือเป็นภาระ ขอให้ทำงานเพื่อสังคม

‘หลวงพี่อุเทน’ ควง ‘โยคีปอ - โรเบิร์ต’ ตั้งโต๊ะแถลง เล่นใหญ่! ร้อง ‘ผบ.ตร.’ โดนตชด.คุกคาม

พระญาณวิกรม หรือ หลวงพี่อุเทน โวย เจอ ตชด.สกัด ขณะพา "โยคีปอ-โรเบิร์ต" ขึ้นเขากระโจม ปฏิบัติธรรม ร้องผบ.ตร. - ผบช.ตชด.ช่วยตรวจสอบ ด้าน "โยคีปอ" สัญญา ไม่คิดหนีข้ามชายแดน

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 65 พระญาณวิกรม หรือหลวงพี่อุเทน สิริสาโร เจ้าอาวาสวัดท่าไม้ จ.สมุทรสาคร พร้อมด้วย นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ ไฮโซปอ และนายไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์ หรือ โรเบิร์ต ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ณ ธรรมสถาน วิโมกสิวาลัย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ดังนี้

-เมื่อคืนถูก ตชด.ล้อมและสกัดรถ สะกดรอยตามตั้งแต่บนเขากระโจม พอออกไปจากวัดเพื่อจะเดินทางไปยัง จ.กาญจนบุรี ก็ถูกสกัดรถ จนต้องกลับเข้ามาใหม่ โดยกลุ่มคนเหล่านั้น ไม่แสดงตัว บอกเพียงแค่ว่านายสั่งมา

'มนัญญา' สั่งลุย! สกัดส้มโอสวมสิทธิ์ใบรับรอง GAP เตรียมส่งออกจีน

'มนัญญา'  สั่งเข้มกรมวิชาการเกษตรลุยตรวจผลผลิตส้มโอส่งออกป้องปัญหาสวมสิทธิ์   สวพ.2 เจอคาล้งจ.พิจิตรแจ้งส่งออก 22.15 ตัน   โป๊ะแตกพบผลผลิตมาจากแปลง GAP แค่ 1.30 ตัน  ที่เหลือกว่า 20 ตันทั้งขาวแตงกวาและทับทิมสยามย้อมแมวสวมสิทธิ์ใบรับรอง GAP ระงับส่งออกทันที
นางสาวมนัญญา  ไทยเศรษฐ์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เปิดเผยว่า    ในช่วงฤดูกาลส่งออกผลไม้ของทุกภาคได้กำชับให้กรมวิชาการเกษตรเข้มงวดตรวจสอบและเฝ้าระวังปัญหาการนำผลไม้มาสวมสิทธิ์เป็นผลไม้ไทยและสวมใบรับรอง GAP เพื่อส่งออกไปประเทศที่ 3 เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในประเทศและอาจทำให้มีแมลงศัตรูพืชกักกันที่ไม่เคยมีในประเทศติดเข้ามาแพร่ระบาดภายในประเทศ  โดยสถานการณ์ล่าสุดได้รับรายงานจากกรมวิชาการเกษตร ว่า ได้ระงับการส่งออกส้มโอที่โรงงานคัดบรรจุแห่งหนึ่ง ที่ตำบลโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร เนื่องจากนำส้มโอจำนวนหนึ่งมาสวมสิทธิ์ใบรับรอง GAP เตรียมส่งออกไปจีนจึงได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรเข้มงวดตรวจสอบผลผลิตส้มโอที่จะส่งออกเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการตรวจสอบปริมาณผลผลิตที่ขออนุญาตส่งออกว่าสัมพันธ์กับพื้นที่แปลงGAP หรือไม่
 
นายระพีภัทร์  จันทรศรีวงศ์  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า  ได้มอบหมายให้สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2  จ.พิษณุโลก (สวพ.2) ซึ่งเป็นหน่วยงานในส่วนภูมิภาคของกรมวิชาการเกษตร ดำเนินการตรวจโรงคัดบรรจุส้มโอในพื้นที่จังหวัดพิจิตรเพื่อตรวจสอบปริมาณผลผลิตที่ทำการส่งออกป้องกันการนำผลผลิตที่ไม่ผ่านการรับรองแหล่งผลิต GAP มาสวมสิทธิ์ รวมทั้งป้องกันการลักลอบนำเข้าส้มโอจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์เป็นส้มโอไทยแล้วส่งออกไปประเทศจีน ซึ่งได้รับรายงานจากนางสาวฉันทนา คงนคร ผอ.สวพ 2 ว่า จากการลงพื้นที่สุ่มตรวจโรงคัดบรรจุส้มโอในจังหวัดพิจิตรจำนวน 3 โรง พบข้อสังเกตในโรงคัดบรรจุผลไม้ส่งออกจำนวน 1 โรง ที่ ตำบลโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร มีผลผลิตส้มโอเตรียมส่งออกจำนวน 22.15 ตัน ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าเป็นส้มโอที่เป็นผลผลิตมาจากแปลงGAP จำนวน 1.30 ตัน ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 20.85 ตัน เป็นผลผลิตที่นำมาสวมสิทธิ์แปลง GAP จึงไม่อนุญาตให้นำส้มโอที่สวมสิทธิ์ใบรับรอง GAP จำนวนดังกล่าวส่งออกไปจีน

 

‘ธรรมนัส’ นำทีมจัดทัพ "พรรคเศรษฐกิจไทย" ชู สโลแกน  “มั่นคง มั่งคั่งทั้ง แผ่นดิน”

สุดคึก!! ‘ธรรมนัส’ นำทีมจัดทัพ ‘เศรษฐกิจไทย’ เปิดตัวพรรค อดีตส.ส.-ดาราร่วมงาน จ่อไหลเข้าอีก ชู สโลแกน “มั่นคง มั่งคั่ง ทั้งแผ่นดิน” ด้านพล.อ.วิชญ์ ยันยังรัก ‘พี่ป้อม’ เหมือนเดิม

เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 18 มี.ค. ที่อาคารประชุมยูทาวเวอร์ ถนนศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเศรษฐกิจไทย (ศ.ท.) ได้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2565 โดยมีพล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา สมาชิกพรรคเศรษฐกิจไทย และว่าที่หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายสมศักดิ์ คุณเงิน ส.ส.ขอนแก่น พร้อมส.ส.พรรค และสมาชิกพรรคจากทุกภาคทั่วประเทศ เข้าร่วม 

ต่อมาเวลา 09.58 น. พล.อ.วิชญ์ และร.อ.ธรรมนัส ได้นำส.ส.พรรคทำพิธีบวงสรวงเจ้าที่ เนื่องในโอกาสเปิดที่ทำการพรรค เป็นครั้งแรก เพื่อเป็นสิริมงคล ขณะที่บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีสมาชิกพรรคจากทุกภาคทั่วประเทศ รวมถึงอดีตส.ส.และบุคคลซึ่งเป็นที่รู้จักในสังคมร่วมประชุมในฐานะสมาชิกพรรค อาทิ นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย และอดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 นายไพร พัฒโน อดีตส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นายปีเตอร์ ไมอ๊อกชิ นักแสดง 

นอกจากนั้นนายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และนายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักธรรม เดินทางมาแสดงความยินดีในนามส่วนตัว ทั้งนี้สมาชิกของพรรคที่เดินทางมาประชุม จะได้รับการแจกเสื้อยืด สกรีนชื่อพรรคเศรษฐกิจไทย “มั่นคง มั่งคั่ง ทั้งแผ่นดิน” โดยมีโลโก้เป็นลูกศรสามเส้นชี้ขึ้น ใช้สีธงชาติ

จากนั้นสมาชิกทั้งหมดได้เข้าร่วมประชุม โดยมีวาระปรับแก้ข้อบังคับพรรค และตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหญ่ ทั้งนี้ในช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้ จะมีการประชุมใหญ่พรรคอีกครั้ง และจะเปิดตัวบุคลากรที่จะมาร่วมงานอย่างเป็นทางการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ซึ่งก่อนการเริ่มประชุมได้เปิดวีดิทัศน์ที่มาของพรรคร่วมถึง วิสัยทัศน์ “สร้างเศรษฐกิจไทยให้มั่งคั่ง สร้างชีวิตคนไทยให้มั่นคง ก้าวสู่แนวหน้าทางเศรษฐกิจในเวทีโลก” 

สำหรับโลโก้พรรคเศรษฐกิจไทยลูกศรสีธงชาติทะยานขึ้น หมายถึงพรรคเศรษฐกิจไทย พร้อมจะนำพาพัฒนาประเทศไทย พุ่งทะยานสู่ความเจริญรุ่งเรือง แถบเงาสีเทาหมายถึงปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของประชาชนทุกสาขาอาชีพ ที่บอบช้ำมานานจะต้องได้รับการแก้ปัญหา และนำพาประชาชนไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ทั้งแผ่นดิน

'สมอ.'​ เข้ม!! มาตรฐาน 'หน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว'​ ป้องกันแพร่เชื้อ​ อ้างอิงตามมาตรฐานสากล

สมอ. เข้ม!! มาตรฐานหน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว ให้สอดคล้องตามสินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาด เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคมากยิ่งขึ้น โดยอ้างอิงตามมาตรฐานสากล เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตนได้กำชับให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งออกมาตรฐานหน้ากากอนามัย รวมทั้งอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง หากมาตรฐานฉบับใดไม่ทันสมัยก็ให้ทบทวนแก้ไขปรับปรุง เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ผลิตสินค้าให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน มีความปลอดภัยต่อการนำไปใช้ และลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยให้ครอบคลุมการใช้งานทุกประเภท ทั้งเพื่อป้องกันฝุ่น pm 2.5 ป้องกันโรคติดต่ออื่นๆ ที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ รวมถึงป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะโรคโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน หน้ากากอนามัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนที่ต้องใส่เมื่อออกนอกเคหสถาน ทำให้ปริมาณความต้องการใช้หน้ากากอนามัยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา กมอ. ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐานหน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว มอก.2424-25xx ที่ สมอ. ได้แก้ไขใหม่ จากมาตรฐานเดิม มอก.2424-2562 เพื่อให้สอดคล้องกับสินค้าที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ที่มีหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายประเภท รวมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคทางการค้าการส่งออกของผู้ประกอบการไทยในอนาคต โดยเร่งรัดให้ สมอ. ดำเนินการประกาศเป็นสินค้าควบคุมในคราวเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ภายในปีนี้ 

นอกจากนี้ กมอ. ยังได้เห็นชอบมาตรฐานอื่นๆ อีกรวม 49 มาตรฐาน เช่น มาตรฐานมือจับประตูและราวจับสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ เครื่องชั่งและบรรจุข้าวสาร เครื่องเรียงขวดพลาสติก ดวงโดมไฟฟ้า สายไฟฟ้าสำหรับอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า น้ำตาลทราย และแป้งมันสำปะหลัง เป็นต้น

ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐานฉบับเดิม มอก.2424-2562 ครอบคลุมเฉพาะหน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียวที่ใช้ป้องกันอนุภาค เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่ง ได้แก้ไขเป็น มาตรฐานหน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว มอก.2424-25xx โดยมีสาระสำคัญของการแก้ไข เพื่อให้สอดคล้องกับสินค้าที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ที่มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบจีบ แบบถุงหรือแบบปากเป็ด และแบบถ้วย โดยเพิ่มความเข้มข้นรายการทดสอบประสิทธิภาพการหายใจมากขึ้น และมีการแบ่งประเภทและระดับการป้องกันใหม่ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน  

'เทพไท'​ ปวดใจ!! ส.ส.ยุคกินกล้วย ไม่ต่างจาก ส.ส.โสเภณีในอดีต ชี้!! ทำการเมืองถอยหลังลงคลองไป 50 ปี

18 มี.ค. 65​ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า... 

ตนเห็นบรรยากาศการจัดเลี้ยงอาหารมื้อค่ำ ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับกลุ่มส.ส.พรรคเล็ก ที่สโมสรราชพฤกษ์แล้ว สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้กลายเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว ทำให้ย้อนถึงบรรยากาศการเมืองในยุคการเลือกตั้งปี 2512 ของจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งส.ส.ในยุคนั้นรัฐธรรมนูญ ปี 2511 บัญญัติให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค ซึ่งไม่ต่างอะไรกับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่มีส.ส.ปัดเศษ ทำให้เกิดสภาพ ส.ส.พรรคเล็กจำนวนมาก ที่มีอำนาจการต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาลสูงมาก จนทำให้คนระดับนายกรัฐมนตรี จะต้องแคร์ความรู้สึก และเอาใจกลุ่มพรรคเล็กกลุ่มนี้ และมีการตั้งเงื่อนไขต่อรอง เรียกร้องการดูแลเป็นพิเศษ ทำให้การเมืองไทยถอยหลังเข้าคลองไปอีก 50 ปี

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าในพ.ศ. นี้ เรายังได้เห็นบรรยากาศการแจกล้วยให้กับส.ส. หรือส.ส.กินกล้วย ไม่ต่างอะไรกับ ส.ส.โสเภณีในยุคปี 2512 เพียงแต่มีการเปลี่ยนถ้อยคำเป็น ลิงกินกล้วย ให้ฟังแล้วดูดีกว่า ส.ส.โสเภณีขายตัวในอดีต” นายเทพไท ระบุ

ไทยเกือบเหมือน 'ยูเครน' หากไร้ 'ปราชญ์แห่งสยาม' พลิกเกม!! หลังพลาดตามก้นเมกา ปล่อยตั้งฐานทัพบินถลาถล่มเพื่อนบ้าน

เป็นที่รู้กันว่า เหตุที่ยูเครนถูกรัสเซียถล่มในตอนนี้ ก็เพราะหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในสมัยประธานาธิบดี มิคาอิล กอร์บาชอฟ แตกเป็นรัฐเล็กๆ ถึง ๑๕ รัฐ หลายรัฐได้หันเข้าไปหาชาติตะวันตก หวังจะให้ช่วยคุ้มกัน ยอมร่วมสนธิสัญญานาโต้ จึงค่อยๆ ขยายตัวโอบล้อมรัสเซียเข้ามา จนกระทั่งยูเครนที่รัสเซียหวังให้เป็นกันชน เมื่อประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่มาจากคนดังแต่ยังอ่อนประสบการณ์ทางด้านการเมือง ก็จะเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ด้วย รัสเซียจึงยอมไม่ได้ที่จะให้นาโต้ที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อจะเล่นงานรัสเซียโดยเฉพาะ เอาอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาตั้งจ่อคอ

ไทยเราก็เกือบเหมือนยูเครน เมื่อรัฐบาลยุคหนึ่งใช้นโยบาย “ตามก้นอเมริกา” ส่งทหารไปร่วมรบในเวียดนามแล้ว ยังยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา, อุดรธานี, นครพนม, อุบล, โคราช, ตาคลี รวมทั้งดอนเมือง ส่งเครื่องบินรบทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่มี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามเหนือและลาว สัปดาห์ละ ๘๗๕-๑,๕๐๐ เที่ยว เครื่องบินทิ้งระเบิด B-๕๒ เที่ยวหนึ่งขนได้ ๓๒ ตัน รบกันถึง ๑๙ ปี ๖ เดือน ไม่รู้ว่าถล่มระเบิดไปกี่ล้านตัน แต่ก็แพ้ ต้องถอนทหารกลับไป

แต่เมื่อสหรัฐต้องถอนทหารออกจากเวียดนามใต้ในเดือนเมษายน ๒๕๑๘ ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน ประเทศไทยก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๓ คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นปราชญ์ที่ลึกซึ้งทั้งประวัติศาสตร์และการเมือง ไม่ใช่มือใหม่หัดขับ อ่านสถานการณ์ได้ทะลุว่า ขืนล่มหัวจมท้ายกับอเมริกันต่อไปต้องถูกเวียดนามคิดบัญชีแน่

ในการแถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘ นายกรัฐมนตรีจึงประกาศว่าปรารถนาจะสถาปนาการทูตระหว่างไทยจีนขึ้นใหม่ เป็นการส่งสัญญาณไปถึงจีนก่อน

ต่อจากนั้นในวันที่ ๓๐ มิถุนายน นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ ก็บินเงียบฝ่ากฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ไปพบผู้นำจีน ซึ่งทำให้โลกเสรีต้องตกตะลึง

การต้อนรับคณะนายกรัฐมนตรีไทยนั้น เป็นการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์อย่างที่จีนไม่เคยต้อนรับใครมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจหรือมุขบุรุษของประเทศใด นอกจากได้เข้าพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีโจวเอนไล และรองนายกรัฐมนตรีเติ้งเสี่ยวผิงแล้ว ประธานเหมาเจ๋อตุงในวัยชรา ยังเพิ่มรายการพิเศษแหวกคิวกะทันหันให้ไปพบขณะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน และคุยกันอย่างเป็นกันเองเป็นเวลายาวนาน ซึ่ง สละ ลิขิตกุล นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ผู้ติดตามคึกฤทธิ์บันทึกไว้ว่า

"ถึงใจพระเดชพระคุณ" อย่างผู้ใหญ่พูดกับลูกกับหลาน ถาม พล.ต.ชาติชายว่า “ไอ้หนูนี่เคยมาเมืองจีนแล้วไม่ใช่หรือ” ส่วน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็เรียก “ไอ้หนู” เหมือนกัน เข้ามากอดและตบบ่า เป็นการทูตแบบตะวันออกที่ตะวันตกไม่มีทางเข้าใจ
ก่อนหน้าที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะพาทีมไปจีนนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้ไทยได้ประกาศเปลี่ยนนโยบาย

ในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๘ หลังจากที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๑๙ มีนาคม ก็เกิด “กรณีมายาเกซ” ขึ้น เมื่อเรือสินค้าของสหรัฐอเมริกาชื่อ มายาเกซ บรรทุกเวชภัณฑ์และเสบียงจะมาท่าเรือสัตหีบ ขณะแล่นผ่านเข้าไปใกล้ชายฝั่งกัมพูชา ได้ถูกเรือปืนเขมรแดงยึดและจับลูกเรือเป็นประกัน สหรัฐจึงส่งนาวิกโยธินจำนวน ๑,๐๐๐ นายจากโอกินาวามายังฐานทัพอู่ตะเภา และเข้าไปชิงลูกเรือที่ถูกควบคุมอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งโดยมีเครื่องบินจากฐานทัพอุดรธานีและนครราชสีมาเข้าร่วม หลังจากรบกัน ๓ วันก็สามารถช่วยลูกเรือกลับมาได้ แต่ทหารสหรัฐเสียชีวิตไป ๔๐ คนและสูญหายไปอีกจำนวนหนึ่ง

เรื่องนี้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก รัฐบาลไทยเห็นว่าสหรัฐใช้ดินแดนไทยไปปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จึงได้เชิญอุปทูตสหรัฐมาพบ ประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการกระทำของสหรัฐ และเรียกร้องให้สหรัฐถอนกำลังกลุ่มนี้ออกไปทันที

ต่อมาในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ ยังได้เชิญอุปทูตสหรัฐมาพบ เพื่อแจ้งอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลไทยจะทบทวนความร่วมมือและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐทั้งหมด และในวันเดียวกันก็มีคำสั่งให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันเดินทางกลับกรุงเทพฯ แสดงความไม่พอใจในการกระทำในครั้งนี้

Sberbank​ แบงก์ยักษ์รัสเซีย​ ออกสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเอง คาด!! เชื่อมโยงกับระบบการเงินจีนได้

Sberbank ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียได้ประกาศอนุมัติการออกสินทรัพย์ดิจิทัลทางการเงิน (Digital Financial Assets) บน Blockchain เป็นของตัวเองภายใน 1 เดือนต่อจากนี้ โดยจะใช้เทคฯ แบบ Defi มาผสมผสานบางส่วน และคาดว่าระบบเหล่านี้จะมีการเชื่อมโยงกับจีน ซึ่งอาจจะได้เห็นอย่างรวดเร็วต่อจากนี้

กระแส "โหดจัดรัสเซีย" ยังคงมีมาให้เห็นอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว !! หลังจากล่าสุด Sberbank ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ได้ประกาศอนุมัติการออกสินทรัพย์ดิจิทัลทางการเงินหรือ (Digital Financial Assets : DFAs) ที่รันผ่านระบบ Blockchain เป็นของตัวเองแล้ว !! ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่มาก ซึ่งทาง World Maker สรุปรายละเอียดสำคัญไว้ดังนี้... 

1.) DFA ที่ออกบนแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล (digital assets platform) ของ Sberbank นั้นจะถูกบันทึกและเผยแพร่ผ่านระบบข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (distributed ledger technology) ซึ่งถือเป็นการรับรองความปลอดภัยของข้อมูลและทำให้ข้อมูลไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้

2.) โดยทาง Sberbank จะใช้ DFAs นี้ในการทำธุรกรรมใหม่ รวมถึงการระดมทุนเข้าประเทศ และแน่นอนว่าจะมีการขยายระบบไปสู่ภาคธนาคารของรัสเซียหลายแห่งในอนาคต

3.) แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ จะเป็นไปตามข้อกฎหมายที่รัฐบาลรัสเซียรองรับแบบ 100% หรือพูดง่ายๆ คือ​ รัฐบาลรัสเซียตั้งใจสร้างระบบการชำระเงินใหม่ขึ้นมานั่นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top