Friday, 5 July 2024
Hard News Team

"อนุทิน" ลุยยกระดับสิทธิ์ "บัตรทอง" พัฒนางานบริการประชาชน

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 ที่สำนักพิมพ์ มติชน ในงานเสวนาพิเศษ "ร่วมทางเดียวกัน จาก 30 บาทรักษาทุกโรค สูตร 30 บาทรักษาทุกที่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวหนังสือ “ระหว่างบรรทัด" นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโครงการบัตรทอง โดยระบุว่า  ในอดีตสิ่งที่ตนเกลียดมากคือคำว่าผู้ป่วยอนาถา เป็นผู้ป่วย เป็นคนไทยที่มีสิทธิ์ในชีวิต น้อยกว่า แต่โครงการบัตรทองได้เข้ามาทำลายภาพดังกล่าวจนหมด ทำให้คนไทยมีสิทธิ์ ในการรักษาพยาบาล เป็นสิทธิ์ที่จะได้รับการบริการจากภาครัฐ ในฐานะคนไทย

เมื่อย้อนกลับไป ในวันที่เดินหน้าโครงการ ไม่เคยกังวลเรื่องโรงพยาบาลจะล้มละลาย เพราะรัฐดูแลอยู่แล้ว ที่สำคัญยังเป็น Pilot Project ที่ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน และต้องทำให้สำเร็จ 20 ปีที่ผ่านมามีการปรับปรุงพัฒนาระบบของโครงการ จึงเป็นที่มาของคำว่า 30 บาทรักษาทุกที่เพราะรักษาทุกโรคอย่างเดียวไม่พอ ต้องรักษาทุกที่ งานสาธารณสุข ต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้ มีความขลัง ผู้บริหารที่เข้ามาดูแลกระทรวงฯ ต้องสานต่อ ส่วนตัว เมื่อได้เข้ามาทำงาน ก็พยายามทำให้ดีขึ้นและได้สื่อสารเสมอว่า ให้ใช้งานตนอย่างเต็มที่ เพราะเป็นรัฐมนตรี ที่มาจากหัวหน้าพรรค ในรัฐบาลผสม อย่างไรเสียคณะรัฐบาลก็ต้องฟังกัน กระทรวงสาธารณสุข มีอิสระในการทำงาน 

"ผมห้อยหลวงพ่อเลี๊ยบ ตอนที่รู้ตัวว่าต้องเข้ามาเป็นรัฐมนตรีฯ ซึ่งจริง ๆ  ผมตั้งเข็มมาทางนี้ไม่มีทางเลือกอื่นเลย เมื่อทราบผลการเลือกตั้งคนแรกที่ผมติดต่อคืออาจารย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะความตั้งใจแรกคือการดูแลยกระดับโครงการบัตรทอง ก็ต้องหวังพึ่งพาคนมีประสบการณ์ มีความสามารถ"

สำหรับ สปสช. สิ่งที่ขอคือการทำงานต้องต่อเนื่อง ไม่ขาดช่วง จะมีบางช่วงเวลาที่ สปสช.ไม่มีเลขาฯ บางคนทำงานได้ไม่นานก็ไป องค์กรที่ไม่มั่นคง ย่อมเดินหน้าลำบาก จากนี้ เหตุการณ์ข้างต้นต้องไม่เกิดขึ้น คนเก่าไป คนใหม่ต้องทำงานทันที เพราะนี่คืองานที่เกี่ยวกับสุขภาพของประชาชน จะสะดุดหยุดลงไม่ได้ ตอนแรกโครงการรักษาทุกโรค ก็ยังรักษาได้บางโรค แต่วันนี้ พัฒนา มาจนรักษาได้ทุกโรค โรคหายาก ก็ยังรักษา

ยิ่งกว่านั้น มะเร็ง ก็รักษาทุกที่ได้เช่นกัน มะเร็งเป็นโรคที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากที่สุด ปีนี้ไทยเพิ่มเครื่องฉายรังสี 7 เครื่อง กระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นศูนย์มะเร็งต่างๆทั่วประเทศไทยจะสามารถรับผู้ป่วยได้มากขึ้น ทำให้ประชาชนไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องรอคิวนาน ประชาชนได้รับความสะดวก จากนี้จะพัฒนาสถานที่ให้บริการ ต้องจอดรถได้มากขึ้น ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นทุกๆ ด้าน งานสุขภาพเป็นงานที่ต้องพัฒนา หยุดไม่ได้

ขนส่งยืดเวลาทำใบขับขี่ได้ก่อนนาน 6 เดือน

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกเปิดเผยว่า กรมฯ ได้ขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ (ใบขับขี่) ส่วนบุคคลและใบขับขี่รถสาธารณะ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ทุกประเภท ให้สามารถยื่นคำขอต่ออายุใบขับขี่ได้ก่อนใบขับขี่สิ้นอายุไม่เกิน 6 เดือน จากเดิมกำหนดไว้เพียง 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป 

เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้ครอบครองใบขับขี่รถส่วนบุคคลและใบขับขี่รถสาธารณะมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งได้เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการให้บริการประชาชน รวมถึงได้นำระบบอบรมออนไลน์ e-Learning เข้ามาช่วยลดขั้นตอนแล้ว แต่ยังไม่สามารถรองรับความต้องการใช้บริการของประชาชนได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มระยะเวลาดำเนินการให้มากขึ้น จาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน

ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการเพิ่มประโยชน์และขยายโอกาสให้ผู้ได้รับใบขับขี่มีเวลาในการดำเนินการขอต่ออายุใบขับขี่มากขึ้น พร้อมขยายระยะเวลารับรองผลการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ทางเว็บไซต์ http://www.dlt-elearning.com จากเดิมมีอายุรับรอง 90 วัน เป็น 6 เดือนนับแต่วันที่ผ่านการอบรมให้สอดคล้องกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ได้รับใบขับขี่สามารถดำเนินการต่ออายุใบขับขี่ได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด

นอกจากนี้ยังได้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องการต่อใบขับขี่ สามารถเลือกอบรม e-Learning ทางเว็บไซต์ http://www.dlt-elearning.com ผ่านเว็บไซต์ได้ด้วยตนเองจากสถานที่ใดก็ได้ตลอด 24 ชม. โดยมีการอบรมทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถขนส่ง การอบรมต่ออายุใบขับขี่รถสาธารณะ และการอบรมต่ออายุใบขับขี่รถส่วนบุคคล ที่สิ้นอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป

เพื่อไทยติง “ประยุทธ์” ต้องมีมารยาทก่อนสั่งคนอื่น เย้ย! ใครกันแน่ที่มีปัญหา

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ตำหนินักข่าวนั่งไขว่ห้างระหว่างฟังการแถลงผลการประชุม ครม.ว่า ตามอารมณ์และวิธีคิดของพล.อ.ประยุทธ์ไม่ถูกจริง ๆ ก่อนหน้านี้นึกจะโยนเปลือกกล้วยใส่นักข่าวก็โยน นึกจะไล่ฉีดแอลกอฮอล์ใส่นักข่าวก็ฉีด แม้จะอธิบายว่าล้อเล่น ต้องการสร้างความเป็นกันเองกับนักข่าว แต่สังคมประเมินได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวพึงกระทำหรือไม่ บทจะโมโหโทโสฉุนเฉียวเจ้ายศเจ้าอย่าง แสดงอำนาจบาตรใหญ่ขึ้นมา สั่งนักข่าวห้ามนั่งไขว่ห้างก็สั่ง ทั้งที่หากว่ากันตามจริงบุคลิกภาพและภาษากายของ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะมีปัญหามาโดยตลอด 

ไม่ว่าจะในเวทีระดับประเทศหรือการปรากฏตัวในเวทีระหว่างประเทศ ประชาชนต้องอดทนมาโดยตลอด บุคลิกภาพสีหน้าแววตาภาษากายการควบคุมอารมณ์ที่แสดงออกของบุคคลระดับผู้นำประเทศ น่าจะต้องมีมาตรฐานที่สูงกว่านี้ “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จะไปห้ามปรามหรือสั่งการใครให้มีมารยาท ต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน เพราะตราบที่การสั่งการสวนทางกับสภาพที่แท้จริงที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์แสดงออกต่อบุคคลอื่น คำสั่งการนั้นย่อมไม่เป็นผล” นายอนุสรณ์ กล่าว

ผบ.ทร. ตรวจเยี่ยมการฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564

พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เดินทางไปตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์ การฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ในการฝึกภาคทะเล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2564 ณ หาดบ้านทอน ค่ายจุฬาภรณ์ อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยมี พล.ร.ท.สมัย ใจอินทร์ รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้แทนผู้บัญชาการกองเรือยุทธการพล.ร.ท.สำเริง จันทร์โส ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 พล.ร.ต.สรไกร สิริกรรณะ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ผู้แทนผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และ นาวาเอก อมร ซื่อตรง ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน / ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ ให้การต้อนรับการฝึกภาคทะเล นั้น เป็นการฝึกของกำลังทางเรือในการควบคุมทะเล และขยายอำนาจจากทะเลสู่ฝั่ง ตามแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ และแผนป้องกันประเทศในแต่ละด้าน 

โดยจัดตั้งกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล ซึ่งเป็นกำลังเชิงรุก มีกำลังสำคัญ ประกอบด้วย หมวดเรือเฉพาะกิจโจมตีหมวดเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก และหมวดเรือสนับสนุน โดยหมวดเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ที่จัดให้มีการยกพลขึ้นยกในวันนี้ จัดกำลังประกอบด้วย หมู่เรือลำเลียง ได้แก่ เรือหลวงอ่างทอง เรือหลวงสีชัง และเรือหลวงสุรินทร์ หมู่บินลาดตระเวนและลำเลียง ได้แก่ เครื่องบินตรวจการณ์ชายฝั่ง เครื่องบินลาดตระเวน เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง และ เฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์ผิวน้ำ กำลังรบยกพลขึ้นยก ได้แก่ ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) ยานเกราะล้อยาง (BRT) รถฮัมวี่ (HMMWV) ปืนใหญ่ ขนาด 105 มม. พร้อมกำลังทหารนาวิกโยธิน จำนวน 700 นาย นอกจากนั้น ยังมีกำลังในส่วนอื่น ๆ อาทิ ชุดปฏิบัติการพิเศษ ชุดปฏิบัติการชายหาด และชุดแพทย์โรงพยาบาลสนาม

สำหรับ การฝึกปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบการปฏิบัติตามหลักนิยมในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก พ.ศ. 2564 ทดสอบแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ พ.ศ. 2563 และทดสอบความพร้อมกำลังทางเรือและกำลังรบยกพลขึ้นบกนาวิกโยธิน ในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบกโดยในการปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก จำเป็นจะต้องได้มาซึ่งการควบคุมทะเลและครองอากาศในพื้นที่ปฏิบัติการยุทธ์สะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งห้วงเวลาที่กำหนดการค้นหาและลิดรอนทำลายกำลังทางเรือของข้าศึกทั้งเรือผิวน้ำและเรือดำน้ำไม่ให้เป็นภัยคุกคามเป็นภารกิจหนึ่งในการควบคุมทะเล โดยการปฏิบัติการในวันนี้เริ่มด้วย

เฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ ทำการค้นหาและกำหนดตำบลที่เรือดำน้ำ เพื่อใช้อาวุธในการโจมตีทำลาย ในขณะเดียวกันเครื่องบินตรวจการณ์ชี้เป้าได้บินตรวจการณ์ และชี้เป้าหมายเรือข้าศึกเพื่อให้กำลังทางเรือใช้อาวุธทำลายจนได้การควบคุมทะเล และเมื่อได้การควบคุมทะเลในพื้นที่ปฏิบัติการแล้ว กองเรือเฉพาะกิจสะเทินน้ำสะเทินบก จะขอรับการสนับสนุนการกำหนดช่องทางเข้า - ออกเรือเล็ก จากชุดต่อต้านทุ่นระเบิดเคลื่อนที่ เพื่อทำลายทุ่นระเบิดที่ฝ่ายข้าศึกได้วางไว้ป้องกันพื้นที่ยกพล เมื่อชุดลาดตระเวนแทรกซึมเข้าพื้นที่ยืนยันพิกัดกำลังของฝ่ายข้าศึกได้แล้ว จะร้องขอการทำลายที่หมายด้วยปืนใหญ่เรือ เพื่อให้ข้าศึกหมดขีดความสามารถในการต่อต้านกำลังรบยกพลขึ้นบกที่จะขึ้นมาดำเนินกลยุทธ์บนฝั่ง

เมื่อพื้นที่บนบกกำลังต่อต้านถูกทำลายแล้ว ยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) คลื่นแรก ได้เข้าปิดระยะ และขึ้นเกยหาด ตามด้วยยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) คลื่นที่สอง โดยทำการโจมตีเป้าหมายบนฝั่งอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเรือระบายพลแบบ LCVP จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นคลื่นที่ 3 ได้เคลื่อนที่เข้าเกยหาดเพื่อทำการส่งกำลังรบดำเนินกลยุทธ์ ในขณะเดียวกันกำลังรบยกพลขึ้นบกที่บรรทุกมาบนเรือระบายพลขนาดเล็ก ได้เคลื่อนออกจากเรือ เพื่อเข้าทำลายข้าศึกบนหาด ต่อมา กำลังรบคลื่นที่ 4 ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์แบบต่าง ๆ ของกองทัพเรือ ประกอบด้วย แบบ EZ แบบ ซูเปอร์ ลิงค์ และ แบบ เบลล์ 212 ทำการลำเลียงกำลังพลและยุทธโปกรณ์ สนับสนุนดำเนินกลยุทธ์บนฝั่ง ตามด้วยกองร้อยยานเกราะล้อยาง ที่ลำเลียงมาจากเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ที่แล่นมาเกยหาด ได้เคลื่อนจากเรือขึ้นฝั่งเพื่อสนับสนุนกำลังรบยกพลขึ้นบก ตามด้วยการส่งกลับสายแพทย์ กรณีมีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ อันเป็นการเสร็จสิ้นการปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบกในวันนี้

นอกจากการฝึกภาคสนามและภาคทะเลที่จัดให้มีขึ้นในวันนี้แล้ว ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา กองทัพเรือ ได้จัดให้มีการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้นสู่พื้น แบบ HARPOON BLOCK 1C โดยเรือหลวงตากสิน การฝึกปฏิบัติการร่วมระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพอากาศ (LINK – E) และยิงอาวุธทางยุทธวิธี และยิงเป้าอากาศยาน ในพื้นที่ทะเลอันดามัน โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมสังเกตการณ์ โดยการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้นสู่พื้น แบบ HARPOON BLOCK 1C ในครั้งนี้ ได้ทำการยิงอาวุธปล่อยต่อเป้าที่ระยะ 55 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 100 กิโลเมตร 

นับเป็นการยิงไกลสุดที่เคยทำการยิงมาในภูมิภาคอาเซียน โดยใช้หัวระเบิดจริงซึ่งกองทัพเรือดำเนินการเองโดยไม่พึ่งพาประเทศเจ้าของอาวุธปล่อย หรือต่างชาติแต่อย่างใด โดยอาวุธปล่อยสามารถวิ่งชนเป้าได้อย่างแม่นยำ นับเป็นความสำเร็จของกองทัพเรือไทย อีกทั้งเป็นการสร้างความชำนาญ และเพิ่มองค์ความรู้ทางยุทธการให้มีความต่อเนื่องเป็นหลักประกันของชาติทางทะเลได้อย่างคุ้มค่า เพราะอาวุธปล่อยนำวิถีแบบ Harpoon ถือได้ว่าเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ป้องปรามและในวันที่ 9 เมษายน 2564 กองทัพเรือ จะจัดให้มีการฝึกสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง บริเวณสนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี 

โดยได้เชิญกองทัพบก และกองทัพอากาศ จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกตามรายการต่าง ๆ ซึ่งกองทัพเรือได้ดำเนินการต่อเนื่องและได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกเหล่าทัพในทุกครั้ง ซึ่งจะทำให้ทราบถึงคุณลักษณะและขีดความสามารถของกำลังรบจากเหล่าทัพต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การวางแผนการใช้กำลังทางทหารและการปฏิบัติการรบร่วมที่มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลในการป้องกันประเทศในอนาคตตามวิสัยทัศน์กองทัพไทยที่เป็นกองทัพชั้นนำในภูมิภาค มีนวัตกรรมทันสมัย ปฏิบัติการร่วมอย่างมีประสิทธิภาพทุกมิติ” และสร้างความสมัครสมานสามัคคี อันจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของกองทัพไทยในภาพรวม ตามคำขวัญของกองทัพเรือที่ว่า “พลังสามัคคี พลังราชนาวี”

‘คลัง’ เตรียมดันคนละครึ่งเฟส 3 คาดเริ่มใช้ มิ.ย. นี้ มั่นใจเสริมแรงเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง หลังเฟส 1 - 2 ยอดเงินหมุนในประเทศสะพัดแตะหลักแสนล้าน พลาดเป้าเล็กน้อย

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมทำคนละครึ่ง เฟส 3 คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในช่วงเดือน มิ.ย. นี้ หลังจากที่มาตรการ ‘เราชนะ’ และ ‘ม33 เรารักกัน’ สิ้นสุดลงในวันที่ 31 พ.ค. 64

ล่าสุดอยู่ระหว่างการออกแบบมาตรการให้มีความเหมาะสม รวมทั้งป้องกันการทุจริต การใช้จ่ายจากมาตรการให้รัดกุมมากขึ้น รวมทั้งพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นให้ผู้ที่มีเงินออมนำมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย

ทั้งนี้ในเบื้องต้นกระทรวงการคลัง กำหนดเงื่อนไขว่า สำหรับผู้ที่ใช้จ่ายเงินในมาตรการคนละครึ่ง เฟส 2 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ไม่ทัน วงเงินที่เหลือจะไม่ถูกนำไปรวมกับมาตรการคนละครึ่ง เฟส 3 ได้ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา

“ในวันที่ 31 มี.ค.64 เป็นวันสุดท้ายที่ผู้ได้สิทธิจากมาตรการคนละครึ่ง ทั้งเฟส 1 และ 2 กว่า 14.8 ล้านคน จะสามารถใช้จ่าย หลังจากนั้นแม้ว่าจะมีเงินเหลืออยู่ในระบบก็จะไม่สามารถใช้จ่ายได้อีก จึงขอให้ผู้ที่ยังใช้จ่ายไม่หมดใช้จ่ายภายในระยะเวลาที่กำหนดเพื่อเป็นการรักษาสิทธิ ซึ่งจากข้อมูลขณะนี้มีผู้ใช้จ่ายครบวงเงิน 3,500 บาท แล้ว 7 ล้านคน และใช้จ่ายเกินกว่า 3,000 บาทแล้ว 13.47 ล้านคน”

สำหรับมาตรการคนละครึ่งในเฟส 1 - 2 มีการเตรียมงบประมาณร่วม 52,250 ล้านบาท ที่ผ่านมามีการใช้จ่าย โดยประชาชนร่วมจ่ายรวม 101,315 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้เล็กน้อยที่ 1.05 แสนล้านบาท โดยคาดว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจในปี 64 ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 63 โดยเฉลี่ย 2 ปี ที่ 0.4%


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

นับเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลอีกครั้ง เมื่อล่าสุด ‘พิมรี่พาย’ ได้เผยคลิปใหม่ที่ลงไปช่วยเหลือชุมชนหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งแห้งแล้งมาก

‘พิมรี่พาย’ แม่ค้าออนไลน์ชื่อดังยังเดินหน้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยล่าสุดเธอได้ลงพื้นที่ภาคอีสานพร้อมทีมงานในเขตชุมชนที่แห้งแล้ง เพื่อไปลงทุนขุดเจาะบาดาล สร้างแหล่งน้ำให้แก่ชุมชน

ทั้งนี้ พิมรี่พาย ได้เข้าไปพูดคุยกับอาจารย์วิชาเกษตรในพื้นที่ ถึงปัญหาของชุมชนแห่งนี้เอาไว้ โดยอาจารย์ท่านดังกล่าว เผยว่า อยากพัฒนาที่ อยากสร้างแหล่งน้ำให้คนในหมู่บ้านได้มาเรียนรู้ทำการเกษตร เนื่องจากใน 1 ปี ชุมชนนี้ จะแล้งประมาณ 6 - 8 เดือน พอหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวทำนาแล้วที่นี่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำให้ลูกหลานคนในหมู่บ้านต่า ดิ้นรนไปทำงานรับจ้างที่อื่น ไป ๆ มา ๆ หมู่บ้านนี้ก็จะเหลือแต่คนแก่ คนชราที่เฝ้าหมู่บ้านอยู่

สำหรับภารกิจหนนี้ พิมรี่พาย ได้หาทีมมาขุดเจาะน้ำบาดาล และสร้างถังเก็บน้ำ รวมถึงระบบโซลาร์เซลล์เพื่อให้ชาวบ้านมีน้ำกินใช้ ซึ่งทันทีที่ขุดเจาะน้ำบาดาลสำเร็จชาวบ้านต่างปรบมือดีใจจนน้ำตาแห่งความสุขไหลออกมา พร้อมโผเข้ากอดพิมรี่พาย ที่ได้ช่วยให้ชาวบ้านที่นี่มีน้ำกินน้ำใช้และชุ่มฉ่ำกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นอีกภารกิจหลังจากก่อนหน้านี้ได้ไปติดตั้งไฟให้สว่างในเขตคลองเตย

ที่มา : http://https://www.komchadluek.net/news/ent/462580
https://www.youtube.com/watch?v=JtdyuOZZhzA&t=2s


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ร้านไวน์ Wine Connection Thailand แจงเหตุพนักงานร้านกร่าง ดึงหน้ากาก - ชี้หน้าใส่คนมาสมัครงาน ล่าสุดให้พ้นสภาพแล้ว

ร้านไวน์ดัง แจงเหตุพนักงานเกรี้ยวกราดใส่คนสมัครงาน ลั่นให้พ้นสภาพ จากกรณี สาวคนหนึ่ง ไปสมัครงานร้านอาหาร แต่ถูกปฏิบัติอย่างหยาบคาย ด้วยการกระชากหน้ากากอนามัยทิ้งกับพื้น และไล่ออกจากร้าน ทำให้ผู้สมัครงานรายดังกล่าว เกิดความโกรธอย่างหนัก และนำโทรศัพท์มือถือ มาถ่ายคลิป เข้าไปถามหาความถูกต้องในการกระทำดังกล่าว เพราะเธอมาสมัครงาน ยังไม่ได้เป็นพนักงาน ที่จะมาทำแบบนี้กับเธอได้ จนผู้จัดการร้านต้องเข้ามาห้าม ซึ่งพบว่า คนที่กระชากหน้ากากก็ได้ตามออกมาและหวิดจะมีเรื่องกันอีกครั้งนั้น

ล่าสุด เพจ Wine Connection Thailand ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่า…

“ขณะนี้ ทางบริษัทไวน์คอนเน็คชั่น ได้ทราบถึงเหตุการณ์และการการะทำของพนักงานแล้ว ซึ่งพนักงานคนดังกล่าวเพิ่งได้ปฏิบัติงานกับบริษัท และได้กระทำการที่ไม่เหมาะสม เป็นสิ่งที่ทาง บริษัทยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง ทางไวน์คอนเน็คชั่น ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งพฤติกรรมของพนักงานคนนี้ ไม่ได้เป็นตัวอย่างขององค์กร หรือมาตรฐานการให้บริการที่เรายึดถือตลอดมา พนักงานคนดังกล่าวได้พ้นสภาพการจ้างงานเรียบร้อยแล้ว”

ที่มา: https://www.facebook.com/218489526722/posts/10157926096421723/

https://www.youtube.com/watch?v=ZeqwzA3jybI


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ทบ. แจ้ง นศ. ติดสอบแจ้งเลื่อนตรวจเลือกทหารปีนี้ได้ที่สัสดีอำเภอ ระหว่าง 21 เม.ย. - 15 พ.ค. 64

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ. หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่ กองทัพบกกำหนดดำเนินการตรวจเลือกทหารกองประจำการประจำปี2564 ในระหว่างวันที่ 1 ถึง 20 เมษายน 2564 (เว้นวันที่ 6 เมษายน และวันที่ 12 - 15 เมษายน 2564) แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้สถาบันอุดมศึกษาได้มีการปรับเลื่อน การเรียน การสอนและห้วงเวลาการสอบ โดยเฉพาะการจัดทดสอบวิชาสามัญในระบบการคัดเลือกกลางระหว่าง 3 - 4 เมษายน 2564  ส่งผลให้กำหนดวันสอบของนักศึกษาตรงกับห้วงเวลาที่นักศึกษาบางคนจะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร

พ.อ.หญิงซิริจันทร์ กล่าวอีกว่า กองทัพบกจึงได้อำนวยความสะดวก ให้กับนักศึกษาที่มีเหตุจำเป็นสุดวิสัยที่ไม่สามารถเข้ารับการตรวจเลือกทหารตามข้อจำกัดข้างต้น โดยขอแจ้งให้นักศึกษาที่มีวันสอบตรงกับวันที่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหารในปีนี้  ให้ไปรายงานตัวและแจ้งเหตุจำเป็นสุดวิสัยต่อสัสดีอำเภอ/เขต ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขต พร้อมแสดงหลักฐาน อาทิ หนังสือรับรองจากสถานศึกษา , กำหนดการสอบ , หมายเรียกเข้ารับราชการทหาร ( สด.35 ) เป็นต้น ตั้งแต่ วันที่ 21 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2564 และจะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหารในปีถัดไป

อย่างที่ทราบว่าในปี ค.ศ. 2021 เมียนมาได้เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านและสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านอันเป็นผลของความขัดแย้งจากความเชื่อของคนในชาติ ก็คือ การเผาทำลายธุรกิจชาวต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจของชาวจีน

วันนี้เอย่าจะมาชำแหละให้ดูว่าใครคือเพื่อนที่แท้จริงที่เข้ามาลงทุนในเมียนมาและช่วยทำให้คนในเมียนมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

จะเห็นว่าในปี 2020 ที่ผ่านมาการลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์สูงเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีมูลค่าการลงทุนในเมียนมาสูงถึง 1,859 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยการลงทุนในกลุ่มธุรกิจในฮ่องกงที่สูงถึง 1,422 ล้านเหรียญสหรัฐ และอันดับสาม คือ กลุ่มนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่นที่มีมูลค่าการลงทุนจำนวน 768 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่อันดับสี่ คือ กลุ่มนักธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีการลงทุนเป็นมูลค่า 553 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยสหราชอาณาจักรที่มีการลงทุนในเมียนมาเป็นมูลค่า 425 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในส่วนของไทยเองในปี 2020 ที่ผ่านมานั้นอยู่ในอันดับที่ 7 มีการลงทุนในเมียนมาเป็นมูลค่า 79 ล้านเหรียญสหรัฐ

ไฮไลท์ คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่คนเมียนมาคาดหวังให้เข้ามากู้วิกฤตของประเทศในครั้งนี้ ซึ่งมีการลงทุนในเมียนมาเพียง 43.5 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น เรียกว่าน้อยกว่าไทยและเวียดนามเสียอีก

หากย้อนมองไปถึงการลงทุนในอดีต 1 ทศวรรษที่ผ่านมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามหามิตรที่พร้อมใจจะมาลงทุนในเมียนมาและช่วยเมียนมาในการพัฒนาประเทศก็คือ จีน ญี่ปุ่น , เกาหลี , สหราชอาณาจักร และ เวียดนาม ที่มีการลงทุนมาก่อนปี 2011 และยังลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากจนถึงปัจจุบัน

จากข้อมูลการลงทุนของ DICA เป็นเครื่องยืนยันที่ดีว่าคนเมียนมาสามารถลืมตาอ้าปากมีกินมีใช้ได้ทุกวันนี้เพราะประเทศใดเข้ามาลงทุนช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้สิงคโปร์และไทยจะเริ่มเข้ามาลงทุนในเมียนมาหลังมีนโยบายการเกิดประเทศของอดีตประธานาธิบดีเต็ง เส่ง แต่ก็ถือว่ามีการเข้าในลงทุนต่อเนื่องทุกปีเช่นกัน

หากนับว่านักลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงเป็นนักลงทุนจีนเช่นเดียวกันจะเห็นได้ว่าจีนนั้นน่าจะเป็นมหามิตรของเมียนมาทางเศรษฐกิจและมีส่วนช่วยในการผลักดันธุรกิจในเมียนมาให้ดีขึ้น ดังนั้นการกระทำใดๆ ก็ตามของคนเมียนมาต่อธุรกิจของคนจีนภายใต้ร่มธงจีนย่อมหมายถึงการที่ประชาชนเมียนมาลงทุนทุบหม้อข้าวหลักของตนเองหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่คนเมียนมาต้องตัดสินใจเลือกอนาคตของเขาเอง

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

“สุพัฒนพงษ์” โต้! รัฐบาลมีเสถียรภาพไม่มีถังแตก ยันไม่ขึ้นภาษีจาก 7% เป็น 10 % เตรียมดันอุตสาหกรรมใหม่ 4 ประเภท เพิ่มรายได้เข้าประเทศ ตั้งเป้าปี 2573 ไทยเลิกใช้รถน้ำมันใช้รถไฟฟ้าแทน

31 มีนาคม 2564 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึง กระแสข่าวว่ารัฐบาลกำลังถังแตกจนต้องมีการขึ้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 % เป็น 10 % ยืนยันว่า ขณะนี้ไม่มีสัญญาณใดๆว่ารัฐบาลถังแตก เพียงแต่ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้มีการรายงานเรื่องความเสี่ยงทางการซึ่งเป็นรายงานประจำปี ที่เป็นครบรอบวาระรายงานเพื่อทราบ ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรที่น่าเป็นห่วง ส่วนเรื่องข้อสังเกตุเรื่องความเสี่ยงถือเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับรายงานประจำปีของบริษัทมหาชนทั่วไป ที่ปรากฎถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ในเรื่องการใช้เงินในช่วงวิกฤตโควิด-19 และพูดถึงรายได้ในการจัดเก็บภาษีในช่วงที่ผ่านมา 

ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงว่ามีการจัดเก็บรายได้ลดน้อยลง เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งเชื่อว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2564 จะมีการฟื้นฟู โดยในรายงานมีการประเมินความเสี่ยงที่คิดเป็นตัวเลข 2.47 ถือเป็นระดับความเสี่ยงไม่สูงมาก และในเชื่อว่าในอีก 2 ปี สถานการณ์ความเสี่ยงในเรื่องวิกฤตการเงินการคลังของประเทศไทยจะไม่มีเกิดขึ้น ตนไม่เข้าใจว่ามีความกังวลในเรื่องนี้เกิดขึ้น

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวถึงการปรับขึ้นการจัดเก็บภาษีเป็น 10 % ว่า ยืนยันว่าในระยะเวลา 2 ปี เรื่องขึ้นภาษีในเร็ว ๆ นี้ยังไม่มี ไม่ได้มีการพูด ไม่มีข้อเสนอแนะใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่สิ่งที่ ที่ประชุม ครม. เป็นห่วงคือจำนวนประชาชนที่มีอยู่ในระบบภาษียังมีจำนวนน้อย อยากให้กระทวงการคลังไปศึกษาโครงสร้างระบบภาษีให้ประชาชนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้นและรู้ว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ ช่วยเหลือประเทศ และเงินเหล่านั้นกลับมาทำประโยชน์อย่างไร ซึ่งตนก็ยังแปลกใจที่มีข่าวเรื่องขึ้นภาษีและรัฐบาลถังแตกออกมาซึ่งไม่มีสัญญาณใด ๆ ทั้งสิ้น 

ขณะเดียวกัน นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวถึง ในการหาเงินเข้าประเทศไทยจะต้องมีการปรับตัว อุตสากรรมใหม่ 4 ประเภทที่จะเป็นโอกาสเชิญชวนนักลงทุนมาลงทุนในประเทศ และจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากการรับนักท่องเที่ยว ได้แก่

1.) อุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะทำให้จีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้น โดยจะเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแทนรถน้ำมัน โดยตั้งเป้าในปี 2573 - 2578 ตั้งเป้าประเทศจะเลิกใช้รถประเภทน้ำมันโดยจะใช้รถไฟฟ้าแทน

2.) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่จะปรับเปลี่ยนเป็นอิเล็กทรอนิกส์อัฉริยะ

3.) เมดิคอลฮับ ที่ไทยเก่งในเรื่องการรักษาพยาบาลแต่ยังไม่สามารถผลิตยาได้ จึงต้องทำให้เป็นศูนย์กลาง

4.) อุตสาหกรรมดิจิตอล ที่ไทยเพิ่งเริ่มโดยจะต้องเชิญชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top