Tuesday, 30 April 2024
Hard News Team

มือโพสต์หมิ่นประมาท ‘บิ๊กตู่’ ดอดพบ ตำรวจนางเลิ้ง สารภาพผิด ขอนายกฯ เมตตาไม่เอาความ รับปากไม่ทำอีกเด็ดขาด ตำรวจจับปรับ 2 พัน ทนายเผย นายกฯ ใจดีปล่อยผีแค่รายนี้ พบใครโพสต์หมิ่นฯ อีกเอาเรื่องถึงที่สุด

จากกรณีที่ นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง และเพื่อน ได้รับมอบอำนาจจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ผ่านโซเชียลเน็คเวิร์ก นั้น

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. น.ส.โชติกา ชนิดาประดับ ผู้ต้องหาในคดีดูหมิ่นโดยการโฆษณาต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ภายหลังได้ถูกแจ้งดำเนินคดีจากโพสต์ข้อความลงในเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ โชติกา ชนิดาประดับ ซึ่งเป็นเพจเฟซบุ๊กสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ได้โพสต์ด่าทอนายกฯ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ด้วยข้อความว่า “ประยุทธ์ก็แค่เป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวนึง”

โดยรายงานประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการนำไปเปรียบเทียบกับสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งเป็นสัตว์ที่บุคคลทั่วไปมองว่าเป็นชั้นต่ำ มีพฤติกรรมต่ำ เลวทราม เป็นคนไม่ดี ทำให้ได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม น.ส.โชติกา ได้ให้การรับสารภาพ และได้กล่าวขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้กระทำล่วงเกิน พร้อมยืนยันจะไม่กระทำการดูหมิ่นเช่นนี้อีก เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ รับทราบ จึงได้ให้อภัยไม่ติดใจเอาความต่อ

“หนูขอโทษท่านนายกฯ ที่เคยว่ากล่าวว่าร้ายไม่ดีต่อท่านนายกฯในเฟซบุ๊ก ตอนนี้หนูสำนึกผิดแล้ว หนูขอความเมตตาท่านนายกฯด้วย ต่อไปหนูจะไม่ทำแบบนี้อีก” น.ส.โชติกา กล่าวในระหว่างบันทึกคลิปเพื่อเป็นหลักฐานในการสำนึกผิด

ทั้งนี้ พ.ต.ท.อิทธิธร ดอนนันชัย รอง ผกก.สอบสวน สน.นางเลิ้ง ได้ทำการสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่า น.ส.โชติกา ได้กระทำความผิดจริง และให้การรับสารภาพ ซึ่งได้ทำการเปรียบเทียบปรับเป็นเงินจำนวน 2,000 บาท และ น.ส.โชติกา ได้ชำระค่าปรับแล้ว คดีอาญาเป็นอันยุติ

ด้าน นายอภิวัฒน์ ในฐานะทนายความนายกฯ ระบุว่า คดีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้อภัย น.ส.โชติกา เพราะเห็นว่ายอมรับผิด และได้ขออภัยแล้ว แต่หลังจากนี้ หากมีการกระทำผิดอีก นายกฯจะดำเนินการคดีให้ถึงที่สุดทุกราย เพราะถือว่ามีตัวอย่างให้เห็นแล้ว หากเกิดการกระทำความผิดอีก ถือว่ามีเจตนา ซึ่งต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมาย

“หลังจากนี้ นายกฯจะไม่ยอมความใครทั้งสิ้น หากใครทำผิดก็ต้องต่อสู้คดีในชั้นศาล เพราะถือว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญา ต้องได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ใช่เปรียบเทียบปรับ 2,000 เหมือนในกรณีนี้” นายอภิวัฒน์ กล่าว


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000032235

แก้วสายใจ ไซยะสอน ภริยาอดีตปธ.ประเทศลาว เสียชีวิตหลังเหตุเรือนักท่องเที่ยวล่มกลางอ่างเก็บน้ำเขื่อนน้ำงึม เขตแดนสะหวัน ใกล้กับนครหลวงเวียงจันทน์ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 เม.ย.64 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 ศพ

เมื่อเช้าวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา เกิดเหตุเรือล่มที่อ่างน้ำงึม เขตแดนสะหวัน ใกล้กับนครหลวงเวียงจัน โดยภายในเรือมีผู้โดยสารรวม 39 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครอบครัวของ ท่านจุมมะนี ไซยะสอน อดีตประธานประเทศลาว วัย 85 ปี

ทั้งนี้วันดังกล่าวเป็นวันพักผ่อน ของคณะครอบครัว ‘ท่านจูมมะลี ไซยะสอน’ อดีตประธานประเทศลาว ซึ่งได้ลงเรือท่องเที่ยวที่อ่างน้ำงึม

ทว่า หลังจากเรือออกจากฝั่ง 40 เมตร พายุฝนลมแรงพัดกระหน่ำจนทำให้เรือล่มกลางอ่างน้ำงึม แต่ ท่านจูมมาลี ไซยะสอน ได้รับการช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลขณะนี้ปลอดภัยดีแล้ว

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย รอดชีวิต 31 คน โดยหนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ นางแก้วสายใจ ไซยะสอน วัย 62 ปี ภรรยาของท่านจูมมาลี

ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้


ที่มา: คัดย่อจากเพจ ປະເທດລາວ Pathedlao

https://www.facebook.com/100003657944356/posts/2290764041055505/

"วรวุฒิ" รองหัวหน้าพรรคกล้า นำผู้ประกอบการ SMEs ส่งหนังสือร้องนายกฯ ช่วยเหลือ ถูก สสว.ฟ้องร้อง หลังเข้าร่วมโครงการลงทุน แต่ถูกทวงหนี้ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข

นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรคกล้า นำตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กว่า 40 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมโครงการ "5,000 ล้าน หุ้นส่วนใหม่ธุรกิจไทย" ของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการ สสว. ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี โดยโครงการเริ่มตั้งแต่ปี 2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทย ผ่านการระดมทุนที่ปลอดภาระดอกเบี้ยจ่าย พร้อมระบบที่ปรึกษาให้คําแนะนําพัฒนาธุรกิจให้เติบโตจนสามารถเข้าจดทะเบียนและระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์

แต่ภายหลังอันเนื่องมาจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงปัจจัยด้านอื่นๆ ทำให้ไม่มีบริษัทใดพัฒนาจนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ขณะที่ สสว. ทยอยฟ้องบริษัทที่เข้าร่วมสัญญา โดยเรียกค่าเสียหายพร้อมเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 15 ทั้งที่บริษัทเหล่านี้เข้าใจว่าเป็นการลงทุนลักษณะหุ้นส่วนแบ่งปันผลประโยชน์ ได้รับความเสี่ยงร่วมกันตามเงื่อนไขในโบรชัวร์ แต่กลับโดนฟ้องเหมือนกับการกู้เงิน 

รองหัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า แนวทางที่ดีที่สุดคือ ควรตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ เปิดให้มีการทำความเข้าใจและหาทางออกร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการและ สสว. ชะลอการใช้มาตรการฟ้องร้องทางกฎหมายไว้ ส่วน ระยะยาว  เสนอให้ตั้งสภาเอสเอ็มอี เพื่อเป็นหน่วยงานกลางประสานความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และกํากับดูแลการใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือสนับสนุนการประกอบกิจการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อไป 

"ในรายละเอียดเป็นสัญญาการร่วมทุน แต่พอผ่านระยะเวลามา 10 ปี ผู้ประกอบการกลับถูกฟ้องร้องในฐานะการกู้เงิน เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเดือนร้อน เนื่องจากดอกเบี้ยท่วมเงินต้นไป 2-3 เท่า หากสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการฟ้องร้อง รัฐเองก็จะไม่ได้เงิน เพราะผู้ประกอบการก็จะถูกฟ้องล้มละลายไป ส่วนผู้ประกอบการเองสิ้นเนื้อประดาตัวเช่นกัน ดังนั้นรัฐกับผู้ประกอบการควรหาทางเจรจากัน พร้อมย้ำว่าผู้ประกอบการที่มาวันนี้ ทุกรายอยากจะชำระเงิน ไม่มีใครอยากเบี้ยวหนี้ แต่อยากมีให้พูดคุยเงื่อนไขการชำระเงินให้ถูกต้อง" นายวรวุฒิ กล่าว 

นายเสกสกล กล่าวว่า จะให้เจ้าหน้าที่สำนักปลัดนายกรัฐมนตรี จะทำรายงานส่งถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อทราบ พร้อมจะเชิญผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ ตัวแทนบอร์ด สสว. มาประชุมหารือหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการ คาดว่า จะนัดประชุมได้หลังช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ แล้วเมื่อได้ข้อสรุปร่วมกัน ก็จะนำรายงานต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน สสว. เพื่อดำเนินการแก้ปัญหา

“สุชาติ” ย้ำขอให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างหยุดงาน ในวันที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุดเพิ่มเติมช่วงเทศกาลสงกรานต์

สุชาติ ชมกลิ่น รมว.รง. ย้ำขอความร่วมมือนายจ้างเจ้าของสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานในวันที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวการบริโภคสินค้าในประเทศตามนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 กำหนดให้วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ  ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 10 – 15 เมษายน 2564 รวม 6 วัน นั้น จุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัว ณ ภูมิลำเนาของตัวเองและร่วมกิจกรรมตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริโภคสินค้าภายในประเทศมากขึ้น

ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานออกประกาศขอความร่วมมือนายจ้างเจ้าของสถานประกอบกิจการกำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันหยุดให้ลูกจ้างเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ในการเดินทางกลับภูมิลำเนาขอให้ลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไปเดินทางด้วยความปลอดภัย ปฏิบัติตัวตามชีวิตวิถีใหม่ และแนวปฏิบัติในการป้องกันโรคตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค COVID-19

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร.ได้ประกาศ ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการจัดให้ลูกจ้างได้หยุดงานเป็นกรณีพิเศษ ในวันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ทั้งนี้ สถานประกอบกิจการส่วนใหญ่ประกาศให้เป็นวันหยุดตามประเพณีเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกจ้างได้มีวันหยุดต่อเนื่องสามารถเดินทางกลับภูมิลำเนามีเวลาพักผ่อนและใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างเพียงพอ สิ่งสำคัญในการเดินทางประการหนึ่งขอให้ลูกจ้างและนายจ้างใช้ความระมัดระวังในการขับขี่ยานพาหนะ  ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง รวมทั้งขอให้วางแผนการเดินทางไปและกลับเพื่อความสะดวกและปลอดภัย

“บิ๊กป้อม” ปัด ส่ง “ธรรมนัส” คุมเลือกตั้งผู้ว่ากทม. พร้อมหนุน ‘จักรทิพย์’ โว 5 ปี นั่งผบ.ตร.ทำเพื่อประชาชนมาตลอด

เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีข่าวว่าพล.อ.ประวิตร มอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ คุมการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และให้ส.ส.และส.ก.สนับสนุนพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร.ในการสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ว่า ไม่มี ตนไม่ได้พูด ยืนยันว่าพรรคพปชร.ไม่ส่งผู้สมัครในนามพรรคแน่นอน แต่จะสนับสนุนใครเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สามารถทำได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าบุคคลที่พรรคสนับสนุน คือ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ยังไม่รู้ เมื่อถามย้ำว่าพล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่าพล.อ.ประวิตร แนะนำว่าถ้ายังไม่ทำอะไรให้มาลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องไปถามพล.ต.อ.จักรทิพย์ ส่วนตัวถ้าเขาจะลงก็ดี เพราะตั้งใจทำงาน เป็นผบ.ตร.มาตั้ง 5 ปี ทำงานให้กับประชาชนมาตลอด ก็ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าการสนับสนุน พล.ต.อ. จักรทิพย์ ลงสมัครเพื่อเป็นนอมินีให้กับพรรคพปชร.หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เดี๋ยวดูก่อน

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวปัญหาภายในของพรรคพปชร. ที่มีการแบ่งกลุ่ม 4 ว และกลุ่ม 4 ช เพื่อชิงเก้าอี้เลขาธิการพรรค พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ๆ ส่วนจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อไหร่ เดี๋ยวบอกก็รู้เอง

เมื่อถามว่าจะเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค ตามที่เป็นข่าวหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่รู้แล้วแต่สมาชิกพรรค

จับตา 'คลัง'เคาะภาษีบุหรี่ใหม่ ตอบโจทย์ 4 ด้าน ระบุไม่จำเป็นต้องคงอัตราเดียวกัน

วันที่ 5 เมษายน  2564 นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า จะนำผลการศึกษาเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่หารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง เพื่อหาข้อสรุปโดยเร็วที่สุด ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากโครงสร้างภาษีตุลาคม 2564 จึงต้องการสรุปรายละเอียดเพื่อให้ผู้ประกอบการรับทราบและเตรียมปรับตัวในการดำเนินธุรกิจต่อไป

สำหรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่นั้น จะต้องตอบโจทย์ 4 เรื่อง คือ 1. ด้านสาธารณสุข 2. ด้านเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ จะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 3. ด้านรายได้ของรัฐบาลจะต้องไม่ลดลง และ 4. ด้านการดูแล บริหารจัดการบุหรี่เถื่อน และบุหรี่ปลอม ภายใต้โจทย์ทั้ง 4 เรื่องนี้ โครงสร้างภาษีใหม่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มผู้ค้าบุหรี่บางกลุ่มต้องการ เพราะว่ามีข้อเสนอที่สุดโต่งเกินไป

นายลวรณ กล่าวอีกว่า โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ ไม่จำเป็นต้องเป็นอัตราเดียวเหมือนต่างประเทศ หรือตามกฎหมายเดิมที่ใช้ในปัจจุบัน โดยจะมีการปรับให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและบริบทของผู้ประกอบการ รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มากที่สุด จึงยังบอกไม่ได้ว่าโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะอัตราเป็นอย่างไร จะเป็นอัตราเดียว หรือหลายอัตรา

"โครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่จะมีการเสนอผลการศึกษาให้ รมว.การคลัง พิจารณาเห็นชอบมากกว่า 1 ทางเลือก ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เสนอว่าให้มีการจัดเก็บอัตราภาษีบุหรี่ 3 อัตรา โดยมีอัตราต่ำขึ้น เพื่อทำให้ ยสท. ขายบุหรี่ในราคาถูกได้นั้น ก็เป็นการเสนอได้ ส่วนการตัดสินใจทั้งหมดเป็นหน้าที่ของกรมสรรพสามิต" นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันกรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีบุหรี่เฉลี่ยปีละ 60,000 ล้านบาท โดยกรมสรรพสามิตได้ให้ความสำคัญกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างภาษีบุหรี่ทั้งหมด ทั้งผู้ค้า และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ที่เริ่มใช้เมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้ขายใบยาสูบได้ลดลง ซึ่งทางกรมสรรพสามิตได้มีการจ่ายเงินเยียวยาให้มาเป็นเวลา 2 ปีก่อนเรื่อง

โดยล่าสุดกรมสรรพสามิตได้เสนอสำนักงบประมาณ เพื่อขอใช้งบประมาณปี 2564 วงเงิน 159 ล้านบาท ในการจ่ายชดเชยให้ผู้ปลูกใบยาสูบในปีการผลิต 2564

“อนุทิน” เผย ไม่มี “การเมือง” แทรกแซง ” หมอพร้อม” ย้ำ สธ.ใจกว้าง พร้อมฟังทุกข้อเสนอแนะ

จากกรณีที่มีข่อสงสัยกันว่า แพลทฟอร์ม "หมอพร้อม" กำลังถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซง ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ในประเด็นดังกล่าว ว่า 

เรื่องสุขภาพประชาชนเป็นเรื่องสำคัญมาก รัฐบาลใส่ใจเรื่องนี้ และที่ผ่านมา ทุกฝ่ายช่วยกันทำ ช่วยกันคิด และตัดสินใจบนหลักวิชาการเป็นสำคัญ ไม่มีใครเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวแน่นอน และในอนาคต ก็ไม่คิดว่า ใครจะเอาการเมือง เข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ เช่นกัน 

ขอย้ำว่า แพลทฟอร์มหมอพร้อม เป็นระบบข้อมูล เพื่อให้บริการประชาชน ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ที่รับผิดชอบเรื่องสุขภาพของประชาชน และในช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แพลทฟอร์มข้างต้น มีไลน์ หมอพร้อม และ แอพฯหมอพร้อม เดิมทีไลน์บัญชี  “หมอพร้อม” มีหน้าที่ส่งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับโควิด-19 ให้กับประชาชน ต่อมาในระยะที่ประเทศไทยมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทางกระทรวงสาธารณสุข จึงเห็นว่าควรให้เป็นช่องทางสื่อสาร ให้ประชาชนได้ใช้ไลน์แอพฯ ตรงนี้ อำนวยความสะดวกในการจองวัคซีน ไปจนถึงมีการบันทึกใบรับรองกรณีได้รับวัคซีนครบ

“ปัญหาคือ มีประชาชนจำนวนมากโหลดไลน์หมอพร้อมไปใช้ และได้เข้าไปจองวัคซีน โควิด-19 แต่ไม่มีรายชื่อ และเกิดความสงสัยขึ้น บางคนสงสัยว่าระบบมีปัญหา แต่ความเป็นจริงคือ ปัจจุบันนี้ อยู่ในช่วงของการให้วัคซีนระยะแรก เป็นการให้บริการวัคซีนแก่กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเท่านั้น เพื่อประคองระบบสาธารณสุข กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว เช่น แพทย์ พยาบาล คนทำงานด่านหน้า ไปจนถึงประชาชนที่หากได้รับเชื้อ จะมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป เป็นต้น

ดังนั้น ใครที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ จึงไม่มีรายชื่อ แต่ขอย้ำว่า จากนี้ เมื่อวัคซีนมีมากขึ้น การให้บริการจะอยู่ในแผนระยะต่อ ๆ ซึ่งประชาชน จะสามารถจองใช้บริการ มีรายชื่อปรากฏ และได้รับวัคซีนแน่นอน”

ที่ผ่านมา มีความพยายามให้หน่วยงานอื่นเข้ามาช่วยบรรเทางาน ซึ่งทางกระทรวงฯสาธารณสุข และตน ยินดี รับการสนับสนุนอยู่แล้ว หากจะทำให้การบริการเป็นประโยชน์แก่ประชาชนสูงสุด และไม่คิดว่านี่จะเป็นการแทรกแซง แต่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือกันมากกว่า

นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลสำหรับประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ได้วางแผนรองรับส่วนนี้ไว้แล้ว ให้ประชาชนสามารถติดต่อโดยตรงไปยังโรงพยาบาลที่ได้รักษาตัวประจำ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) จะทำการสำรวจประชากรและความต้องการรับวัคซีน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้ครอบคลุม

“ณัฐวุฒิ” ยังกั๊กร่วมม็อบ “จตุพร-เยาวชน” หรือไม่ ขอดูสถานการณ์ เสนอสร้างจุดร่วมเรียกร้องอิสรภาพคนหนุ่มสาวที่ถูกขัง ไม่ห่วงเรื่องตำแหน่ง ชมหนุ่มสาวไม่มีตำแหน่งก็มีพลังในตัวเอง พร้อมสวมกอดให้กำลังใจแม่ “เพนกวิน-ไมค์”

วันที่ 5 เมษายน 2564 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางมาตามที่ศาลนัดพร้อมคู่ความคดี นปช. ชุมนุมเมื่อปี 2552 ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยภายหลังเข้าร่วมการพิจารณาแล้ว นายณัฐวุฒิ เปิดเผยว่า วันนี้นัดพร้อมฝ่ายโจทก์-จำเลย ซึ่งมีการสืบพยานกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่นัดหมายเดิมถูกยกเลิก เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ศาลจึงนัดพร้อมคู่ความเพื่อกำหนดวันนัดหมายใหม่ จำเลยหลายท่านได้ขอศาลพิจารณาลับหลัง จึงไม่ต้องมาศาล แต่ตนมาทุกนัด เพราะก่อนหน้านี้ถูกคุมขังในเรือนจำต้องเบิกตัวมา จึงไม่ได้ทำเรื่องขอพิจารณาลับหลังไว้

ผู้สื่อข่าวถามความเห็นต่อการชุมนุมของกลุ่มสามัคคีประชาชนเมื่อวานนี้ (4 เมษายน) ที่มีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมนำ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนเคารพทุกการเคลื่อนไหวการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เวทีเมื่อคืนนี้ประกาศเป้าหมายขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้พ้นจากอำนาจ เป็นเรื่องที่ผู้รักประชาธิปไตยเรียกร้องมาตลอดอยู่แล้ว ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จะพ้นจากอำนาจก็เป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชน และถ้ามีการชุมนุมต่อเนื่องก็ต้องติดตามกันต่อไป 

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือการรวมตัวกันของแกนนำทุกฝ่าย ผู้รักประชาธิปไตยที่มาแสดงตัว น่าจะเป็นการรวมตัวกันภายใต้เป้าหมายเฉพาะหน้าทางการเมือง คือ ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เห็นรูปธรรมของการรวมตัวกันเชิงอุดมการณ์ ทั้งในระดับแกนนำ ผู้ปราศรัย ประชาชนผู้ชุมนุม คงจะไปคาดหวังรวบรัดเอาเร็วคงลำบาก เพราะเพิ่งเริ่มกันวันแรก ยังมีนัดหมายวันต่อไป ต้องดูพัฒนาการตรงนี้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการหลอมรวมทางอุดมการณ์ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ตนมองได้ 2 แบบ อาจจะเติบโตขยายตัวเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะเป้าหมายสอดคล้องกับความต้องการของผู้คน หรืออาจจะมีความแตกต่างกันทางอุดมการณ์ เนื้อหาสาระ จนทำให้ความเคลื่อนไหวก้าวเดินได้ไม่เร็วนัก

ถามว่าต้องใช้เวลาดูแค่ไหน ในการตัดสินใจเข้าร่วมหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้ตัดสินใจไปถึงตรงนั้น สถานการณ์การเมืองวันนี้มีความแหลมคม ซับซ้อน เมื่อปรากฏความเคลื่อนไหวตนต้องติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว คงจะดูสถานการณ์ด้านอื่นรวมกันไปด้วย เวทีนี้ปรากฏขึ้นใหม่ ในขณะเดียวกันการต่อสู้ของกลุ่มเดิมคือนิสิต นักศึกษา เยาวชน มวลชนที่ขับเคลื่อนก็ยังทำหน้าที่อยู่ นัดหมายชุมนุมเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง สองส่วนนี้ถึงที่สุดจะมีพัฒนาการอย่างไร แม้เวทีเมื่อคืนมีเป้าหมายชัดขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ตนไม่ขัดข้องอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าจะเป็นจุดร่วมกันได้ คือการเรียกร้องอิสรภาพให้กับเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ถูกจองจำอยู่เวลานี้ และจะถูกจองจำในอนาคตอันใกล้ จากคดีความที่แต่ละคนแบกรับกันหลายสิบคดี น่าจะถูกขับเน้นให้ชัดในทุกเวทีที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง

เมื่อถามถึงโอกาสที่นายณัฐวุฒิจะไปเคลื่อนไหวร่วมกับเยาวชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ยังคงติดตามสถานการณ์อยู่ ตนเพิ่งออกมาได้ไม่กี่วัน ช่วงเวลาที่เราต่อสู้อย่างเข้มข้นผ่านมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ดังนั้นแต่ละก้าวเดินต้องรอบคอบ รัดกุม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพัฒนาการของประชาธิปไตยในประเทศไทย จุดยืนตนยืนยันชัดไปแล้ว ส่วนที่จะก้าวเดินก็ให้เวลา สถานการณ์เป็นตัวกำหนด

ถามต่อถึงกรณีนายจตุพรจะยกตำแหน่งประธาน นปช.ให้ หากร่วมกับเยาวชน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นท่าทีของนายจตุพร ตนก็รับทราบ แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการแสดงจุดยืนทางการเมืองของตน คงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ในองค์กรไหน ไม่สัมพันธ์กับการมีหรือไม่มีตำแหน่งใดๆ ในการต่อสู้ทางการเมืองไม่ได้อยู่ที่ใครมีตำแหน่งไหนแล้วจะขับเคลื่อนได้มากได้น้อย มันอยู่ที่เราจะเดินไปทิศทางใด แล้วประชาชนจะให้ความเชื่อมั่นอย่างไร ต้องพิสูจน์ทราบโดยการกระทำ กาลเวลา มีสถานการณ์ให้พิสูจน์ตัวตนได้ตลอดทางจนกว่าจะแตกดับหรือยุติการต่อสู้

นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ยกตัวอย่างครั้งหนึ่งที่เมียนมาก็ยกอองซานซูจีเป็นจิตวิญญาณการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เมื่อชนะเลือกตั้งก็ถูกตั้งคำถามอย่างหนักเรื่องสิทธิมนุษยชน จนกระทั่งถูกยกเลิกรางวัลสำคัญระดับโลก วันหนึ่งมีการรัฐประหาร อองซานซูจีก็กลับมาเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง ระบอบประชาธิปไตยงดงามตรงนี้ ทุกคนทุกฝ่ายเดินหน้าไปในฐานะประชาชน คนที่มีหลักการเดียวกัน ทำได้หมด เยาวชนคนหนุ่มสาวนำพาการต่อสู้มาขนาดนี้ ไม่มีใครมีตำแหน่งอะไรก็ยังมีพลังในตัวเอง

เมื่อถามถึงวันครบรอบเหตุการณ์สลายชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 ในปีนี้จะมีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เราทำมาทุกปี มากน้อยในรูปแบบไหนอย่างไร เราก็ทำมา ปีนี้กำลังหารือกำหนดรูปแบบอยู่ เราไม่สามารถลืมเหตุการณ์นี้ได้ ต้องการให้คนทั้งประเทศและทั่วโลกได้รับทราบ จดจำพูดถึงเหตุการณ์นี้ คนที่บาดเจ็บล้มตายจากเหตุการณ์ยังไม่ได้รับความยุติธรรม คดียังไม่ถึงศาล รายละเอียดถ้ามีความชัดเจนคงจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายณัฐวุฒิให้สัมภาษณ์เสร็จ ปรากฏว่านางสุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และนางยุพิน จาดนอก มารดาของนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ สองแกนนำกลุ่มราษฎร ที่เดินทางมายื่นประกันตัวบุตรชาย ได้เดินลงมาบริเวณบันไดหน้าศาลพอดี นายณัฐวุฒิจึงเข้าไปสวมกอดทักทายให้กำลังใจมารดาของแกนนำทั้งสอง โดยขอให้สู้ ๆ และหวังว่าบุตรชายจะได้ออกจากเรือนจำโดยเร็ว

รมว. สุชาติฯ เสนอขยายเวลาตรวจโควิด-19 และเก็บอัตลักษณ์แรงงานต่างด้าวถึง 16 มิ.ย. 64

วันที่ 5 เมษายน 2564  ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2564 มีมติเห็นชอบขยายเวลาตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) จากเส้นตายเดิมวันที่ 16 เมษายน เป็น 16 มิถุนายน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ได้รับทราบข้อห่วงกังวลของนายจ้าง ผู้ประกอบการ ว่าแรงงานต่างด้าวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564 บางส่วนอาจไม่สามารถดำเนินการตรวจหาโรคโควิด-19 และจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ได้ทันกำหนดภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 แม้ว่าสถานพยาบาลของรัฐและสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะมีความพร้อมในการให้บริการได้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานต่างด้าวดังกล่าวไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อไป 

“กระทรวงแรงงาน ได้กำหนดจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 3/2564 เพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว ร่วมกับคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์แรงงานต่างด้าว และมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการตรวจหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการจัดเก็บอัตลักษณ์ข้อมูลบุคคล (Biometrics) ของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ให้ออกไปจนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2564 

ซึ่งกระทรวงแรงงานจะนำเสนอแนวทางการแก้ไขข้อขัดข้องต่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 7 เมษายนนี้ เพื่อหน่วยงานต่าง ๆ จะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยเบื้องต้นจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ มีจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานโรงพยาบาลเอกชนในการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ณ สถานที่ทำงานของคนต่างด้าว  และสาธารณสุขจังหวัดรับรองผลการตรวจโควิด-19 และทำประกันสุขภาพ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มนำร่องวิธีดังกล่าวในจังหวัดชลบุรีที่ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากที่กรมการจัดหางาน เปิดให้นายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าวแจ้งบัญชีรายชื่อ หรือข้อมูลบุคคลผ่านระบบออนไลน์ สำหรับคนต่างด้าว 3 สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา) ตามมติข้างต้น ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 64 ถึง 13 กุมภาพันธ์ 64 ผลการดำเนินการล่าสุด มีการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) แล้ว 422,305 คน ผ่านการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว 68,575 คน ได้รับอนุญาตทำงาน (อนุมัติ บต.48) แล้ว 68,548 คน และทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรชมพู/ใบอนุญาตทำงาน) 24,610 คน จากการแจ้งข้อมูลบุคคลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของคนต่างด้าว ทั้งที่มีนายจ้าง และไม่มีนายจ้าง 654,864 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 64) ซึ่งหาก ครม.มีมติเห็นชอบ ให้ขยายเวลาออกไปอีก 2 เดือน จากเดิมที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 เมษายน 2564 เป็นวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ตามที่ที่ประชุมคบต.ได้เสนอไป คาดว่านายจ้าง/สถานประกอบการจะสามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ทัน โดยไม่ติดปัญหา

“อย่างไรก็ดี ขอย้ำให้คนต่างด้าวทั้งที่มีนายจ้าง และยังไม่มีนายจ้าง เร่งนัดหมายเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด – 19 และซื้อประกันสุขภาพกับสถานพยาบาลของรัฐ  พร้อมทั้งดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เสร็จสิ้นตามกำหนด อย่ารอดำเนินการช่วงใกล้สิ้นสุดระยะเวลา โดยสามารถสอบถามขั้นตอนขอรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ” นายไพโรจน์ฯ กล่าว

‘กรณ์ จาติกวณิช’ ชี้ระบบราชการไทยใช้งบประมาณสูงติดอันดับต้น ๆ ของโลก แนะปฏิรูประบบราชการด่วน ด้วยการลดขนาด ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หากต้องการนำพาประเทศรอดพ้นวิกฤต

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรมว.คลัง เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนประเทศไทยให้รอดพ้นจากวิกฤตจำเป็นต้องเร่งหาทางแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่มีอยู่หลายเรื่อง เพื่อประคับประคองจีดีพีของประเทศไม่ขยายตัวตามศักยภาพ โดยสิ่งสำคัญที่สุดที่สามารถทำได้ คือ การปฏิรูประบบราชการ เพื่อลดรายจ่ายของรัฐ เพราะที่ผ่านมาระบบราชการของไทยใช้งบประมาณสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก หรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 70% เมือเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี นับเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด และจำเป็นต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว

“ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีได้เพียง 16% ของจีดีพี ส่วนค่าใช้จ่ายของราชการในแต่ละปีนั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของภาษีที่จัดเก็บได้ในแต่ละปี ขณะที่ในกลุ่มประเทศที่อยู่ภายใต้องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ โออีซีดี เก็บภาษีได้ประมาณ 35% ทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีสัดส่วนงบประจำสูงเกินครึ่ง สวนทางกับประสิทธิภาพ เพราะเมื่องบเยอะขึ้นทุกปี สะท้อนได้ว่าหน่วยงานราชการก็ต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น หากไม่เร่งแก้ไปจะทำให้การปฏิรูประบบราชการทำได้ยาก”

ทั้งนี้ ในแนวทางการแก้ไขปัญหามีสิ่งที่สามารนำมาใช้ได้เลย คือการลดขนาดของราชการลงให้ได้มากที่สุด โดยนำระบบเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เรื่องนี้เมื่อนำเข้ามานอกจากจะลดต้นทุนได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น และที่สำคัญ ยังสามารถแก้ปัญหาใหญ่ที่แก้มานานไม่ได้ คือเรื่องของทุจริต คอร์รัปชันให้ลดลงได้ เรื่องนี้เราสามารถมองเห็นได้จากหลาย ๆ ประเทศที่ทำมาเห็นผลสำเร็จแล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top