Thursday, 16 May 2024
Hard News Team

“สิระ” ป้อง “บิ๊กตู่” ซัดภท.อย่าเอาดีใส่ตัว ไล่ “ศุภชัย” ถาม “เสี่ยหนู” ทำงานพลาดตรงไหน ศบค.ถึงต้องปรับโครงสร้าง แขวะปมคลัสเตอร์ทองหล่อ ยังไม่เห็นชี้แจงได้

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า การประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการตั้ง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพทยระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือ ศบค. ซึ่งการใช้อํานาจพิเศษเป็นสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถนัดที่สุด จึงไม่แปลกที่มีการเลือกใช้อํานาจพิเศษในการจัดการกับโรคระบาด โดยมีการตัดภาคการเมืองออกจากโครงสร้างของศบค. ว่า นายศุภชัยอย่ามาใช้โอกาสนี้เพื่อเล่นเกมการเมือง การปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในศบค. ต้องย้อนกลับไปถามตัวนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าของพรรคท่านดูว่า ในส่วนความรับผิดชอบที่ขึ้นตรงกับเจ้ากระทรวง มีความผิดพลาดใดเกิดขึ้นหรือไม่ จนทำให้หน่วยงานความมั่นคง ต้องมานั่งหัวโต๊ะกําหนดทิศทางของศบค. แทนที่จะเป็นสาธารณสุข คำถามตรงนี้นายอนุทินน่าจะเป็นผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุด 

“พรรคภูมิใจไทยอย่าทำพฤติกรรมเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เวลาที่นายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทยสร้างผลงานได้ก็ไม่เห็นจะพูดให้ความดีความชอบกับภาพรวมของรัฐบาล แต่เวลาตัวเองเจอปัญหากลับโยนมาให้เป็นความรับผิดชอบสูงสุดของพล.อ.ประยุทธ์ แต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆที่เวลาคนในพรรคท่านสร้างปัญหา ท่านนายกฯไม่เห็นจะออกมาตำหนิท่าน ประเด็นนี้ผมว่า เมื่อประชาชนรับข่าวสารก็จะตัดสินเองได้ว่า ใครที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประเทศ และประชาชน ส่วนใครที่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว” นายสิระ กล่าว 

นายสิระ กล่าวต่อว่า ปมปัญหาคลัสเตอร์ทองหล่อ ที่ประชาชนมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ ก็มีการเชื่อมโยงไปถึงรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ซึ่งยังไม่สามารถชี้แจงแถลงไขให้คนไทยเชื่อใจในตัวของท่านได้เลย ดังนั้น วันนี้ตนคิดว่า เป้าหมายสำคัญ คือการช่วยกันนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ ไม่ใช่เวลาที่จะต้องชิงดีชิงเด่น ถ้าสุดท้ายรัฐมนตรีที่มาจากพรรคภูมิใจไทยทำงานเข้าตา ประชาชนก็จะเห็นได้เอง โดยที่ท่านไม่ต้องมาร้องแรกแหกกระเชอในสถานการณ์เช่นนี้ บรรดานักการเมืองอย่าทำตัวให้อายประชาชนเลย

ครม. ให้ อนุรักษ์-พัฒนา เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางสาวไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าและแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา โดยขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานี มีเนื้อที่ประมาณ 1.96 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,058 ไร่  มีสถานที่สำคัญเช่น วัดอุโปสถารามหรือวัดโบสถ์ พื้นที่ย่านการค้าดั้งเดิมบริเวณถนนศรีอุทัยและถนนท่าช้าง ย่านชุมชนชาวจีนตรอกโรงยา และชุมชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง

ส่วนขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าตรัง มีเนื้อที่ประมาณ 1.91 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,192  ไร่  มีองค์ประกอบเมืองที่สำคัญเช่น หอนาฬิกาจังหวัดตรัง สถานีรถไฟตรัง วิหารคริสตจักรตรัง จวนผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง พื้นที่ย่านศูนย์กลางการค้าดั้งเดิมบริเวณถนนพระราม6 ถนนวิเศษกุล ถนนกันตัง และถนนราชดำเนิน ซึ่งมีอาคารเรือนแถวและบ้านร้านค้าแบบจีนและแบบผสมผสาน 

และขอบเขตพื้นที่เมือเก่าฉะเชิงเทรามีเนื้อที่ประมาณ 3.96  ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2,475 ไร่ ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญเช่น ป้อมและกำแพงเมืองตามแนวตะวันออก-ตะวันตกขนานกับแม่น้ำบางปะกง วัดโสธรวรารามวรวิหาร อาคารไปรษณีย์หลังเก่า  ศาลหลักเมืองฉะเชิงเทรา พื้นที่ย่านการค้าบริเวณถนนมรุพงษ์  และพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำบางปะกง ย่านการค้าตลาดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

 แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ประกอบด้วย  1.แนวทางทั่วไป ได้แก่ การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น การส่งเสริมคุณภาพชีวิต การป้องกันภัยคุกคามจากมนุษย์และธรรมชาติ การประหยัดพลังงาน ด้านการสัญจรและสภาพแวดล้อม และการดูแลและบำรุงรักษาอาคารและสาธารณูปการ 2. แนวทางสำหรับพื้นที่หลัก ได้แก่ ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม ด้านระบบการจราจรและคมนาคมขนส่ง ด้านการพัฒนาภูมิทัศน์ และด้านการบริหารและการจัดการ

"แรมโบ้" เปิดศึก “รองหน.ภท.” ซัด อย่าโยนความผิดให้นายกฯ ย้อน ให้มีสปิริตร่วมรัฐบาล เหน็บ ใครสั่งให้พูด ทำลายน้ำใจ

เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวตอบโต้ นายศุภชัย ใจสมุทร รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่านายกรัฐมนตรี รวบอำนาจแก้ปัญหาโควิด-19 ไว้ที่ศบค.ทำให้รัฐมนตรีไม่มีส่วนในการแก้ปัญหา และมองเรื่องโควิดเป็นงานด้านความมั่นคงจึงไม่ประสบความสำเร็จ ว่า ไม่นึกว่าพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย จะมีความคิดทำงานที่คับแคบและเอาแต่ได้ และโครงสร้างศบค.คือ กระจายอำนาจให้ทุกภาคส่วน เข้ามามีบทบาทในการเสนอแนะ แก้ไขปัญหาควบคู่กันไป ซึ่งทำแบบนี้มาตั้งแต่โควิดรอบแรก จนมา
รอบสองและทำมาถูกทาง  

นายเสกสกล กล่าวว่า เข้าใจและเห็นใจที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถูกบรรดาหมอออกมาขับไล่ ทำให้คนในพรรคภูมิใจไทย อาจเกิดความเครียด แต่ไม่ควรมาลงที่นายกฯ เพราะการอ้างว่านายกฯตั้งศบค.ขึ้นมาแล้วทำให้รัฐมนตรี ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการโควิด นายศุภชัย คงหมายถึงนายอนุทิน ว่าไม่มีอำนาจทำอะไรเลย จึงทำให้โควิดระบาดหนักอยู่ในขณะนี้ อย่างนี้เป็นการพูดเอาดีใส่ตัวแล้วโยนความผิดให้คนอื่น เป็นธรรมหรือไม่ และอยากให้นายศุภชัย ย้อนฟังคำพูดของนายอนุทินฯในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา พูดถึงนายกฯและศบค.ไว้อย่างไร ซึ่งตรงข้ามกับที่นายศุภชัย พูดทุกอย่าง และควรถามนายอนุทิน อย่าให้ต้องนำเทปมาเปิดให้อับอายและอาจจะต้องเอาปี๊บมาคลุมหัว 
 
“ไม่นึกว่าคนที่มีประสบการณ์และเป็นผู้อาวุโสทางการเมืองอย่างนายศุภชัย จะคิดเอาตัวรอด กระโดดเรือหนี ในยามวิกฤตของการแก้ปัญหา ที่ผ่านมาพรรคร่วมอาจมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ทุกครั้งก็ได้แต่พูดถึงมารยาทของการอยู่ร่วมกัน แต่ครั้งนี้พรรคภูมิใจไทย กลับไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ และไม่คำนึงถึงประชาชนที่กำลังเรียกร้องความร่วมมือในการทำงานแก้ไขปัญหาวิกฤตให้ก้าวผ่านไปให้ได้ ซึ่งนายอนุทิน ออกมาสู้กับปัญหา ยอมรับในความผิดพลาด จึงสงสัยว่าใครสั่งให้ออกมาพูดทำลายน้ำใจและทำลายบรรยากาศของการร่วมมือร่วมใจกันในครั้งนี้ หากพรรคภูมิใจไทยเห็นดีเห็นงามกับความคิดคับแคบและเอาตัวรอดแบบนี้ ต่อไปใครจะกล้าคบเป็นเพื่อน มิตรแท้ยามนี้ควรช่วยกัน แต่คนที่อ้างตนเป็นมิตรแท้ บางครั้งก็คบยากและไว้ใจยาก”

ปริญญ์ นำทีม ปชป. ลงพื้นที่คลองเตย จับมือภาคีเครือข่ายเตรียมตั้ง รพ.สนาม วัดสะพาน รองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 คลัสเตอร์คลองเตย

ปริญญ์ นำทีม ปชป. ลงพื้นที่คลองเตย ประสานความร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และคนในพื้นที่ เตรียมตั้งสถานพักคอยผู้ป่วยโควิด-19 และโรงพยาบาลสนาม ณ วัดสะพาน  พร้อมประสาน กทม. สนับสนุนรถตรวจโควิด-19 พระราชทาน ให้บริการในพื้นที่แบบเชิงรุก หลังพบชุมชนคลองเตยมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในหนึ่งสัปดาห์ 

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ วรเดช ไชยนันท์ คณะทำงาน รมช.สาธารณสุข และทีมคลองเตย/วัฒนา ปชป. อดีตส.ก. ประสิทธิ์ รักสลาม อดีตส.ข. ปานชัย แก้วอัมพรดี และเมธวิน มีสุวรรณ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือชุมชนคลองเตย เพื่อสนับสนุนการสร้างสถานที่พักคอยผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก่อนลำเลียงออกไปยังโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม ณ วัดสะพาน เขตคลองเตย รวมถึงประสานงานกับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร และผู้นำชุมชน เพื่ออำนวยความสะดวกในการหาเตียง การรับส่งผู้ป่วย การส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล และช่วยระดมทุนเพื่อจัดหาสิ่งของจำเป็น ผ่านศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ. ปชป.) 

ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันเราอยู่ท่ามกลางวิกฤติโควิดที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ น่าวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลใจถึงขั้นตอนการเข้ารับการตรวจ กักตัว และรักษา เนื่องจากเตียงของโรงพยาบาลเริ่มไม่เพียงพอ ปชป.จึงเล็งเห็นความสำคัญในการเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกับในพื้นที่ชุมชนคลองเตย ซึ่งเป็นชุมชนแออัดที่มีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก มีจำนวนผู้ติดเชื้อกว่า 50 ราย เสียชีวิต 1 แล้วราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบาง จำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน 

ปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ได้ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งราชการ เอกชน และปชป. เพื่อแก้ไขปัญหาปัญหาดังกล่าว โดยไม่พึ่งพางบประมาณของรัฐบาล ผ่านการสร้างสถานที่พักคอยผู้ติดเชื้อ เพื่อรอลำเลียงออกไปโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม ในพื้นที่ตึกปฏิบัติธรรม (ชั้น 4-8) ของวัดสะพาน เขตคลองเตย โดยในพื้นที่พักคอยของผู้ป่วยนั้น จะมีการควบคุมในหลาย ๆ ด้าน อาทิ เรื่องการถ่ายเทของอากาศ (Air flow) กำลังคนในการดูแลผู้ป่วย ระบบการเติมคลอรีนเพื่อจัดการสิ่งปฏิกูล และแผนอพยพเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ 

ซึ่งศปฉ. ปชป. ได้เป็นตัวกลางในการเปิดระดมทุน จัดหาเตียงได้แล้วจำนวน 50 เตียง และมีสิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีพอีกจำนวนหนึ่ง เชื่อมโยงการถ่ายทอดองค์ความรู้จากกระทรวงสาธารณสุขไปยังชุมชนต่าง ๆ จัดรถรับส่งผู้ป่วย รวมถึงเตรียมการประสานงานกับโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อส่งต่อผู้ป่วย และติดต่อรถตรวจโควิด พระราชทาน เพื่อเข้ามาให้บริการตรวจโรคเชิงรุกแก่ผู้มีรายได้น้อย 

"ทรัพยากรทางการแพทย์มีจำกัด สิ่งสำคัญที่จะทำให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติโควิด-19 ไปได้ คือต้องพยายามออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็น เพื่อลดภาระให้บุคลากรทางการแพทย์ และมีวินัยในการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และล้างมือบ่อย ๆ" ปริญญ์กล่าวในตอนท้าย 

ผู้สนใจร่วมระดุมทุนเพื่อจัดหาสิ่งของจำเป็นแก่ผู้ป่วยที่พักในสถานพักคอยผู้ติดเชื้อและโรงพยาบาลสนาม ณ วัดสะพาน เขตคลองเตย สามารถติดต่อได้ทางเฟซบุ๊คเพจ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ - Prinn Panitchpakdi และติดตามภาพการประสานความช่วยเหลือชุมชนคลองเตยจากทีมปชป. ได้ทางช่องยูทูป Prinn Check In

‘บิ๊กตู่’ เมิน ปชป. ’ ยัน’ ไม่เปลี่ยนคำสั่งแบ่งงานโซนพื้นที่ ‘ขอร้อง’ ไม่ใช่เวลาการเมือง ‘ลั่น’ ทำทุกอย่างเท่าเทียมไม่สนคะแนนเสียงการเมือง

วันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาลภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการทำความเข้าใจกับทางพรรคประชาธิปัตย์กรณีที่ไม่พอใจคำสั่งนายกฯที่ 85/2557 เรื่องการมอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบ แนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ในระดับพื้นที่จังหวัด ที่ถูกมองว่า ยกพื้นที่ภาคใต้ให้กับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ยืนยันว่าจนถึงวันนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งใดใดทั้งสิ้น ยังคงเป็นคำสั่งเดิม ทั้งนี้ตนได้ให้แนวทางไปว่า ให้ลองดูว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในพื้นที่ต่างๆซึ่งตนได้ให้แนวคิดไปแล้ว

“ วันนี้ยังไม่ได้ตกลงอะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปให้เป็นข่าวจนเสียหาย วันนี้ไม่ใช่เวลาการเมือง เป็นเวลาของการทำงาน แล้วก็ไม่ได้มุ่งหมายว่าจะให้พรรคใครได้ประโยชน์ ทุกพรรคที่อยู่ร่วมกับผม พรรคร่วมก็อยู่กับผมๆ ก็รับผิดชอบให้ท่านอยู่แล้ว ทำให้มันถูกต้องขึ้นมาผมก็ยินดี แม้กระทั่งในบางพื้นที่ที่เป็นของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ผมก็ดูแลในทุกจังหวัด” นายรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เพราะฉะนั้นการทำงานวันนี้มีการสั่งการจากคณะรัฐมนตรีลงไป เป็นโครงการที่เป็นนโยบายเกี่ยวกับเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในทุกกรณีลงไป การจัดทำแผนงานโครงการและการอนุมัติงบประมาณซึ่งเป็นการทำงานของรัฐบาล  อีกส่วนหนึ่งคือผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้พิจารณาแผนงานโครงการต่างๆในพื้นที่ 

“ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงใดก็ตามที่แต่งตั้งไปดูแลพื้นที่จังหวัดก็ให้ไปติดตาม แผนการโครงการที่อนุมัติไปแล้วว่าดำเนินการดีหรือไม่ดี ได้ผลหรือไม่ได้ผล แต่ถ้าหากว่ายังเห็นว่ามีอะไรขาดเหลือต่างๆ รัฐมนตรีก็นำมาเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และเข้ามาถึงผมให้นำเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อจัดสรรโครงการลงไปใหม่เพิ่มเติม เราทำงานแบบนี้ไม่ใช่ต่างคนต่างไปรุมผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งคงไม่ใช่และจากการสอบถามแล้วก็ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็มีหลายคนปล่อยข่าวออกมาแบบนี้ ก็ขอให้ทุกคน ทุกกระทรวง เคลียร์ด้วยก็แล้วกัน ขอให้เข้าใจตรงกันว่ารัฐบาลจำเป็นต้องบริหารทั้งสองทาง และไม่ได้ปิดกั้นรัฐมนตรีคนใดทั้งสิ้น ไม่ได้ทำตามคะแนนเสียงของการเมือง แต่เอาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลักในทุกพื้นที่ และทุกคนก็คือ ครม. คือรัฐบาลด้วยกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

ชงเพิ่มหัวหินเปิดรับต่างชาติไม่กักตัว 1 ต.ค.นี้

นายกรด โรจนเสถียร กรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมสปาไทย ในฐานะประธานภาคเอกชนในโครงการหัวหิน รีชาร์จ เปิดเผยว่า ได้หารือกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อเสนอให้รัฐบาลเพิ่มเทศบาลเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นอีกหนึ่งพื้นที่เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส และมีผลการตรวจโควิด-19 เป็นลบ ให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่หัวหินได้โดยไม่ต้องกักตัว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 64

ทั้งนี้ในเบื้องต้นตั้งเป้าหมายว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 1 แสนราย สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1,200 ล้านบาท ซึ่งรมว.การท่องเที่ยวฯ ได้รับทราบและจะนำเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) ในวันที่ 6 พ.ค.นี้เห็นชอบต่อไป 

ทั้งนี้การเพิ่มพื้นที่หัวหินเป็นอีกหนึ่งพื้นที่นำร่องนั้น จะทำผ่านโครงการหัวหิน รีเชนจ์ ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาครัฐ การท่องเที่ยว โรงพยาบาลและสาธารณสุข และภาคเอกชนในธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจรถเช่า บริษัททัวร์ฯลฯ ในพื้นที่เทศบาลหัวหิน ตั้งเป้าหมายเกิดความร่วมมือในการบริหารจัดการการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ตั้งแต่ 1 มิ.ย.เป็นต้นไป และครบถ้วนตามเป้าหมาย 70% ของประชากรในพื้นที่ภายใน 30 ก.ย.64 เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ พนักงานและแรงงานในภาคธุรกิจบริการกว่า 89,000 คนในพื้นที่ให้มีรายได้

“เทพไท” แฉ รัฐบาลล้มเหลวใช้งบรับมือโควิดรอบ3 ด้านสาธารณสุขเบิกจ่ายแค่ 0-5% เหน็บ จาก ไทยชนะสู่หมอชนะจนหายนะ เสนอให้เร่งรัดใช้งบโดยเร็ว เชื่อโควิดจะอยู่ไปอีก 1-2 ปี

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊กว่า วันนี้จะขอเจาะเฉพาะการใช้ พ.ร.ก.เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ในส่วนของแผนงานหรือโครงการด้านสาธารณสุข ที่เกี่ยวกับการป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะ ซึ่งข้อมูล 22 มี.ค. เป็นแผนงานหรือโครงการเพื่อการเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล วงเงินที่ได้อนุมัติ 10,131.7369 ล้านบาท ไม่มีการเบิกจ่ายเลย ประกอบด้วย 13โครงการ ที่เป็นโครงการยอดงบประมาณระดับพันล้านบาท มี 3 โครงการ คือ 1.โครงการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข รองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของหน่วยงานส่วนภูมิภาค สนง.ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (รอบที่1) ครม.อนุมัติโครงการ 29 ธ.ค.63 วงเงิน 2,037.6917 ล้านบาท 2.โครงการจัดหายาและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของหน่วยบริการสุขภาพ สป.สธ. ครม.อนุมัติโครงการ 29 ธ.ค.63 วงเงิน 1,927.8088 ล้านบาท  และ3.โครงการพัฒนาศักยภาพระบบบริการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2029 ของหน่วยงานส่วนภูมิภาค สป.สธ.(รอบที่2) ครม.อนุมัติโครงการ 12 ม.ค. 64 วงเงิน 5,816.3631 ล้านบาท

นายเทพไท กล่าวอีกว่าส่วนอีก 10 โครงการเป็นโครงการเล็กๆใช้งบประมาณ 2.5-36 ล้าน ไม่ได้เบิกจ่ายเงินเลยเช่นกัน สำหรับแผนงานหรือโครงการที่เบิกใช้งบประมาณจำนวนน้อย ไม่เกิน 5% คือ 1. แผนงานหรือโครงการเพื่อจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ และสาธารณสุข ในการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 17 โครงการ วงเงิน 2,706.2951 ล้านบาท เบิกจ่าย 111.9994 ล้านบาท (4.14%) และ2. แผนงานหรือโครงการด้านสาธารณสุข เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา วงเงิน 1,496.5715 ล้านบาท เบิกจ่าย 55.5648 ล้านบาท (3.71%)

นายเทพไท กล่าวต่อว่าเมื่อเจาะลงไปในรายละเอียดของการใช้เงินจากแผนงานหรือโครงการด้านสาธาสาธาณสุขแล้ว พบความล้มเหลวของการใช้งบประมาณในการเตรียมการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่จริง จึงไม่แปลกใจว่าทำไมการรับมือกับการรบาดของโควิดรอบ3 จึงล้มเหลวไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ สาเหตุอาจจะมาจากการบริหารงานผิดพลาด หรือตั้งอยู่บนความประมาท จึงทำให้เกิดความเสียหายตามมา เพราะความประมาทเป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะ ดังนั้นการที่เชื้อโควิดระบาดในรอบ1 และระบาดในรอบ2 เราได้มีโครงการเราชนะ ได้มีแอปพลิเคชั่นไทยชนะ หมอชนะ จนมาเจอการระบาดรอบ3 เราได้เจอความหายนะของจริง จึงขอเสนอให้รัฐบาลเร่งรัดให้มีการใช้งบประมาณในแผนงานหรือโครงการที่เกี่ยวกับการป้องกันการระบาดของเชื้อโควิดโดยเร็วที่สุด เพราะการระบาดของเชื้อโควิด-19 น่าจะยังคงอยู่กับเราอีกในระยะเวลา 1-2 ปี

"พีระวิทย์” วอน รพ.-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งประสานรับผู้ป่วยโควิด-19เข้ารับการรักษา พร้อมส่งกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ที่มียอดของผู้ติดเชื้อรายวันสูงเป็นจำนวนมาก ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตนได้รับการติดต่อจากประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 หลายคนเพื่อขอให้ช่วยประสานติดต่อโรงพยาบาลให้เดินทางไปรับตัวเพื่อนำตัวไปรักษาตามขั้นตอน ซึ่งตนเข้าใจถึงความเดือดร้อนทุกข์ใจของผู้ติดเชื้อที่ต้องการได้รับการรักษาตัวอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นและเพื่อป้องกันไม่ให้เชื่อแพร่กระจายออกไปสู่ผู้อื่น 

“อยากฝากถึงโรงพยาบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อได้รับการประสานจากผู้ป่วยติดเชื้อโควิด ขอได้ช่วยเร่งประสานรับตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษา หรือหากเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอก็อยากให้ได้มีการประสานงานต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เข้ารับตัวผู้ป่วยโดยด่วน อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยต้องรออย่างไร้ความหวัง เพราะสุดท้ายเขาอาจจะตัดสินใจทำในสิ่งที่เราไม่คาดคิดได้” นายพีระวิทย์ กล่าว

นายพีระวิทย์ กล่าวอีกว่า ตนเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นเป็นนักรบด่านหน้าในการคอยช่วยเหลือดูแลรักษาผู้ป่วย ซึ่งตนทราบดีว่าในขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนเริ่มอ่อนล้า แต่ด้วยจิตวิญญาณของวิชาชีพก็ยังคงเต็มใจที่จะทำหน้าที่ต่อไป จึงอยากส่งกำลังใจไปให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนให้มีกำลังใจในการทำหน้าที่ดูแลรักษาพี่น้องประชาชน เพื่อให้ประเทศไทยเราสามารถก้าวข้ามวิกฤติครั้งนี้ไปได้

พท.อัด “ประยุทธ์” ทำคนไทยไร้เตียงรักษาจนตาย ตอก 1668 ไม่มีคนรับสาย แต่มีคนไล่จับปรับ ปชช.ไม่สวมแมสก์ สวนจะให้คนล็อกดาวน์แต่ไม่ช่วยลดค่าน้ำไฟเน็ต เย้ยไม่ได้อยู่บ้านหลวง

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีรัฐบาลยังไม่ประกาศล็อกดาวน์ แต่มอบอำนาจให้ผู้ว่าฯ ในแต่ละจังหวัดตัดสินใจว่าจะล็อกดาวน์ในจังหวัดของตนเองหรือไม่ ระหว่างนี้ให้ประชาชนล็อกดาวน์ตัวเองไปก่อน ว่า ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ประเทศไทยภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาฯ นายกฯ มาถึงจุดที่คนไทยต้องตายเพราะไร้เตียง โทรสายด่วน 1668 ไม่มีคนรับจนเสียชีวิตคาบ้านพัก มาตรการที่รัฐออกมาลูบหน้าปะจมูก แก้ปัญหาสะเปะสะปะ ลอยตัวเหนือปัญหา โยนเผือกร้อนไปให้ผู้ว่าฯ ในแต่ละจังหวัดตัดสินใจแทน

จึงได้เห็นการออกคำสั่งที่ลักลั่นทำให้ประชาชนสับสน เช่น ประกาศจับปรับผู้ที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย และหน้ากากผ้าขณะขับรถยนต์ส่วนบุคคล ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ รัฐบาลจะให้ประชาชนช่วยล็อกดาวน์ตัวเอง แต่รัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยเหลือประชาชน ไม่ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ตให้ประชาชน ไม่นับรวมหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ที่บางคนอาจหาไม่ได้จริงๆ ประชาชนไม่ได้นอนบ้านหลวง ใช้น้ำ ไฟ ฟรี เหมือนข้าราชการทหารเกษียณแล้วไม่ยอมย้ายออกบางคน ประชาชนโทร 1668 จนสียชีวิต ไม่มีคนรับ เพราะขาดเจ้าหน้าที่ แต่มีคนมานั่งจับปรับชาวบ้านจำนวนมากที่เขาไม่สวมหน้ากากอนามัย เขาอาจไม่มีจริงๆ ประชาชนจึงคับแค้นใจ จะเอาเงินจากไหนมาจ่ายค่าปรับ

“รัฐบาลล้มเหลวในการรับมือกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แทบทุกด้าน แม้แต่ประชาชนที่เป็นความร่วมมือสำคัญในการป้องกันปัญหาการแพร่ระบาด รัฐออกมาตรการจับปรับมากมายได้ แต่การช่วยเหลือประชาชนกลับไม่เป็นระบบ” นายอนุสรณ์ กล่าว

“จุติ” เมิน พปชร.ฮุบพื้นที่ใต้ ขออย่ามองเรื่องหยุมหยิมให้เดินหน้าแก้ปัญหา ปชช. ยามวิกฤติดีกว่า ออกตัวการแบ่งงานไม่ใช่เงื่อนไขอย่ามองการเมืองซับซ้อน

เมื่อเวลาวันที่ 27 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่พอใจคำสั่งนายกฯที่ 85/2557 เรื่องการมอบหมายให้รัฐมนตรีรับผิดชอบ แนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ในระดับพื้นที่จังหวัดว่า สิ่งสำคัญคือเรื่องงานที่ทำเพื่อประชาชน เชื่อว่าทุกคนที่กังวลนั้นเป็นเพราะเมื่อได้รับมอบหมายงานและเริ่มทำไปแล้ว ถ้าเปลี่ยนแปลงก็กังวลเรื่องความต่อเนื่องของงาน เชื่อว่าทุกคนยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักก็จะไม่มีปัญหา เพราะนักการเมืองทำงานอยู่ที่ไหนก็สามารถทำงานได้ เวลานี้เป็นเวลาวิกฤต คนที่ทำงานอยู่ต้องเปลี่ยนที่และติดตามงานใหม่คงต้องเสียเวลา คนที่เสียประโยชน์คือประชาชน ตนไม่อยากมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง เมื่อปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) และปรับคนดูแลพื้นที่ใหม่ก็อย่าดูให้ลึกกว่านั้น วันนี้บ้านเมืองต้องการความรักความสามัคคี และเดินไปในทิศทางเดียวกัน ตนมองว่าอย่าเสียเวลามองเรื่องหยุมหยิมแล้วทะเลาะกัน เดินหน้าแก้ไขปัญหาประชาชนสำคัญที่สุด

เมื่อถามว่าหากการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันเดียวกันนี้ไม่มีการปรับเปลี่ยนตามที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้อง ก็จะมีปัญหากับการทำงานใช่หรือไม่ นายจุติ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าคงไม่ใช่เงื่อนไขอะไรมาก ประเด็นอยู่ที่ว่า อะไรตรงไหนที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด เราจะเร่งทำเรื่องนั้น และอยากให้ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่วิกฤตที่ต้องแก้ และเดินหน้าให้ได้เมื่อถามว่ามีการแจ้งการปรับเปลี่ยนไปยังพรรคประชาธิปัตย์แล้วหรือไม่นั้น นายจุติ ระบุว่า ตนไม่ทราบว่าเป็นเรื่องที่หัวหน้าพรรคจะคุยกันหรือไม่ และตนไม่ได้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค โดยวันนี้ที่มาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล ก็เพื่อจะรายงาน การดำเนินงาน ของกระทรวงพม.ให้นายกฯรับทราบ และช่วยแก้ไขปัญหาที่ติดขัด พร้อมยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องการแบ่งงาน แต่เป็นเรื่องของคนไข้ที่ต้องหาพื้นที่ให้คนไข้อยู่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top