Friday, 17 May 2024
Hard News Team

ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีการโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ติดเชื้อโควิด-19 จากภายในเรือนจำว่า...

ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีการโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า นายอานนท์ นำภา แกนนำกลุ่มราษฎร ติดเชื้อโควิด-19 จากภายในเรือนจำว่า...

นายอานนท์ไม่ได้อยู่ร่วมกับพวกกักโรค หรือติดโควิด อยู่ในแดนอื่น และล่าสุดได้มีการตรวจโควิดแล้วก็ไม่พบว่าติดเชื้อ ดังนั้นเพจทนายอานนท์ที่มีแอดมินดูแลอยู่ควรระมัดระวังในการเสนอเรื่องราวภายในเรือนจำ มิฉะนั้นจะให้ฝ่ายกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ดำเนินคดี เพราะทำให้เกิดความเสียหาย และเกิดความวุ่นวาย

ตนอยากฝากบอกว่าควรมีจิตสำนึก เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีโรคโควิดระบาดประชาชนก็เดือดร้อนอยู่แล้วอย่าสร้างความวุ่นวาย ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะเหมาะสมกว่า นอกจากนี้ในส่วนของผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธ์ หรือแอมมี่ และนายเฉลิมพงษ์ คำวงศ์ แกนนำม็อบ ทั้ง 3 คน ผลตรวจไม่พบเชื้อ ตอนนี้อยู่ระหว่างกักตัว และรอตรวจซ้ำสัปดาห์หน้าอีกครั้ง

“ช่วงที่สถานการณ์ของประเทศกำลังวิกฤติ ผมขอร้องอย่าสร้างความวุ่นวายในช่วงนี้เลย การจะเผยแพร่ข้อมูลใด ๆ ควรอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่ทำเพื่อสร้างสถานการณ์ปั่นป่วนแบบนี้ และการที่ทนายเข้าไปเยี่ยม และนำข้อมูลที่ไม่จริงออกมาเผยแพร่ ตรงนี้อาจจะต้องให้สภาทนายความดำเนินการด้วย” ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต ระบุ

ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/100741


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ดราม่าบังเกิด! หลัง ‘ชาวกระทรวงสาธารณสุข’ และโรงพยาบาลรัฐ ผุดแฮชแท็ก #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน ให้กำลัง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ สวนกระแสกลุ่มหมอไม่ทน ที่ชวนลงชื่อขับไล่ แต่เจอทัวร์ถล่ม ชาวเน็ตร่วมด่ายับ บางเพจลบโพสต์ไปแล้ว

จากกรณีที่ เว็บไซต์ change.org พบกลุ่มชื่อ 'หมอไม่ทน' สร้างแคมเปญรณรงค์ล่ารายชื่อ เพื่อเรียกร้องให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลาออกจากตำแหน่ง โดยเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 26 เม.ย. 64 พบว่ามีผู้ร่วมลงชื่อแล้วกว่า 1.7 แสนรายชื่อ

โดยกลุ่มหมอไม่ทน ให้เหตุผลว่า ในการผุดแคมเปญดังกล่าวว่า "กว่า 1 ปีเต็มที่ผ่านมาของการระบาด COVID-19 เป็นข้อพิสูจน์แล้ว ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีความสามารถมากพอในการควบคุมดูแลการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั้งเรื่องการวางนโยบาย การจัดการทรัพยากร การจัดหาวัคซีน และการสร้างความเชื่อมั่นให้บุคลากรทางการแพทย์

นอกเหนือไปกว่านั้น หลายครั้งบทสัมภาษณ์จากนายอนุทิน ยังทำให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีวิสัยทัศน์ที่เหมาะสมในการทำงานควบคุมกระทรวงที่เป็นกระทรวงหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การระบาดไม่สามารถควบคุมได้

เริ่มต้นตั้งแต่ที่พูดว่า "เป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา" เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อ ก็แจ้งว่า "หมอไม่ระวังตัวเองจนติดโควิด-19 ไม่ได้ติดจากงาน แบบนี้ต้องหวดกัน" และบทสัมภาษณ์อีกมากมาย ที่ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน

จากความล้มเหลวทั้งหมดนี้ เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเราไม่อาจจะให้เวลาอันมีค่าของเรา หมดสิ้นไปกับการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพไม่มากพอได้ ขอเรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูลลาออก และให้ผู้ที่มีความสามารถ มีความเหมาะสมมากกว่าเข้ารับตำแหน่ง ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังตกอยู่ในความวิกฤตนี้"

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 64 ปรากฏเพจเฟซบุ๊กของโรงพยาบาลรัฐหลายแห่ง ได้โพสต์ข้อความให้กำลังใจนายอนุทิน ขณะเดียวกันได้สร้าง แฮชแท็ก #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน

เช่นโรงพยาบาลปากช่องนานา ระบุว่า ชาวสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาขอให้กำลังใจ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้เสียสละทุ่มเท แรงกายแรงใจ ในการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอดครับ #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน

โรงพยาบาลลำปาง ก็โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะเดียวกันเช่นกัน โดยระบุว่า บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โรงพยาบาลลำปาง ขอขอบพระคุณท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีระกูล ที่ได้เมตตาดูแลพวกเรา และแก้ปัญหาสุขภาพของพี่น้องประชาชน ทุ่มเทแก้ปัญหาการระบาด ไวรัส COVID-19 มาโดยตลอด ขอเป็นกำลังใจให้ท่านร่วมสู้ไปกับพวกเราต่อไป #ทองแท้ ย่อมเป็นทองแท้ #สู้ต่อไปด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการโพสต์ของโรงพยาบาลรัฐหลายแห่งออกมา ปรากฏว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก เข้าไปคอมเม้นท์ในเชิงว่ากล่าว ติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ ความคิดและการกระทำของเพจดังกล่าว อย่างกว้างขวาง แม้ต่อมาเพจเหล่านั้นจะได้ลบโพสต์ออกไปแล้วก็ตาม

ส่งผลให้ แฮชแท็ก #ทองแท้ไม่กลัวไฟ #Saveอนุทิน ขึ้นอันดับหนึ่งและสอง ในเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทย ในวันนี้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังพบว่า นายแพทย์ธนาคาร สาระคำ หมอประจำโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่โพสต์ให้กำลังใจนายอนุทิน ได้ทำการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Tanakarn Sarakam‘ โดยระบุว่า "ขอประณามการแสดงออกทางการเมืองในนามองค์กร"

สืบเนื่องจาก โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ได้เผยแพร่ข้อความให้กำลังใจ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" ผ่านทางเพจ ข่าวประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก โดยมีข้อความระบุในนาม "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก"

ข้าพเจ้านายแพทย์ธนาคาร สาระคำ นายแพทย์ชำนาญการ ในฐานะบุคลากรโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ขอแสดงจุดยืนตามเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญว่า

1.) ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจในฐานะการเป็นผู้บริหารขององค์กร แสดงออกจุดยืนทางการเมืองที่ควรเป็นส่วนตัว เพื่อรับใช้ฝั่งฝ่ายทางการเมืองที่ตนเองรักใคร่ชอบพอ

2.) ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการสื่อสารในนาม "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก" โดยมิได้ถามความเห็นของบุคคลทุกคนในนามที่ทางโรงพยาบาลอ้างถึง บุคคลทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง และไม่จำเป็นจะต้องมีความคิดเห็นเหมือนกัน องค์กรไม่ควรเหมารวมและแสดงออกในนามองค์กรเพียงเพราะมีคนไม่กี่คนรู้สึกเช่นนั้น

3.) ในฐานะ "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก" ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกในครั้งนี้

4.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาตั้งแต่ต้น และจากบทบาทการทำงานที่ผ่านมา ได้เห็นชัดแล้วว่านายอนุทินบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ

5.) ในฐานะแพทย์ ทุกคนควรมีสำนึกในจริยธรรม สำนึกในหลักวิชาการที่ตนเองร่ำเรียนมา และสำนึกในวิชาชีพ ข้าพเจ้าเห็นว่าในสถานการณ์การระบาดทั่วของโรคไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา นายอนุทินไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติการระบาดยาวนาน และล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน

6.) นายอนุทินได้แสดงออกหลายต่อหลายครั้ง ว่ามิได้เข้าใจบริบทการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ จะเห็นได้จากถ้อยคำบางถ้อยคำที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์เสียกำลังใจและก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นวงกว้าง

7.) จากที่กล่าวมาทั้งหมด ข้าพเจ้าเห็นว่านายอนุทินไม่ควรดำรงตำแหน่งนี้ต่อไปอีกแม้เพียงวินาทีเดียว และไม่ควรค่าแก่การที่บุคลากรทางการแพทย์จะให้กำลังใจหรือกล่าวคำขอบคุณ

8.) โรงพยาบาลควรให้กำลังใจ และขอบคุณบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันตลอดมา ไม่ว่าจะในช่วงสถานการณ์การระบาดหรือช่วงก่อนหน้านี้ บุคคลเหล่านี้ต่างหากที่โรงพยาบาลควรสำนึกว่าเขามีบุญคุณต่อองค์กร เพราะทุกคนต่างเป็นกำลังให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

ข้าพเจ้าขอประณามคณะผู้บริหาร หรือบุคคลใดก็ตาม ที่ฉวยโอกาสใช้พื้นที่ขององค์กรในการแสดงออกทางเมือง ไม่ว่าจะด้วยเป็นคำสั่งหรือการขอความร่วมมือจากระดับกระทรวง ดูได้จากการกำหนดให้ใช้ข้อความเดียวกัน หรือเป็นการแสดงออกจากใจของผู้บริหารจริง

ขอแสดงความไม่นับถืและรู้สึกขยะแขยง

นายแพทย์ธนาคาร สาระคำ

ในฐานะ "ชาวโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก"

ที่ไม่เห็นด้วยกับโพสต์ดังกล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รองโฆษก ทบ.เผย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ ทรงมีรับสั่งให้นำนักเรียนนายร้อยจิตอาสาที่ร่างกายพร้อมบริจาคเลือดเพื่อเป็นโลหิตสำรองช่วงโควิดระบาด

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบถึงการสำรองโลหิตของสภากาชาดไทย ที่มีความจำเป็นต่อการรักษาพยาบาล ในการนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงมีรับสั่งให้ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า นำนักเรียนนายร้อย จิตอาสาที่ร่างกายมีความพร้อม เข้าบริจาคโลหิต เพื่อเป็นโลหิตสำรองให้สภากาชาดไทย สามารถนำไปใช้ในการรักษาผู้ที่มีความจำเป็น เป็นกรณีเร่งด่วนต่อไป

โดยหน่วยบริการเคลื่อนที่ภาคบริการโลหิตฯ 2 สภากาชาดไทย ได้เดินทางมารับบริจาคโลหิต ณ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จ.นครนายก โดยมีนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 1 จำนวน 206 นาย เข้าร่วมบริจาคโลหิต และได้ปริมาณโลหิตจำนวน 70,200 ซีซี สำรองให้สภากาชาดไทย นำไปมอบให้สถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อการรักษาผู้เจ็บป่วยต่อไป

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กองทัพบก ได้มอบหมายให้ หน่วยทหารนำกำลังพลจิตอาสาและครอบครัวที่มีความพร้อม เข้าร่วมบริจาคโลหิตกับศูนย์รับบริจาคโลหิตสภากาชาดไทยในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด ตามโครงการ “ทบ.บริจาคโลหิต จิตอาสาเพื่อชาติ” ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 34,023 นาย โดยมีการประสานการบริจาคโลหิตกับสถานพยาบาลในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดทำรายชื่อและวงรอบในการบริจาค ได้ปริมาณโลหิตเป็นคลังสำรองแล้วรวม 13,237,790 มิลลิลิตร ถือเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนอีกทางหนึ่ง

"สำหรับในสัปดาห์หน้าระหว่าง 29 เมษายน-3 พฤษภาคม 64 กองทัพบกโดยโรงเรียนนายสิบทหารบก จะนำนักเรียนนายสิบทหารบกและกำลังพลจิตอาสา จำนวน 470 นาย ร่วมบริจาคโลหิต โดยมี สถานีกาชาดหัวหิน เฉลิมพระเกียรติ มารับบริจาค ณ โรงเรียนนายสิบทหารบก จ.ประจวบคีรีขันธ์"

 

ที่มา: https://www.posttoday.com/social/general/651240


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

“รองโฆษกฯพปชร.”โต้ พรรคการเมืองเก่า ไม่ใช่เล่นการเมือง หนุน “นายกฯ” เปลี่ยนรมต.ดูแลภาคใต้ ขับเคลื่อนงานให้ ปชช. ชี้ สะท้อนความล้มเหลวพรรคการเมืองเก่า บริหาร ไม่พัฒนา

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)กล่าวกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มีคำสั่งที่ 85/2564 เรื่องมอบหมายให้รัฐมนตรี รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัดแบ่งงานให้รัฐมนตรีดูแลพื้นที่ โดยมอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ดูแลจ.สงขลา นครศรีธรรมราช และจ.ภูเก็ต ว่า 

การที่มีพรรคการเมืองบางพรรค ออกมากล่าวถึงเรื่องดังกล่าว เห็นว่า ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องของการเมือง โดยคำสั่งดังกล่าว ถือเป็นแนวคิดที่ดี เช่น ภาคใต้ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรี คนใหม่เข้ามาดูแลพื้นที่ มีแนวคิดใหม่ๆ และหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาใหม่เกิดขึ้นในพื้นที่ และที่เห็นว่าการเป็นเรื่องดีที่เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีดูแล ไม่ใช่เพราะเป็นรัฐมนตรี สังกัดพรรคพปชร.ไม่ว่าจะเป็นใครหากสามารถช่วยขับเคลื่อนให้พื้นที่ภาคใต้พัฒนากว่าที่ผ่านมาก็พร้อมจะสนับสนุนทุกคน เพราะที่ผ่านมาเราเคยให้โอกาสพรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองเดิม บริหารพื้นที่มานานกว่า 30 ปี แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ภาคใต้กลับไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้นการเปลี่ยนบุคคลดูแลจึงสะท้อนความล้มเหลวของกลุ่มการเมืองเดิม 

นายสัณหพจน์ กล่าวว่า คำสั่งดังกล่าวฯแสดงให้เห็นว่า รัฐบาล รับฟังสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ สะท้อนปัญหาความเดือดร้อน ความต้องการผ่านตัวแทนของประชาชนคือ ส.ส.ภาคใต้ ทั้ง14 คนของพรรคพปชร.ที่นำเสนอผ่านพรรคไปถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพปชร. ต่อจากนี้ส.ส.ภาคใต้ จะสนับสนุนการทำงานในพื้นที่อย่างเต็มกำลังตามที่ได้ทำมาตลอดกว่า 2 ปี เพื่อช่วยเหลือและขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของรัฐบาลที่เป็นประโยชน์สูงสุดในกับประชาชนทุกคน ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด และหลังจากนี้ที่จะต้องมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะในพื้นที่ฐานราก

"ส.ส.ก้าวไกล" จี้ "กองทัพ" เเจงปมไม่เลื่อนเรียกทหารเกณฑ์ หวั่น เกิด "คลัสเตอร์ค่ายทหาร" ถาม ที่ไม่เลื่อนเพราะขาดทหารรับใช้ใช่หรือไม่?

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่กองทัพประกาศยืนยันชัดเจนว่าจะไม่เลื่อนการเรียกทหารเกณฑ์ ผลัด 1/2564 เข้ารายงานตัว ในวันที่ 1 พ.ค. ตามกำหนดการณ์เดิม 

โดยนายพิจารณ์ กล่าวว่า ในขณะที่รัฐบาลออกมาตรการระงับ ยกเว้น การทำกิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจ และการเคลื่อนย้ายของประชาชน ห้ามการจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลมากกว่า 50 คน ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ และกทม.ก็ออกคำสั่งปิดสถานศึกษา สถานบริการ และสถานบันเทิง เป็นเวลา 14 วัน แต่กองทัพ กลับยังยืนยันเดินหน้าให้ทหารเกณฑ์เข้ารายงานตัวตามปกติ และอ้างว่ามีการออกมาตรการป้องกันโรคที่รัดกุมในทุกเรื่อง ซี่งตนอ่านแล้วรู้สึกขำ เพราะถึงขนาดสั่งให้การเข้ารายงานตัวในหน่วยต่างๆ ให้เดินทางในเวลากลางคืนเพื่อป้องกันความแออัดตามปั๊มน้ำมัน ในกรณีที่ต้องหยุดพักเข้าห้องน้ำ แต่กลับไม่มีการวางแผนที่จะใช้ชุดตรวจ PCR หรือ Rapid Test ในการคัดกรองโรคในทหารเกณฑ์ใหม่ มีแค่เพียงการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเพียงเท่านั้น สรุปว่านี่คือการคัดกรองคนเข้าห้างสรรพสินค้าหรือเข้าค่ายทหารกันแน่

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า ความน่าเป็นห่วงของเรื่องนี้ คือ การรวมตัวของทหารเกณฑ์ใหม่ที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ หากมีทหารเกณฑ์ที่เป็นผู้ติดเชื้อ แต่ยังไม่มีอาการปะปนเข้าไปฝึกและกินนอนร่วมกัน แล้วเกิดการแพร่ระบาดในค่ายทหารกันขึ้นมาบรรลัยแน่ เพราะจำนวนทหารเกณฑ์ผลัด 1 มีถึง 30,000 คน

"หากกองทัพไม่สามารถชี้แจงถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องให้ทหารเกณฑ์รายงานตัวในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันแบบนี้ได้ ก็เรียกร้องให้เลื่อนการรายงานตัวออกไปก่อน เชื่อว่าการเลื่อนออกไป 30-60 วัน จะเสียหายน้อยกว่ากองทัพเป็นแหล่งคลัสเตอร์ใหญ่ในการแพร่เชื้อเสียเอง ภายใต้สถานการณ์ที่ความพร้อมด้านสาธารณสุขยังมีปัญหาแบบนี้ ซึ่งล่าสุดมีข่าวจากกรมควมคุมโรคว่าได้มีการประชุมร่วมกับผู้แทนกองทัพในประเด็นนี้ คงต้องรอดูว่ากองทัพจะยอมเลื่อนหรือไม่" นายพิจารณ์ กล่าว

ด้าน นายณัฐชา กล่าวว่า ขอใช้มุมมองจากประสบการณ์ที่เคยเป็นทหารเกณฑ์ ผมคิดว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดรุนเเรง ขอเรียกร้องให้กองทัพพิจารณาการเรียกกำลังพลเข้ารับราชการทหารของกองทัพครั้งนี้ใหม่ และขอตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่กองทัพจำเป็นต้องเรียกพลทหารเข้ากองทัพเวลานี้ เพราะเหล่าทัพขาดทหารรับใช้ใช่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่ทหารที่รับราชการในกองทัพก็ปฏิบัติงานในรูปแบบเวิร์กฟอร์มโฮม จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นใดที่กองทัพจะเรียกพลทหารเข้าประจำการ เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19

“หากกองทัพจะดำเนินการต่อ เกรงว่าพลทหารกว่า 30,000 นาย ซึ่งมาจากทุกสารทิศที่มารวมตัวกัน จะต้องพบเจอความเสี่ยงทั้งต่อตัวพวกเขาเอง และต่อสถานการณ์ในภาพรวมที่อาจกลายเป็นแหล่งเเพร่กระจายเชื้อโควิด-19 คลัสเตอร์ใหม่ จึงขอให้กองทัพออกมาชี้เเจง โดยเฉพาะผู้นำเหล่าทัพ ที่สำคัญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะต้องชี้เเจงต่อประชาชนในฐานะอดีตผู้บัญชาการทหารบกต่อกรณีดังกล่าว” นายณัฐชา กล่าว

“สุพัฒนพงษ์” เผย “นายกฯ”ย้ำ ดูแลผู้ติดเชื้อ ปรับระบบคัดกรอง-เตรียมบริหารจัดการวัคซีน ก่อนถกเอกชน 28 เม.ย.นี้ แนะ คนมีเงินฝาก ควักใช้จ่ายช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ต้องขอคนละครึ่ง ด้านเลขาฯสภาพัฒน์ ระบุ ตั้งเป้าฉีดวัคซีน 50 ล้านคนในสิ้นปีนี้

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันมีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์หลังประชุมร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับเรื่องการกระจายวัคซีน ว่า ที่ประชุมหารือเบื้องต้นก่อนจะพูดคุยกับภาคเอกชนว่าในวันที่ 28 เม.ย.นี้ เพื่อเตรียมพร้อมการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาด ให้เห็นว่ารัฐบาลเตรียมการครบทุกด้าน ทั้งระบบคัดกรองผู้ป่วย การรักษาพยาบาล และการเตรียมวัคซีน และขณะนี้ประเทศไทยยังสามารถควบคุมการระบาดได้อยู่และอยู่ในระดับที่ประชาชนเชื่อมั่นได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการประเมินว่าในสองสัปดาห์นี้สถานการณ์จะดีขึ้น แต่ตอนนี้จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า มาตรการยังออกมาไม่ครบสองสัปดาห์ แม้จะมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่ม แต่ยอดผู้ที่รักษาหายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ประเด็นตอนนี้คือการดูแลผู้ติดเชื้อ ส่วนมาตรการทางเศรษฐกิจก็จะชัดเจนในเดือนพ.ค.นี้และมีผลบังคับใช้ในเดือน มิ.ย.นี้

เมื่อถามว่าจะพิจารณาแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือไม่ รองนายกฯกล่าวว่า ยังไม่ได้พิจารณา และภายในสัปดาห์นี้น่าจะทราบ เบื้องต้นเรากำหนดไว้ในเดือนก.ค.นี้ ส่วนที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาปรับลดเป้าหมายนักท่องเที่ยวจาก 6 ล้านคน เหลือ 3ล้านคนนั้น เป็นภาพรวมเนื่องจากการระบาดเกิดทั่วโลกและในแต่ละปีคนไทยก็เที่ยวจำนวนมากมูลค่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี สถานการณ์กลับสู่ปกติ คนไทยก็อาจจะเที่ยวได้เหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิม ถ้าคนไทยช่วยกันโดยออกมาใช้จ่าย ก็อาจจะได้จีดีพีที่ 4 เปอร์เซ็นต์ ก็จะช่วยได้ ทั้งนี้ขอให้คนที่มีเงินฝากเยอะนำออกมาใช้จ่าย เพื่อจะได้ไม่ต้องมาขอเงินจากโครงการคนละครึ่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องมีการกู้เงิน เข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ยัง เพราะยังอยู่ในกรอบใช้จ่ายด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า การหารือมี2 เรื่อง ที่เตรียมจะหารือกับภาคเอกชน คือเรื่องการนำผู้ป่วยเข้ามารักษาในสถานพยาบาลประมาณ 800 คน จากที่ตกค้างกว่า1,400 คน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงาน คัดกรองกลุ่มที่เป็นผู้ประกันตน ซึ่งขณะนี้ได้จัดสถานที่ไว้ที่อินดอร์สเตเดียมหัวหมาก สำหรับคัดกรอง ถ้าไม่มีอาการ จะนำเข้าโรงพยาบาลสนาม หากอาการเป็นสีเหลือง จะต้องดูสถานที่รักษาอาจจะเป็นสถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม และอาการสีแดงให้นำเข้าโรงพยาบาล เพื่อรักษา

เรื่องที่สองคือการบริหารจัดการวัคซีน ที่จะต้องคุยกับภาคเอกชนว่าจะเข้ามาช่วยอย่างไร เมื่อวัคซีนเข้ามา 26 ล้านโดสในช่วงสามเดือนนี้ จากนั้นจะมีวัคซีนซีโนแวคเข้ามาอีกประมาณ 1ล้านโดส ขอให้มั่นใจได้ว่าสามเดือนนี้ ตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยประมาณ 30ล้านคน ส่วนวัคซีนทางเลือกเพิ่มที่มีการขึ้นทะเบียนแล้วคือ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน(Johnson & Johnson)ส่วนไฟเซอร์และยี่ห้ออื่นจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อขึ้นทะเบียนและนำเข้าเพิ่มเติมให้ได้ 100ล้านโดส และภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะฉีดให้ประชาชนได้ประมาณ 50ล้านคน ซึ่งมีทั้งฉีดเข็มแรกและเข็มที่สอง 

ทั้งนี้เบื้องต้นจะขอความร่วมมือภาคเอกชนในการจัดสถานที่สำหรับฉีดวัคซีน หรือรับไปฉีดให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าว่าในสามเดือนข้างหน้าจะต้องฉีดให้ได้อย่างน้อยวันละ 3 แสนคน รวม30 ล้านคน ส่วนรายละเอียดต่างๆจะได้ข้อสรุปในวันที่28 เม.ย.นี้

ก.แรงงาน ลั่น! ไม่หวั่นโควิด-19 ประกาศคัดสุดยอดฝีมือเทรนด้านสินค้าอันตรายและการขนส่งข้ามแดนรองรับธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ กระทรวงแรงงานโดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานยังคงเดินหน้าพัฒนายกระดับทักษะฝีมือกำลังแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดกพร. ได้ใช้แนวทางประชารัฐของรัฐบาลร่วมมือกับคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา และสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอันตราย (HASLA)       

จัดฝึกอบรมหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์สินค้าอันตรายเพื่อการขนส่งข้ามแดนในเขตอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (CLMVT) ภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์รองรับธุรกิจขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาบุคลากรในสาขานี้ให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ รองรับการเติบโต ทั้งด้านการค้าการลงทุน และธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติภายใต้หัวข้อเกี่ยวกับสมาร์ตเทคโนโลยีเพื่องานขนส่งสินค้าอันตราย อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับป้องกันอันตรายในสถานการณ์ฉุกเฉิน การจัดทำและการรายงานข้อมูลอุบัติเหตุ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขนถ่ายการจัดวางการบรรทุก ข้อกฎหมายเกี่ยวกับงานขนส่ง การจัดเก็บวัตถุอันตราย และการขนส่งข้ามแดน การจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉินและการซ้อมแผนฉุกเฉิน (Emergency Drill) การศึกษาการทำงานภาคปฏิบัติจริง การวัดและประเมินผล ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 240 ชั่วโมง เน้นกลุ่มเป้าหมายจบป.ตรีหรือกำลังจะจบการศึกษาระดับป.ตรี ผู้ผ่าน การฝึกอบรมจะได้รับโอกาสเข้าทำงานกับบริษัทในเครือสมาคมผู้ประกอบธุรกิจอันตรายในตำแหน่งผู้ควบคุมระบบ GPS ผู้ควบคุมและบริหารการขนส่ง นักวางแผนงานขนส่ง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ผู้ควบคุมคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง เป็นต้น

“ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการเปิดรับสมัครจนถึงวันที่ 28 เมษายน 2564 รับจำนวนจำกัดเพียง 50 คน ปัจจุบันมีนักศึกษาและประชาชนให้ความสนใจสมัครเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการสอบคัดเลือกผ่านระบบออนไลน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 28 ปี เป็นผู้ว่างงาน ย้ำต้องจบป.ตรีหรือกำลังจะจบการศึกษาระดับป.ตรี สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ www.hasla.or.th หรือโทรสอบถามที่ 089-788-2134” อธิบดีกพร. กล่าว

ศบค. จ่อ เพิ่มมาตรการเข้ม แบ่งพื้นที่โซนสี-ล็อคดาวน์ หมอเบิร์ท ให้จ้บตา ศบค.เคาะอย่างไร ใน1-2 วันนี้

เมื่อวันที่ 26 เทษายน 2564 ที่ศบค.ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติ จะมีการระงับการ ให้เดินทางเข้าประเทศหรือไม่ ว่า การเดินทางจากต่างประเทศนั้นยังมีระบบการออกใบอนุญาต ให้เดินทางเข้าประเทศโดยกระทรวงการต่างประเทศและเมื่อเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องแล้วก็ได้รับการดูแลอยู่ใน สถานกักตัวที่รัฐจัดให้ และสถานกักตัวทางเลือก ในเรื่องของการชะลอการออกใบอนุญาตเข้าประเทศนั้น ในที่ประชุม ศบค.มีการทบทวน และอยากให้ทุกคนติดตามว่าการประกาศจากกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นอย่างไร  

ส่วนกรณีกลุ่มคนไทยที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เช่น อินเดีย ปากีสถาน จะต้องกัดตัว 14 หรือ 21 วัน กันแน่ นั้น เรื่องดังกล่าวทางศบค. ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากเพราะเป็นสิทธิที่ประชาชนไทยจะเดินทางกลับบ้าน เพียงแต่จำเป็นต้องได้รับการดูแลไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ ออกมาจากระบบการกักตัว ทั้งนี้จากการรายงานก่อนหน้านี้ของศบค. ถึงศักยภาพการรองรับการกักตัว ได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ในรูปแบบของฮอสปิเทล หรือโรงพยาบาลสนามบ้างแล้วซึ่งก็ต้องขอขอบคุณในข้อเสนอแนะและความเป็นห่วงที่ทุกคนส่งมา แต่อย่างไรก็ตามอยากให้ทุกคนได้ติดตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ อย่างใกล้ชิดในระยะนี้เนื่องจากมีการพูดคุยหารือใกล้ชิดกันอยู่

มีการพูดคุยถึงเรื่องการกักตัว ของผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเพราะจากการรายงานเรายังพบผู้ติดเชื้อได้ในระยะหลัง 10 วัน เช่น 11 วัน 13 วัน บางคนมีรายงานว่าหลังจากที่ผู้ที่ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล 14 วันแล้ว ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วก็มีรายงานยืนยันว่าติดเชื้อได้ยาวถึง 21 วันเป็นต้น ซึ่งทางกรมควบคุมโรคได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบ และมีการติดตามรายงานอย่างใกล้ชิดจึงอยากเน้นยามผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนาม หรือโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน ในช่วงนี้ด้วยว่าหลังจากที่ ผู้รับการรักษากลับบ้านไปแล้ว ยังจะต้องแยกกัก ไม่ไปสัมผัสผู้อื่นหรือแม้แต่คนในครอบครัวอีกเป็นระยะเวลา 14 วัน 

ผู้สื่อข่าวถามว่าสถานการณ์ในประเทศขณะนี้มาตรการกักตัวอยู่ที่บ้านของผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง จะเป็นอย่างไร พญ.อภิสมัย กล่าวว่า การที่พี่น้องประชาชนรอเตียงนั้นขอเรียนว่าไม่มีใครสบายใจ และในหลายหลายครั้งหลายคนยอมรับว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเรา คนรอบข้างเรา พวกเราจึงพยายามช่วยกันหาเตียง แต่ในแง่ของการจัดการเตียงอย่างที่เรียนให้ทราบว่าในกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยกลับบ้านได้จำนวน 170 ราย  ก็จะมีกระบวนการทำเรื่องให้กลับบ้าน และจะต้องดูแลอย่างไรให้ตัวเองปลอดภัย บุคลากรทางการแพทย์ได้เล่าให้ฟังว่าการทำเรื่องให้บุคคลกับบ้านนั้นมีกระบวนการหลายขั้นตอนมากๆ 

พญ.อภิสมัย กล่าวว่า และการจะรับผู้ป่วยใหม่นั้นไม่สามารถทำได้ปุบปับ ทันทีแต่จะต้องมีการเตรียมพื้นที่เต็มเตียงเพื่อที่จะรับผู้ป่วยใหม่ดังนั้นจึงเกิดการรอเตียง ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าการอยู่บ้านรอเตียง โดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบการรักษาได้หรือไม่ ทางศบค. มีการทบทวนอยู่ทุกวัน แต่มีการรายงานบางเคสเกิดความไม่สบายใจ เพราะเริ่มต้นวันที่หนึ่งอาการยังปกติดี เข้าสู่ระบบแล้วแต่ได้รับการยืนยันจากโรงพยาบาลว่ายังจำเป็นต้องรอเตียง จากนั้นเราจะเห็นอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว หรือ การที่สภาพบ้านไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเราเน้นย้ำว่าการแยกกักอยู่ที่บ้านนั้นจะต้องมีการแยกพื้นที่กับบุคคลในครอบครัว ไม่รับประทานอาหารร่วมกัน พยายามไม่ใช้ห้องน้ำเดียวกัน ไม่มีการคลุกคลีใกล้ชิด ก็พบว่าทำได้ยาก ทำให้เราได้เห็นข่าวในตลอดว่า ในกรณีผู้ป่วยหนึ่งราย เกิดการติดเชื้อไปยังบุคคลในครอบครัวโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็กเล็กติดเชื้อ จึงเป็นที่มาที่ทำให้ยังไม่สามารถระบุว่า ให้ประชาชนกักตัว หรือแยกกักรอเตียงอยู่ที่บ้าน ยังถือว่ามาตรฐานยังเป็นอันตรายอยู่

เมื่อถามว่ามีโอกาสหรือไม่ที่จะล็อคดาวน์พื้นที่บางจังหวัด พญ.อภิสมัย กล่าวว่า เรื่องล็อกดาวน์นั้น ในวันพฤหัส ที่ 29 เม.ย. จะมีการทบทวนมาตรการในเรื่องของพื้นที่ โดยจะพิจารณาว่าจะมีการเพิ่มมาตรการอย่างไร จะล็อกดาวน์หรือไม่ วันนี้ทางกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขได้หารือกับศบค. และในช่วง 1-2 วันนี้คงจะได้เห็นมาตรการการปรับความเข้มข้นมากขึ้นในบางพื้นที่แต่ละกิจการกิจกรรม แต่ละจุด จึงขอให้ทุกคนได้ติดตาม อย่างใกล้ชิดด้วย ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชนที่สามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชน สามารถวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของภาครัฐ ภาคสาธารณะสุขได้ แต่ขอให้ชี้แนะรวมไปถึงการให้กำลังใจบุคลากรในการทำงานด้วย อย่างไรก็ตามประชาชนอาจเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้น อาจมีความไม่พอใจ มีการตำหนิติเตียน แต่ถ้าดูที่มาที่ไปก็เพราะเรามีความเป็นห่วงประเทศไทยมีความรักในครอบครัวอาม่า ครอบครัวคุณอัพ ซึ่งก็เหมือนกับครอบครัวเรา เพราะฉะนั้นการที่เราอาจจะส่งเสียงทะเลาะกันบ้างในวันนี้เพราะเรามีความมุ่งมั่นเดียวกัน ต้องการทำให้ระบบดีขึ้น ขอให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันจับมือกันและร่วมมือกัน ถูกเถียงกันได้บ้างแต่ถึงอย่างไรเราก็ร่วมมือกัน

‘บิ๊กตู่’ ยกระดับการกระจายวัคซีนเป็นวาระสำคัญเร่งด่วนสูงสุด บูรณาการทำงานระหว่างรัฐ-เอกชน ตั้งเป้าฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 วันละ 3 แสนโดส หวังคนไทยได้ฉีดวัคซีน 50 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้

เมื่อเวลา 12.45 น.วันที่ 26 เม.ย. พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมโพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัวถึงการยกระดับการกระจายวัคซีน ว่า

“เช้าวันนี้ ผมได้หารือทีมที่ปรึกษา เรื่องยกระดับการกระจายวัคซีนเป็นวาระสำคัญเร่งด่วนสูงสุด เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง โดยมีเป้าหมายดังนี้ครับ

1.) ผลักดันให้มีการจัดหาวัคซีนให้ได้เพิ่มมากขึ้นในทุกวิถีทาง โดยมีเป้าหมาย 10-15 ล้านโดสต่อเดือน จากวัคซีนที่มีความหลากหลายในปัจจุบัน

2.) ปรับโครงสร้าง มีการจัดกลุ่ม แบ่งงาน ผสมผสานการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนให้ชัดเจน โดยต้องให้มีการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง ผลักดันแนวหน้าในการฉีดวัคซีนให้เป็นเชิงรุก เพื่อแบ่งเบาภาระจากโรงพยาบาลและสาธารณสุข

3.) จัดให้มีศูนย์ฉีดวัคซีนทางเลือก โดยใช้สถานที่ที่เหมาะสม เช่น ศูนย์ประชุมฯ ศูนย์กีฬา โรงแรม เพื่อลดภารกิจของโรงพยาบาลหลัก และสาธารณสุข ที่ต้องรองรับ ดูแลผู้ป่วยเป็นหลัก โดยศูนย์ฉีดวัคซีนฯ จะดึงการมีส่วนร่วมในการฉีดวัคซีนทางเลือกในกลุ่มที่มีศักยภาพเพิ่มเติมจากของภาครัฐ

4.) ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการฉีดให้ได้ 300,000 โดสต่อวัน หรือมากกว่า และเป้าหมายฉีดให้ประชาชน 50 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้หรือเร็วกว่า

นอกจากนี้ ผมยังได้สั่งการให้มีการปรับปรุงการคัดกรอง และระบบการเข้ารับการรักษาพยาบาลให้มีช่องทาง และการขนส่งเคลื่อนย้าย ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘พรรคกล้า’ เสนอ รัฐบาล เสริมความพร้อมให้อาสากู้ภัย จัดชุดป้องกัน-วัคซีนเพิ่ม ปลดล็อคปัญหาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด

นายธันวา ไกรฤกษ์ โฆษกพรรคกล้า เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดสรรชุดป้องกัน (PPE) และวัคซีน ให้อาสากู้ภัยที่สนใจจะเข้าร่วม ซึ่งปัจจุบันมูลนิธิต่าง ๆ ได้รับชุดและโควตาฉีดวัคซีนน้อยมาก ทั้งที่เป็นบุคลากรด่านหน้าที่ช่วยขนย้ายผู้ป่วยนำไปส่งโรงพยาบาล จึงไม่สามารถปฏิบัติงานตามศักยภาพที่มีอยู่ได้

โฆษกพรรคกล้าย้ำว่า กลุ่มอาสากู้ภัย เป็นหนึ่งในกลุ่มมีความพร้อมมากที่สุด ที่จะช่วยรัฐบาล แก้ปัญหาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล ซึ่งมีเครือข่ายอยู่ทุกจังหวัด ทุกเขต รวมแล้วกว่าสองแสนคน พร้อมด้วยรถอีกกว่าหลายพันคัน ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเคลื่อนย้ายคนเจ็บคนป่วยอยู่แล้วด้วย หากคนกลุ่มนี้ได้รับชุดป้องกันรวมถึงวัคซีนอย่างทั่วถึง เชื่อว่าการขนย้ายผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และไม่เกิดกรณีต้องรออยู่ที่บ้านจนอาการทรุดหนักตามที่ปรากฏเป็นข่าว

"หากดูจากสถิติผู้ติดเชื้อที่นับวันยิ่งพุ่งสูงแบบก้าวกระโดด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐต้องเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หากยังปล่อยให้ผู้ติดเชื้อเดินทางด้วยรถสาธารณะ จะยิ่งเร่งอัตราการแพร่เชื้อให้ลุกลามมากขึ้นไปอีก และทำให้มาตราการอื่น ๆ ที่รัฐบาลวางไว้ไม่บรรลุผลไปด้วย ลองนึกภาพแท็กซี่รับผู้ติดเชื้อหนึ่งรายไปส่งโรงพยาบาล และหากแท็กซี่คันดังกล่าวติดเชื้อ แล้วไปรับผู้โดยสารอีกยี่สิบราย เราคงไม่มีทางควบคุมการระบาดได้ในเร็ว ๆ นี้แน่นอน" นายธันวากล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top