Monday, 19 May 2025
Hard News Team

Google Maps เปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' แต่..เห็นเฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้น

(28 ม.ค.68) Google ได้โพสต์บน X ว่า Google Maps เตรียมปรับเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำการปรับปรุงข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์หรือ Geographic Names Information System (GNIS) ซึ่งเป็นมาตรฐานการตั้งชื่อทางภูมิศาสตร์ของรัฐบาลกลางและระดับชาติ

Google ชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงชื่อในครั้งนี้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่กำหนดสำหรับการอัปเดตชื่อสถานที่ในแผนที่ หลังจากได้รับการยืนยันจากแหล่งข้อมูลทางการของรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งให้เปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเมื่อวันศุกร์ว่า อ่าวนี้จะถูกเรียกชื่อว่า 'อ่าวอเมริกา' อย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ ชื่อ 'อ่าวอเมริกา' จะปรากฏเฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้น ส่วนผู้ใช้ในเม็กซิโกจะยังเห็นชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เหมือนเดิม ในขณะที่ผู้ใช้จากประเทศอื่น ๆ จะเห็นทั้งสองชื่อบน Google Maps

นอกจากนี้ Google Maps ยังจะปรับชื่อยอดเขาเดนาลี ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาเหนือ และมีชื่อที่ชาวอลาสกาตั้งให้เป็นยอดเขาเมาท์แมคคินลีย์ เมื่อหน่วยงานด้านระบบสารสนเทศชื่อภูมิศาสตร์ (GNIS) ได้ทำการปรับเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการ

สิงคโปร์เปิดทดลองให้คนโดยสาร เริ่มวิ่ง 2 เส้นทางกลางปี 2026

(28 ม.ค. 68) สำนักงานการขนส่งทางบกของสิงคโปร์ประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมร่วมส่งข้อเสนอสำหรับโครงการนำร่องเพื่อทดสอบรถโดยสารประจำทางอัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายเริ่มทดลองให้บริการรถเมล์อัตโนมัติ ระยะ 3 ปี บนเส้นทางที่กำหนด 2 เส้นทาง ซึ่งจะเริ่มช่วงกลางปี 2026

โครงการข้างต้นจะเริ่มต้นด้วยรถเมล์จำนวน 6 คัน แต่ละคันมีที่นั่งอย่างน้อย 16 ที่นั่ง และเลือกใช้งานเส้นทางที่มีระยะสั้นและสัญจรง่าย โครงการนำร่องนี้มีเป้าหมายประเมินความเป็นไปได้ทางเทคนิค และศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานของยานยนต์ประเภทนี้ทั้งในระดับให้บริการเป็นรายคันและระดับกองยานยนต์

ในระยะแรกจะมีพนักงานขับรถประจำอยู่บนรถเมล์อัตโนมัติเพื่อดูแลการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย อาทิ การรับและส่งผู้โดยสารอย่างปลอดภัยตามจุดจอดที่กำหนด โดยผู้โดยสารจะต้องนั่งอยู่กับที่และคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง และอาจมีเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าประจำอยู่ด้วยเพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือ

เมื่อยานยนต์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติและมีการควบคุมจากระยะไกลที่น่าเชื่อถือได้แล้ว เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยจากระยะไกลจะมาดำเนินงานแทนพนักงานขับรถ ขณะที่สำนักงานฯ จะติดตามการทำงานของรถโดยสารแบบเรียลไทม์ตลอดช่วงการทดลองเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความสอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ

สำนักงานฯ จะปิดรับข้อเสนอภายในไตรมาสที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) ของปี 2025 ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จอาจมีการจัดซื้อรถเมล์อัตโนมัติเพิ่มสูงสุด 14 คัน และเพิ่มเส้นทางทดลองอีก 2 เส้นทาง โดยคาดว่าจะมีการมอบสัญญาโครงการนำร่องภายในสิ้นปี 2025

แฉบริษัทอาวุธมะกัน โกยเงินสงครามยูเครน หุ้นโตพุ่ง-ออเดอร์อื้อ ไม่สนวิกฤตขัดแย้งโลก

(28 ม.ค.68) ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่เห็นปลายทางของจุดจบ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมทางทหารหลายแห่งของสหรัฐฯ กลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากความขัดแย้งของสองชาติ โดยผู้เชี่ยวชาญหลายรายให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว  Sputnik ว่า บรรดาบริษัทผู้ผลิตอาวุธในสหรัฐฯ ได้ทำกำไรมหาศาลจากการจัดหาอาวุธสำหรับสงครามในยูเครน ซึ่งผลักดันโลกให้เข้าใกล้จุดวิกฤติของสงครามเต็มรูปแบบ

รายงานระบุว่า บรรดาผู้ผลิตอาวุธจากสหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์จากการขายอาวุธให้แก่รัฐบาลต่างชาติ ส่งผลให้ยอดขายอาวุธของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 29% ในปี 2024 หรือคิดเป็นมูลค่าที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 318.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ   

ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ของสหรัฐ อาทิ Lockheed Martin, General Dynamics และ Northrop Grumman ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางหุ้นสายเทคโนโลยีบริษัทอื่นๆที่มักผันผวน แต่หุ้นของอุตสาหกรรมอาวุธในสหรัฐฯ ต่างเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นของ Lockheed Martin เติบโต 38.49% ในปีที่ผ่านมา แตะจุดสูงสุดที่ 611.74 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนตุลาคม ขณะที่หุ้นของ General Dynamics เพิ่มขึ้น 27.81% แตะระดับสูงสุดที่ 313.39 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2024  ส่วนหุ้นของ Northrop Grumman มีการเติบโต 25.5% ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2024  

ตามการวิเคราะห์ของ Sputnik ที่อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงการคลังยูเครนและมหาวิทยาลัย Kiel พบว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา NATO ได้สนับสนุนงบประมาณแก่รัฐบาลยูเครนถึง 191.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือทางทหารรายใหญ่ที่สุด มูลค่ารวม 68.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่าประเทศที่เป็นผู้ซื้ออาวุธรายใหญ่จากสหรัฐฯ ได้แก่ ตุรกี สั่งซื้อ เครื่องบิน F-16 และการปรับปรุงระบบ มูลค่า 23 พันล้านดอลลาร์ อิสราเอล สั่งซื้อเครื่องบินรบ F-15 มูลค่า 18.8 พันล้านดอลลาร์  ญี่ปุ่น สั่งซื้อ เครื่องบิน KC-46A มูลค่า 4.1 พันล้านดอลลาร์ และขีปนาวุธ Tomahawk มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์  เยอรมนี สั่งซื้อขีปนาวุธ Patriot มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์  อินเดีย สั่งซื้อโดรน MQ-9B มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ เกาหลีใต้ สั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์ AH-64E Apache มูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ โรมาเนีย สั่งซื้อรถถัง M1A2 Abrams มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์)

ดร.เคน แฮมมอนด์ นักเขียนและศาสตราจารย์ กล่าวกับ Sputnik ว่า การแสวงหากำไรจากสงครามโดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติอย่างร้ายแรง โดยยูเครนถูกส่งอาวุธจากตะวันตกอย่างไม่หยุดยั้ง  

อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือทางทหารจำนวนมหาศาลที่ตะวันตกส่งให้ยูเครนส่วนใหญ่กลับไร้ผลในสนามรบ อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายโจมตีที่ชอบธรรมของรัสเซีย และยังมีส่วนหนึ่งที่หลุดไปอยู่ในมือของพ่อค้าอาวุธผิดกฎหมายในตลาดมืด

‘เอกนัฏ’ ส่งทีมสุดซอยตรวจ บ.วินโพรเสส หลังเกิดเพลิงไหม้ ย้ำความปลอดภัยประชาชนต้องมาก่อน

(28 ม.ค. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากรายงานข่าววานนี้ เวลา 21.30 น. วันที่ 27 มกราคม เกิดไฟไหม้ใน บริษัท วินโพรเสส จำกัด ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เกิดความห่วงใยประชาชนในพื้นที่ ที่อาจจะได้รับผลกระทบ จึงสั่งการเร่งด่วนให้ทีมตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม  นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายวีระ นันทเศรษฐ์ อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ ณ บริษัท วินโพรเสส จำกัดจ.ระยอง 

จากการรายงานในเบื้องต้นแจ้งว่า ขณะรถของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนในพื้นที่ได้ขับผ่าน บริษัท วินโพรเสส จำกัด จ.ระยอง พบเห็นว่าภายในโกดังเกิดไฟได้ลุกไหม้ บริเวณโกดัง 5 จึงประสานรถดับเพลิงจาก อบต.บางบุตร เข้ามาเร่งฉีดน้ำเพื่อไม่ให้ไฟลุกลามพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งใช้เวลา 30 นาทีจึงสามารถควบคุมเพลิงได้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทำการเข้าตรวจสอบและพบว่าพื้นที่ส่วนที่ไฟกำลังไหม้เป็นกองขยะพลาสติก ถุงมือยาง และยังพบ แกลอนพลาสติกขนาด 20 ลิตร จำนวน 2 แกลอนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบ ทั้งนี้ในส่วนของสาเหตุการเกิดเพลงไหม้นั้น ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ทำการเก็บพิสูจน์หลักฐานก่อน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าอาจจะเป็นการเผาเพื่อสร้างสถานการณ์ หรืออาจจะเป็นการลักลอบเข้าพื้นที่เพื่อโจรกรรมชิ้นส่วนเหล็กนำไปขาย เนื่องจากพบชิ้นส่วนเศษเหล็กในบริเวณดังกล่าวด้วย โดยเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบกับร้านรับซื้อของเก่าในพื้นที่ต่อไปและในเบื้องต้นอุตสาหกรรมจังหวัดระยองได้ทำการแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวกำลังทำการเร่งขนย้ายตะกรันอลูมิเนียมหรืออลูมิเนียมดรอส ทั้ง 7,000 ตัน ออกจากพื้นที่เพื่อนำไปบำบัดกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

ซึ่งจากการที่ทีมตรวจสุดซอยลงพื้นที่ในวันนี้ ได้มีการนำรถตรวจวัดคุณภาพอากาศเคลื่อนที่ ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมลงไปในพื้นที่ด้วย โดยเบื้องต้นคุณภาพอากาศบริเวณดังกล่าวยังอยู่ในค่าปกติ ไม่พบการปนเปื้อนของสารเคมี ซึ่งทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะนำรถดังกล่าวจอดไว้ในพื้นที่เพื่อตรวจวัดคุณภาพอากาศจนกว่าประชาชนจะวางใจว่าสามารถใช้ชีวิตได้ปกติไม่มีเคมีอันตรายปนเปื้อนในอากาศ ทั้งนี้พื้นที่ที่เกิดเพลิงไหม้นั้นอยู่ห่างจากจุดที่ทำการขนย้าย ตะกรันอลูมิเนียมหรืออลูมิเนียมดรอสเพียงเล็กน้อย แต่พื้นที่ดังกล่าวไม่ได้ผลกระทบอะไร ซึ่งยอดขนย้ายตะกรันอลูมิเนียม ร่วมกับทีพีไอ โพรลีน ตั้งแต่เริ่มขน 8 ม.ค. 68 จนถึงปัจจุบัน ขนย้ายไปแล้ว 1,592.61 ตัน

“ท่านรัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้เน้นย้ำกับทีมงานว่าให้ช่วยกันตรวจสอบและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
อย่างเต็มที่โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของประชาชนต้องคำนึงถึงเป็นเรื่องแรก และให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยด้านต่างๆ การตรวจสอบคุณภาพอากาศหลังเกิดเหตุ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องสารพิษ ส่วนการขนย้ายตะกรันอลูมิเนียมนั้น ยังสามารถดำเนินการต่อได้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ” เลขาฯพงศ์พล กล่าว

ทรัมป์สั่งสร้างโล่เหล็ก 'America Iron Dome' ป้องแผ่นดินสหรัฐฯ จากขีปนาวุธตามรอยอิสราเอล

เมื่อวันที่ (27 ม.ค.68) ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในด้านการปฏิรูปกองทัพฯ หลายคำสั่ง โดยหนึ่งในคำสั่งที่ทรัมป์ลงนาม คือการริเริ่มให้มีการสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศ 'ไอรอนโดม' สำหรับสหรัฐฯ แบบเดียวกับที่อิสราเอลใช้สกัดขีปนาวุธหลายพันลูก 

“ภายใน 60 วันนับจากวันที่ออกคำสั่งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะต้อง  ส่งมอบแบบพิมพ์เขียวของระบบ ความต้องการตามขีดความสามารถ และแผนการดำเนินการสำหรับโล่ป้องกันขีปนาวุธรุ่นถัดไปให้แก่ประธานาธิบดี” คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ระบุ

ระบบ America Iron Dome จะรวมถึงแผนการป้องกันขีปนาวุธร่อนแบบวิถีโค้ง ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง และขีปนาวุธล้ำหน้า เร่งการติดตั้งเซ็นเซอร์ติดตามขีปนาวุธจากอวกาศที่มีความเร็วเหนือเสียงและแบบวิถีโค้ง และพัฒนาและติดตั้งเครื่องสกัดกั้นขีปนาวุธจากอวกาศที่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธได้ในช่วงส่งเสริมการโจมตี เอกสารระบุ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเน้นย้ำว่าภัยคุกคามจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธและการโจมตีทางอากาศขั้นสูงอื่น ๆ "ยังคงเป็นภัยคุกคามที่เลวร้ายที่สุดที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญ"

ระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบใหม่ที่คล้ายกับ Iron Dome ของอิสราเอลนี้จะใช้ชื่อว่า 'America Iron Dome' ระบบนี้จะสามารถป้องกันภัยจากขีปนาวุธทั่วไป ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค ขีปนาวุธนำวิถี และรูปแบบใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยงบประมาณหรือกรอบเวลาการพัฒนาระบบนี้

"เราจำเป็นต้องเริ่มก่อสร้างโล่ป้องกันขีปนาวุธล้ำสมัย ไอรอนโดม ซึ่งจะสามารถปกป้องชาวอเมริกัน" ทรัมป์ บอกกับที่ประชุมระดมความคิดของรีพับลิกันในไมอามี พร้อมบอกว่า 'ระบบนี้จะผลิตที่นี่ ในสหรัฐฯ'

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายให้ความเห็นว่า ระบบไอรอนโดมอาจไม่เหมาะสมกับการรับมือภัยคุกคามทางอากาศของสหรัฐฯ เนื่องจากระบบที่ใช้ในอิสราเอลซึ่งเป็นแบบที่ทรัมป์อยากได้นั้น ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามพิสัยใกล้ ทำให้มันไม่เหมาะสมสำหรับป้องกันการโจมตีใด ๆ ด้วยขีปนาวุธข้ามทวีป ที่เป็นตัวอันตรายหลักสำหรับสหรัฐฯ มากกว่า 

ทั้งนี้ นอกจากคำสั่งสร้าง America Iron Dome แล้ว ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งปฏิรูปกองทัพสหรัฐในอีกหลายคนสั่ง เช่น การสั่งห้ามบุคคลข้ามเพศ หรือทรานส์เจนเดอร์ เข้ารับราชการในกองทัพสหรัฐฯ โดยทรัมป์เรียกคำสั่งนี้ว่า "การกำจัดลัทธิหัวรุนแรงทางเพศในกองทัพ" ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายและความเท่าเทียมในกองทัพ

ก่อนหน้านี้ ในสมัยแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง เขาเคยประกาศห้ามกลุ่มทรานส์เจนเดอร์เป็นทหาร โดยให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของทหารข้ามเพศสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง จนกระทั่งปี 2021 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ขณะที่ข้อมูลจากองค์กรเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศระบุว่า ในจำนวนทหารอเมริกันทั้งหมด 1.3 ล้านคน มีทหารที่ระบุว่าตนเองเป็นทรานส์เจนเดอร์ไม่ต่ำกว่า 15,000 คน แต่ทางการสหรัฐฯ ชี้ว่ามีเพียงไม่ถึงพันคน

'นิพิฏฐ์' สะกิด 'อภิสิทธิ์' อย่าเพิ่มกำลังให้ศัตรู หลังเตรียมไปพัทลุงหาเสียง นายกอบจ. ให้คู่แข่งพรรค ปชป.

(28 ม.ค.68) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กข้อความว่า ศึกนี้ผมไม่รบ ทราบว่า พรุ่งนี้ ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมาปราศรัยให้ผู้สมัครนายกฯอบจ.ท่านหนึ่ง ที่จ.พัทลุง

ท่านอภิสิทธิ์ ก็ทราบแล้วว่าผมทราบเรื่องนี้แล้ว และท่านก็ท่านทราบแล้วว่าผมคงจะเสียใจ เพราะผมอยากให้ท่านเป็นกลาง ทุกคนสมัครอิสระ ให้คนพัทลุงเขาแข่งขันกันเองดีกว่า มีคนโทรไปห้ามท่านแล้วแต่ท่านก็จะมา ผมไม่โกรธท่านหรอก ใจผมเลยจุดนั้นไปนานแล้ว ผมเคารพการตัดสินใจของท่าน แต่ท่านคงลืมอะไรไป 3-4 เรื่อง

1.ผู้สมัครนายกอบจ. ที่ท่านจะมาช่วยปราศรัยนั้น เขาลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว และ ไปขอสมัครลงในนามพรรคประชาชน แต่พรรคประชาชนไม่รับ เขาจึงลาออกจากพรรคประชาชน แล้วมาสมัครอิสระ แต่ความจริงไม่อิสระหรอก มีพรรคการเมืองหนึ่งเป็น 'อีแอบ' หนุนหลังอยู่ และประกาศว่าจะทำการเมืองสีขาว ถ้าพรรคนี้ทำการเมืองสีขาว แล้วคนพัทลุงยังเชื่ออีกก็น่าหัวเราะล่ะ

2.ท่านอภิสิทธิ์ ไม่ควรมาหรอก แม้ท่านประกาศว่า บัดนี้ ท่านไม่สังกัดพรรคใด ๆ แล้ว และท่านประกาศจะสังกัดพรรคเดียวเท่านั้น คือ ประชาธิปัตย์ แต่อย่าลืมว่า พัทลุงมีสส.ประชาธิปัตย์ 2 คน ถ้าท่านมาปราศรัยก็เท่ากับท่านเพิ่มกำลังให้กับพรรคหนึ่ง ซึ่งเคยต่อสู้กันมาอย่างหนักหน่วง แล้วน้อง ๆ ที่เขาเป็นสส.ประชาธิปัตย์ เขาจะรู้สึกอย่างไร

3.เชื่อผมเถอะ วันที่ท่านอภิสิทธิ์ มาปรากฏกายที่พัทลุง ท่านจะถูกห้อมล้อมด้วยคนจากพรรคอื่น ซึ่งเคยต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่มีคนประชาธิปัตย์ห้อมล้อมให้กำลังใจท่าน ดอกกุหลาบ หรือดอกไม้ที่ยื่นให้ท่านมาจากมือของคนที่ไม่เคยหยิบยื่นให้ท่านเลย เสียงตะโกนเชียร์มาจากปากของคนที่เคยก่นด่าท่าน คนที่รักท่านต่างหลั่งน้ำตา ด้วยความเสียใจ

4.ผมเข้มแข็งพอที่จะไม่น้อยใจ ผมกรำศึกแบบนี้มายาวนาน ผมเคยเป็นขุนพลข้างกายท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ ณ เวลานี้ สิ่งที่ผมต่างจากอดีตแม่ทัพของผม คือ “ผมไม่เพิ่มกำลังให้ศัตรู” ผมไม่ทรยศอดีตแม่ทัพ แต่ศึกครั้งนี้ ผมไม่ชักกระบี่สู้ตามแม่ทัพ

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (2) : ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ รายละเอียดการเรียกเก็บและวิธีการคิดคำนวณ ‘ค่าไฟฟ้า’

(28 ม.ค. 68) บทความที่แล้ว (รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (1)) ได้เล่าถึงความเป็นมาของกิจการพลังงานไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานหลายหน่วยที่มีภารกิจและความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน บทความนี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดของ ‘ค่าไฟฟ้า’ ทั้งประเภทต่าง ๆ รายละเอียดส่วนต่าง ๆ ของการเรียกเก็บ และวิธีการคิดคำนวณ โดยประเทศไทยมีการคิดค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนประกอบด้วย 4 ส่วน คือ

1. ‘ค่าไฟฟ้าฐาน’ ค่าการใช้ไฟฟ้าจะคิดจากต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า โดยวิธีการคำนวณก็จะแบ่งตามประเภทผู้ใช้งานได้แก่ [1] บ้านอยู่อาศัย [2] กิจการขนาดเล็ก [3] กิจการขนาดกลาง [4] กิจการขนาดใหญ่ [5] กิจการเฉพาะอย่าง [6] องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร [7] กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร และ [8] ไฟฟ้าชั่วคราว (โดยอัตราค่ากระแสไฟฟ้าต่อหน่วยของแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน) วิธีการคำนวณค่าไฟฟ้าฐาน คือ ค่าไฟฟ้าฐาน = จำนวนยูนิต x อัตราค่ากระแสไฟฟ้าต่อหน่วย 

2. ‘ค่าบริการ’ เป็นต้นทุนค่าบริการอ่านและจดหน่วยไฟฟ้า จัดทำและส่งบิลค่าไฟฟ้า ระบบรับชำระเงินและบริการลูกค้าของการไฟฟ้าฯ โดยมีความผันแปรไปตามหน่วยไฟฟ้าที่ใช้

3. ‘ค่า Ft’ (Float time) คือ คำที่เรียกสั้น ๆ ของสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือค่าไฟฟ้าผันแปร ซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้า สูตร Ft มีการปรับปรุงสูตรหลายครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสภาวะการณ์ของต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ณ ขณะนั้น ๆ ล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2548 ได้มีการปรับปรุงสูตร Ft โดยให้คงเหลือเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าเท่านั้น การปรับค่าไฟฟ้า Ft เดิมดำเนินการโดย กกพ. ซึ่งเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ ซึ่งต่อมา กพช. ได้ยกเลิกคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า และคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาและให้ความเห็นชอบค่าไฟฟ้า Ft ทั้งนี้ กกพ. ทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ โดยค่า Ft มีการปรับปรุงทุก ๆ 4 เดือน

4. ‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ นอกจากค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft แล้ว ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) รวมกับค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft ด้วย วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม = (ค่าไฟฟ้าฐาน + ค่า Ft + ค่าบริการ) x 7%

จะเห็นได้ว่า ‘ค่า Ft’ มีผลต่อราคาค่าไฟฟ้ามากที่สุด โดยค่า Ft มีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) ค่าเชื้อเพลิงฐาน (Base Fuel Cost : BFC) คำนวณจากค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ (2) ประมาณการค่าเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. (3) ประมาณการค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนของ กฟผ. (4) ประมาณการค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ (Policy Expense : PE) (5) Fuel Adjustment Cost : FAC คำนวณจาก ส่วนต่างระหว่าง “ประมาณการค่าใช้จ่ายในด้านเชื้อเพลิงฯ” (Estimated Fuel Cost : EFC) (6) ยอดสะสมยกมาจากงวดที่ผ่านมา (Accumulate Factor : AF) คือ ส่วนต่างระหว่าง “ค่า Ft ที่เกิดขึ้นจริง”กับ“ค่า Ft เรียกเก็บ”สะสมของงวดที่ผ่านมา (7) Ft ขายปลีก สำหรับงวดปัจจุบันคำนวณจากผลรวมของ “FAC งวดปัจจุบัน” และ (8) Ft ขายส่งประกอบด้วย Ft ขายส่ง กฟน. และ Ft ขายส่ง กฟภ. 

ค่า Ft จะถูกคำนวณด้วยโครงสร้างสูตรคำนวณค่า Ft โดย {1} จำแนกเป็น Ft ขายปลีก และ Ft ขายส่ง {2} Ft ขายปลีก เป็น Ft ที่ กฟน. และ กฟภ. เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท และกฟผ. เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นลูกค้าตรงของ กฟผ. และอื่น ๆ {3} Ft ขายส่ง เป็น Ft ที่ กฟผ. เรียกเก็บจาก กฟน. และ กฟภ. {4} Ft จะคำนวณเป็นค่าเฉลี่ย 4 เดือนและปรับเปลี่ยนทุก ๆ 4 เดือน โดยเรียกเก็บในใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า และแสดงในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าเป็นประจำทุกเดือนเป็นรายการพิเศษ และ {5} Ft เป็นอัตราต่อหน่วยการใช้พลังงานไฟฟ้า และเป็นค่าที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และใช้ข้อมูลในการคำนวณจากองค์ประกอบตามข้อ (1) ถึง (8) 

สำหรับหลักการคำนวณค่า Ft จะใช้ <1> ค่า Ft ขายปลีก คำนวณจากค่าใช้จ่ายในด้านค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐในงวด 4 เดือนข้างหน้า (งวดปัจจุบัน) เทียบกับ ค่าใช้จ่ายที่ใช้คำนวณในค่าไฟฟ้าฐานรวมกับ ค่า Ft ที่เกิดขึ้นจริงต่างจากที่เรียกเก็บ สะสมในงวด 4 เดือนที่ผ่านมา (AF) หารด้วยประมาณการหน่วยขายปลีกในงวดปัจจุบัน และ <2> ค่า Ft ขายส่งให้ กฟน. และ กฟภ. Ft ขายส่งให้ กฟน. คำนวณจากค่า Ft ขายปลีกคูณประมาณการหน่วยขายปลีกที่ กฟน. ขายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในงวดปัจจุบัน หักด้วยส่วนต่างของประมาณการกับค่าฐานของค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐของ กฟน. หารด้วยประมาณการหน่วยขายส่งที่ กฟผ. ขายให้ กฟน. สำหรับ Ft ขายส่งให้ โดย กฟภ. ก็ใช้วิธีการคำนวณค่า Ft เช่นเดียวกันกับ กฟน. ตามมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เมื่อวันที 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ได้กำหนดค่า Ft ที่หน่วยละ 0.3672 บาท (36.72 สตางค์) ทั้งนี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับวิธีการคำนวณค่าไฟฟ้า จะมีวิธีการคำนวณค่าไฟฟ้าอัตโนมัติในเว็บไซต์ทั้งของ กฟน. และ กฟภ.

ในตอนต่อไปจะได้บอกเล่าถึงเรื่องของ ‘ต้นทุน’ ใน ‘ค่าไฟฟ้า’ ว่าประกอบด้วยอะไร และ ‘ผู้ใช้ไฟฟ้า’ ต้องจ่ายเป็นค่าอะไรบ้างใน ‘ค่าไฟฟ้า’ แต่ละหน่วย

‘I love you to the moon and back’ ความหมายสุดลึกล้ำที่ซ่อนไว้ในหนังสือนิทาน

วลีนี้ถูกค้นพบจากหนังสือนิทานภาพ 'Guess how much I love you' เขียนโดย Sam McBratney และวาดภาพประกอบโดย Anita Jeram

นิทานเรื่องนี้ดำเนินเรื่องผ่านพ่อลูกกระต่ายคู่หนึ่ง โดยกระต่ายน้อยกับพ่อจะมีการเล่นอยู่อย่างหนึ่งระหว่างกัน คือการแข่งกันบอกรัก ลูกกระต่ายจะบอกรักพ่อไปเรื่อย ๆ แล้วพ่อกระต่ายก็จะตอบกลับด้วยประโยคเดียวกันแต่เพิ่มการลงท้ายให้รู้สึกมากกว่า 

มีอยู่คืนหนึ่งเมื่อกระต่ายน้อยและพ่อกำลังจะเข้านอน แต่ลูกกระต่ายยังไม่อยากนอน จึงชวนพ่อกระต่ายคุย และถามว่า “ทายซิ ทายซิ หนูรักพ่อมากแค่ไหน?” พ่อกระต่ายก็ทำเหมือนทุกทีด้วยการบอกรักลูกกระต่ายกลับ และก็เพิ่มการลงท้ายให้รู้สึกมากกว่าเหมือนเช่นทุกครั้ง ทั้งคู่บอกรักกันไปเรื่อย ๆ จนลูกกระต่ายเริ่มง่วง และก่อนที่จะเข้านอนนั้นก็ได้บอกกับพ่อว่า “หนูรักพ่อเท่ากับต้องเดินทางไปพระจันทร์เลย” พ่อกระต่ายจึงตอบกลับมาว่า “โอ้ มากขนาดนั้นเชียวหรือ นั่นไกลมากเลยนะ ถ้าอย่างนั้น สำหรับพ่อ พ่อก็รักลูกมากเท่ากับเดินทางไป-กลับพระจันทร์นั่นแหละ” หรือ “ I love you right up to the moon and back” ซึ่งก็กลายมาเป็น “I love you to the moon and back” นั่นเอง 

อีกทฤษฎีหนึ่งที่มีการคำนวณอย่างจริงจังก็คือ ใน 1วัน หัวใจของมนุษย์จะสามารถผลิตพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถบรรทุกได้ 20 ไมล์ ดังนั้นถ้ายึดตัวเลขนี้ใน 1 ปีหัวใจจะผลิตพลังงานคิดเป็นระยะทางได้ 7,300 ไมล์ หากมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยที่ 70 ปี เท่ากับว่าในชั่วอายุขัยของคนคนหนึ่งหัวใจจะผลิตพลังงานได้สำหรับการเดินทางราว 511,000 ไมล์ การเดินทางไป-กลับดวงจันทร์เป็นระยะทาง 477,710 ไมล์ ดังนั้นการบอกใครสักคนด้วยประโยคนี้ก็อาจแปลได้ว่า เราจะรักคนๆนั้นจนหัวใจสูบฉีดพลังงานจนหมด หรือรักไปจนชั่วชีวิตนั่นเอง 

หากมีใครพูดประโยคนี้กับคุณแล้วคุณตอบกลับไปว่า “to the moon & never back” นั่นคือการตอบรับรักและสัญญาว่าจะไม่แยกจากกันนั่นเอง

'ดร.สันติธาร' ตั้ง 5 คำถาม 'DeepSeek' AI จีนตัวเปลี่ยนเกมท้าชนมหาอำนาจ

(28 ม.ค. 68) ดร.สันติธาร เสถียรไทย Future Economy Advisor สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า การผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอจากจีนที่อาจเปลี่ยนโลก 5 คำถามสำคัญที่ตามมา จากการผงาดขึ้นมาของ DeepSeek เอไอของจีนที่เป็นกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในตอนนี้ 

ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลก แต่ยังมาจังหวะที่สหรัฐฯเปลี่ยนรัฐบาลพอดี เสมือนเป็นการ‘สะบัดหาง’ครั้งสำคัญของปีงูเล็กเลยกว่าว่าได้และอาจมีผลกระทบในวงกว้างอีกด้วย (ใครไม่ได้ตามข่าวนี้ผมแปะลิ้งค์ข้อมูลเกี่ยวกับเอไอตัวนี้ไว้ในคอมเมนท์ครับ)

ผมมองว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะเปิดอย่างน้อย 5 ประเด็นสำคัญที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ จึงอยากลองแชร์ไว้เผื่อไปช่วยคิดและติดตามกันต่อครับ
1.จีน vs อเมริกา. การมาของ DeepSeek ตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีเอไอของอเมริกายังนำโลกอยู่จริงไหม หรือจีนสามารถวิ่งไล่กวดได้แล้วแม้จะไม่ได้เข้าถึงชิปคุณภาพสูงสุดที่โดนกีดกันจากสหรัฐฯและพันธมิตร  และหากไล่กวดได้จริงตามตัวเลขการทดสอบความสามารถเอไอต่างๆที่ออกมา ต่อไปสหรัฐฯจะตอบโต้อย่างไร:

-จะเพิ่มความเข้มข้นของสงครามการค้า-เทคโนโลยีเพื่อให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้ได้ยากขึ้นไปอีกไหม หรือ/และ
-จะทุ่มทุนยิ่งกว่าเดิมสร้างกับโครงการเอไอขนาดยักษ์อย่าง Stargate ที่มูลค่าที่ประกาศเกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศ
แต่ในทางกลับกันก็มีคนบอกว่าเพราะไปจำกัดการเข้าถึงชิปของจีนนี่แหละเลยทำให้เขาต้องคิดค้นวิธีใหม่ที่สร้างเอไอได้ประหยัดกว่าเดิม ทำ‘กันดารกลายเป็นสินทรัพย์‘

2.ความสิ้นเปลืองทรัพยากร. การที่ Deepseek ใช้เงินในการพัฒนาเอไอน้อยกว่า พวกบริษัทเทคโนโลยีดังๆของอเมริกาประมาณ 20-30x และ ใช้ชิปที่ไม่ได้ ’ทรงพลัง‘ เท่า (มีคนบอกว่าชิปที่พวกเขาใช้ แค่นักเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยในอเมริกายังมีใช้เลย) ทำให้เกิดคำถามสำคัญในหมู่นักลงทุนและบริษัทเทคฯว่า “เอ้ะ ที่เราลงทุนไปหลายพันล้านเพื่อให้ได้ชิปที่ทรงพลังที่สุดนี่จริงๆแล้วมันจำเป็นหรือเปล่า” สรุปเราจ่ายไปเพื่อซื้อ ’เนื้อ’ หรือ ’ไขมัน’ กันแน่? หรือว่า: เงินอาจจะไม่ใช้มากขนาดนั้น ชิพอาจจะไม่ต้องทรงพลังขนาดนั้น พลังงานก็อาจจะไม่ต้องใช้หนักขนาดนั้น นี่จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นวงการเทคฯและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องตื่นตระหนกตกใจพานิคร่วงกันเป็นแถวเมื่อวานนี้

3.โมเดลแบบเปิด vs ปิด. คนส่วนใหญ่อาจมองสงครามเอไอเป็นระหว่างสหรัฐฯ vs จีน แต่สำหรับคนในวงการเทคโนโลยีอีกศึกที่คุกรุ่นมานานคือระหว่าง โมเดลแบบเปิด (Open source) ที่เสมือนเปิด ‘สูตรลับ‘ หรือ โค๊ดให้คนอื่นสามารถเอาไปศึกษา ใช้พัฒนาต่อยอดได้ กับ โมเดลแบบปิดที่ไม่ได้เปิดข้อมูลเหล่านี้ เช่น ChatGPT Deepseek คือเป็นแบบเปิด จึงทำให้เกิดคำถามว่าโมเดลแบบเปิดนี้มันเจ๋งจนไล่กวดโมเดลแบบปิดที่ซ่อนสูตรลับของตัวเองแล้วหรือ? นึกภาพหากร้านอาหารอร่อยมากๆเปิดสูตรให้คนเอาไปทำที่บ้านแล้วทำออกมามันอร่อยไม่แพ้ร้านแพงๆที่เก็บสูตรเป็นความลับ ต่อไปใครจะอยากไปจ่ายแพงเพื่อกินที่ร้าน 
แต่ก็มีคำถามต่อไปอีกว่าแล้วต่อไป Deepseek จะยังเปิดสูตรตัวเองไปเรื่อยๆแบบนี้ไหม หรือวันดีคืนดีก็จะปิดมันและเก็บตังค์ค่าใช้แพงๆ และ/หรือ จะมีการเอาข้อมูลของ User ไปใช้อย่างไรเพราะบางคนก็ห่วงเรื่อง data governance

4.ผู้นำ-ผู้ตาม. Deepseek ใช้เวลาแค่ 2 เดือนกว่าๆเท่านั้นในการพัฒนาเอไอที่มี ความสามารถใกล้เคียงกับโมเดลรุ่นใหม่ ของ OpenAI โดยใช้โมเดลของ OpenAI ช่วยเทรนสอนโมเดลของตนเองด้วย เสมือนOpenAI เป็นจอมยุทธ์ที่ฝึกแทบตายกว่าจะบรรลุเคล็ดวิชาใหม่ แต่พอนักเรียนมาเลียน/เรียนต่อแป๊บเดียวสามารถได้วิชาระดับเดียวกันมาได้  (ภาษานักลงทุนคือ Moat หรือคูเมืองป้องกันปราสาทเรา มันไม่ได้ข้ามยากเท่าที่คิด) จึงทำให้เกิดคำถามว่าวงการเอไอนี่ผู้นำได้เปรียบมากจริงไหม หากผู้ตามสามารถตามได้เร็วขนาดนี้และยังทำได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก แบบนี้มันยังคุ้มที่จะลงทุนพัฒนาเพื่อเป็นผู้นำ ‘บรรลุเคล็ดวิชาใหม่ๆ‘ ไหม เพราะผู้นำด้านเอไออาจถูกดิสรัปง่ายกว่าที่คิด

5.อนาคตของเอไอ. ในมุมผู้พัฒนาและลงทุนกับเอไอ คำถามเหล่านี้อาจทำให้ขนหัวลุก แต่ในมุมของผู้ใช้ พัฒนาการนี้ก็อาจมองในมุมบวกได้เช่นกัน
- ต้นทุนพัฒนาเอไอถูกลงทำให้ค่าบริการถูกลง คนเข้าถึงได้มากขึ้น
-เอไออาจสามารถใช้ทรัพยากรและพลังงานน้อยลง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้น
-โมเดลแบบเปิดอาจทำให้คนเก่งๆทั่วโลก สามารถศึกษาและเอาไปพัฒนาต่อยอดได้ สร้างเอไอที่ตอบโจทย์และเหมาะกับบริบทของสังคมตนเอง 
- การพัฒนาเอไออาจมีการแข่งขันมากขึ้น Generative AI กลายเป็น‘เทคโนโลยีโหลๆ’ขึ้น ผลักดันให้หลายเจ้าอาจต้องหามุมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แนวอื่นมากขึ้น คิดเรื่องแอพพลิเคชันมากขึ้น ไม่ใช่ทุ่มเงินสร้างมันสมองที่ฉลาดอย่างเดียว จึงอาจทำให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายขึ้น 
ในทางกลับกันการที่แต่ละประเทศต่างแข่งกันสร้างสุดยอดเอไออาจทำให้ต่างลดความสำคัญด้านการกำกับดูแลความเสี่ยง ทำให้ยิ่งมีโอกาสเกิดเอไอแบบอันตรายต่อสังคมขึ้นหรือไม่ 

แน่นอนว่าเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ Deepseek อีกมากและก็เป็นไปได้ว่าต่อไปอาจมีการหักมุมจากผู้เล่นอื่นอีกที่ไม่ใช่ DeepSeek เลยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็คิดว่า 5 ประเด็นนี้คือคำถามที่เราควรตั้งและช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดกับเทคโนโลยีที่มีโอกาสเปลี่ยนโลกและกระทบเราทุกคนในอนาคตครับ

‘เศรษฐา‘ บรรยายหลักสูตร วปอ.รุ่น 67 ขอทุกคนโฟกัสความเสมอภาค-เท่าเทียม พร้อมฉายภาพโอกาสประเทศไทย

(28 ม.ค. 68) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ขึ้นบรรยายพิเศษให้กับวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 67 หัวข้อวิชา "ประสบการณ์และการเป็นผู้นำระดับยุทธศาสตร์" โดยนายเศรษฐา กล่าวช่วงหนึ่งว่า ตนไม่ได้มีอคติหรือว่ามีประเด็นอะไรกับใครใน วปอ. เพียงแต่มีความหวังดี และอยากให้สถาบันนี้อยู่อย่างมั่นคงพวกเราก็ทราบกันดีอยู่ว่าในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้มีการเรียกร้องจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นอดีตรัฐมนตรี คอลัมนิสต์ต่างๆ ให้ยกเลิกคอร์สที่ใช้คําว่าอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น บยส. วปอ. ฯลฯ ซึ่งต้องยอมรับว่าจริงๆพวกท่านเป็น 0.01% ของประชาชนคนไทย ตนเชื่อว่าท่านทราบว่า การจะได้เข้ามาเรียนที่นี่ลําบากขนาดไหน แม้ตนจะไม่เคยเรียนหลักสูตรไหน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาด้วยการยกเลิก และคิดว่าไม่ถูกต้องด้วย ตนคิดว่า หากมีปัญหาเราก็ต้องแก้ ซึ่งการแก้ไขก็ไม่ได้แก้ไขได้แค่บางหลักสูตร แต่ต้องทําอย่างต่อเนื่อง สม่ําเสมอ และต้องเกิดการรวมพลังจากทุกภาคส่วน

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า มาพูดวันนี้ ตนอยากฉายภาพประเทศไทยมากว่า ว่าจากนี้เราจะทําอะไรกันบ้าง และเราควรจะทําอะไร โดยเรื่องแรกที่เรากำลังประสบ คือการลดลงของประชากร ไทยรัฐรายงานเมื่อเช้าว่า เรามีประชากรลดลงด้วยทุกวันอีก 50 ปี ประชากรจะหายไปครึ่งหนึ่ง แล้วคนที่ขายของทั้งหลายจะขายขอฃให้ใคร เศรษฐกิจระยะยาวจะเป็นอย่างไร แล้วคนที่อยู่จะเป็นคนสูงวัยขนาดไหน เราต้องให้ลูกหลานมาแบกในส่วนนี้เรื่อยๆ ประเทศเราจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร  ถ้าเราไม่ปรับปรุงวิธีการดํารงชีวิต วิธีการทํางานเพื่อทําให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ดังนั้น เราต้องสนับสนุนการมีลูก โดยจะต้องทำสังคมให้เสมอภาค เท่าเทียม มีโอกาสเข้าถึงระบบการศึกษาที่ถูกต้อง ไร้เส้นสาย และต้องมีนโยบายเพื่อให้คนมั่นใจว่า ลูกหลานจะได้รับสิทธิพื้นฐาน มีอากาศบริสุทธิ์ มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกประกอบอาชีพ และต้องมีการปรับโครงสร้างภาษีรายได้ส่วนบุคคล ภาษีนิติบุคคลเพื่อดึงดูดให้คนรุ่นใหม่อยากอยู่ในประเทศ แต่ไม่ใช่ภาษี Vat

นายเศรษฐา กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพสูงมากในการดึงดูดการลงทุน เรามีสถานพยาบาลที่ดีและทันสมัย มีโรงเรียนนานาชาติที่ได้รับการยอมรับ มีอาการการกินที่ดี ด้วยปัจจัยเล็กๆเหล่านี้ ทำให้หลายองค์กรของต่างชาติจึงอยากลงทุนในไทย แต่ที่สำคัญที่สุด คือความเป็นกลาง ไทยเราเป็นเพื่อนของทุกคน มีหลายประเทศที่ใฝ่ฝันหาประเทศที่เป็นกลางจริงๆ ซึ่งนี่ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลใด แต่เป็นจิตวิญญาณของคนไทยเองที่ทำให้เราได้เปรียบในเรื่องนี้ อีกเรื่องคือ Landbridge เรามีโอกาสทองตรงนี้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของโกลบอลโลจิสติกส์ อาวุธยุทโธปกรณ์เราอาจจะไม่จําเป็นต้องมียุทโธปกรณ์เยอะหรือมีมูลค่าราคาแพง เพราะจริงๆแล้วเนี่ยเราใช้คําว่าสงครามการค้าตลอดเวลา ตราบใดที่เรามี Landbridge และตราบใดที่เราจะมีอินฟราสตรัคเจอร์ระดับโลกถือว่าเรามีอาวุธอันนึงที่จะสามารถช่วยปกป้องเอกราชของประเทศไทยได้ ทําให้เราเป็นประเทศที่มีคนอยากค้าขายด้วย

นายเศรษฐา กล่าวถึงเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร หรือ entertainment complex ด้วยว่า ไม่ได้หมายถึง คาสิโน อย่างเดียว วันนี้เรามี natural studium เรามี indoor natural stauium ที่จะจัดเวิลด์คลาสอีเวนท์ สร้างสนามอินดอร์สเตเดียม 30,000-40,000 ที่นั่ง โรงแรม exhibition center สวนสนุกอะไรหลายๆอย่าง ทําให้ประเทศไทยเป็น man made exhibition ที่มีคนอยากเข้ามา ควบคู่ไปกับการขยายสนามบินสุวรรณภูมิจาก 60 ล้านคนเป็น 150 ล้านคน ควบคู่ไปกับการลงทุนข้ามชาติที่ทาง BOI ไปติดต่อมา ควบคู่ไปกับสร้างล้านนาอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ตที่ทางภาคเหนือ ควบคู่ไปกับการสร้างสนามบินอันดามันที่ภาคใต้ นําความเจริญไปทั่วถึงไม่ใช่แค่ภาคใดภาคหนึ่ง รองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยว คาสิโนเป็น 5% เท่านั้นเอง ตนว่านี่เป็นเรื่องที่เราควรที่จะต้องพูดคุยในเรื่องประสิทธิผล ไม่ใช่ไม่ชอบพรรคหรือคนที่ทําแล้วก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ดี

”เรื่องสำคัญที่ผมอยากพูดคุยกับทุกคนคือเรื่องของความเท่าเทียม ผมไม่ได้มองในด้านของเศรษฐกิจอย่างเดียว ผมมองในแง่ของจิตใจด้วยเราต้องให้เกียรติ ให้พื้นที่ให้ความเสมอภาคเท่าเทียมไม่ใช่ความเหนือชั้นกับชนบางกลุ่ม ผมไม่ปฏิเสธว่าสังคมไทยเนี่ยมีคนรวยอยู่เยอะมาก เพราะยอดพีระมิดมีอยู่ไม่กี่หมื่นคนเท่านั้นเอง ส่วนมากจะอยู่ที่ฐานราก เรื่องของความเสมอภาคเท่าเทียมจึงเป็นเรื่องที่สําคัญ ตอนที่ผมเป็นนายกฯ วันแรกที่ผมเดินทางออกต่างจังหวัดมีการเลี้ยงรับรองมื้อเที่ยง ผมก็เดินไปดูโต๊ะผู้สื่อข่าวกับสตาร์ฟของทําเนียบรัฐบาล และผู้ติดตาม เขาทานข้าวผัดกับแตงโม ผมก็เลยเรียก สลน.มาบอกว่าผมไม่เอาแบบนี้ ทุกคนต้องทานเหมือนกันหมด เวลาผมทานเลี้ยง ผมมีอาหารสํารับเดียวครับ ดังนั้น ถ้าท่านเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปตรวจพื้นที่ ผมอยากฝากข้อคิดไว้อันหนึ่งว่า ลูกน้องท่านเขาจะกินข้าวกับท่านปีนึงกี่หน บางคนแปลก ยิ่งเด่น ยิ่งชอบ ยิ่งจะทําตัวเหนือเขา นี่คือสิ่งที่ negative มากๆสําหรับคนคนรุ่นใหม่ สําหรับข้าราชการชั้นผู้น้อย หรือสําหรับคนที่กําลังไต่เต้า อีกประเด็นคืออย่ามาใช้ทรัพย์สมบัติของประเทศชาติในทางที่ผิด และเป็นการลดแรงบันดาลใจของคนรุ่นใหม่ ผมคิดว่าการที่เราจะทําให้เด็กรุ่นใหม่มีความหวังและแรงบันดาลใจต้องวางตัวให้ดีและเหมาะสมที่สุด วันนี้ทุกท่านได้อยู่ในสถาบันอันทรงเกียรติ เราต้องถามว่า หน้าที่ของเราคืออะไร แทนที่จะนั่งกันกินข้าวกันเรื่องไวน์ เรื่องลูก เรื่องธุรกิจ เด็กไทยประมาณสองล้านคนหลุดออกนอกระบบการศึกษา ไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษา เราลองคิดช่วยกันหน่อย แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า พวกคุณเป็นผู้ที่เหมาะสม ควรที่จะถูกเลือกเข้ามาในเรียนในสถาบันทรงเกียรตินี้ และขอให้เราทุกคนลดความอคติที่จะเกลียดชังเป็นตัวบุคคลลงไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือใครก็ตาม ลดความเกลียดชังในแง่ส่วนตัวลง แล้วให้ความเป็นธรรมกันมากขึ้น ถ้าไม่คิดอย่างนี้แล้วประเทศไม่มีความหวัง ผมอยากให้สังคมเดินไปข้างหน้าได้“ นายเศรษฐา กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top