Sunday, 18 May 2025
Hard News Team

รวบผู้ต้องสงสัยคดีหลอก 'ซิงซิง' ลั่นปราบเด็ดขาดค้ามนุษย์สแกมเมอร์

(27 ม.ค. 68) เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนสามารถจับกุมและนำตัวผู้ต้องสงสัยก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความอันเป็นที่สนใจของสาธารณชนกลับประเทศสำเร็จ โดยคดีความดังกล่าวเป็นกรณีนักแสดงชายชาวจีนถูกหลอกลวงและกักขังที่ชายแดนไทย-เมียนมาอย่างผิดกฎหมาย

เมื่อวันอาทิตย์ (26 ม.ค.) กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนระบุว่าผู้ต้องสงสัยแซ่เหยียนถูกนำตัวกลับถึงจีนเมื่อวันเสาร์ (25 ม.ค.) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างคณะทำงานเฉพาะกิจของกระทรวงฯ และสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย รวมถึงความช่วยเหลือจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทย

ทั้งนี้ หลายคดีความเกี่ยวกับกรณีพลเมืองจีนถูกหลอกลวงและกักขังที่ชายแดนไทย-เมียนมาอย่างผิดกฎหมาย ที่ซึ่งเหยื่อถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมขบวนการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต ได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นวงกว้าง

หวังซิง นักแสดงชายชาวจีน เดินทางเข้าไทยเมื่อวันที่ 3 ม.ค. แต่ขาดการติดต่อบริเวณใกล้ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ติดตามความเคลื่อนไหวและช่วยเหลือเขาสำเร็จ ซึ่งหวังถูกระบุว่าตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์

เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เสริมว่าตำรวจจะเพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ ดำเนินการปราบปรามขั้นเด็ดขาด และประสานงานช่วยเหลือเพื่อปกป้องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองจีนอย่างประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

‘ดร.วรัชญ์’ ชี้ การจัดการจราจร มธ. รังสิต แย่กว่า รบ. จัดการฝุ่น หลังปล่อยรถติด 4-5 ชม. สะท้อนการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ

เมื่อวันที่ (26 ม.ค. 68) ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warat Gap ว่า การจัดการจราจรของธรรมศาสตร์ รังสิต ในวันนี้ คือที่สุดของความไร้ประสิทธิภาพ ผู้รับผิดชอบควรพิจารณาตัวเอง

พร้อมทั้งย้ำในคอมเมนต์ ว่า ติดใน ม. กัน 4-5 ชม. เป็นไปได้ยังไง ขาออกห้าทุ่มวันอาทิตย์รถยังติดเป็นชั่วโมง แทนที่จะพยายามระบายรถออกไปในทุกประตูที่มี ให้ออกไปก่อน กลับไปกั้นถนน บังคับให้ออกทางเดียวที่เป็นคอขวด

“คณะวิศวะ ก็มี ทำไมไม่ออกแบบวางแผนล่วงหน้า อันนี้ยิ่งแย่กว่าการจัดการฝุ่นของรัฐบาลอีก”

สำหรับสาเหตุที่ทำให้รถติดหนักในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างหนัก เนื่องจากในวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา มีการซ้อมใหญ่รับปริญญาบัตร ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2565-2566 และจะมีพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ อาคารกิติยาคาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ นี้

นายกฯ คิกออฟ กดปุ่มโอนเงินหมื่น เฟส 2 กลุ่ม 60 + เติมเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาท

นายกฯ คิกออฟ กดปุ่มโอนเงินหมื่น เฟส 2กลุ่ม 60 + กว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศ เติมเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาท ย้ำกรณีโอนไม่ผ่านหรือติดขัดในวันนี้รัฐบาลจะโอนซ้ำอีก3รอบ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 28 มีนาคม และ28เมษายน จากนั้นจะนำข้อมูลมาพิจารณา

(27 ม.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน (Kick Off) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผู้สูงอายุ พร้อมกล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรัฐบาลได้เน้นย้ำและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อทำให้ประชาชนมีกินมีใช้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในเฟสแรกมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ จำนวน 14 ล้านคน โดยได้มอบเงิน จำนวน 10,000 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างมากมาย มีการจับจ่ายซื้อของทำให้เศรษฐกิจกระตุ้นขึ้น และบางครอบครัวได้นำเงินมารวมกันเพื่อต่อยอดทำธุรกิจสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ และวันนี้เป็นเฟสที่สองของการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะจ่ายเงิน 10,000 บาท ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชนให้ผู้สูงอายุจำนวนกว่า 3,000,000 คน ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยเป็นจำนวนประมาณกว่า 30,000 ล้านบาท  โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีกับประชาชน และหวังให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยเงินจำนวนนี้ เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ แบ่งเบาภาระได้หลาย ๆ อย่าง และนำไปต่อยอดในการประกอบอาชีพต่อไป 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กดยืนยันการโอนเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของการเปิดตัวโครงการฯ อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง และสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรีที่ได้แถลงต่อรัฐสภา

ภายหลังกดปุ่มโอนเงิน นายกรัฐมนตรีรับฟังความรู้สึกจากตัวแทนกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ โดยผู้สูงอายุต่างขอบคุณรัฐบาลที่เห็นความสำคัญ ไม่ทอดทิ้งกลุ่มผู้สูงอายุ มอบโอกาสให้ผู้สูงอายุมีเงิน 10,000 บาท เพื่อนำเงินที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และครอบครัว

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้พูดคุยผ่านระบบ Video Conference กับป้าจันทร์ อายุ 79 ปี อาชีพแม่ค้าขายไข่สด โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายป้าจันทร์ว่า วันนี้หน้าตาสดใส ทางด้านป้าจันทร์กล่าวว่า หน้าตาสดใสเพราะดีใจที่ได้รับเงิน 10,000 จากรัฐบาล พร้อมกับกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ดำเนินโครงการที่ดีเป็นประโยชน์ โดยจะนำเงินที่ได้รับไปซื้อไข่มาขายต่อ และเงินอีกส่วนหนึ่งจะนำไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน พร้อมกับกล่าวให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ขอให้มีกำลังใจที่ดีในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติและประชาชน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวให้กำลังใจป้าจันทร์ ขอให้มีกำลังใจในการประกอบอาชีพ และมีสุขภาพที่แข็งแรง

สำหรับเงินสนับสนุน เฟส 2 นี้ หากดำเนินการโอนแล้วติดขัดเรื่องใด ๆ จากจำนวนผู้ลงทะเบียน รัฐบาลจะ โอนซ้ำอีก 3 ครั้งในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 28 มีนาคม และ 28 เมษายน ปีนี้และหากพ้นกำหนด 3 ครั้ง ก็จะ ตรวจสอบว่าเหลืออยู่จำนวนเท่าไร เพื่อนำมากำหนดวิธีสำหรับผู้ไม่มี สมาร์ตโฟนต่อไป

สหรัฐฯ เบี้ยวหนี้ยูเอ็น 2.8 พันล้านดอลลาร์ อ้างเป็นผู้นำโลก แต่ทุ่มเงินหนุนสงครามยูเครน

(27 ม.ค. 68) เว็บไซต์ Global Times ของทางการจีนรายงานบทความวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสหรัฐฯ โดยว่ารัฐบาลวอชิงตันดี.ซี กำลังแสดงตัวอย่างให้โลกเห็นถึงความละเลยต่อการรับผิดชอบต่อประชาคมโลย ด้วยการค้าชำระงบประมาณของสหประชาชาติ เป็นมูลค่าถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลับนำเงินไปหนุนการทำสงครามยูเครนเป็นมูลค่ารวมแล้วกว่า 62 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างเชิงลบของความเป็นผู้นำโลก

Global Times ระบุว่า เมื่อไม่นานมานี้ นายฟาร์ฮาน ฮัก รองโฆษกเลขาธิการสหประชาชาติ เปิดเผยว่าสหรัฐอเมริกาค้างชำระเงินจำนวน 2.8 พันล้านดอลลาร์แก่สหประชาชาติ โดยในจำนวนนี้ 1.5 พันล้านดอลลาร์เป็นส่วนที่ค้างชำระในงบประมาณปกติขององค์กร การที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสมาชิกสำคัญของสหประชาชาติไม่ยอมชำระเงินตามกำหนด ถือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อบทบาทผู้นำระดับโลก  

แม้สหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก แต่การละเลยการชำระเงินให้แก่สหประชาชาติติดต่อกันเป็นเวลานานเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ สำหรับประเทศมหาอำนาจที่สามารถใช้จ่ายงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนสงคราม ตัวเลข 2.8 พันล้านดอลลาร์ที่ติดค้างนี้ดูเหมือนจะเป็นจำนวนเงินเล็กน้อย ซึ่งสะท้อนท่าทีของสหรัฐฯ ที่เลือกสนับสนุนกฎระเบียบระหว่างประเทศเฉพาะกรณีที่เป็นประโยชน์ต่อผลประโยชน์ของตนเอง และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบที่ควรมีในฐานะประเทศมหาอำนาจ  

นายลวี่ เซียง ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาสหรัฐฯ จากสถาบันสังคมศาสตร์แห่งชาติจีน กล่าวว่า “การค้างชำระเงินในงบประมาณปกติของสหประชาชาติจากสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อบทบาทของสหประชาชาติอย่างชัดเจน” เนื่องจากการดำเนินงานของสหประชาชาติต้องพึ่งพารายได้จากการชำระเงินของประเทศสมาชิก หากมีเงินทุนเพียงพอจะส่งผลต่อความสามารถในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ เช่น การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ปฏิบัติการรักษาสันติภาพ และวาระระดับโลกอื่น ๆ การชำระเงินตามกำหนดจึงถือเป็นความรับผิดชอบพื้นฐานที่สุดของประเทศสมาชิกในกรอบการทำงานของสหประชาชาติ  

ปัญหาด้านการเงินของสหประชาชาตินับเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสหรัฐฯ มักชำระเงินเฉพาะเมื่อเห็นว่าสหประชาชาติสนับสนุนผลประโยชน์ของตน เช่น กรณีเหตุการณ์ 11 กันยายน ที่สหรัฐฯ ได้ชำระเงินอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เนื่องจากสหประชาชาติไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในมติที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตยูเครนและความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ การชำระเงินจึงถูกเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด  

สหรัฐฯ ใช้จุดแข็งด้านเศรษฐกิจและบทบาทในสหประชาชาติเป็นเครื่องมือกดดัน โดยการค้างชำระเงินถือเป็น "ไพ่ใบสำคัญ" ที่ใช้บีบให้สหประชาชาติสนับสนุนจุดยืนและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในประเด็นระหว่างประเทศ  

นอกจากนี้ การใช้จ่ายของสหรัฐฯ ยังสะท้อนความแตกต่างอย่างชัดเจน โดยในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็วเพื่อสนับสนุนสงคราม กลับแสดงความประหยัดอย่างยิ่งเมื่อต้องสนับสนุนองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ในปลายปี 2024 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศชุดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงมูลค่า 988 ล้านดอลลาร์แก่ยูเครน ส่งผลให้ความช่วยเหลือทั้งหมดตั้งแต่เกิดวิกฤตยูเครน-รัสเซียมีมูลค่ารวมกว่า 62 พันล้านดอลลาร์ “หากสหรัฐฯ ยินดีจัดสรรเงินเพียงเล็กน้อยจากจำนวนเงินมหาศาลที่มักลงเอยในกระเป๋าของบริษัทค้าอาวุธให้แก่สหประชาชาติ จะถือเป็นการสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าแก่โลก” นายลวี่ กล่าวเสริม  

พฤติกรรมการเลือกปฏิบัติของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบในฐานะประเทศมหาอำนาจ และเปิดเผยการเมินเฉยต่อหน้าที่ที่ควรปฏิบัติ ซึ่งสวนทางกับคำกล่าวอ้างเรื่อง "บทบาทผู้นำโลก" ของสหรัฐฯ ความไม่สอดคล้องระหว่างคำพูดและการกระทำนี้ไม่เพียงแต่บั่นทอนความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของสหรัฐฯ ในเวทีโลก แต่ยังสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา และทำให้สถานะทางศีลธรรมของสหรัฐฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบหลายขั้วและความร่วมมือระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งขึ้น สหประชาชาติยังคงเป็นเวทีสำคัญสำหรับการบริหารจัดการระดับโลก หากสหรัฐฯ ยังคงเมินเฉยต่อบทบาทและความสำคัญของสหประชาชาติ ชื่อเสียงของตนในด้านการบริหารจัดการโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง

นักท่องเที่ยวต่างชาติ สุดปลื้มได้ร่วมรับเสด็จฯ ในหลวง – พระราชินี ทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ ย่านเยาวราช

(27 ม.ค. 68) ผู้ใช้บัญชี Tiktok ชือว่า mai_natan.ch ได้โพสต์คลิป นักท่องเที่ยวต่างชาติสาวรายหนึ่ง ซึ่งได้นั่งรวมกลุ่มกับชาวไทย เพื่อรอรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรสถิต 72 พรรษา” บริเวณสะพานดำรงสถิต ณ ถนนเจริญกรุง เขตพระนคร และทรงเปิดซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ “วชิรธำรง 72 พรรษา” บริเวณห้าแยกหมอมี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ภายใต้โครงการ “เบญจกตัญญุตา บารมีแห่งมังกรสยาม” ณ ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 

โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติคนดังกล่าว บอกว่า ตนเองชื่อโคลอี้ เดินทางจากลอนดอน มาเที่ยวประเทศไทย จากนั้นได้ไปเที่ยวชมวัดแห่งหนึ่ง และได้เจอกับผู้คนมากมายมานั่งรอ จึงคิดว่าเราน่าจะอยู่ดูว่ามันเกี่ยวกับอะไร และเพลิดเพลินกับค่ำคืน ตรุษจีนปีงู ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความตื่นเต้นที่ได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อใช้เวลากับคนไทยมากมาย ที่ตั้งตารอร่วมเฉลิมฉลอง พร้อมกับมีส่วนร่วมในการรับเสด็จราชวงศ์

สั่งขึ้นภาษีโคลอมเบีย 25% หลังไม่รับเครื่องบินเนรเทศผู้ลี้ภัยที่สหรัฐส่งกลับ

(27 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศมาตรการตอบโต้โคลอมเบียอย่างรุนแรง หลังจากโคลอมเบียปฏิเสธไม่ให้เครื่องบินทหารสหรัฐ 2 ลำ ซึ่งขนผู้อพยพที่ถูกเนรเทศตามนโยบายเข้มงวดของรัฐบาลชุดใหม่ ลงจอดในโคลอมเบีย  

ทรัมป์โพสต์ผ่าน Truth Social ว่าการกระทำของนายกุสตาโว เปโตร ประธานาธิบดีโคลอมเบีย ที่ปฏิเสธเที่ยวบินดังกล่าว ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐ พร้อมสั่งให้รัฐมนตรีพาณิชย์ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากโคลอมเบีย 25% โดยระบุว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น  

สหรัฐเตรียมเพิ่มกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากโคลอมเบียเป็น 50% ภายในหนึ่งสัปดาห์ ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลโคลอมเบียเดินทางเข้าสหรัฐ และเพิกถอนวีซ่า นอกจากนี้ ยังมีมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินและธนาคาร พร้อมเสริมความเข้มงวดในการตรวจสอบชายแดน  

ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐจะไม่ยอมให้โคลอมเบียละเมิดข้อผูกพันทางกฎหมายในการรับผู้อพยพกลับประเทศ ขณะเดียวกัน เขายังโพสต์ภาพของตัวเองพร้อมข้อความ FAFO ซึ่งสื่อถึงการตอบโต้ที่รุนแรง  

นายเปโตรแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของสหรัฐ โดยระบุว่าผู้อพยพไม่ควรถูกปฏิบัติเหมือนอาชญากร และโคลอมเบียพร้อมต้อนรับพลเมืองที่ถูกเนรเทศกลับบ้านบนเครื่องบินพลเรือน  

เปโตรยังเน้นว่า แม้จะมีชาวอเมริกัน 15,660 คนที่พำนักอย่างผิดกฎหมายในโคลอมเบีย แต่โคลอมเบียจะไม่ใช้วิธีการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนแบบเดียวกัน  

โคลอมเบียซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐในลาตินอเมริกา ตอบโต้โดยขู่ว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 50% เช่นกัน  

โคลอมเบียเป็นประเทศลาตินอเมริกาลำดับที่สองที่ปฏิเสธเครื่องบินทหารสหรัฐ ต่อจากเม็กซิโก แต่ทรัมป์ไม่ได้ใช้มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงกับเม็กซิโก  

ในปี 2023 การค้าระหว่างสหรัฐและโคลอมเบียมีมูลค่า 33,800 ล้านดอลลาร์ โดยโคลอมเบียได้ดุลการค้า 1,600 ล้านดอลลาร์ สินค้าหลักที่สหรัฐนำเข้าจากโคลอมเบียได้แก่ น้ำมันดิบ ทองคำ กาแฟ และดอกกุหลาบ  

รัฐบาลของทรัมป์ยังคงเผชิญแรงกดดันจากประเทศในลาตินอเมริกาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้อพยพ ซึ่งบางกรณีถูกมองว่าละเมิดศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชน  

การใช้เครื่องบินทหารขนส่งผู้อพยพถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการย้ายถิ่นฐานของทรัมป์ ซึ่งเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี

กระทรวงอุตฯ ดันกองทุนประชารัฐยกระดับเอสเอ็มอี ยก บ.ไรซ์แฟคทอรี่ ต้นแบบธุรกิจที่ปรับตัว ส่งข้าวฮางงอกอินทรีย์ทั่วโลก

(27 ม.ค. 68) กระทรวงอุตสาหกรรม หนุนกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ อัดฉีดเม็ดเงินกว่า 2,500 ล้านบาท ยกระดับเอสเอ็มอีทั่วประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาช่วยผู้ประกอบการไปแล้ว 13,661 ราย ด้วยวงเงินกว่า 25,649.25 ล้านบาท พร้อมเผย ต้นแบบความสำเร็จ บ.ไรซ์แฟคทอรี่ นำเงินกองทุนฯ ปรับปรุงคุณภาพการผลิต เจาะตลาดข้าวฮางงอกอินทรีย์ไปทั่วโลก  

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากแนวนโยบายของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ยกระดับอุตสาหกรรม เชิงพื้นที่ และสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่การผลิตที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนด้านเงินลงทุนเพื่อการปรับปรุงกิจการอย่างเพียงพอ กระทรวงอุตสาหกรรมจึงให้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการ มีเป้าหมายเพื่อให้เอสเอ็มอีปรับตัว ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในปัจจุบัน และอนาคต  รวมทั้งยกระดับการบริหารธุรกิจเอสเอ็มอีให้มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ตลอดจนการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการใช้กองทุนฯ ไว้ 4 ด้าน ได้แก่ 

1. สร้างโอกาส ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของเอสเอ็มอีผ่านกลไกกองทุนฯ โดยการพัฒนาโครงการสินเชื่อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย และให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวก รวดเร็ว สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับบริการ 2. พัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับลูกค้ากองทุนเอสเอ็มอีฯ โดยการยกระดับจากเอสเอ็มอีขนาดเล็กสู่ขนาดกลางและขนาดใหญ่ รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาเพื่อป้องกัน ตลอดจนฟื้นฟูลูกหนี้กองทุนฯ ที่มีความเสี่ยง 3. พัฒนาเครือข่ายกองทุนในพื้นที่ โดยบูรณาการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 4. เสริมสร้างขีดความสามารถองค์กรในการบริหารงานกองทุนเอสเอ็มอี 

สำหรับการดำเนินงานของกองทุนฯ ที่ผ่านมานั้น ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก มีผู้ที่ขอสินเชื่อแล้วประมาณ 13,661 ราย วงเงิน 25,649.25 ล้านบาท ซึ่งภายใน ปี 2568 ได้วางแผนที่จะเร่งปล่อยสินเชื่อให้ได้อีก 2,500 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนมีการดำเนินการโครงการส่งเสริมเพื่อยกระดับผู้ประกอบการและขีดความสามารถ ซึ่งคาดว่าจะช่วยยกระดับผู้ประกอบการได้ไม่น้อยกว่า 200 ราย เพิ่มมูลค่าธุรกิจได้กว่า 383 ล้านบาท  โดยหนึ่งในกิจการที่กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้เข้าไปมีส่วนในการยกระดับจนประสบความสำเร็จ คือ บริษัท ไรซ์แฟคทอรี่ จำกัด จังหวัดนครพนม โดย นางสาวชบา ศรีสุโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไรซ์แฟคทอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯทำธุรกิจแปรรูปข้าวตั้งแต่ปี 2559 โดยเน้นในด้านการผลิตข้าวฮางงอกอินทรีย์ ซึ่งมีสารกาบา (GABA) มากกว่าข้าวกล้อง 30 เท่า มีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยรักษาระบบประสาทส่วนกลาง รักษาสมดุลในสมอง ป้องกันความจำเสื่อม กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่ช่วยการเจริญเติบโต ชะลอความชรา ป้องกันการสะสมของไขมัน และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันเลือด กระตุ้นการขับถ่าย และป้องกันมะเร็งลำไส้ จึงเหมาะสำหรับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภคที่รักสุขภาพ 

ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มบุกเบิกตลาดส่งออกมีผู้ซื้อชาวสิงคโปร์ และฮ่องกง ซึ่งมีความเข้มงวดในด้านคุณภาพ และในด้านสิ่งเจือปนสูงมาก ทำให้บริษัทฯ ต้องเร่งปรับปรุงระบบการผลิต โดยได้ยื่นขอสินเชื่อของโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม และได้รับการอนุมัติสินเชื่อ มาซื้อเครื่องจักรคัดแยกสิ่งเจือปน และปรับปรุงโรงงาน ทำให้สินค้าของบริษัทฯ มีคุณภาพสูงขึ้นจนผ่านเกณฑ์มาตรฐานของต่างประเทศ ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก ในปัจจุบันข้าวฮางงอกอินทรีย์มีสัดส่วนส่งออกสูงถึงร้อยละ 70 อีกร้อยละ 30 เป็นตลาดภายในประเทศ  

“กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ได้ช่วยชุบชีวิตและเป็นที่พึ่งให้กับบริษัทฯได้มาก เพราะให้ข้อเสนอด้านสินเชื่อที่ดีกว่าสถาบันการเงินทั่วไป โดยมีอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 % เป็นส่วนช่วยให้เอสเอ็มอีมีกำลังในการต่อสู้มากขึ้น และผ่อนจ่ายหนี้หมดได้ไว สามารถต่อยอดพัฒนาธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว” นางสาวชบา กล่าว 

และในปัจจุบันกระแสความต้องการสินค้าที่เสริมสร้างสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ข้าวฮางงอกได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะจากลูกค้าชาวจีน ในช่วงต้นปี บริษัทฯ ได้ลงทุนเพิ่มกว่า 4.5 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอในการเพิ่มกำลังการผลิต เพราะความต้องการของตลาดมีสูงมาก ดังนั้น จึงมีแผนที่จะขอกู้ในโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จำนวน 12 ล้านบาท เพื่อเพิ่มเครื่องจักร และขยายโรงงาน รวมทั้งการจัดทำศูนย์การเรียนรู้ด้านการทำข้าวฮางด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งที่ผ่านมาได้มีกลุ่มเกษตรกร และสถาบันการศึกษาเข้ามาศึกษาดูงานเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถรองรับได้เพียงพอ เพราะติดขัดในเรื่องสถานที่ ห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ซึ่งเงินทุนที่เข้ามาใหม่นี้ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต แต่ยังช่วยบ่มเพาะความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรและเยาวชนอีกด้วย 

“ปัจจุบันบริษัทฯ ผลิตข้าวฮางงอกอินทรีย์ 5 หมื่นแพคต่อเดือน ขณะที่ลูกค้าจีนเพียง 1 ราย ต้องการสินค้า 1 – 3 แสนแพคต่อเดือน นอกจากนี้ยังต้องการข้าวฮางงอกเหนียวดำ 200 ตันต่อปี และยังมีลูกค้าต่างชาติทยอยติดต่อเข้ามาเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขยายเครื่องจักรและโรงงาน เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด” นางสาวชบา กล่าว

ส่วนในอนาคต บริษัทฯ มีแผนในการต่อยอดไปสู่การผลิตข้าวฮางงอกพร้อมรับประทาน ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำการวิจัยร่วมกับศูนย์วิจัยเทคโนโลยีแปรรูปอาหาร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อผลิตข้าวฮางงอกพร้อมทานดังกล่าว สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยเบาหวาน จากการประเมินเบื้องต้นจะต้องใช้งบลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 7 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ เพื่อพิจารณาขยายการลงทุนต่อไปในอนาคต

27 มกราคม 2501 วันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันเริ่มต้นของนายร้อย 4 เหล่า

โรงเรียนเตรียมทหาร หรือ Armed Forces Academies Preparatory School เป็นสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดสถาบันวิชาการป้องกันประเทศกองบัญชาการกองทัพไทย และเป็นสถาบันการศึกษาแห่งเดียวในประเทศไทย ที่เป็นศูนย์รวมเบื้องต้นสำหรับผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ, โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

โดยผู้ที่ศึกษาในโรงเรียนเตรียมทหาร เรียกว่านักเรียนเตรียมทหาร (นตท.)

การรับสมัครบุคคลพลเรือนเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้น โรงเรียนเตรียมทหารมิได้เป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือกนักเรียนเตรียมทหารด้วยตนเอง หากแต่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ, โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินการสอบคัดเลือก

โดยในแต่ละปีจะมีการกำหนดจำนวนรับนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

จากนั้นแต่ละเหล่าทัพจะส่งผู้ผ่านการสอบคัดเลือกมาเรียนรวมกันที่โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นเวลา 2 ปี

ภายหลังจากที่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของโรงเรียนเตรียมทหารแล้ว นักเรียนเตรียมทหารเหล่านี้จะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนเหล่าทัพ (โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ, โรงเรียนนายเรืออากาศและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ) ตามที่นักเรียนได้สมัครและผ่านการสอบคัดเลือก

เมื่อสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเหล่าทัพแล้ว นักเรียนนายร้อยเหล่านี้ จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหาร และนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร พร้อมทั้งเข้ารับพระราชทานกระบี่จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เสด็จแทนพระองค์

สำหรับประวัติการก่อตั้งและสถาปนามีว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2500 จอมพลถนอม กิตติขจร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เสนอดำริต่อสภากลาโหมว่า หากจะรวมโรงเรียนที่อยู่ในระดับการศึกษาเดียวกันจากกองทัพต่าง ๆ เป็นสถาบันเดียวกันก็จะเป็นการประหยัดงบประมาณของชาติ

ทั้งยังทำให้ผู้ศึกษามีโอกาสได้รู้จักคุ้นเคย มีความสนิทสนมกลมเกลียว มีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความคิดจิตใจร่วมกันแต่เยาว์วัย ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลเหล่านี้สามารถประสานงานกันได้ด้วยดีและปฏิบัติงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่สุด สภากลาโหมได้เห็นชอบในดำรินี้เป็นเอกฉันท์ ในขั้นแรกให้รวมโรงเรียนเตรียมนายร้อย โรงเรียนเตรียมนายเรือ และโรงเรียนเตรียมนายเรืออากาศ เป็นโรงเรียนเตรียมทหาร สังกัดกรมการศึกษาวิจัย กองบัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2501

จึงถือว่าวันที่ 27 มกราคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร  และในปี 2506 กรมตำรวจได้ขอให้โรงเรียนเตรียมทหารรับนักเรียนเพื่อเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วย โรงเรียนเตรียมทหารจึงเป็นศูนย์รวมเบื้องต้นสำหรับนายทหาร นายตำรวจ โดยสมบูรณ์

‘กองทัพอากาศ’ เตรียมเครื่องบิน BT-67 และ AU-23 โรยน้ำแข็งแห้ง!! ปราบฝุ่นแบบ ‘ภาวะฝาชีครอบ’

เมื่อวานนี้ (25 ม.ค. 68) พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวถึงการสนับสนุนการแก้ปัญหาฝุ่น pm 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ว่า ส่วนใหญ่กองทัพอากาศสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์และอากาศยาน โดยใช้เครื่องบินทางธุรการที่สามารถกระจายเสียงให้ประชาชนรับทราบ ในการขอความร่วมมืองดเทำลายด้วยเผา ปัจจุบันมีเครื่องบินแบบพีซเมคเกอร์ ในเฟสแรก นอกจากนี้ยังมีดาวเทียมนภา 2 ซึ่งมีความละเอียดค่อนข้างดี และยังมีกล้อง MX15D ที่สามารถติดตั้งกับเครื่องบินโจมตีแบบ AT-6 และ DA-42 โดยเมื่อได้ภาพมาแล้ว สามารถสกรีนจุดความร้อน และจับจาก 1000 จุด ให้เหลือ 40-50 จุดได้ ที่ผ่านมาเราก็ใช้วิธีการแบบนี้ ซึ่งภาพที่ได้มีความแม่นยำสูงทำให้สามารถวางแผนในการนำเครื่องบินไปทิ้งสารหรือปล่อยสารสกัดจุดความร้อน ในเส้นทางที่อาจจะลุกลามซึ่งเป็นการประหยัด รวดเร็ว และทันท่วงที

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบิน BT-67 ที่ใช้ในการปล่อยสารยับยั้งไฟป่า รวมทั้งมีเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันยังมี ฮ. ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ซึ่งมีการฝึกซ้อมร่วมกัน และมีการพัฒนาให้มีความแม่นยำในการยับยั้งไฟป่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด

ส่วนปัญหาฝุ่นแบบภาวะฝาชีครอบ จะดำเนินการอย่างไรนั้น ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวว่า จากที่ได้พูดคุยมา จะมีการนำเครื่องบินโรยน้ำแข็งแห้ง เพื่อจะเจาะรูโดยจะทำที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีการพูดคุยกับทาง กทม. แล้ว และมีการเตรียมเครื่องบินสำรองไว้ให้คือ BT-67 และ AU-23 หรือพีชเมคเกอร์ หากมีการร้องขอเมื่อไหร่ก็สามารถขึ้นปฏิบัติการได้ ทั้งนี้การบินในพื้นที่ กทม. ค่อนข้างลำบากเนื่องจากการจราจรทางอากาศที่คับคั่ง

‘อัครเดช’ ขอบคุณ!! ทุกความไว้วางใจ ส่งให้ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ขึ้นเบอร์ 1 ยัน!! ทำงานต่อไป สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

(26 ม.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่านที่ร่วมสนับสนุนให้กับพรรค ส่งผลให้ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ประจำปี 2568 โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับเงินอุดหนุนมาเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนเงิน 17,934,107.84 บาท (สิบเจ็ดล้านเก้าแสนสามหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยเจ็ดบาทแปดสิบสี่สตางค์)

โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย สส. และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกคน ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้ร่วมอุดหนุนภาษีให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งแสดงถึงความไว้วางใจ, ความเชื่อมั่น และความศรัทธาที่มีต่อพรรค โดยพรรคจะมุ่งมั่นทำหน้าที่ทั้งในส่วนของ สส. ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติในสภาผู้แทนราษฎร และในส่วนของรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายบริหาร อย่างสุดกำลังเต็มความสามารถ รวมทั้งจะพัฒนาพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เติบโตเข้มแข็ง เป็นที่มุ่งหวัง พึ่งพาของพ่อแม่พี่น้องประชาชนต่อไป ที่สำคัญพรรคจะขอยืนหยัดรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติและพ่อแม่พี่น้องคนไทยทุกคน โดยเฉพาะในส่วนของพลังงานและอุตสาหกรรมไทยที่พรรคมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลหลักในรัฐบาล

นายอัครเดช ย้ำว่า จากสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า พี่น้องประชาชนได้ให้ความเชื่อมั่นและเชื่อใจพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งในส่วนของการทำงานในด้านพลังงานและอุตสาหกรรม รวมถึงบทบาทของ สส. ในสภา ที่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการทำงานผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ เช่น ร่าง พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต หรือพ.ร.บ.สุรารวมไทย ที่ช่วยทลายทุนผูกขาด, ร่าง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า ที่มุ่งปกป้องผู้บริโภคและผู้ประกอบการชาวไทย พรบ.การศึกษาแห่งชาติ ที่จะสร้างการศึกษาที่ตอบโจทย์ พื้นที่ ผู้ประกอบการ และผู้เรียน และร่างกฎหมายอื่นๆ ที่กำลังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

“พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกคนที่ให้การสนับสนุนพรรค และขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องมาร่วมเป็นนายทุนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ผ่านการอุดหนุนเงินภาษีประจำปีของตนเองให้กับพรรคด้วยการกรอกรหัส 229 ได้สูงสุดคนละไม่เกิน 500 บาท เพื่อให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีกำลังใจและมีเงินอุดหนุนที่มากขึ้น เพื่อนำเงินอุดหนุนเหล่านี้ไปสร้างเครือข่ายสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อมาทำประโยชน์ต่อประเทศชาติและคนไทย และเพื่อพัฒนาพรรคให้เข้มแข็ง เป็นเสาหลักที่พึ่งพิง และเข้าไปในสภาฯเพื่อสู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่องให้กับคนไทยทุกคนต่อไป” นายอัครเดช ระบุทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top