Saturday, 10 May 2025
World

มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง 'สแตนฟอร์ดจีน' กับบทบาทผู้พลิกโฉมวงการ AI ผ่าน DeepSeek

(6 มี.ค. 68) The Economist รายงานว่า สื่อต่างประเทศกำลังพุ่งไปที่ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) ที่ได้กลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของโลก หลังจากเป็นจุดกำเนิดของ DeepSeek บริษัท AI จากจีนที่กำลังท้าทายมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีระดับโลก ด้วยการเปิดตัวโมเดล DeepSeek-R1 ที่มีศักยภาพสูงและต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google

ด้วยชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น 'สแตนฟอร์ดแห่งจีน' โดยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน Silicon Valley และสร้างสรรค์บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Google, Apple, Tesla และ NVIDIA

เป็นที่มาที่ทำให้มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงถูกยกย่อง เนื่องจากนักวิจัยและศิษย์เก่าของที่นี่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI และเทคโนโลยีล้ำสมัย หนึ่งในนั้นคือ เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้ง DeepSeek ซึ่งต่อมากลายเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังสร้างความฮือฮาในวงการเทคโนโลยี 

บริษัทนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลังจากเปิดตัวโมเดล AI ชื่อ R1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 โดย โมเดล R1 ของ DeepSeek มีความสามารถในการให้เหตุผลที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่าโมเดล o1 ของ OpenAI โดยใช้ต้นทุนในการพัฒนาที่ต่ำกว่าอย่างมาก โมเดลนี้ใช้ชิป Nvidia H800 ประมาณ 2,000 ตัว คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าการลงทุนของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ อย่างมาก

ความสำเร็จของ DeepSeek สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงในการผลิตบุคลากรที่มีความสามารถสูงในด้านเทคโนโลยี นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังมีเป้าหมายที่จะเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกภายในปี 2027 โดยใช้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเป็นต้นแบบ เพื่อรองรับการเติบโตของ AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง 

สำหรับมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงได้เปิดหลักสูตรเฉพาะด้านปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสนับสนุนให้นักศึกษาได้ทดลองพัฒนาโมเดล AI ของตนเอง รวมถึงเรียนรู้แนวคิดขั้นสูง เช่น Machine Learning, Deep Learning และ Natural Language Processing (NLP) สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีศักยภาพในการแข่งขันในระดับสากล

จีนกำลังผลักดันให้ AI กลายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดย DeepSeek ถือเป็นตัวอย่างของบริษัทที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรม AI ของโลกได้ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและแนวคิดการพัฒนาที่แตกต่าง

ความสำเร็จของ DeepSeek ไม่ได้เป็นเพียงจุดเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า จีนกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน AI ของโลกอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ วิลเลียม เคอร์บี้ (William Kirby) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านจีนจาก Harvard Business School ได้กล่าวถึงการเติบโตของมหาวิทยาลัยในประเทศจีน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เขาชี้ให้เห็นว่าการเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยเช่นเจ้อเจียง สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแวดวงการศึกษาระดับโลก

เกาหลีใต้ อัดฉีด 34,000 ล้านดอลลาร์ เสริมแกร่งอุตสาหกรรมชิปและยานยนต์สู่ระดับโลก

(7 มี.ค. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศจัดตั้งกองทุนมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.17 พันล้านบาท) เพื่อสนับสนุน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสองภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นายกรัฐมนตรีฮัน ด็อกซู เปิดเผยว่า กองทุนนี้จะใช้เพื่อ กระตุ้นการลงทุน วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง โดยเฉพาะในภาคเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้เผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากจีนและสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมชิป รวมถึงแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมยานยนต์ รัฐบาลจึงเดินหน้าผลักดันให้ ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ และ เอสเค ไฮนิกซ์ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเซมิคอนดักเตอร์ของประเทศ เพิ่มการลงทุน และขยายขีดความสามารถทางเทคโนโลยี

นอกจากนี้ กองทุนดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึง การพัฒนาระบบซัพพลายเชน และการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ

การประกาศครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเกาหลีใต้ในการรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในเวทีโลก

‘หวัง อี้’ ตอกกลับสหรัฐฯ เรื่องภาษี-นโยบายกดดัน คิดให้ดีก่อนใช้โทสะตอบแทนไมตรี

(7 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงข่าวนอกรอบการประชุมครั้งที่ 3 ของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ชุดที่ 14 เกี่ยวกับกรณีสหรัฐฯ กำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าจีน โดยใช้ประเด็นเฟนทานิลเป็นข้ออ้าง

ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกาได้ประกาศกำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าจีนหลายรายการ โดยอ้างว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการเพื่อจัดการกับปัญหาการแพร่ระบาดของยาเฟนทานิล (Fentanyl) ในประเทศ

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนที่ใช้ในการผลิตยาเฟนทานิลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของปัญหายาเสพติดในประเทศ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจึงถูกมองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการลดปริมาณการนำเข้าและควบคุมการแพร่ระบาดของยาเสพติดดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากรัฐบาลจีน ซึ่งมองว่าการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางการค้าผ่านประเด็นยาเสพติดอาจไม่เป็นธรรม จีนเรียกร้องให้สหรัฐฯ ทบทวนมาตรการดังกล่าวและหันมาใช้วิธีการที่สร้างสรรค์และร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

หวัง อี้ เน้นย้ำว่าสหรัฐฯ ควรพิจารณาการกระทำของตนเองและหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เขายังเรียกร้องให้สหรัฐฯ แสดงความเคารพต่อความร่วมมือ และความพยายามของจีนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

การแถลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศแผนการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้า ซึ่งจีนได้แสดงความไม่พอใจและคัดค้านอย่างหนักแน่นต่อคำขู่ดังกล่าว โดยย้ำว่าสหรัฐฯ ไม่ควรใช้ประเด็นนี้เป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า

ทั้งนี้ หวัง อี้ สรุปว่าความร่วมมือและความเข้าใจระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับโลก และการตอบสนองด้วยมาตรการที่ไม่เป็นธรรมจะไม่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใด

นายอำเภออินโดนีเซีย ลั่นขอบริจาคเงินเดือนทั้งหมดช่วยผู้ยากไร้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคม

(7 มี.ค.68) ฟาห์มี มูฮัมหมัด ฮานิฟ (Fahmi Muhammad Hanif) นายอำเภอเมืองปูร์บาลิงงา ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดจาการ์ตา ของประเทศอินโดนีเซีย ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะบริจาคเงินเดือนทั้งหมดของตนเองให้กับผู้ยากไร้ และองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคม

โดยในการประกาศที่เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของฟาห์มี ระบุว่า “การช่วยเหลือสังคมและแบ่งปันสิ่งที่เรามีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” เขาเชื่อว่าเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้นสามารถนำไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือมากกว่าแค่การเก็บสะสมไว้เป็นของตัวเอง

การบริจาคเงินเดือนทั้งหมดนี้จะช่วยสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการลดช่องว่างทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่ในสภาพยากจน โดยเขามุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นในการร่วมแบ่งปันพร้อมเข้ามาช่วยเหลือสังคม

ฟาห์มียังเสริมว่า “การเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในสังคม คือการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมอย่างจริงจัง” โดยเขาได้กำหนดให้โครงการการกุศลนี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในชุมชนและประเทศ

ทั้งนี้ บริจาคเงินเดือนทั้งหมดของฟาห์มี มูฮัมหมัด ฮานิฟ ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมาก ทั้งจากสาธารณชนและคนในวงการต่างๆ ซึ่งมองว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำที่ใส่ใจต่อความยากจนและสังคม

เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา!! ‘ทรัมป์’ ขู่จะแซงชั่น ‘ปูติน’ ‘สีจิ้นผิง’ แอบอมยิ้ม!!

(8 มี.ค. 68) รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'Aksornsri Phanishsarn' โดยมีใจความว่า ...

#จักรพรรดิทรัมป์ ชอบข่มขู่คนอื่น !! 7 มีนา 2025 โพสต์ขู่ #ปูติน อีกแล้ววววว #จอมยุทธ์ไร้กระบวนท่า แบบทรัมป์ชอบกลับลำ/เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ #สีจิ้นผิง แอบอมยิ้ม  

สงสัยทีมงานจักรพรรดิทรัมป์ไม่เคยโชว์ข้อมูลให้แก ลุงทรัมป์แกเลยไม่รู้ว่า การ sanction แบบนี้มันไม่กระทบรัสเซียจ้า

รัสเซียโดนแซงชั่นชุดใหญ่จากพวกฝรั่งรุมถล่มรัสเซีย แต่ตัวเลขเศรษฐกิจ GPD รัสเซียยังโตต่อเนื่อง ปี 2023-2024 แถมโตกว่า ฝรั่งยุโรปหลายประเทศ

รัสเซียมีจีนสุดซี้หนุนอยู่ค่า ทุบยังไงก็ไม่พัง

ฝรั่งยุโรปหลายประเทศซิค่ะ ไปแซงชั่นรัสเซีย แต่เศรษฐกิจตัวเองน่วมเองจ้า (ตย เศรษฐกิจเยอรมันย่ำแย่มากค่า)

‘รมว.ต่างประเทศจีน’ ลั่น!! 'ไต้หวัน' เป็นส่วนหนึ่ง ที่มิอาจแบ่งแยกได้ของ ‘ประเทศจีน’ ชี้!! หากสนับสนุน การเรียกร้อง ‘เอกราชไต้หวัน’ เท่ากับแทรกแซงกิจการภายในของจีน

(8 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ‘หวังอี้’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงข่าวนอกรอบการประชุมสภานิติบัญญัติระดับชาติว่าประวัติศาสตร์และความจริงยืนยันว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งที่มิอาจแบ่งแยกได้ของจีน และปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 80 ปี การฟื้นฟูไต้หวัน

หวังอี้กล่าวว่าชัยชนะจากสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นของประชาชนจีนทำให้ไต้หวันกลับมาอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของจีนในปี 1945 ขณะทั้งปฏิญญาไคโรและปฏิญญาพอตส์ดัม ซึ่งออกโดยกลุ่มประเทศชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบุชัดเจนว่าไต้หวันเป็นดินแดนที่ญี่ปุ่นขโมยจากจีนและต้องคืนสู่จีน โดยญี่ปุ่นยอมรับเงื่อนไขของปฏิญญาพอตส์ดัมและประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งหมดนี้ยืนยันอำนาจอธิปไตยของจีนเหนือไต้หวัน และเป็นส่วนสำคัญของระเบียบระหว่างประเทศยุคหลังสงคราม

ข้อมติที่ 2758 ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติรับรองในปี 1971 ได้แก้ไขประเด็นการเป็นตัวแทนของจีนทั้งหมด รวมถึงไต้หวัน ในองค์การสหประชาชาติ และตัดความเป็นไปได้ในการสร้าง 'สองจีน' หรือ 'จีนเดียว ไต้หวันเดียว' โดยการอ้างอิงถึงภูมิภาคไต้หวันในองค์การสหประชาชาติคือ 'ไต้หวัน มณฑลของจีน' ดังนั้นไต้หวันไม่เคยเป็นประเทศ ไม่ว่าในอดีตหรืออนาคต

ขณะการเรียกร้อง 'เอกราชไต้หวัน' เท่ากับแบ่งแยกประเทศ การสนับสนุน 'เอกราชไต้หวัน' เท่ากับแทรกแซงกิจการภายในของจีน และการสมรู้ร่วมคิดเกี่ยวกับ 'เอกราชไต้หวัน' เท่ากับบ่อนทำลายเสถียรภาพของช่องแคบไต้หวัน

หวังอี้เน้นย้ำการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของทุกประเทศควรหมายถึงการสนับสนุนการรวมประเทศอย่างสมบูรณ์ของจีน และการยึดมั่นหลักการจีนเดียวควรหมายถึงการต่อต้าน 'เอกราชไต้หวัน' ทุกรูปแบบ ส่วนการแสวงหา 'เอกราชไต้หวัน' จะประสบกับผลกระทบย้อนกลับ และการใช้ไต้หวันควบคุมจีนจะเป็นความพยายามที่ไร้ผล เพราะจีนจะบรรลุการรวมชาติ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้

ย้อนอดีต ‘เยอรมัน’ จากผู้แพ้สงคราม สู่ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ อันดับหนึ่งของยุโรป ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาเศรษฐกิจ ค่าเงินมาร์คไร้มูลค่ายิ่งกว่าสกุลเงินของ ‘ซิมบับเว’

(8 มี.ค. 68) เพจ ‘ซิริอุส เป็นชื่อของดวงดาว’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

รู้หรือไม่? เยอรมันประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันหนึ่งของยุโรป และ อันดับสามของโลก ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างรุนแรงส่งผลให้ค่าเงินมาร์คไร้มูลค่ายิ่งกว่าสกุลเงินของซิมบับเว และเวเนซุเอลา ในปัจจุบัน

หลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่1 ในปี ค.ศ. 1923 เยอรมันประสบปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดครั้งนึงของโลก ถึงขั้นที่ประชาชนต้องขนเงินเป็นแสนๆ ล้านมาร์ค ใส่ตะกร้าเพื่อไปจ่ายตลาด

เมื่อสงครามโลกครั้งที่1 สิ้นสุดลง อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินเยอรมัน(ดอยช์มาร์ค)อยู่ที่ราวๆ 1เหรียญสหรัฐ = 4มาร์ค และดิ่งลงไปแตะที่ 1เหรียญสหรัฐ = 4.2 ล้านล้านมาร์ค ในปี 1923 ..... ล้านสองครั้งนะครับ

ทำให้เยอรมันต้องพิมพ์ธนบัตรที่มีมูลค่าหน้าธนบัตรสูงลิบ ฉบับละเป็นร้อยเป็นพันล้านมาร์คเข้าสู่ระบบให้ประชาชนใช้จ่ายแทนธนบัตรเดิมที่ไร้มูลค่าลงเรื่อยๆ

ในช่วงวิกฤติ ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงมาก ทำให้ราคาสินค้าต่างๆ พุ่งขึ้นไม่หยุดปรับราคากันตลอดเวลา เงินที่พอจะซื้อขนมปังได้ในตอนเช้า อาจไม่พอซื้อในตอนบ่าย ทำให้ห้างร้านต่างๆ แน่นไปด้วยผู้คนที่เข้าคิวรอซื้อของ และยังทำให้สินค้าอื่นๆ เช่นบุหรี่ ฯลฯ ถูกใช้เป็นของแลกเปลี่ยนแทนเงินที่ไร้เสถียรภาพจนแทบจะไม่เหลือมูลค่า ไร้มูลค่าถึงขนาดที่ ปชช.นำธนบัตรมาเผาแทนฟืน เพราะไม้ฟืนยังมีมูลค่ามากกว่าธนบัตร

วิกฤติเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในครั้งนี้ทำให้เงินเก็บทั้งชีวิตของหลายคนมีค่าพอซื้อไข่ได้แค่แผงเดียว หรือ ขนมปังแถวเดียว ซึ่งในช่วงพีคขนมปังแถวนึงมีราคาสูงถึง 200,000,000,000 มาร์ค (สองแสนล้านมาร์ค) ในการซื้อ-ขาย หลายแห่งจึงใช้วิธีชั่งน้ำหนักกองธนบัตรเอา เพราะไม่มีเวลามานั่งนับ

ส่วนชนชั้นกลางที่กินเงินเดือน แม้จะมีความพยายามขึ้นเงินเดือนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แต่ราคาสินค้าที่พุ่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา จะมีราคาสูงกว่าเงินเดือนที่ออกเดือนละครั้งสองครั้งอยู่เสมอ

สาเหตุของวิกฤติเงินเฟ้อที่รุนแรงของเยอรมันมาจาก หลังสงครามโลกครั้งที่1 ยุโรปและสหรัฐต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง แต่เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงครามฯหนักกว่าใคร เพราะนอกจากต้องแบกหนี้ที่เกิดจากสงครามแล้ว ยังต้องแบกค่าปฏิกรรมสงครามจากสนธิสัญญาแวร์ซาย เท่ากับว่าผลผลิตต่างๆของประเทศส่วนนึงจะกลายเป็นค่าปฏิกรรมสงครามไปแบบเปล่าๆ

สถานการณ์ของเยอรมันที่กำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้ออยู่แล้ว ต้องย่ำแย่ลงไปอีกเมื่อไม่สามารถจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามในรอบปี 1922

ทำให้ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมส่งกองทัพเข้ายึด Ruhr valley ที่เป็นเขตอุตสาหกรรมหลักของเยอรมัน เพื่อยึดสินค้าที่เยอรมันผลิตได้เป็นค่าปฏิกรรมสงคราม เพราะไม่เชื่อว่าเยอรมันไม่มีจ่าย แต่ตั้งใจเบี้ยวมากกว่า

เยอรมันตอบโต้ด้วยการประกาศชักจูงให้คนงานทั้งหมดหยุดงาน โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินเดือนให้ ซึ่งการจ่ายเงินเดือนนี้ก็เป็นการพิมพ์เงินออกมาจ่ายเอาดื้อๆโดยไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง ซ้ำเติมวิกฤติเงินเฟ้อที่สาหัสอยู่แล้วให้หนักขึ้นไปอีก

ฝรั่งเศสตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยการยิงคนงานในโรงงานผลิตเหล็ก และ เนรเทศคนที่ไม่ยอมรับคำสั่งจากฝรั่งเศสออกจาก Ruhr valley

เหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 132 คน ถูกเนรเทศกว่า 1.5 แสนคน ส่งผลให้เศรษฐกิจของเยอรมันที่ร่อแร่อยู่แล้วดับสนิท อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

ความวุ่นวายของเยอรมันหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่1 ได้ส่งผลให้บุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอาสานำพาเยอรมันฝ่าวิกฤติที่กำลังเผชิญอยู่ และชื่อของเค้าจะเป็นที่รู้จักและจดจำไปอีกนาน

*****หมายเหตุ*****
จริงๆ แล้ว สหรัฐไม่เห็นด้วยและได้ทักท้วงในการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมันมากขนาดนั้น เพราะนอกจากจะก่อความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไปแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังอีกด้วย แต่ฝรั่งเศสดึงดันต้องให้เยอรมันจ่ายให้ได้ รวมๆ แล้วๆ เยอรมันต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามมูลค่าเทียบเท่าทองคำ 1แสนตัน และเพิ่งจ่ายหมดไปเมื่อปี 2010 หรือเกือบร้อยปีหลังสงครามโลกครั้งที่1 สิ้นสุดลง

การยึดอาณานิคมของเยอรมันและการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามโหดแสนโหด ก็เพื่อกดเยอรมันไม่ให้ฟื้นตัวได้อีก อันอาจเป็นการคุกคามฝรั่งเศสในอนาคต
...... ภูมิศาสตร์ด้านชายแดนตะวันออกของฝรั่งเศสที่ติดกับเยอรมัน ป้องกันยากแต่ง่ายสำหรับเยอรมันที่จะรุกเข้ามา เป็นการอธิบายว่าทำไมฝรั่งเศสจึงต้องสร้างแนวป้องกันบริเวณนั้นที่เรียกว่า 'Maginot Line' ในเวลาต่อมา

อีกปัจจัยหนึ่งก็เชื่อว่าเป็นเพราะ ฝรั่งเศสเจ็บใจมาตั้งแต่สงคราม ฝรั่งเศส-ปรัสเซีย/Franco-Prussian War ปี ค.ศ.1870 ที่ไปแพ้ปรัสเซียอย่างน่าอับอาย เสียดินแดนไปบางส่วน แถมเหล่ารัฐเยอรมันยังไปใช้ Hall of Mirrors ที่พระราชวังแวร์ซาย สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสในการประกาศรวมชาติสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน (ปรัสเซียคือชื่อประเทศที่เป็นแกนกลางของรัฐเยอรมันก่อนรวมชาติ)

ต่อมาก็ปรากฏว่า สหรัฐคาดการณ์ถูก ว่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนและสร้างปัญหาตามมา เพราะอีกไม่นานฮิตเลอร์ได้ปรากฏตัวออกมาท่ามกลางความวุ่นวาย ความไม่พอใจ และ ความสิ้นหวังของชาวเยอรมัน

เพราะสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของเยอรมันในตอนนั้น พอฮิตเลอร์ปรากฏตัวออกมาชูนโยบาย 'ชักดาบ' ฯลฯ ประกอบกับการเป็นนักปราศรัยที่เก่งมาก (public speaker) เลยได้รับความนิยม ได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก
..... แล้วก็เป็นฮิตเลอร์ที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเยอรมันได้สำเร็จ นำเยอรมันกลับขึ้นไปเป็นหนึ่งในมหาอำนาจยุโรปได้ในเวลาเพียง 6 ปี

ความสำเร็จของฮิตเลอร์ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ส่วนคนที่รู้ก็ไม่ค่อยอยากพูดถึง และ ผลพวงที่ตามมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง (ทั้งนี้ ความสำเร็จและผลงานของฮิตเลอร์ที่มีต่อเยอรมันไม่สามารถนำไปหักล้างสิ่งเลวร้ายที่ฮิตเลอร์ได้ทำลงไปเช่นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ)

ในช่วงพีค อัตราว่างงานในเยอรมันถึงกับติดลบ ต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่ยุโรปและสหรัฐกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง (the great depression) เป็นการกู้คืนศักดิ์ศรี และความเป็นอยู่ของชาวเยอรมันที่สูญเสียไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สำเร็จ (ในส่วนอัตราว่างงาน ฮิตเลอร์มีเทคนิคในการตบแต่งตัวเลขอัตราว่างงานโดยเอาคนว่างงาน อันธพาล ฯลฯ เข้ากองทัพ สนับสนุนให้ผู้หญิงแต่งงานมีลูก อยู่บ้านเลี้ยงลูก ฯลฯ )

ฮิตเลอร์เป็นมังสวิรัติและรักสัตว์ บางคนก็เชื่อว่าเป็นเพราะเค้ารักสัตว์เลยกลายมาเป็นมังสวิรัติ เยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์ได้ออกกฎหมายคุ้มครองสัตว์ตั้งแต่ช่วงแรกๆที่ครองอำนาจในปี ค.ศ.1933 ซึ่งเป็นชาติแรกๆ ในยุโรป ตามหลังเพียงไอร์แลนด์และอังกฤษ แต่เยอรมันมีเนื้อหาที่เข้มงวด ครอบคลุมมากกว่า เช่น กำหนดให้เจ้าของที่ปล่อยปละละเลยสัตว์เลี้ยงมีความผิดทางกฎหมาย, ห้ามทำร้ายสัตว์หรือทำให้สัตว์ตกอยู่ในอันตราย, ห้ามขุนสัตว์ให้อ้วน (เพื่อนำมาฆ่าเป็นอาหาร) ฯลฯ

เป็นยุคที่วงการวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ยา และ นวัตกรรมต่างๆ เฟื่องฟู ก้าวหน้ามาก เพราะรัฐบาลสนับสนุนทุนการวิจัยพัฒนา และ ด้านอื่นๆอย่างจริงจัง เต็มที่

โอลิมปิคที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ.1936 เป็นโอลิมปิคครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสด

เป็นยุคที่มีการริเริ่มจัดระบบสวัสดิการสังคม การรักษาพยาบาล การคลอดบุตร การลาคลอด ดูแลสิทธิสตรี ต่อต้านสื่อลามก ฯลฯ

นโยบายสนับสนุนด้านความบันเทิงให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็น โอเปร่า หนัง โรงละคร ฯลฯ ทำให้ประชาชนทุกส่วนเข้าถึงได้ แทนที่เดิมทีจำกัดไว้สำหรับชนชั้นสูงเพราะมีราคาสูงเกินสำหรับคนทั่วไป

โครงการถนนออโต้บาห์น และ รถราคาถูกสำหรับทุกครอบครัว อันเป็นที่มาของรถโฟล์คสวาเกน (โฟล์คเต่า) โครงการรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ ซึ่งเป็นอะไรที่ล้ำมากในสมัยเมื่อ 80+ ปีก่อน ฯลฯ ...... ลุงหนวดจิ๋วแกเกลียดบุหรี่

Walther Funk ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจคนสำคัญของฮิตเลอร์เคยคาดการณ์ไว้แล้วว่า ยุโรปจะต้องรวมกันเข้าเป็นเขตเศรษฐกิจเดียวเหมือนอียูในปัจจุบัน หากเยอรมันชนะสงคราม องค์กรที่เหมือนกับอียูก็น่าจะถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยนั้น

เพราะความสำเร็จในด้านต่างๆ ของเยอรมันภายใต้การนำของฮิตเลอร์ซึ่งเกิดที่ออสเตรีย เมื่อกองทัพเยอรมันที่มีฮิตเอลร์ร่วมด้วย เดินทัพเข้าออสเตรียประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมัน เลยไม่มีการต่อต้าน แถมประชาชนยังออกมาต้อนรับ มอบดอกไม้ให้ทหารเยอรมันอีกด้วย

ผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อังกฤษ และ ฝรั่งเศสอ่อนแอลงมาก จนต้องยอมปล่อยอาณานิคมของตนในหลายๆ แห่งทั่วโลก (หลายแห่งก็ปล่อยไม่จริง อย่างกลุ่มประเทศแอฟริกาตะวันตก-กลาง อดีตอาณานิคมของฝรั่งเศส)

ส่งผลให้โซเวียตฯกลายเป็นมหาอำนาจทัดเทียมกับสหรัฐในเวลาต่อมา ก่อนที่จะล่มสลายในช่วงยุคปี 1990
..... และยังทำให้ชาวยิวมีประเทศเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองพันห้าร้อยปี จากการขีดพื้นที่บางส่วนของอาหรับปาเลสไตน์ใส่พานให้
(ถ้าจะว่ากันถึงเชื้อสายยิว ชาวปาเลสไตน์มีเชื้อชายยิวเข้มข้นกว่ายิวอิสราเอลที่อพยพมาจากยุโรป เพราะชาวปาเลสไตน์ก็สืบเชื้อสายมาจากยิวแล้วอยู่กันที่นั่นมาตลอดไม่ได้ไปไหน แต่ภายหลังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่น ...... เป็นเรื่องตลกร้ายที่กลุ่มคนที่มีเชื้อสายยิวเข้มข้นน้อยกว่าพยายามก่อตั้งรัฐยิว โดยรุกล้ำยึดครอง ผลักดัน 'เข่นฆ่า' กลุ่มคนที่มีเชื้อสายยิวเข้นข้นกว่าออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น)

การพิจารณาคดีที่เนิร์นแบร์ค (Nuremberg trials) ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้เหล่าผู้นำฯที่ก่อสงคราม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำโดยการถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีฯ และ ข้ออ้างที่ว่า ทำตามคำสั่ง ไม่สามารถใช้ลบล้างความผิดได้
..... หากฮิตเลอร์ไม่ก่อสงคราม บางทีโลกอาจจะจดจำเค้าในอีกแบบหนึ่ง

‘ทรัมป์’ เล็ง!! ยกเลิกสถานะ ‘ผู้ลี้ภัยยูเครน’ 2.4 แสนคน ในสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการกลับลำ!! จากนโยบายต้อนรับชาวยูเครนในสมัย ‘โจ ไบเดน’

(8 มี.ค. 68) แผนการยกเลิกการคุ้มครองชาวยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ที่จะยกเลิกสถานะทางกฎหมายของผู้อพยพกว่า 1.8 ล้านคน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าสหรัฐฯ ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชั่วคราว ซึ่งริเริ่มในสมัยรัฐบาลไบเดน

เจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์และแหล่งข่าวอีกรายหนึ่งเปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนจะเพิกถอนสถานะพักพิงของชาวคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา ราว 530,000 คน ภายในเดือนนี้ โดยแผนการเพิกถอนสถานะพักพิงของคนกลุ่มนี้รายงานครั้งแรกโดยสำนักข่าว CBS News

อีเมลภายในของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) ที่รอยเตอร์ได้รับ ระบุว่า ผู้อพยพที่ถูกเพิกถอนสถานะพักพิงอาจเผชิญกระบวนการเนรเทศแบบเร่งด่วน

ทั้งนี้ โครงการของไบเดนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างช่องทางทางกฎหมายชั่วคราว เพื่อป้องกันการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

นอกจากชาวยูเครน 240,000 คน ที่หนีภัยจากการรุกรานของรัสเซีย และชาวคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลา 530,000 คนแล้ว โครงการเหล่านี้ยังครอบคลุมชาวอัฟกานิสถานกว่า 70,000 คน ที่หลบหนีจากการยึดครองของกลุ่มตาลีบัน

อันดรีย์ โดบรีอันสกี ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารของคณะกรรมการชาวยูเครนแห่งอเมริกา กล่าวว่า “คนเหล่านี้จำนวนมากไม่มีบ้านให้กลับไป เรากำลังพูดถึงคนที่เมืองทั้งเมืองถูกทำลายจนราบ เราจะส่งพวกเขากลับไปที่ไหนกัน ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”

‘Zuchongzhi-3’ คอมพิวเตอร์ควอนตัมใหม่ของจีน ทำลายสถิติของ Google ถึงล้านเท่า เร็วกว่า!! ‘ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุด’ ถึง 15 เท่า ถือเป็นการก้าวกระโดด ครั้งยิ่งใหญ่

(8 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ โพสต์ข้อความระบุว่า ...

จีนเพิ่งแซงหน้าในการแข่งขันด้านควอนตัม ด้วยการเปิดตัว Zuchongzhi-3 ซึ่งเป็นเครื่องที่มีคิวบิต 105 ตัว ซึ่งทำให้โปรเซสเซอร์ Sycamore ของ Google ดูช้า

นักวิจัยกล่าวว่าเจ้าควอนตัมตัวนี้ทำการคำนวณได้เร็วกว่าผลลัพธ์ล่าสุดของ Google ถึง 1 ล้านเท่า และเร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดถึง 15 เท่า ด้วยอำนาจสูงสุดของควอนตัมที่อยู่ในสภาวะเสี่ยง ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของจีนกำลังก่อให้เกิดสัญญาณเตือนภัยในโลกแห่งเทคโนโลยี ด้าน The Independent เผย จีนก้าวกระโดดในการแข่งขันด้านอาวุธคอมพิวเตอร์ควอนตัม

Zuchongzhi-3 ของจีนเพิ่งจะแซงหน้าการประมวลผลแบบคลาสสิกไปเมื่อไม่นานนี้ โดยสามารถรันงานต่าง ๆ ได้เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำในปัจจุบันถึงหลายล้านล้านเท่า 

ทำลายสถิติควอนตัมล่าสุดของ Google ได้ถึง 6 อันดับ ตามคำกล่าวของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน:

“เราได้ดำเนินการสุ่มวงจรในระดับที่ใหญ่กว่าที่ Google เคยทำได้สำเร็จก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างความสามารถในการคำนวณระหว่างการประมวลผลแบบคลาสสิกและแบบควอนตัมกว้างขึ้น”

นี่ไม่ใช่แค่ความยืดหยุ่น - จีนกำลังก้าวไปข้างหน้าในการแข่งขันด้านอาวุธควอนตัมด้วยความก้าวหน้าที่จะช่วยปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของ AI การค้นพบยา และอนาคตของการประมวลผลข้อมูล

มันจบแล้วกี้ บทเรียนของ ‘ขี้ข้า’ ประเทศมหาอำนาจ หลัง ‘เซเลนสกี’ ถูกถีบออกมาจาก ‘ห้องทำงานรูปไข่’

เป็นมีมไปทั่วโลกหลังที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกประธานาธิบดีของยูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกีไปหารือแต่สุดท้ายกลายเป็นภาพที่เซเลนสกีถูกถีบออกมาจากห้องทำงานรูปไข่ นั่นทำให้ประเทศอื่นๆที่ยืนเคียงข้างยูเครนอย่างยุโรปสั่นคลอน เพราะหากมองกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของสงครามคือการที่ยูเครนต้องการจะเข้านาโต้ โดยการสนับสนุนจากชาติสมาชิกนาโต้โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในเวลานั้น

ย้อนกลับไปในการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO (North Atlantic Treaty Organization) ประจำปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9-11กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการประกาศถึงกร้าวในที่ประชุม NATO ระบุข้อความชัดเจนในปฏิญญาวอชิงตันว่า “พันธมิตร NATO จะยับยั้งและป้องกันภัยคุกคามทางอากาศและขีปนาวุธทั้งหมดด้วยการปรับปรุงการป้องกันทางอากาศและขีปนาวุธแบบผสมผสาน” และยืนยันว่า “NATO ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อรับประกันความน่าเชื่อถือ ความมีประสิทธิผล ความปลอดภัย และความมั่นคงของภารกิจป้องปรามด้วยนิวเคลียร์” โดยขณะนั้นพี่ใหญ่ของนาโต้คือ สหรัฐอเมริกา นั่นเอง

คำถามคือเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน นโยบายระดับชาติเปลี่ยนได้หรือ….?

ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าชาติสมาชิกนาโต้ในยุโรปต้องไขว้เขวเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นมาและประกาศกร้าวว่าจะเป็นคนกลางเพื่อจบปัญหาสงครามยูเครน จุดนี้นี่แหละที่ทำให้การสนทนา 10 นาทีสุดท้ายเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนและสหรัฐจาก ดีล เป็น โดดเดี่ยว  หากมองว่ามาถึงวันนี้ที่ยูเครนเข้าประเทศชาติ และพลเรือนมาเป็นตัวแปรในขณะที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แถมยังมาขอเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่วันนั้นสัญญาว่าจะให้เองตามที่ปรากฏในหน้าสื่อ ทำให้เซเลนสกี ถึงเลือกที่จะพูดว่าก็ใช่ไงสงครามมันไม่ได้เกิดที่หน้าบ้านคุณนี่ และคำนี้นี่แหละที่ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์สติหลุด

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์มา อเมริกาก็ซ่อนตัวอยู่หลังสงครามมาตลอด แม้ฝ่ายตนจะบอบช้ำจากการทำสงครามแต่หากเทียบกับคนในประเทศที่อเมริกาไปทำสงครามนั้น เทียบความสูญเสียกันไม่ได้เลยแถมการทำสงครามที่ผ่านมาหลายครั้งอเมริกาเลือกจะใช้วิธีการใช้ตัวแทนในการทำสงครามไม่ว่าจะในยูเครน ตะวันออกกลางหรือแม้กระทั่งใกล้บ้านเราอย่างผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้หรือข้างบ้านเราอย่างสงครามระหว่างกองทัพกะเหรี่ยงและกองทัพเมียนมา  หลายครั้งจะเห็นได้ว่าการที่ฝ่ายต่อต้านมีอาวุธที่ทันสมัยขนาดกองทัพเมียนมายังไม่มีนั่นคงไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆกองกำลังเหล่านี้จะสามารถผลิตมันขึ้นมาเองได้หากไม่ได้มีเงินทุนจัดหาและสนับนุน

จากที่มีรายการรายงานเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า มีการตรวจพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม NGO สัญชาติอเมริกันและ USAIDS ให้การสนับสนุนทั้งด้านเงินทุนและยุทโธปกรณ์ให้กับเครือข่ายกบฏในพื้นที่ โดยหลักฐานที่พบประกอบด้วยเอกสารการโอนเงิน จากเครือข่าย NGO และ USAIDS ไปยังบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มกบฏ  อาวุธและอุปกรณ์สื่อสาร บางส่วนที่ตรวจพบมีเครื่องหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ NGO ต่างชาติ  รวมถึงข้อมูลปฏิบัติการลับ ที่บ่งชี้ว่าเงินทุนที่ได้รับจากองค์กรเหล่านี้ ถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย  นั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรเหล่านี้เคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งลับของสหรัฐฯนั่นเอง  เช่นกันในฝั่งเมียนมาก็มีรายงานว่าองค์กร NGO อย่าง Free Burma Ranger ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่รับเงินทุนจาก NGO เหล่านี้ด้วยเช่นกันในการสนับสนุนสงครามให้แก่กองกำลังกะเหรี่ยงที่ทำสงครามกับกองทัพเมียนมาในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ทรัมป์มองออกว่าการที่เขาจ่ายเงินไปในสงครามแบบนี้มันคือการจ่ายเงินไปให้คนอื่นใช้แต่ผลที่ได้ในแต่ละที่ไม่ได้เกิดประโยชน์กับสหรัฐฯอย่างเป็นรูปธรรมเลย หากสหรัฐฯจะมองใหม่ว่าเข้าไปขอคืนดีกับผู้นำกองทัพเมียนมาและช่วยเมียนมาแก้ปัญหาภายในประเทศนั่นอาจจะทำให้เมียนมามีทางเลือกที่จะไม่ไปคบค้ากับจีนและรัสเซียมากไปกว่านี้  ซึ่งน่าจะเป็นการหยุดการแผ่ขยายอำนาจของจีนและรัสเซียในภูมิภาคนี้ได้ด้วย

สุดท้ายเอย่าก็หวังแค่ว่ากลุ่มกองกำลังทั้งหลายคงได้ตระหนักถึงสิ่งที่สหรัฐฯ กระทำกับยูเครน  หากกองกำลังเหล่านั้นคิดแค่เพียงว่า “สู้แล้วรวย” คนซวยคือชาวบ้านที่เป็นกองเชียร์ต่อไป แต่หากคิดได้ว่าที่เขาให้มาไม่มีอะไรฟรี  หากคิดถึงคนของตัวเองในวันที่สหรัฐฯจะมาขอค่าอาวุธคืนโดยจ่ายเป็นทรัพยากรที่คุณมี  คุณจะยอมไหม  อย่างน้อยวันนี้กี้ก็เห็นธาตุแท้ของอเมริกาแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top