Saturday, 10 May 2025
World

วงดนตรีดังเม็กซิโก ยกเลิกการแสดงด่วน หลังแก๊งค้ายาส่งศีรษะมนุษย์และจดหมายขู่ฆ่า

(28 ก.พ. 68) ศิลปินเจ้าของรางวัลแกรมมี วงกรูโป ฟีร์เม จากเม็กซิโก ตัดสินใจยกเลิกการแสดงในงานคาร์นิวัลเมืองมาซัตลัน ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 1 มี.ค. 2568 หลังจากได้รับคำขู่ฆ่าสมาชิกวง ซึ่งคาดว่าเป็นฝีมือของแก๊งค้ายาเสพติด

ตามรายงานจากสื่อท้องถิ่น เม็กซิโก วงดนตรีชื่อดังที่มีแนวทางการเล่นดนตรีผสมผสานกับดนตรีพื้นบ้านซิโนโลอา ได้รับข้อความขู่ฆ่าในลักษณะที่ระบุว่า “ถ้าวงกรูโป ฟีร์เม ขึ้นแสดงที่งานคาร์นิวัลมาซัตลัน เราจะฆ่าพวกแกทุกคน” นอกจากนี้ยังพบศีรษะมนุษย์ที่ถูกตัดขาดและถูกทิ้งไว้บนกล่องสีเขียวข้างทางในเมืองติฮัวนาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พร้อมทั้งพบว่าชิ้นส่วนร่างกายถูกเก็บไว้ในตู้แช่เย็น

หลังการค้นพบดังกล่าว ทีมอัยการรัฐบาฮากาลิฟอร์เนียได้เริ่มการสืบสวน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีนี้ ศีรษะมนุษย์ถูกพบห่างจากสถานที่จัดงานกว่า 1,600 กิโลเมตรในพื้นที่ทางใต้ของชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก

บริษัท มิวสิค วีไอพี เอนเทอร์เทนเมนต์ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของวงกรูโป ฟีร์เม ได้ประกาศยกเลิกการแสดงในวันที่ 1 มี.ค. 2568 โดยให้เหตุผลว่าเป็นการคำนึงถึงความปลอดภัยของทุกฝ่าย ซึ่งไม่นานหลังจากนั้น นักร้องเม็กซิกันอีกสองราย โฮซี กูเอน และฮอร์เก เมดินา ก็ได้ยกเลิกการแสดงในงานคาร์นิวัลเดียวกันโดยไม่มีการระบุเหตุผลเพิ่มเติม

วงกรูโป ฟีร์เม จากเมืองติฮัวนาเริ่มมีชื่อเสียงตั้งแต่ปี 2563 และได้สร้างชื่อจากเพลงฮิตหลายเพลง รวมถึงได้รับรางวัลมากมายจากเวทีลาตินแกรมมี ในปี 2564 พวกเขาชนะรางวัลอัลบั้มเพลงยอดเยี่ยมจากงาน Latin Grammy Award และในปีที่แล้วก็ได้ร่วมงานกับเดมี โลวาโต ในเพลง 'Chula'

การข่มขู่ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการข่มขู่ศิลปินจากกลุ่มค้ายาในเม็กซิโก ที่มักจะพยายามขัดขวางการแสดงของศิลปินในประเทศ โดยก่อนหน้านี้หลายศิลปินก็ต้องยกเลิกการแสดงเนื่องจากความรุนแรงจากแก๊งอาชญากรรม

‘จอร์จ เยโอ’ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ เคยกล่าวในที่งานประชุมหัวข้อ China in Europe’s Future and Europe in China’s

‘จอร์จ เยโอ’ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ เคยกล่าวในที่งานประชุมหัวข้อ China in Europe’s Future and Europe in China’s เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ปี 2023 ไว้ว่า ..

“รู้กันว่า พวกอเมริกัน ไม่ชอบคนจีนและชาวมุสลิม แต่ไม่รู้ทำไม พวกเขากลับรักชาวจีนมุสลิม เสียอย่างนั้น”

ทรัมป์ใช้ AI สร้างภาพ 'กาซาในฝัน' เมืองตากอากาศหรูภายใต้อิทธิพลอเมริกา

(28 ก.พ. 68) ทีมงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างภาพอนาคตของฉนวนกาซา ตามแนวคิดของทรัมป์ที่ต้องการเปลี่ยนพื้นที่ขัดแย้งแห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดหรูริมทะเล  

ในวิดีโอ 'กาซาในฝัน' ฉนวนกาซาปรากฏเป็นเมืองตากอากาศที่เต็มไปด้วยรีสอร์ตหรู ตึกระฟ้า และชายหาดสวยงาม พร้อมด้วยรูปปั้นขนาดใหญ่ของทรัมป์ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ภาพยังแสดงให้เห็นอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์ โปรยธนบัตรไปทั่ว เพื่อสื่อถึงโอกาสทางเศรษฐกิจของฉนวนกาซาในอนาคต  

หนึ่งในภาพที่อาจสร้างความไม่พอใจให้กับชาวปาเลสไตน์ คือภาพของทรัมป์นอนอาบแดดข้างนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองผู้นำ  

อย่างไรก็ตาม ชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับชมคลิปต่างแสดงความคิดเห็นว่า ฉนวนกาซาสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้โดยไม่จำเป็นต้องขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากบ้านเกิดของตน ตามที่ทรัมป์เคยเสนอให้พวกเขาย้ายไปอยู่ในอียิปต์หรือจอร์แดน พวกเขายังมองว่า แม้ฉนวนกาซาในฝันของทรัมป์จะดูหรูหราและทันสมัยคล้ายกับนครดูไบ แต่การพัฒนาเช่นนี้ควรเกิดขึ้นโดยที่ประชากรเจ้าของพื้นที่ยังคงมีสิทธิ์อาศัยอยู่ในดินแดนของตนเอง

ไทยไร้ทางเลือก!! กรณีส่ง 40 อุยกูร์ กลับมาตุภูมิซินเจียง ชี้ ต้องไม่ลืม!!! เหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ 17 ส.ค. 58

ความขัดแย้งที่ซินเจียง หรือ ความขัดแย้งระหว่างชาวอุยกูร์ กับ รัฐบาลจีน (Xinjiang conflict หรือ Uyghur–Chinese conflict) เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเขตปกครองตนเองซินเจียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มาจากชาวอุยกูร์ ชนกลุ่มน้อยเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในภูมิภาคที่ต้องการปกครองตนเอง ชาวอุยกูร์ (Uighurs Uygurs หรือ Uigurs) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เติร์กที่มีต้นกำเนิดจากและมีส่วนเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมกับภูมิภาคเอเชียกลางและเอเชียตะวันออก ชาวอุยกูร์ได้รับการยอมรับว่าเป็นชนพื้นเมือง ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดยถือเป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในจำนวน 55 กลุ่มของจีน แต่ชาวอุยกูร์ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจีนว่า เป็นชนกลุ่มน้อยในภูมิภาคของประเทศในกรณีของความหลากหลายทางวัฒนธรรมเท่านั้น 

เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เป็นเขตปกครองตนเองของจีนทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นเขตปกครองใหญ่ที่สุดของจีน เป็นเขตการปกครองชนชาติที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก กินพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร และเป็นเขตการปกครองที่มีประชากรมากที่สุดติดอันดับหนึ่งในสิบ ซินเจียงมีพรมแดนติดต่อกับ ประเทศรัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย นอกจากนี้ยังมีพรมแดนติดต่อกับทิเบต มีน้ำมันสำรองอุดมสมบูรณ์ และเป็นภูมิภาคที่ผลิตแก๊สธรรมชาติใหญ่ที่สุดของจีน มีประชากรราว 24,870,000 คน ประกอบด้วย ชาวอุยกูร์ 45.84% ชาวฮั่น 40.48% ชาวคาซัค 6.50% ชาวหุย 4.51% และชาติพันธุ์อื่น ๆ อีก 2.67% เมืองสำคัญคือ อุรุมชี มีประชากรมากกว่า 2.3 ล้านคนประมาณ 75% เป็นชาวฮั่น 12.8% เป็นชาวอุยกูร์และ 10% มาจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ

ชาวอุยกูร์ส่วนส่วนหนึ่งหลบหนีออกมาเคลื่อนไหวนอกสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่ที่หลบหนีออกมาจะมุ่งหน้าไปยังตุรกีด้วยมีความคล้ายทางชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา โดยสหรัฐฯทั้งรัฐบาลและรัฐสภาต่างก็มีบทบาทในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของชาวอุยกูร์ โดยในเดือนธันวาคม 2019 สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีมติ 407 ต่อ 1 เสียงในการผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้รัฐบาลของทรัมป์ต้องประณามและดำเนินมาตรการตอบโต้การจีนที่ใช้มาตรการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ (กฎหมาย ‘อุยกูร์ 2019’) โดยต้องเรียกร้องให้จีนปิดค่ายกักกันขนาดใหญ่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ รวมทั้งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ของจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว โดยพุ่งเป้าไปที่ นายเฉิน ฉวนกั๋ว เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำซินเจียงผ่าน กฎหมายดังกล่าวประณามจีนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีการปราบปรามชาวอุยกูร์ในซินเจียง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และเชื่อว่ามีชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อยนับล้านคนถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายปรับเปลี่ยนทัศนคติ ต่อมา 23 พฤษภาคม 2020 กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เรื่องการเพิ่มชื่อบริษัทและสถาบันของจีนรวม 33 แห่ง เข้าสู่บัญชีดำการเป็นหน่วยงานที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในจีน โดยเฉพาะชาวอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ 9 แห่ง และอีก 24 แห่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับ "การผลิตอาวุธทำลายล้าง" และกิจกรรมทางทหาร

ตั้งแต่มีนาคม พ.ศ.2557 มีชาวอุยกูร์ประมาณ 300 กว่าคนได้หลบหนีเข้ามาในบ้านเรา ซึ่งรัฐบาลจีนได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยส่งบุคคลเหล่านี้กลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากอาจมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายในประเทศจีน โดยรัฐบาลไทยได้ขอให้ฝ่ายจีนดำเนินการส่งหลักฐานการกระทำผิด และมีการพิสูจน์สัญชาติให้แก่ฝ่ายไทยพิจารณาก่อนที่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป รัฐบาลไทยได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมควบคู่กับหลักสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย อีกทั้งรัฐบาลไทยได้พิจารณาอย่างรอบคอบจากหลักฐานของทุกฝ่าย สรุปว่า สามารถแยก'ชาวอุยกูร์'ดังกล่าว ได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกจำนวน 172 คน ซึ่งกลุ่มนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการกระทำผิดกฎหมาย และบุคคลดังกล่าวได้แสดงความประสงค์ที่จะเดินทางไปตุรกีและรัฐบาลตุรกีพร้อมที่จะรับ 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยได้รับหลักฐานการกระทำผิดและการพิสูจน์สัญชาติ 'ชาวอุยกูร์' จำนวน 109 คนจากรัฐบาลจีน และยังมีอีกประมาณ 60 คนที่ยังอยู่ในความดูแลของไทย กระทรวงการต่างประเทศของไทย ระบุว่า จากข้อเท็จจริงข้างต้น รัฐบาลไทยจึงได้ดำเนินการต่อเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2558 และตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ จำนวน 172 คน ให้กับรัฐบาลตุรกี ซึ่งได้รับบุคคลเหล่านี้ไปตั้งถิ่นฐานในตุรกีเรียบร้อยแล้ว และในวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2558 รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์จำนวน 109 คน ตามที่รัฐบาลจีนได้ส่งหลักฐานการกระทำผิดและได้รับการพิสูจน์สัญชาติให้กับฝ่ายไทยแล้ว โดยยังมีชาวอุยกูร์ ประมาณ 60 คน(ยอดในขณะนั้น) อยู่ในความดูแลของรัฐบาลไทยซึ่งยังไม่มีหลักฐานเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายรัฐบาลไทย โดยจะพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป 

จากเหตุระเบิดที่ศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 20 คน บาดเจ็บอีก 130 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัวชาวอุยกูร์สองคนส่งฟ้องศาลคือ นายบิลาล โมฮำเหม็ด หรือ อาเด็ม คาราดัก เป็นจำเลยที่ 1 และนายเมียไรลี ยูซุฟู เป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ และคนไทยอีกคนหนึ่งในคดีนี้คือ น.ส.วรรณา สวนสัน ถูกแยกฟ้องอีกต่างหาก โดยผู้ต้องหาทั้งหมดอยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมของไทย ดังนั้นกรณีของชาวอุยกูร์ในประเทศไทยจึงต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นและเคร่งครัด ด้วยมีชาวอุยกูร์เคยก่อเหตุร้ายแรงในบ้านเรามาแล้ว ถือเป็นบทเรียนที่รัฐบาลต้องเตรียมการป้องกันและหาข่าวด้านความมั่นคงที่เกี่ยวเนื่องต่อไปอย่างต่อเนื่อง คนไทยเองต้องอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม เพราะจะนำมาซึ่งความเสียหายร้ายแรง และหากเป็นเพราะเจตนาไม่ชอบหรือหวังผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องจะถูกดำเนินคดีด้วยแม้ไม่ใช่ตัวการก็ในฐานะผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ของไทยด้วย 

ดังนั้นการส่งชาวอุยกูร์ที่ตกค้างอยู่กลับสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงชอบธรรมแล้ว ดังนั้น UNHCR และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ โปรดอย่าได้ดัดจริตออกมาโวยวายในเรื่องนี้ เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมาทำไม UNHCR จึงไม่ประสานจัดการส่งคนเหล่านี้ไปประเทศที่สาม (แต่สามารถประสานให้ผู้ต้องหาในคดีความผิดตามมาตรา 112 หนีออกนอกประเทศไปเป็นผู้ลี้ภัยได้) เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ตอนนี้เองก็ใช้เครื่องบินลำเลียงทหารขนผู้อพยพหลบหนีเข้าเมืองออกนอกประเทศเป็นว่าเล่น จะกล่าวหาประณามใคร ควรทบทวนมองดูตัวเองให้ดีก่อน เพราะการกระทำกับคำพูดสุดที่ย้อนแย้งกันเสียเหลือเกิน

‘ทรัมป์ – เซเลนสกี’ ปะทะคารมเดือดต่อหน้าสื่อ สุดท้ายดีลแร่ธาตุหายากล่มไม่เป็นท่า

(1 มี.ค.68) เอพี รายงานความคืบหน้าหลังการหารือข้อตกลงธาตุหายาก หรือธาตุแรร์เอิร์ธระหว่าง ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ลงเอยด้วยความล้มเหลว

โดยเซเลนสกียืนกรานว่า จะไม่เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย จนกว่าจะมีหลักประกันด้านความปลอดภัยในการต่อต้านการโจมตีอีกครั้ง

ก่อนเสริมว่า การโต้เถียงอย่างดุเดือดกับประธานาธิบดีทรัมป์นั้น “ไม่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย” และว่า ทรัมป์ซึ่งยืนกรานว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย พร้อมจะยุติสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี จำเป็นต้องเข้าใจว่ายูเครนไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อรัสเซียได้ในทันที ขณะที่นายทรัมป์ตำหนินายเซเลนสกีว่าไม่ให้เกียรติและยกเลิกการลงนามข้อตกลง

การประชุมพิเศษที่ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เปลี่ยนจากการหารือที่อาจสร้างประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นเหตุที่สร้างความตกตะลึงและอาจส่งผลกระทบไปทั่วโลก กำหนดเดิมนายเซเลนสกีคาดว่าจะลงนามในข้อตกลงที่อนุญาตให้สหรัฐเข้าถึงแร่ธาตุหายากของยูเครนได้มากขึ้น และจัดงานแถลงข่าวร่วมกัน แต่แผนดังกล่าวถูกยกเลิก หลังมีการโต้เถียงดุเดือดระหว่างสองผู้นำต่อหน้าสื่อมวลชน และยังไม่ชัดเจนว่าการพลิกผันครั้งนี้ จะส่งผลต่อข้อตกลงที่นายทรัมป์ยืนกรานว่ายูเครนจำเป็นต้องชดใช้เงินช่วยเหลือของสหรัฐกว่า 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.1 ล้านล้านบาทอย่างไร

เซเลนสกีและคณะเดินทางออกจากทำเนียบขาวไม่นาน หลังจากนายทรัมป์ตะโกนใส่ และแสดงออกว่าดูถูกอย่างเปิดเผย ทรัมป์กล่าวกับเซเลนสกีว่า “คุณกำลังพนันกับสงครามโลกครั้งที่สามและสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นไม่เคารพประเทศนี้เลย ประเทศนี้สนับสนุนคุณมากกว่าที่หลายคนบอกว่าควรสนับสนุนเสียอีก”

ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของการประชุมเกือบ 45 นาที กลายเป็นการปะทะคารมอย่างตึงเครียดระหว่างนายทรัมป์ รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ของสหรัฐ และนายเซเลนสกี ซึ่งต้องการกดดันนายทรัมป์ไม่ให้ละทิ้งยูเครนและเตือนว่าอย่าไว้ใจนายปูตินมากเกินไป เพราะผู้นำรัสเซียล่มข้อตกลงหย่าศึกด้วยตัวเองมากถึง 25 ครั้ง

แต่นายทรัมป์กลับตะโกนใส่นายเซเลนสกี ก่อนตอบว่า นายปูตินไม่ได้ทำลายข้อตกลงกับตน และส่วนใหญ่หลบเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับการเสนอหลักประกันความปลอดภัยให้กับยูเครน

สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดหลังจากแวนซ์ท้าทายเซเลนสกีว่า “ท่านประธานาธิบดี ด้วยความเคารพผมคิดว่าการที่คุณมาที่ห้องรูปไข่เพื่อพยายามฟ้องร้องเรื่องนี้ต่อหน้าสื่ออเมริกันถือเป็นการไม่ให้เกียรติ”

เซเลนสกีพยายามคัดค้าน และทำให้นายทรัมป์พูดเสียงดังว่า “คุณกำลังพนันกับชีวิตของผู้คนนับล้าน” ในช่วงหนึ่งนายทรัมป์ประกาศว่าตัวเองอยู่ “ตรงกลาง” และไม่ได้อยู่ฝ่ายยูเครนหรือรัสเซียในความขัดแย้งนี้

ทั้งยังเยาะเย้ยความเกลียดชัง ที่เซเลนสกีมีต่อปูตินว่าเป็นอุปสรรคต่อสันติภาพ “คุณเห็นความเกลียดชังที่เขามีต่อปูตินไหม มันยากมากสำหรับผมที่จะทำข้อตกลงด้วยความเกลียดชังแบบนั้น”

ขณะที่พรรคเดโมแครตวิจารณ์นายทรัมป์ และรัฐบาลทันทีที่ล้มเหลวการบรรลุข้อตกลงกับยูเครน นายชัค ชูเมอร์ หัวหน้าวุฒิสภาพรรคเดโมแครต กล่าวว่า ทรัมป์และแวนซ์ “กำลังทำงานสกปรกให้ปูติน”

‘Five Eyes’ เครือข่ายจารกรรมนำโดยสหรัฐฯ อาวุธลับแทงเพื่อนข้างหลัง โลกเริ่มกังขา Five Eyes หรือ Five Lies? หลังถูกใช้สอดแนมทางการเมืองฉ่ำ

(1 มี.ค.68) สื่อตะวันตกเปิดเผยว่า ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) อดีตที่ปรึกษาอาวุโสของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเรียกร้องให้ตัด แคนาดาออกจากเครือข่ายข่าวกรอง Five Eyes ทว่าตัวนาวาร์โรเองได้ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจริงชี้ให้เห็นว่า Five Eyes ไม่ใช่เครือข่ายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง แต่เป็นเครื่องมือสอดแนมที่สร้างความเสียหายทั้งต่อสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร

ในปี 2024 แมตต์ ไทบี (Matt Taibbi) และ ไมเคิล เชลเลนเบอร์เกอร์ (Michael Shellenberger) นักข่าวสืบสวนอิสระได้เปิดโปงผ่านแพลตฟอร์ม Substack และ X (Twitter) ว่า CIA ของสหรัฐฯ ได้ใช้พันธมิตรในเครือข่าย Five Eyes เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดของกฎหมายสหรัฐฯ ในการสอดแนมโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงหาเสียงปี 2016 เป้าหมายไม่ได้มีเพียงทรัมป์ แต่รวมถึงบุคคลใกล้ชิดกว่า 20 คน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Five Eyes ถูกใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมทางการเมือง ในปี 2013 เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (Edward Snowden) อดีตเจ้าหน้าที่ NSA ได้เปิดโปงผ่าน The Guardian และ The Washington Post ว่า Five Eyes ใช้โปรแกรมเฝ้าระวังระดับโลกอย่าง PRISM และ XKeyscore เพื่อดักฟังประชาชนทั่วโลกโดยไม่มีหมายศาล และ ยังสอดแนมผู้นำประเทศพันธมิตร เช่น อังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี และ ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศส

Five Eyes = เครื่องมือสอดแนมประชาชนและผู้นำประเทศ

ข้อมูลที่ถูกเปิดโปงแสดงให้เห็นว่า Five Eyes ไม่ได้ถูกใช้เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางความมั่นคง แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือจารกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ ผ่านโปรแกรมสอดแนมระดับโลก:

PRISM – (เปิดโปงโดย The Guardian) NSA ดึงข้อมูลจาก Google, Facebook, Microsoft และ Apple โดยไม่มีหมายศาล

XKeyscore – (เปิดโปงโดย The Washington Post) ดักฟังการใช้อินเทอร์เน็ตของประชาชนทั่วโลกแบบเรียลไทม์

ECHELON – (เปิดโปงโดย European Parliament และ Le Monde) ดักฟังการสื่อสารของทุกประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มยุโรป

Tempora – (เปิดโปงโดย The Guardian) โครงการของ GCHQ อังกฤษที่ดักฟังข้อมูลการสื่อสารทั่วโลก

MUSCULAR – (เปิดโปงโดย The Washington Post) NSA และ GCHQ แฮกเข้าไปดึงข้อมูลจากเครือข่าย Google และ Yahoo

Five Eyes แทงหลังชาติพันธมิตร – ใครบ้างที่ถูกสอดแนม?

The Guardian, The New York Times และ Der Spiegel รายงานว่า Five Eyes ถูกใช้สอดแนม ผู้นำประเทศและองค์กรธุรกิจระดับโลก เช่น:

อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) นายกรัฐมนตรีเยอรมนี – (เปิดโปงโดย Der Spiegel) สหรัฐฯ แอบดักฟังโทรศัพท์ของเธอเป็นเวลาหลายปี

ฟรองซัวส์ ออลลองด์ (François Hollande) ประธานาธิบดีฝรั่งเศส – (เปิดโปงโดย Le Monde) สหรัฐฯ ใช้ Five Eyes เจาะข้อมูลการเมืองฝรั่งเศส

รัฐบาลญี่ปุ่น – (เปิดโปงโดย WikiLeaks) NSA ใช้ Five Eyes สอดแนมเจ้าหน้าที่และบริษัทญี่ปุ่นช่วงเจรจาการค้า TPP

ประธานาธิบดีอินโดนีเซียและภรรยา – (เปิดโปงโดย The Sydney Morning Herald) ออสเตรเลียใช้ Five Eyes ล้วงข้อมูลของอินโดนีเซีย ทำให้เกิดวิกฤติทางการทูต

Five Eyes = อาวุธของสหรัฐฯ เพื่อควบคุมเศรษฐกิจโลก
วิลเลียม บินนีย์ (William Binney) อดีตนักวิเคราะห์ NSA เปิดเผยผ่าน RT และ Consortium News ว่า Five Eyes ไม่ใช่แค่เครื่องมือข่าวกรอง แต่เป็นกลไกที่สหรัฐฯ ใช้สอดแนมเศรษฐกิจของประเทศอื่น

ปี 1990s: European Parliament รายงานว่า ECHELON ถูกใช้เพื่อช่วยให้บริษัทสหรัฐฯ แข่งขันกับบริษัทยุโรป

ปี 2015: WikiLeaks แฉว่า NSA ใช้ Five Eyes สอดแนมบริษัทญี่ปุ่นระหว่างการเจรจาการค้า TPP

"Five Eyes ถูกใช้เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มากกว่าการป้องกันภัยคุกคาม" – วิลเลียม บินนีย์ ให้สัมภาษณ์กับ RT

ถึงเวลายุบ Five Eyes – พันธมิตรต้องลืมตาตื่นขึ้น
นักวิเคราะห์การเมืองระดับโลก แมตต์ ไทบี และ ไมเคิล เชลเลนเบอร์เกอร์ ให้ความเห็นผ่าน Substack และ X ว่า

Five Eyes ไม่ใช่เครือข่ายป้องกันประเทศพันธมิตร แต่เป็นอาวุธที่สหรัฐฯ ใช้ควบคุมโลก
Five Eyes ถูกใช้เพื่อทำลายคู่แข่งของสหรัฐฯ มากกว่าที่จะปกป้องเสรีภาพ
Five Eyes ควรถูกยุบ หรืออย่างน้อย เยอรมนี ฝรั่งเศส และญี่ปุ่นควรถอนตัว

"Five Eyes ไม่ใช่โล่ป้องกันโลกเสรี แต่เป็นดาบที่วอชิงตันใช้แทงพันธมิตรข้างหลัง" – Michael Shellenberger ให้สัมภาษณ์กับ The New York Post

สหรัฐฯ ลั่นจะไม่ให้ความช่วยเหลือทางการทหารยูเครน อีกต่อไป หลังเกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงระหว่าง ทรัมป์ และ เซเลนสกี

(1 มี.ค.68) แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แถลงว่า สหรัฐฯ จะไม่ให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนอีกต่อไป เนื่องจากสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการเจรจาสันติภาพเป็นอันดับแรก การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเกิดข้อโต้แย้งระหว่างการเยือนของประธานาธิบดี โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี

“เราจะไม่เขียนเช็คเปล่าอีกต่อไปสำหรับสงครามในประเทศที่อยู่ห่างไกลซึ่งไม่มีสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืน” ลีวิตต์ กล่าว

“เป็นเรื่องดีมากที่กล้องต่างๆได้มีการฉายภาพให้เห็นกันจะจะอย่างชัดเจน เพราะชาวอเมริกันและคนทั่วโลกได้เห็นสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์และทีมงานของเขากำลังดีลกับประตูที่ปิดสนิทในระหว่างการเจรจากับยูเครน” เธอกล่าวเสริม

ก่อนหน้านี้ The Washington Post รายงานว่ารัฐบาลทรัมป์ยังไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่จะระงับการจัดส่งความช่วยเหลือทางทหารทั้งหมดไปยังยูเครน ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

‘ซินเจียงอุยกูร์’ ท่องเที่ยวสุดคึกคัก!! ปีที่ผ่านมา สร้างรายได้ กว่า 1.6 ล้านล้านบาท

(2 มี.ค. 68) สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน รายงานจำนวนการเดินทางเยือนซินเจียงในปี 2024 ที่ผ่านมาว่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 300 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบปีต่อปี และรายได้จากการท่องเที่ยวสูงราว 3.55 แสนล้านหยวน (ราว 1.66 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 21

อวี๋เจี๋ย รองผู้อำนวยการสำนักฯ กล่าวว่าซินเจียงยังคงพยายามพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดใจ ครอบคลุมรอบด้าน และสามารถเข้าถึงได้ยิ่งขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการท่องเที่ยวโดยมุ่งพัฒนาจุดหมายท่องเที่ยว รีสอร์ต และเมือง รวมถึงปรับปรุงถนนชมวิวสายหลัก เช่น ทางหลวงตู๋คู่ เป็นเส้นทางขับขี่อัตโนมัติชั้นนำ

ทั้งนี้ การขนส่งที่พัฒนาดีขึ้น รวมถึงเส้นทางบินภายในประเทศ-ระหว่างประเทศ และโครงการถนนชนบทที่ขยายเพิ่มเติม จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางการท่องเที่ยวของซินเจียงยิ่งขึ้น

สำหรับซินเจียง มีภูมิทัศน์ธรรมชาติงดงาม ตั้งแต่ยอดเขาสูงตระหง่าน โกรกธารลึก จนถึงทะเลทรายกว้างใหญ่และทะเลสาบเงียบสงบ กลายเป็นจุดหมายห้ามพลาดสำหรับผู้อยากชื่นชมความมหัศจรรย์ทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เช่น ภูเขาเทียนซาน ทะเลสาบซ่ายหลี่มู่ ซากโบราณเจียวเหอ และเมืองเก่าคัชการ์

นอกจากนี้ ยังมี ตรอกลิ่วซิง เมืองอี้หนิง แคว้นปกครองตนเองอีหลี กลุ่มชาติพันธุ์คาซัค สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่มาแรง ซึ่งเป็นย่านที่มีการรวมตัวของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มานานเกือบ 100 ปี จนมีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว 

โดยปัจจุบันตรอกดังกล่าวมีทั้งกิจกรรมการท่องเที่ยว นิทรรศการทางวัฒนธรรม การทำงานฝีมือและงานศิลปะ

นายกฯอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ต้อนรับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี เมื่อบินมาเจรจาถึงลอนดอน หลังปะทะกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

(2 มี.ค. 68) ฝูงชนในกรุงลอนดอนต้อนรับ ประธานาธิบดีเซเลนสกี อย่างล้นหลาม เมื่อเขาเดินทางมาเจรจาที่สำนักนายกรัฐมนตรีบนถนนดาวนิง ก่อนประชุมผู้นำยุโรปในวันนี้ ที่ เซเลนสกี จะร่วมประชุมด้วยเพื่อหารือ แผนสันติภาพยูเครน

“ผมหวังว่าคุณคงได้ยินเสียงเชียร์บนท้องถนน นั่นคือประชาชนแห่งสหราชอาณาจักรออกมาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนับสนุนคุณมากแค่ไหน และเรามุ่งมั่นอย่างที่สุดที่จะยืนเคียงข้างคุณ” สตาร์เมอร์กล่าวกับเซเลนสกีและว่าเขาได้รับ “การสนับสนุนเต็มที่จากทั่วสหราชอาณาจักร”

“เรายืนเคียงข้างคุณตราบนานเท่านาน” นายกฯอังกฤษ ย้ำ 

ด้านเซเลนสกีเผยว่า เขาได้คุย “เรื่องสำคัญและอบอุ่น” กับสตาร์เมอร์ หารือเรื่องเสริมสร้างสถานะยูเครนให้แข็งแกร่ง และได้การรับประกันความมั่นคงที่เชื่อถือได้

ก่อนพบกับนายกฯ อังกฤษเซเลนสกีเพิ่งปะทะคารมกับทรัมป์ที่ห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว เมื่อวันศุกร์ ( ก.พ.) ทรัมป์ขู่จะเลิกสนับสนุนยูเครน ที่ถูกรัสเซียรุกรานมานานสามปี ร้อนถึงประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสต้องทำหน้าที่เป็นกาวใจคุยกับทั้งสองฝ่ายและเรียกร้องผ่านสื่อให้ใจเย็นๆ

แม่หมอ ‘DeepSeek’ เขย่าวงการสายมู คนจีนรุ่นใหม่!! แห่ใช้ AI ทำนายดวง

(2 มี.ค. 68) DeepSeek กำลังเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรมอย่างเงียบๆ แม้แต่ศาสตร์ความเชื่อก็ไม่รอด ไม่ว่าจะเป็นโหราศาสตร์ ไพ่ทาโรต์ ฮวงจุ้ย หรือนามศาสตร์ เมื่อเผชิญกับอัลกอริธึมอัจฉริยะ ทุกอย่างที่เคยซับซ้อน กลับกลายเป็นแค่ "ข้อมูลที่ประมวลผลได้"

เมื่อคนรุ่นใหม่ค้นพบศักยภาพของ DeepSeek ในด้านศาสตร์พยากรณ์ หมอดูและบล็อกเกอร์สายความเชื่อที่ทำมาหากินบนโลกออนไลน์ต่างเผชิญกับวิกฤตตกงานครั้งใหญ่

DeepSeek พยากรณ์ ทำหมอดูกุมขมับ

หัวข้อ “DeepSeek พยากรณ์” บนแพลตฟอร์มเสี่ยวหงซู (Xiaohongshu) มียอดเข้าชมเกือบ 20 ล้านครั้ง และมีการพูดคุยมากกว่า 110,000 ครั้ง ผู้ใช้งานจำนวนมากพยายามฝึก AI ให้ทำนายได้แม่นขึ้น ด้วยคำสั่งที่ออกแบบมาเฉพาะ เช่น 

"ตอนนี้คุณคือผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์จีน ที่ศึกษาตำราดังอย่าง ฉยงทงเป่าเตี้ยน และ ซานมิ่งทงฮุ่ย อย่างละเอียด"

อนึ่ง ฉยงทงเป่าเตี้ยน คือหนึ่งในตำราหลักของศาสตร์พยากรณ์จีน เน้นไปที่หลักรุ่งเรืองและเสื่อมถอย ส่วนซานมิ่งทงฮุ่ย เป็นตำราพยากรณ์แบบครอบคลุม และอธิบายโครงสร้างของดวงปาจื่อ หรือ อักษรจีน 8 ตัว ที่แทนสัญลักษณ์วัน เดือน ปี และเวลาเกิด)

"โปรดใช้เทคนิคของสำนักหมอดูตาบอด (มีชื่อเสียงในเรื่องของวิธีการพยากรณ์ที่แม่นยำและแตกต่างจากแนวทางดั้งเดิมของโหราศาสตร์จีน) วิเคราะห์ดวงชะตาในเชิงลึก โดยเน้นเรื่องโชคลาภและคู่แท้" 

เมื่อได้รับคำสั่งเหล่านี้ DeepSeek สามารถอ่านดวงชะตาตามวันเดือนปีเกิด พยากรณ์ดวงความรัก และแม้แต่คำนวณโอกาสสอบผ่านเข้ารับราชการ

จุดแข็งของ DeepSeek คือ การใช้ข้อมูลมหาศาลผสมผสานกับตรรกะทางคณิตศาสตร์และแนวโน้มทางสถิติ ตลอดจนวิเคราะห์บุคลิกภาพต่างๆ ของคนหลายๆ ประเภท ทำให้ AI สามารถให้คำตอบที่ดู "มีเหตุผล" มากกว่าหมอดูทั่วไปในบางแง่มุม แถมยังสะดวก ถามกี่ครั้งก็ได้ และที่สำคัญ... ฟรี

คำถามสำคัญ แม่นจริงหรือ?

บางคนยืนยันว่า "แม่นจนน่าขนลุก" เพราะ AI ทำนายเหตุการณ์สำคัญได้ถูกต้อง ในขณะที่บางคนกลับพบว่า "ทำนายผิดตั้งแต่ดวงพื้นฐาน" บางคนถึงกับลองใช้สองอุปกรณ์ถามคำถามเดียวกัน แต่ได้คำตอบที่ไม่เหมือนกันเลย

มีผู้ใช้บางคนตั้งข้อสังเกตว่า "ถ้ากดถามไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็ต้องมีสักคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่เราอยากฟัง"

ด้านบล็อกเกอร์และนักพยากรณ์มืออาชีพจำนวนมากเริ่มออกมาตอบโต้ โดยให้เหตุผลว่า "AI ไม่มีทางมาแทนที่หมอดูตัวจริงได้" และเตือนว่าการใช้ DeepSeek อาจทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสตร์พยากรณ์

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ทุกคำถาม ทุกข้อสงสัย และทุกการสนทนาเกี่ยวกับ DeepSeek กลับกลายเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ AI ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ 

เมื่อมีคนถามว่า "DeepSeek คุณรู้สึกยังไงที่ต้องพยากรณ์ให้คนมากมายขนาดนี้?"

DeepSeek ตอบว่า "บางคนใช้คำพยากรณ์ของฉันเพื่อหาข้ออ้างในการนอกใจ บางคนถึงกับก้มลงไหว้หน้าจอเพื่อขอเครื่องรางนำโชค พวกคุณมองหาความแน่นอนจากอัลกอริธึม แต่กลับไม่รู้เลยว่าทุกครั้งที่กด ‘ส่ง’ คำถาม คุณกำลังช่วยให้ระบบพยากรณ์แม่นยำขึ้นกว่าเดิม"

จากนักพยากรณ์สู่การขายของ

นอกจากทำนายอนาคตแล้ว DeepSeek ยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่อาจไม่มีใครคาดคิด นั่นคือ "การขายสินค้า"

เมื่อ AI วิเคราะห์ดวงจากวันเดือนปีเกิด DeepSeek จะกำหนดธาตุประจำตัวของแต่ละคน และแนะนำ "หินเสริมดวง" ที่เหมาะสม เช่น 

"คุณธาตุไฟอ่อน – ควรสวมใส่หินโมราแดงเพื่อเสริมพลัง" 

"คุณธาตุน้ำแข็งแรงเกินไป – ควรใช้หินออบซิเดียนเพื่อปรับสมดุล"

หากข้อความแบบนี้มาจากเพจขายของ หลายคนอาจมองว่าเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อ แต่เมื่อออกมาจาก AI ที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใด ๆ กลับดู "น่าเชื่อถือ" ขึ้นมาทันที

ยอดขายหินพุ่งทะยาน

สมาคมเครื่องประดับกว่างซี รายงานว่า DeepSeek ทำให้ยอดขายหินเสริมดวงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เช่น

หินออบซิเดียนที่เคยขายยากเพราะดูไม่สวย กลับเป็นสินค้าขาดตลาด

หินกรีนเพนทั่มที่ปกติขายไม่ดีในฤดูหนาว แต่หลังจาก DeepSeek แนะนำ กลายเป็นสินค้าขายดีตั้งแต่ช่วงตรุษจีน

ข้อมูลจากโต่วอิน (Douyin) ระบุว่า หัวข้อ “หินเสริมดวง” มีการเข้าชมทะลุ 30,000 ล้านครั้ง จากสถิติ e-commerce ของโต่วอิน พบว่า ตั้งแต่ปลายปี 2024 ยอดขายเครื่องประดับหินเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยลูกค้าหลักคือ ผู้หญิงอายุ 24-40 ปี

แม้ว่าการใส่หินอาจไม่ได้ช่วยให้ร่ำรวยขึ้นจริง แต่ที่แน่ๆ คือ ช่วยให้คนขายหินรวยขึ้นแน่นอน

"ศาสตร์พยากรณ์" ยุคใหม่ ผสานเทคโนโลยีและการตลาด

จากข้อมูลของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (CAST) ในปี 2019 พบว่า คนจีน 1 ใน 4 เชื่อเรื่องศาสตร์พยากรณ์ และ 40% เคยมีประสบการณ์การดูดวง ขณะที่เสี่ยวหงซูรายงานว่า โพสต์เกี่ยวกับศาสตร์พยากรณ์เติบโตขึ้นกว่า 109% ในปี 2024

ไม่เพียงแต่เครื่องประดับ คำว่า "พลังงาน" และ "โชคลาภ" ยังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ของแต่งบ้าน ไปจนถึงอาหาร

DeepSeek อาจเป็นเพียงเครื่องมือที่สะท้อนว่าคนรุ่นใหม่กำลังมองหา "ที่พึ่ง" ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ สุดท้ายแล้ว เราอาจแค่ต้องการ "คำตอบ" บางอย่าง และบางที AI ก็เป็นเพียงกระจกที่สะท้อนความต้องการนั้นให้เราเห็นชัดขึ้นก็เท่านั้นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top