Saturday, 10 May 2025
World

เปิดประวัติ 'อวี๋เหรินหรง' นักธุรกิจจีนผู้กระทบไหล่ CEO ตัวท็อป จาก ‘เด็กบ้านนอก’ สู่ ‘เศรษฐีชิปอันดับหนึ่งของจีน’

(2 มี.ค. 68) ในที่ประชุมสัมมนาผู้ประกอบการเอกชนแห่งประเทศจีน อีเวนต์ที่ทุกคนต่างจับตา ชายที่นั่งอยู่ระหว่างหวังฉวนฝู CEO บีวายดี (BYD) และเหลยจวิน CEO เสี่ยวหมี่ (Xiaomi) กลายเป็นจุดสนใจอย่างไม่คาดคิด ผู้คนเริ่มสงสัยว่าเขาเป็นใคร และทำไมเขาถึงได้อยู่ในจุดนั้น?

เขาคืออวี๋เหรินหรง นักธุรกิจวัย 59 ปี เจ้าของตำแหน่ง “เศรษฐีชิปอันดับหนึ่งของจีน” ผู้ก่อตั้งบริษัท Weil Semiconductor ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิต Image Sensor อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการจับภาพ รายใหญ่ที่สุดในจีน และติดอันดับสามของโลก รองจาก Sony และ Samsung ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ถูกใช้ในสมาร์ตโฟน รถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น Xiaomi, Huawei และ BYD

ณ วันที่ 21 ก.พ. 2024 มูลค่าตลาดของ Weil Semiconductor อยู่ที่ 1.92 แสนล้านหยวน (ราว 8.832 แสนล้านบาท) โดยอวี๋เหรินหรงถือหุ้นอยู่ 27.44% ทำให้เขามีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 5.27 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.424 แสนล้านบาท) นอกจากนี้ เขายังเป็นบุคคลใจบุญอันดับหนึ่งของจีน โดยบริจาคเงินถึง 5.3 พันล้านหยวน (ราว 2.47 หมื่นล้านบาท) ในปี 2024 ซึ่งมากกว่ายอดบริจาคของเหลยจวิน 

จากเด็กนักเรียนหัวกะทิสู่ผู้ประกอบการ

อวี๋เหรินหรง เกิดในปี 1966 ที่หมู่บ้านจงเป่า เมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นบ้านเกิดเดียวกับเจ้าพ่อธุรกิจเดินเรือระดับโลกอย่าง “เป่าอวี้กัง” เขาเติบโตมาในครอบครัวธรรมดาแต่มีพรสวรรค์ด้านการเรียน จนสามารถสอบติดโรงเรียนมัธยมชื่อดังของเมือง และในปี 1985 เขาสอบติดภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของมหาวิทยาลัยชิงหัว พร้อมดีกรีนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดของเมืองหนิงโป

เพื่อนร่วมรุ่นของเขาในชิงหัวเป็นศิษย์เก่าชื่อดังมากมาย เช่น จ้าวเหว่ยกั๋ว ประธานกลุ่ม Tsinghua Unigroup และซูชิงหมิง ผู้ก่อตั้ง GigaDevice รุ่นของเขาจึงได้รับการขนานนามว่า “ยุคทอง” และมีชื่อรุ่นว่า EE85

อวี๋เป็นนักเรียนที่เฉลียวฉลาดและมีหัวทางธุรกิจเป็นอย่างมาก มีเรื่องเล่าที่โด่งดังว่า เขาเคยเล่นไพ่นกกระจอกตลอดคืน แต่ยังสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศในการแข่งขันคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในวันรุ่งขึ้นได้

นอกจากนี้ เขายังเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่เรียน โดยขายแนวข้อสอบจากเขตไห่เตี้ยนในปักกิ่งไปยังต่างถิ่นเพื่อทำกำไร จนกลายเป็นที่รู้จักในหมู่เพื่อนร่วมชั้นว่าเป็น “พ่อค้าข้อสอบ”

ก้าวแรกในวงการธุรกิจ

หลังเรียนจบ เขาเข้าทำงานที่กลุ่ม Inspur ในตำแหน่งวิศวกร แต่เพียงสองปีหลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจลาออกไปทำงานให้กับบริษัท Longyue Electronics ในฮ่องกง เพื่อเป็นผู้จัดการฝ่ายขายในปักกิ่ง งานนี้ทำให้เขาได้เข้าใจอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของจีนอย่างลึกซึ้ง และมองเห็นโอกาสในตลาด

“ตอนนั้นทุกคนคิดว่าผมบ้า แต่ผมรู้ว่าที่จีนไม่ได้ขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ เราขาดนักธุรกิจที่สามารถเปลี่ยนเทคโนโลยีให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายได้” อวี๋กล่าว

ปี 1998 อวี๋เหรินหรง ตัดสินใจออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยก่อตั้งบริษัท HuaQing XingChang Tech ซึ่งกลายเป็นผู้จัดจำหน่ายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง ทำกำไรปีละ 10 ล้านดอลลาร์ (ราว 338 ล้านบาท) แต่เขากลับรู้สึกว่านั่นยังไม่พอ “เป็นพ่อค้าคนกลางก็ได้แค่ซดน้ำซุป ถ้าอยากกินเนื้อ ต้องสร้างสินค้าของตัวเอง”

การสร้างอาณาจักร Weil Semiconductor

ปี 2007 ขณะที่คนอื่นยังมุ่งขายชิ้นส่วน อวี๋เหรินหรง ก้าวไปอีกขั้น โดยก่อตั้ง Weil Semiconductor ในเซี่ยงไฮ้ เน้นพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ประเภท Power Management และ Discrete Devices

ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ต้องใช้เงินทุนและเทคโนโลยีสูง ในช่วงแรกเขาใช้กลยุทธ์ “สองขา” นำกำไรจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายมาลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง วิธีนี้ช่วยให้เขาสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

แต่การเติบโตของบริษัทไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยี อวี๋เหรินหรง ยังใช้กลยุทธ์ “ซื้อกิจการเพื่อขยายธุรกิจ” โดยในปี 2019 เขาทำการเข้าซื้อ OmniVision ซึ่งเป็นผู้ผลิต mage Sensor อันดับสามของโลก นำพา Weil Semiconductor ให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการ

การซื้อกิจการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ OmniVision มีมูลค่าสูงกว่าบริษัทของเขาเองเกือบสองเท่า แต่ด้วยกลยุทธ์ทางการเงินและการบริหาร อวี๋เหรินหรง สามารถปิดดีลได้ และในปีเดียวกัน Weil Semiconductor ก็กลายเป็นผู้นำตลาด Image Sensor ของจีน

ก้าวไปข้างหน้า

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่อวี๋เหรินหรงยังไม่หยุดเดินหน้า เขาให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา โดยเพิ่มงบประมาณ R&D อย่างต่อเนื่อง และมุ่งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีชิปสำหรับยานยนต์และอุตสาหกรรมการแพทย์

นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Weil Semiconductor เพิ่มการลงทุนด้าน R&D อย่างต่อเนื่องทุกปี ระหว่างปี 2017 – 2021 ค่าใช้จ่ายด้าน R&D ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 84.99 ล้านหยวน (ประมาณ 3.965 ร้อยล้านบาท) เป็น 2.11 พันล้านหยวน (ประมาณ 9.84 พันล้านบาท) และครึ่งแรกของปี 2024 งบ R&D เพื่อการออกแบบเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัทฯ อยู่ที่ประมาณ 1.582 พันล้านหยวน (ประมาณ 7.38 พันล้านบาท) คิดเป็น 15.18% ของรายได้จากธุรกิจออกแบบเซมิคอนดักเตอร์

นอกจากนี้ เขายังมีเป้าหมายช่วยพัฒนาการศึกษาในประเทศ โดยในปี 2022 เขาประกาศลงทุน 3 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.38 แสนล้านบาท) สร้างมหาวิทยาลัยวิศวกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกในบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อสนับสนุนนักวิจัยและสร้างบุคลากรที่สามารถช่วยให้จีนก้าวข้ามข้อจำกัดทางเทคโนโลยี

“อุตสาหกรรมชิปไม่มีทางลัด มีเพียงคนที่กล้าเดินเข้าสู่ดินแดนที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อนเท่านั้น ที่จะเป็นผู้กำหนดกติกาได้” นี่คือคำพูดที่สะท้อนตัวตนของอวี๋เหรินหรงได้อย่างชัดเจน

‘นายกรัฐมนตรีฮังการี’ แฉ USAID อยู่เบื้องหลัง ว่าจ้างคนดัง - ดารา สร้างภาพสนับสนุนยูเครน

(3 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีฮังการี แฉ พวกคนดังฮอลลีวูด ที่เดินทางเยือนยูเครน เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนประเทศแห่งนี้ ระหว่างความขัดแย้งกับรัสเซีย ไม่ได้ออกมาจากความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่เพราะว่าพวกเขาได้รับค่าจ้างหลายล้านดอลลาร์ 

วิคเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ TV2 ของฮังการี เมื่อวันเสาร์ที่ 1มี.ค. ที่ผ่านมาว่า การเดินทางเยือนกรุงเคียฟ ของบรรดาดาราดังทั้งหลาย ได้รับค่าจ้างจากสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) กลไกหลักของวอชิงตัน สำหรับให้เงินอุดหนุนโครงการทางการเมืองต่างๆนานาในต่างแดน

"มีคนได้รับเงินจากการแสดงออกของพวกเขา ผมกำลังพูดถึงพวกคนดังและดาราหนังทั้งหลาย พวกเขาได้รับเงินให้เดินทางไปยูเครน ดังนั้นพวกเขาไม่ได้ทำมันจากก้นบึ้งของหัวใจหรือรู้สึกเห็นอกเห็นใจชาวยูเครน จริง ๆ แล้วบางทีพวกเขาอาจรู้สึกเช่นนั้น แต่ก็เพราะพวกเขาได้รับเงิน"

นายกรัฐมนตรี รายนี้กล่าวอ้างว่า เงินค่าจ้างที่มอบแก่เซเลบและดาราดังทั้งหลายนั้น คิดเป็นจำนวนหลายล้านยูโรหรือหลายล้านดอลลาร์ แต่เขาไม่ได้เอ่ยชื่อว่ามีใครบ้าง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา แอนเจลีนา โจลี, ฌอน เพนน์, เบน สติลเลอร์ และ ออร์ลันโด บลูม เป็นหนึ่้งในบรรดาคนดังตะวันตก ที่เดินทางเยือนยูเครน นับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างเคียฟกับมอสโกลุกลามบานปลาย และลากยาวมานานกว่า 3 ปี

ในเดือนกุมภาพันธ์ มีรายงานปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่า โจลี ได้รับเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับทริปเดินทางไปยังเมืองลวิว ในเดือนเมษายน 2022 ส่วน เพนน์, สติลเลอร์ และ บลูม ได้รับเช็ค 5 ล้านดอลลาร์, 4 ล้านดอลลาร์ และ 8 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ จาก USAID

ย้อนกลับไปในตอนนั้น สติลเลอร์ ปฏิเสธคำกล่าวหา อ้างว่าเป็นคำโกหกจากสื่อมวลชนรัสเซีย นักแสดงรายนี้โพสต์ยืนยันบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ บอกว่าเขาเดินทางไปยังเคียฟด้วยเงินทุนของตนเอง ส่วนทนายความของ เพนน์ ระบุเช่นกันว่ารายงานข่าวที่อ้างว่าลูกความของเขาได้รับค่าจ้างจาก USAID ให้พบปะกับ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน นั้น "ไม่ถูกต้องโดยสิ้นเชิง ชี้นำผิดๆและขาดการไตร่ตรอง"

ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทำการกวาดล้าง USAID กล่าวหาหน่วยงานแห่งนี้ว่ามีการคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางและไร้ประสิทธิภาพ เขาสั่งการให้ระงับเงินทุนที่ป้อนแก่ USAID เป็นเวลา 90 วัน และถ่ายโอนการกำกับดูแลโครงการต่างๆของหน่วยงานแห่งนี้ ให้ไปอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง

ระหว่างการให้สัมภาษณ์ ทาง ออร์บาน ระบุว่ากิจกรรมต่าง ๆ ของ USAID ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อาจเป็น "การคอร์รัปชันที่อื้อฉาวครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์โลกตะวันตก"

"ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เงินหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกโอนย้ายจากงบประมาณสหรัฐฯเข้าสู่กองทุนต่างๆและรูปแบบการสนับสนุนต่างๆนานา และจากนั้นก็ถูกจัดสรรไปทั่วโลก มอบให้คนที่มีความคิด จิตวิญญาณ โครงการและผลประโยชน์อย่างเจาะจง ตรงตามความต้องการของอเมริกา และพวกเขาได้รับเงินสำหรับสิ่งนั้น"

ทรัมป์ เผยชื่อ 5 สกุลเงินดิจิทัล เพิ่มลงคลังสำรองคริปโต สหรัฐฯ

(3 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศรายชื่อ 5 สกุลเงินดิจิทัลที่จะถูกเพิ่มลงในกองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ด้านสกุลเงินดิจิทัล สหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย บิตคอยน์ (BTC), อีเธอเรียม (ETH), XRP, Solana (SOL) และ ADA ของคาร์ดาโน

หลังการประกาศของทรัมป์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ในวันเดียวกันเมื่อช่วงบ่าย ราคาบิตคอยน์ ซึ่งเป็นเหรียญคริปโตที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลกพุ่งขึ้นกว่า 11% มาอยู่ที่ 94,164 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่อีเธอเรียมก็ราคาพุ่ง 13% มาอยู่ที่ 2,516 ดอลลาร์สหรัฐ

CoinGecko บริษัทรวบรวมข้อมูลสกุลเงินคริปโตอิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผยหลังทรัมป์ประกาศดังกล่าวภายในไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 10% หรือกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้าน เฟเดริโก โบรเคต หัวหน้าฝ่ายธุรกิจในสหรัฐฯ ของ 21Shares ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ระบุว่า “ความเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของทรัมป์ เป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจะเข้ามามีบทบาทเชิงรุกในเศรษฐกิจคริปโต”

ทั้งนี้ ในวันที่ 7 มี.ค. 68 ทรัมป์เตรียมเป็นเจ้าภาพจัด การประชุมสุดยอดคริปโทครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี สหรัฐฯ โดยมีผู้เข้าร่วมเป็น ผู้ก่อตั้ง, CEO และนักลงทุนในอุตสาหกรรมคริปโต รวมถึงสมาชิกจากคณะทำงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของประธานาธิบดี 

‘จัสติน ทรูโด’ เตรียมเข้าเฝัาฯ คิงชาร์ลส์ ขอให้ช่วย หลัง ‘ทรุมป์’ หลุดปากบ่อยครั้งอยากฮุบ ‘แคนาดา’ เป็นรัฐที่ 51

(3 มี.ค. 68) จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาในวันอาทิตย์(2มี.ค.) ว่าเขาเตรียมเข้าเฝ้าฯกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร พูดคุยเกี่ยวกับการปกป้องอธิปไตยของแคนาดา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ส่งเสียงเรียกร้องซ้ำๆให้เข้ามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา

คำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของทรัมป์ โหมกระพือเสียงโวยวายในแคนาดา โดยพวกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธอย่างหนักแน่น เกี่ยวกับการพูดคุยใดๆกรณีที่พวกเขาจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ

ครั้งที่เข้าเฝ้าฯเกษัตริย์ชาร์ลส์ ซึ่งทรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐของแคนาดา ในวันจันทร์(3มี.ค.) ทรูโดเผยว่าเขาหวัง "หารือในประเด็นต่างๆที่มีความสำคัญกับแคนาดาและชาวแคนาดา"

"และผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า เวลานี้ไม่มีอะไรสำคัญกับชาวแคนาดามากไปกว่าการยืนหยัดเพื่ออธิปไตยของเราและเอกราชของเรา ในฐานะประเทศหนึ่งๆ" นายกรัฐมนตรีแคนาดาระบุ ระหว่างอยู่ในลอนดอน เพื่อร่วมประชุมซัมมิตเกี่ยวกับยูเครน

ทรัมป์ ยึดติดอยู่กับอธิปไตยของแคนาดาโดยเฉพาะ นับตั้งแต่ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน กลับมาดำรงตำแหร่งประธานาธิงบดีสหรัฐฯอีกสมัย

ผู้สำสหรัฐฯพาดพิงแคนาดาบ่อยครั้งในฐานะ "รัฐที่ 51" และดูหมิ่น ทรูโด ด้วยการเรียกเขาว่าเป็น "ผู้ว่าการรัฐ" แทนที่จะเป็น "นายกรัฐมนตรี"

ทั้งนี้ ทรัมป์ ออกคำสั่งรีดภาษีบรรดาคู่ค้าหลีกของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันอังคาร(4มี.ค.) แต่บอกว่าแคนาดาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกรีดภาษีได้ หากกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา

เมื่อเดือนที่แล้ว ทรูโด เตือนว่าการพูดจาอย่างไม่หยุดหย่อนของทรัมป์ เกี่ยวกับการดูดกลืนแคนาดา เพื่อเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาตินั้น "เป็นของจริง" 

ชาวแคนาดาบางส่วน ส่งเสียงแสดงความสงสัยว่าทำไมกษัตริย์ชาร์ลส์ถึงไม่ออกมาตรัสอะไรบ้าง เกี่ยวกับการปกป้องแคนาดา อย่างไรก็ตามตามธรรมเนียมประเพณีแล้ว กษัตริย์มีหน้าที่ได้แค่เพียงให้คำแนะนำนายกรัฐมนตรี ในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชาติในเครือจักรภพ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เชิญ ทรัมป์ เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรแบบรัฐพิธีเป็นครั้งที่ 2 อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งอาจเป็นการเปิดโอกาสให้กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงหยิบยกประเด็นอธิปไตยของแคนาดาพูดคุยกับทรัมป์ 

ณ ที่ประชุมซัมมิตด้านความมั่นคงของยูเครน ในลอนดอน เมื่อวันอาทิตย์(2มี.ค.) ทรูโด เน้นย้ำว่า แคนาดา ยังคงให้การสนับสนุนยูเครน อย่างหนักแน่นและไม่เปลี่ยนแปลง และได้แถลงมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่เล่นงานรัสเซีย

รัสเซียบอกลาฤดูหนาว จัดงาน ‘เทศกาลแพนเค้ก’ พร้อมเดินหน้าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 1-2 มีนาคม 2025 ที่ผ่านมา ชาวรัสเซียในเมืองเซนต์ปีเตอส์เบิร์กและมอสโก ได้ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลมาสเลนนิตซา (Maslenitsa) หรือเทศกาลแพนเค้ก เพื่อบอกลาฤดูหนาวที่หนาวเย็นและต้อนรับการกลับมาของฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา 

สำหรับเทศกาลดังกล่าวจัดขึ้นทุกปีในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงต้นเดือนมีนาคม และเป็นวันหยุดตามประเพณีของประเทศรัสเซีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเพณีสำคัญ มีรากฐานจากความเชื่อดั้งเดิมในศาสนาคริสต์ออร์โธด็อกซ์ 

โดยภายในงานจะมีการแสดงศิลปะพื้นบ้าน การละเล่นประเพณี รวมกิจกรรมสนุกสนานมากมาย เช่น การแข่งขันเกมพื้นบ้าน การแสดงของศิลปินในชุดพื้นเมือง และบางพื้นที่มีการจุดไฟกองไฟขนาดใหญ่ พร้อมด้วยการรับประทานแพนเค้ก (Blini) อาหารที่เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ สื่อถึงความอบอุ่นและการเริ่มต้นใหม่

ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์ mushroomtravel ระบุว่า ฤดูใบไม้ผลิของรัสเซียจะเริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม – พฤษภาคม โดยในช่วงนี้อากาศจะเย็นสบาย ไม่หนาวจัดเหมือนในฤดูหนาวที่เพิ่งผ่านมา อุณหภูมิประมาณ 5 – 15 องศาเซลเซียส 

ตรงกันข้ามกับฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิประมาณ -10 องศาในเดือนธันวาคม อีกทั้งมีหิมะตกหนักในช่วงกลางเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนเดือนที่หนาวที่สุดคือเดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ย -15 ถึง -30 องศาเซลเซียส 

ร้านกาแฟแคนาดา ขึ้นป้ายเมนู Canadiano แทน Americano หลังไม่พอใจถูกคุกคามอธิปไตยไม่หยุด แถมร้องถอนสัญชาติ ‘อีลอน มัสก์’

(3 มี.ค. 68) ภัทร จินตนะกุล บรรณาธิการข่าวต่างประเทศ TNN 16 โพสต์คลิปในช่อง Tiktok ปุ้ย จินตะ ถึงกระแสคนแคนาดา ออกมาต่อต้าน ประธานาธิบดี โดนัลป์ ทรัมป์ ที่ต้องการฮุบแคนาดา เข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ อเมริกา โดยระบุว่า ขณะนี้เกิดกระแสการต่อต้านสหรัฐอเมริกา เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟในแคนาดาหลาย ๆ ร้าน  เริ่มทยอยเปลี่ยนชื่อเมนู Americano เป็น Canadiano เนื่องจากไม่พอใจที่ ประธานาธิบดี ทรัมป์ คุกคามอธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง

ขณะเดียวกัน ชาวแคนาดา กว่า 2 แสนคน ได้ร่วมลงชื่อเพื่อเรียกร้องให้ จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ถอนสัญชาติแคนาดาของนาย อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก โทษฐานกระทำการต่อต้านผลประโยชน์ของและมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรกับแคนาดา

สำหรับ อีลอน มัสก์ ได้สัญชาติแคนาดา เนื่องจากมารดาของเขาเป็นชาวแคนาดา นอกจากนี้ เขายังถือสัญชาติอเมริกัน และแอฟริกาใต้อีกด้วย

ทีมบินผาดโผน ‘ปาอี้’ เตรียมแสดงโชว์ในไทย ขนเครื่องบินขับไล่ J-10 จำนวน 7 ลำ เยือนไทยในรอบ 10 ปี

(4 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ทีมบินผาดโผน ‘ปาอี้’ (Bayi Aerobatic Team) ของกองทัพอากาศปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA Air Force) ได้เดินทางถึงประเทศไทยแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อทำการแสดงโชว์ในงานครบรอบ 50 ปี สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย

การแสดงโชว์ครั้งนี้ประกอบด้วย ภารกิจบินแสดงโชว์เครื่องบินขับไล่ J-10 จำนวน 7 ลำ ซึ่งนับเป็นการกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งในรอบ 10 ปี และเป็นการแสดงบินในต่างประเทศครั้งที่ 12 ของทีมปาอี้ ซึ่งก่อตั้งมายาวนานกว่า 60 ปี

ฝูงบินดังกล่าวสามารถเดินทางจากจีนสู่กรุงเทพฯ ได้โดยไม่หยุดพัก เป็นระยะทางกว่า 3,600 กิโลเมตร เนื่องจากได้รับการสนับสนุนการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศจากเครื่องบินเติมน้ำมันรุ่น YU-20 ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง

ทั้งนี้ หนึ่งในสมาชิกของทีมบินผาดโผนปาอี้ เปิดเผยว่า พวกเขาได้ทำการสำรวจสนามบินในไทยล่วงหน้า ปรับแผนการบินให้เหมาะสมกับพื้นที่ และฝึกซ้อมตามสภาพแวดล้อมจริง เพื่อให้การแสดงออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

‘ทรัมป์’ สั่งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่ม จาก 10% เป็น 20% อ้างจีนไม่แก้ปัญหาเรื่องลักลอบขนยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ

(4 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามคำสั่งเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่ม 2 เท่า จาก 10 % เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ เป็น  20 % ซึ่งจะมีผลในวันที่ 4 มีนาคม 2568 (ตามเวลาท้องถิ่น) 

การเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มในครั้งนี้ เนื่องจากจีนล้มเหลวในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการหลั่งไหลของเฟนทานิล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นยาเสพติดเข้าประเทศสหรัฐฯ

โดยทาง กระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้ออกมาตอบโต้เช่นเดียวกัน โดยมีการระบุว่า “ไร้ซึ่งเหตุผล และเป็นการสร้างความเสียหายต่อผู้อื่น”

เมื่อวันจันทร์ (3 มี.ค.) Global Times รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่า จีนกำลังศึกษาและกำหนดมาตรการตอบโต้ โดยมีแนวโน้มขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ

ด้านนักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวว่า ทางปักกิ่งยังคงหวังที่จะเจรจาสงบศึกกับรัฐบาลทรัมป์ แต่เนื่องจากไม่มีสัญญาณของการเจรจาการค้าใดๆ โอกาสที่ทั้งสองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจจะปรองดองกันก็เริ่มริบหรี่ลง 

“สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่การตัดสินใจของทรัมป์ในการเรียกเก็บภาษีในขณะนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด” หวัง ตง ผู้อำนวยการบริหารสถาบันความร่วมมือและความเข้าใจระดับโลกแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง กล่าว

ทั้งนี้ สื่อของรัฐบาลจีน รายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ประชุมกันในวันเดียวกัน และให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงกระแทกจากภายนอกต่อเศรษฐกิจจีน

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ส่ายหัวนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์ ชี้สุดท้ายแล้วผู้บริโภคต่างหากที่เป็นผู้แบกรับภาษีเหล่านี้

(4 มี.ค. 68) สำนักข่าวเอ็นบีซี รายงานว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) หนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ให้สัมภาษณ์กับ CBS News เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยระบุถึงกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ใช้มาตรการเก็บภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือต่อรองกับหลายประเทศ

บัฟเฟตต์ ในวัย 94 ปี ระบุว่า “จริงๆ แล้วภาษีศุลกากรนั้น เรามีประสบการณ์กับเรื่องนี้มามากมาย มันเป็นการกระทำที่เปรียบดั่งสงครามในระดับหนึ่ง, เมื่อเวลาผ่านไป ภาษีเหล่านั้นก็คือภาษีสินค้านั่นแหละ ในที่สุดแล้วผู้บริโภคต่างหากที่เป็นผู้แบกรับภาระภาษีนำเข้าเหล่านี้ ไม่ใช่เทวดานางฟ้าที่ไหน”

เอ็นบีซี รายงานอีกว่า นี่นับเป็นครั้งแรกที่ บัฟเฟตต์ ออกมาแสดงความเห็นต่อสาธารณะเกี่ยวกับนโยบายการค้าของทรัมป์ ซึ่งล่าสุดมีการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และเพิ่มภาษีอีก 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค.นี้

ทั้งนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เชื่อว่าการเก็บภาษีจาก บริษัท ขนาดใหญ่และบุคคลที่ร่ำรวยจะลดภาระภาษีที่ชาวอเมริกันที่ต้องเผชิญ รวมถึงการปรับสมดุลระบบภาษีจะช่วยให้สหรัฐฯจัดการการขาดดุลทางการเงินที่เพิ่มขึ้นและให้เงินทุนเพียงพอสำหรับการบริการสาธารณะและโครงสร้างพื้นฐาน

จีน เปิดฉากประชุมสองสภา จับตานโยบายเศรษฐกิจ และการต่างประเทศ

ปักกิ่ง, 4 มี.ค. (ซินหัว) -- 'การประชุมสองสภา' ซึ่งเป็นการประชุมทางการเมืองระดับชาติที่สำคัญของจีนที่จะกำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ มีกำหนดเริ่มจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งสัปดาห์นี้ ท่ามกลางฉากหลังของสภาพแวดล้อมอันสลับซับซ้อนและท้าทายในจีนและทั่วโลก

การประชุมประจำปีของคณะกรรมการแห่งชาติประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน (CPPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูงสุดของจีน เริ่มขึ้นในวันอังคาร (4 มี.ค.) ส่วนการประชุมของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (NPC) ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติระดับสูงสุด จะเริ่มขึ้นในวันพุธ (5 มี.ค.)

นายกรัฐมนตรีของจีน สมาชิกสภานิติบัญญัติระดับสูง ที่ปรึกษาทางการเมืองระดับสูง รวมถึงหัวหน้าศาลประชาชนสูงสุดและอัยการประชาชนสูงสุดจะนำเสนอรายงานการปฏิบัติงาน โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติจะทบทวนงบประมาณประจำปีและแผนการพัฒนาของรัฐบาล พร้อมพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายว่าด้วยสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติและสภาผู้แทนประชาชนท้องถิ่น

เป้าหมายการเติบโตสำหรับปี 2025

ปกติแล้วเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนที่กำหนดไว้ในรายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาลถือเป็นหนึ่งในตัวเลขที่ถูกจับตามองมากที่สุด โดยจีดีพีไม่ใช่เพียงตัวชี้วัดเศรษฐกิจ แต่ยังถือเป็นตัวบ่งชี้สำคัญขณะที่เศรษฐกิจของจีนกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง

เมื่อปี 2024 จีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตราวร้อยละ 5 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากชุดมาตรการมหภาคที่สำคัญที่มีการบังคับใช้เพื่อชดเชยแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจขาลง

นโยบายการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป

จีนจะออกนโยบายแบบเจาะจงเป้าหมายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและบรรลุเป้าหมายการเติบโต ซึ่งคาดว่ารายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาลจะประกาศมาตรการนโยบายเพื่อรับรองการบรรลุเป้าหมาย

จีนได้ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจมหภาคไปแล้ว โดยในการประชุมงานด้านเศรษฐกิจส่วนกลางประจำปีเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คณะผู้กำหนดนโยบายได้ให้คำมั่นว่าจะออกนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเชิงรุกมากขึ้นในปี 2025 และตัดสินใจดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในระดับปานกลาง ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายการเงินแบบระมัดระวังในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา

การหารือระหว่างผู้นำ สมาชิกสภานิติบัญญัติ และที่ปรึกษา

ระหว่างการประชุมสองสภา กลุ่มผู้นำจีน ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ จะหารือกับสมาชิกสภาฯ คนอื่นๆ ในการปรึกษาหารือเป็นกลุ่ม และหารือกับคณะที่ปรึกษาทางการเมืองเกี่ยวกับประเด็นร้อนที่มีความสำคัญที่สุดต่อการกำกับดูแลของรัฐ

การปรึกษาหารือเหล่านี้เปรียบเสมือนหน้าต่างสังเกตการณ์ว่าผู้นำส่วนกลางรับทราบสถานการณ์จริงในระดับรากหญ้าอย่างไร สิ่งนี้คือลักษณะเฉพาะของประชาธิปไตยของจีน หรือที่มักเรียกขานในวาทกรรมร่วมสมัยว่าประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งกระบวนการ

นโยบายการต่างประเทศ

การประชุมสองสภายังช่วยไขกระจ่างเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศของจีน เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมักแถลงข่าวนอกรอบการประชุม

เมื่อปีที่แล้ว หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ตอบคำถาม 21 ข้อระหว่างการแถลงข่าวนาน 90 นาทีที่มีผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกเข้าร่วม ซึ่งหวังได้กล่าวถึงประเด็นร้อนระดับภูมิภาคและนานาชาติ เช่น วิกฤตยูเครนและความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล รวมถึงนโยบายต่างประเทศของจีนที่มีต่อรัสเซีย สหรัฐฯ ยุโรป และกลุ่มประเทศโลกใต้

สำหรับการประชุมประจำปีนี้ ข้อเสนอของจีนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะยิ่งน่าจับตาเป็นพิเศษในบริบทของภูมิทัศน์ระดับโลกที่ปั่นป่วนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เอไอ นวัตกรรม

นวัตกรรมทางเทคโนโลยีจะเป็นอีกประเด็นสำคัญในการประชุมสองสภาของปีนี้ โดยอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีแนวโน้มได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

ช่วงเดือนที่ผ่านมา ดีปซีก (DeepSeek) สตาร์ตอัปเทคโนโลยีของจีน ได้สร้างความตกตะลึงให้กับอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์และตลาดทุนทั่วโลก ด้วยการเปิดตัวแชทบอตแบบโอเพ่นซอร์สยอดนิยม

บริษัทจีนแห่งอื่นๆ เช่น เทนเซ็นต์ (Tencent) ไป่ตู้ (Baidu) และบีวายดี (BYD) ได้เริ่มนำดีปซีกมาใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนแล้ว ขณะหน่วยงานท้องถิ่นบางส่วนได้ประกาศความร่วมมือกับโมเดลเอไอดีปซีกเพื่อยกระดับบริการสาธารณะ หรือจัดการฝึกอบรมเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่และมืออาชีพทางธุรกิจเข้าใจการพัฒนาและการใช้งานดีปซีกและเทคโนโลยีเอไออื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การประชุมสองสภายังเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายและที่ปรึกษาทางการเมืองในการเสนอแนะและส่งเสริมฉันทามติในวงกว้างเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ ซึ่งเจ้าหน้าที่บางส่วนเป็นผู้บริหารองค์กรและนักวิจัยชั้นนำ ดังนั้นข้อเสนอแนะที่พวกเขาจะนำเสนอในด้านเอไอจึงจะเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่น่าจับตา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top