Saturday, 10 May 2025
World

โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงประเด็นให้การสนับสนุนยูเครนเพื่อสู้ศึกรัสเซีย

เมื่อวันที่ (3 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขายังคงต้องการบรรลุข้อตกลงกับยูเครนในการสนับสนุนสู้ศึกรัสเซียแต่ต้องเป็นภายใต้เงื่อนไขที่ยูเครน ต้องอนุมัติการเข้าถึงแร่หายาก  (Rare Earth) ภายในประเทศ

ขณะผู้คุยกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ ทรัมป์กล่าวว่า ที่ผ่านมาสหรัฐส่งความช่วยเหลือยู่เครนทางด้านการททหารและเศรษฐกิจมากกว่าประเทศพันธมิตรใดๆ ในยุโรป พร้อมเสริมว่า “เรากำลังมองหาข้อตกลงที่ยูเครนจะจัดหาแร่ธาตุหายากและทรัพยากรอื่น ๆ ให้แก่เรา”  

เขายังเผยว่า ทางการยูเครนแสดงความพร้อมที่จะทำข้อตกลงเพื่อให้สหรัฐฯ สามารถเข้าถึงแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง  

“ผมต้องการให้แน่ใจว่าเรามีแร่ธาตุหายากอย่างเพียงพอ เรามีงบประมาณหลายแสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ยูเครนมีทรัพยากรเหล่านี้ในปริมาณมาก และพวกเขายินดีที่จะร่วมมือกับเรา” ทรัมป์กล่าว  

แม้ก่อนหน้านี้เขาเคยให้คำมั่นว่าจะเร่งยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ทรัมป์ระบุว่าการเจรจากำลังดำเนินไป โดยกล่าวว่า “เรามีความคืบหน้าอย่างมากในเรื่องรัสเซียและยูเครน รอดูกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะยุติสงครามที่ไร้เหตุผลนี้ให้ได้”  

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ย้ำเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ว่า การเจรจาใด ๆ ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียที่ไม่มียูเครนอยู่ในวงหารือถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้  

“พวกเขาอาจมีความสัมพันธ์ในแบบของตนเอง แต่หากจะพูดถึงยูเครนโดยไม่มีเรา นั่นเป็นอันตรายสำหรับทุกฝ่าย” เซเลนสกีกล่าว  

ทั้งนี้ เขาระบุว่าทีมงานของเขาได้มีการติดต่อกับรัฐบาลทรัมป์แล้ว แต่เป็นเพียงการหารือในระดับเบื้องต้น และคาดว่าจะมีการพบปะกันโดยตรงในเร็ว ๆ นี้เพื่อกำหนดรายละเอียดของข้อตกลงต่อไป

ทรัมป์เปิดฉากขึ้นภาษีสินค้าจีน 10% ปักกิ่งเอาคืนหนักเก็บ 15% พร้อมคุมส่งออกแร่หายาก

(4 ก.พ. 68) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมาปะทุอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีกับสินค้าสหรัฐฯ และจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

โดยมาตรการภาษีใหม่ของทรัมป์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ของวันที่ 4 ก.พ.โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่าจีนไม่จริงจังในการสกัดกั้นการนำเข้าเฟนทานิล ซึ่งเป็นตั้งต้นสารเสพติดที่สร้างปัญหาในสหรัฐฯ อย่างหนัก โดยทรัมป์ประกาศขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีน

ส่งผลให้ภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที กระทรวงการคลังของจีนประกาศมาตรการตอบโต้ โดยเรียกเก็บภาษี 15% สำหรับถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ รวมถึงภาษี 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรทางการเกษตร และรถยนต์บางประเภท โดยมาตรการนี้จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์

นอกจากการขึ้นภาษีสินค้าแล้ว จีนยังเปิดฉากโจมตีบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยเริ่มสอบสวนการผูกขาดของ Alphabet Inc. บริษัทแม่ของ Google พร้อมทั้งเพิ่มบริษัท PVH Corp. ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นชื่อดังอย่าง Calvin Klein และ Illumina บริษัทไบโอเทคของสหรัฐฯ เข้าใน "บัญชีหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ"

ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์และกรมศุลกากรของจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากสำคัญ เช่น ทังสเตน เทลลูเรียม รูทีเนียม และโมลิบดีนัม อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงานสะอาดทั่วโลก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่

สงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนการขึ้นภาษีกับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกออกไปอีก 30 วันเพื่อแลกกับมาตรการคุมเข้มชายแดนของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังเตือนว่าอาจเพิ่มภาษีจีนอีกหากจีนไม่หยุดการส่งออกเฟนทานิลมายังสหรัฐฯ

จีนปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ และเตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเปิดโอกาสให้มีการเจรจา

การปะทะกันทางเศรษฐกิจครั้งนี้สร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินทันที โดยตลาดหุ้นฮ่องกงร่วงลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินหยวนของจีนอ่อนค่าลง กดดันค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียให้ลดลงตามไปด้วย

นักวิเคราะห์จาก Oxford Economics เตือนว่าการตอบโต้ครั้งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในรอบใหท่ และสหรัฐฯ อาจเพิ่มอัตราภาษีต่อจีนอีกหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในเร็ว ๆ นี้

สหรัฐฯ เตือนข้าราชการแข็งข้อ 'อีลอน มัสก์' ผิดกฎหมาย ทำเนียบขาวชี้เป็นตำแหน่ง'ลูกจ้างพิเศษ' ไร้เงินเดือน

(4 ก.พ. 68) อัยการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้เอฟบีไอกำลังสอบสวนแบบกำหนดเป้าหมาย ของเจ้าหน้าที่รัฐส่วนหนึ่งที่มีความพยายามในการขัดขวางการทำงาของนายอีลอน มัสก์ ฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าหน่วยงานลดขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) 

สำหรับ DOGE ถูกตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง และลดการใช้จ่ายของรัฐบาลหลายพันล้านดอลลาร์ แต่ผู้วิจารณ์กล่าวว่า DOGE ถูกใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายหน่วยงานและโครงการของรัฐบาลที่มองว่าไม่สอดคล้องกับวาระ "อเมริกาต้องมาก่อน" ของทรัมป์

มีรายงานว่านับตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งสมัยสองพร้อมกับการตั้งให้อีลอน มัสก์ ทำงานในฐานะกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ DOGE  พบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐหลายส่วนพยายามขัดขวางการทำงานของผู้ช่วยของมัสก์ ในการเข้าถึงข้อมูลลับจำนวนมากโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเหมาะสม

นายเอ็ดเวิร์ด มาร์ติน รักษาการอัยการสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นหลักฐานแรกที่แสดงให้เห็นว่า การต่อต้านความพยายามของมัสก์อาจนำไปสู่ผลทางกฎหมาย มาร์ตินกล่าวในแถลงการณ์ว่า "การตรวจสอบเบื้องต้นของหลักฐานที่นำเสนอต่อเรา บ่งชี้ว่าบุคคลและ/หรือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้กระทำการที่ดูเหมือนจะละเมิดกฎหมายในการกำหนดเป้าหมายเจ้าหน้าที่ของ DOGE" มาร์ตินกล่าวว่า เอฟบีไอและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ กำลังเตรียม "ดำเนินการในทันที"

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่มาร์ตินเปิดเผยจดหมายที่เขาเขียนถึงมัสก์ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใดก็ตามที่พยายามคุกคามหรือขัดขวางผู้ที่ทำงานร่วมกับมัสก์ โดยมัสก์โพสต์ข้อความขอบคุณเพื่อตอบกลับข้อความของมาร์ติน

ก่อนหน้านี้รัฐบาลทรัมป์ได้ปลดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูง 2 คน จากสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ USAID ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของมัสก์ หลังจากที่พวกเขาพยายามขัดขวางไม่ให้ตัวแทนของ DOGE เข้าถึงพื้นที่ต้องห้ามของอาคาร จนเกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการสหรัฐฯ  โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังระดับสูงคนหนึ่งได้ต่อต้านความพยายามของทีม DOGE ที่จะเข้าถึงระบบการเงินของหน่วยงาน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ขณะเดียวกันด้านทำเนียบขาว ได้ออกเอกสารยืนยันสถานะการทำงานของนายอีลอน มัสก์ ว่าเขามาช่วยงานประธานาธิบดีทรัมป์ ในฐานะ "ลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล" 

การยืนยันในเรื่องนี้ทำให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นว่า นายอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นซีอีโอพันล้านเจ้าของบริษัทด้านเทคโนโลยีกลายมาเป็นกำลังสำคัญในการทำงานของรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ ไม่ใช่อาสาสมัครแต่อย่างใด แต่เขาก็ไม่ได้มีสถานะเป็นลูกจ้างพนักงานรัฐแบบเต็มเวลา

ทางด้านกระทรวงยุติธรรมระบุคำนิยามของ ลูกจ้างประจำของรัฐบาลคือ บุคคลใดก็ตามที่ทำงานหรือคาดว่าจะทำงานให้กับรัฐบาลเป็นเวลา 130 วันหรือน้อยกว่าในช่วงระยะเวลา 365 วัน ขณะที่นายอีลอน มัสก์ ไม่ได้รับค่าจ้างในการทำงานแต่อย่างใด แต่เขามีใบรับรองความปลอดภัยระดับความลับขั้นสูงสุด นอกจากนี้ยังมีสำนักงานอยู่ที่ทำเนียบขาว และสามารถเข้าถึงระบบการชำระเงินที่สำคัญของกระทรวงการคลัง ซึ่งส่งเงินออกไปในนามของรัฐบาลกลางทั้งหมดได้

ขณะเดียวกัน เนื่องจากเป็นลูกจ้างพิเศษของรัฐบาล เขาจึงได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายของรัฐบาลกลางว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งห้ามพนักงานของรัฐบาลเข้าร่วมในกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางการเงินของตัวเอง กฎหมายดังกล่าวสามารถบังคับใช้ได้ทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง แต่สามารถบังคับใช้ได้โดยกระทรวงยุติธรรมเท่านั้น

จีนลุยยื่น WTO ฟ้องสหรัฐ อ้างไม่เป็นธรรม หลังขึ้นภาษี 10%

(4 ก.พ. 68) กระทรวงพาณิชย์ของจีนรายงานว่าจีนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนกับกลไกแก้ไขข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (WTO) กรณีสหรัฐฯ ตัดสินใจกำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมร้อยละ 10 กับสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ตามกฏหมายของจีน

โฆษกกระทรวงฯ แถลงข่าวว่ากรณีสหรัฐฯ กำหนดการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมจากสินค้าจีนได้ละเมิดกฎเกณฑ์ขององค์การฯ อย่างร้ายแรง โดยการกระทำเช่นนี้ถือเป็นแบบอย่างของลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวและลัทธิกีดกันทางการค้า

การกระทำของสหรัฐฯ บั่นทอนระบบการค้าพหุภาคีที่มีกฎเกณฑ์ บ่อนทำลายรากฐานความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-สหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างยิ่ง

สหรัฐฯ มุ่งเน้นลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวหรือเอกภาคีมากกว่าพหุภาคีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อให้เกิดเสียงตำหนิติเตียนจากสมาชิกองค์การฯ ส่วนใหญ่ ซึ่งจีนคัดค้านการกระทำของสหรัฐฯ และกระตุ้นเตือนฝ่านสหรัฐฯ แก้ไขข้อผิดพลาดโดยทันที

จีนในฐานะผู้สนับสนุนและผู้มีส่วนส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคีพร้อมทำงานร่วมกับสมาชิกองค์การฯ รายอื่นๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายจากลัทธิกระทำเพียงฝ่ายเดียวและลัทธิกีดกันทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อระบบการค้าพหุภาคี และคุ้มครองการพัฒนาอันมีระเบียบและเสถียรภาพของการค้าระหว่างประเทศ

USAID หนุนทุนวิจัยอาวุธชีวภาพ มอบเงิน 307,000 ดอลลาร์ ให้โครงการในยูเครน

(4 ก.พ. 68) หลังจากมีกระแสข่าวที่ว่าอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและคณะทำงานกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล  DOGEมีแผนสั่งยุบองค์กรที่ให้การช่วยเหลือระดับโลกของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ชื่อ USAID นั้น เว็บไซต์ข่าวสปุตนิก รายงานว่า พลโท อิการ์ คิริลอฟ หัวหน้ากองกำลังป้องกันรังสี เคมี และชีวภาพของกองทัพรัสเซีย ผู้ล่วงลับจากเหตุระเบิดในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เคยออกมาแฉถึงเบื้องหลังของ USAID ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องให้การสนับสนุนวิจัยอาวุธชีวภาพในยูเครน

ก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ ได้เรียก USAID ว่าเป็น องค์กรอาชญากร และกล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องจบแล้ว พร้อมกล่าวหาว่าภาษีของสหรัฐฯ ถูกโอนผ่านองค์กรนี้เพื่อใช้ในการวิจัยอาวุธชีวภาพ ซึ่งสะท้อนถึงคำกล่าวอ้างของพลโท อิกอร์ คิริลอฟ อดีตหัวหน้ากองกำลังป้องกันเคมี ชีวภาพ และนิวเคลียร์ของรัสเซีย โดยเอกสารที่ได้รับจากการปฏิบัติการพิเศษทางทหารของรัสเซียระบุว่า

Metabiota บริษัทผู้รับเหมาในสังกัดกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้รับสัญญาสำหรับการ 'วิจัยและพัฒนาในวิทยาศาสตร์ทางกายภาพ วิศวกรรมศาสตร์ และชีววิทยา' และ 'ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและความร่วมมือ' โดยในเดือนกันยายน 2014 Metabiota ได้รับเงิน 307,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับ "โครงการวิจัยในยูเครน" และในปีงบประมาณ 2014 Metabiota ได้รับการประมูลจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และหน่วยงานย่อยอย่าง Defense Threat Reduction Agency (DTRA)

การสืบสวนของกระทรวงกลาโหมรัสเซียในปี 2022 เปิดเผยว่า DTRA เป็นหน่วยงานหลักของสหรัฐฯ ในการสร้างห้องแล็บชีวภาพในยูเครน โดย Metabiota ยังอยู่ในรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

นอกจากนั้นนายพลคิริลอฟ เคยระบุในรายงานอีกว่า ตั้งงแต่ปี 2019 USAID และผู้รับเหมาหลักคือ Labyrinth Ukraine ได้มีส่วนร่วมในโครงการชีววิทยาของกองทัพสหรัฐฯ โดย Labyrinth Ukraine เป็นสาขาหนึ่งของ Labyrinth Global Health ซึ่งผู้ก่อตั้งของ Labyrinth Global Health เคยทำงานกับ Metabiota ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักของกองทัพสหรัฐฯ ในด้านอาวุธชีวภาพ

Labyrinth Ukraine มีส่วนร่วมในโครงการ UP-9 และ UP-10 ของสหรัฐฯ ซึ่งศึกษาการระบาดของไข้สุกรแอฟริกันในยูเครนและยุโรปตะวันออก

ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022, มีการกล่าวหาว่าเชื้อโรคของโรคระบาด เช่น โรคกาฬโรค, โรคแอนแทรกซ์, โรคทูลาเรเมีย, โรคอหิวาต์ และโรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ ถูกทำลายเพื่อปกปิดการละเมิดอนุสัญญาอาวุธชีวภาพและพิษ (BTWC) โดยสหรัฐฯ และยูเครน

จดหมายจากหัวหน้ากองระบาดวิทยาของยูเครนถึง Labyrinth Ukraine ได้ยืนยันถึงความร่วมมือกับ USAID ในการฉีดวัคซีนให้กับทหารและการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับสหรัฐฯ

นอกจากนี้ยังมีโครงการวิจัยอื่นๆ ที่อยู่ภายใต้แผนลดภัยคุกคามชีวภาพของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ อาทิ การวิจันเชื้อไวรัสโคโรนาและฝีดาษลิง  นอกจากนี้ยังพบหลักฐานว่าในปี 2009 โครงการ PREDICT ของ USAID  เคยนำเชื้อไวรัสโคโรนาชนิดใหม่มาวิจัย แต่หน่วยวิจัยดังกล่าวถูกปิดลงกะทันหันในปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด ซึ่งกลายเป็นจุดสังเกตที่นายพลรัฐบาลตั้งข้อสงสัย

ลือดีลควบรวมนิสสัน-ฮอนด้า คว้าน้ำเหลว หลังค่ายนิสสันไม่ยอมรับเป็นบริษัทลูก

(5 ก.พ.68) สื่อญี่ปุ่นรายงานตรงกันว่า การเจรจาควบรวมกิจการระหว่าง ฮอนด้า และ นิสสัน กำลังเผชิญอุปสรรคสำคัญ หลังนิสสันแสดงจุดยืนคัดค้านข้อเสนอของฮอนด้าอย่างหนัก

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ฮอนด้าได้ยื่นข้อเสนอซื้อหุ้นของนิสสันเพื่อให้กลายเป็นบริษัทย่อย ภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทว่าฝ่ายนิสสันปฏิเสธ เนื่องจากไม่ต้องการสูญเสียอำนาจบริหาร ส่งผลให้แนวโน้มการควบรวมอาจต้องยุติลง โดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ผู้บริหารของนิสสันระบุว่า "เงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับได้แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้การควบรวมดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยาก"

ก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคม 2023 ฮอนด้าและนิสสันประกาศแผนจัดตั้ง บริษัทโฮลดิ้งร่วม ภายในเดือนสิงหาคม 2026 พร้อมถอดหุ้นของทั้งสองบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม แผนปรับโครงสร้างของนิสสันที่ล่าช้าสร้างความไม่พอใจให้กับฮอนด้า จึงเป็นเหตุให้บริษัทเปลี่ยนแนวทางจากการร่วมมือ มาเป็นการเข้าซื้อหุ้นนิสสันแทน เพื่อให้สามารถควบคุมการบริหารและเร่งเดินหน้าแผนปรับโครงสร้าง

ขณะนี้ นิสสันยังคงประชุมภายในอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีแนวโน้มสูงว่าจะไม่ยอมรับเงื่อนไขการเป็นบริษัทย่อย ขณะที่ฝั่งฮอนด้าก็ส่งสัญญาณว่า หากนิสสันปฏิเสธ ข้อตกลงนี้อาจต้องยุติลงในที่สุด

ท่าขี้เหล็กหันพึ่งไฟฟ้า สปป.ลาว เผยเตรียมต่อสายไฟไว้แล้ว

(5 ก.พ.68) เพจ Tachileik News Agency สื่อท้องถิ่นเมียนมารายงานว่า  หลังจากรัฐบาลไทยประกาศเตรียมตัดไฟที่ส่งไปยังเมืองท่าขี้เหล็กและเมียวดี ทางแผนกพลังงานไฟฟ้าของเมืองท่าขี้เหล็กได้เตรียมแผนสำรอง โดยจะใช้ไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ทดแทนในพื้นที่ดังกล่าว

เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับระบบไฟฟ้าของเมืองท่าขี้เหล็กระบุว่า ทางคณะกรรมการได้วางแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินล่วงหน้าแล้ว โดยได้ดำเนินการสร้างสายส่งไฟฟ้าใหม่เพื่อให้สามารถรับไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ได้ทันทีหากไฟฟ้าจากไทยถูกตัดขาด

รัฐบาลไทยตัดสินใจระงับการจ่ายไฟฟ้าไปยังฝั่งเมียนมา รวมถึงเมืองท่าขี้เหล็กและเมียวดี โดยให้เหตุผลว่ามาตรการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการดำเนินการปราบปรามการฟอกเงินของกลุ่มอาชญากรรมชาวจีนในพื้นที่ชายแดน การตัดไฟดังกล่าวมีผลตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025

นอกจากนี้ ทางการไทยยังมีคำสั่งระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตและการขนส่งเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่ชายแดนเมียนมาด้วย ซึ่งเป็นมาตรการที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่

ผลจากการตัดไฟฟ้าของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเมืองท่าขี้เหล็ก เมืองต่าแล และเมืองขอบเขต ซึ่งเดิมพึ่งพาไฟฟ้าจากไทย แม้ว่าเมืองท่าขี้เหล็กจะสามารถใช้ไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ได้ แต่ปัญหาการขนส่งเชื้อเพลิงที่ถูกระงับอาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการดำเนินชีวิตของประชาชนในระยะยาว

ในขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้ประกอบการในพื้นที่จะสามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร แต่คาดว่าการพึ่งพาพลังงานจาก สปป.ลาว จะเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

โสมใต้เผยคิมสั่งถอนทหารพ้นแนวหน้ายูเครน หลังสูญเสียหนัก ดับ-เจ็บนับพัน

(5 ก.พ. 68) หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ทหารเกาหลีเหนือได้ถอนตัวออกจากแนวหน้าการสู้รบในภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซียเรียบร้อยแล้ว หลังจากปฏิบัติภารกิจสนับสนุนกองทัพรัสเซียเพื่อสู้ศึกยูเครนมาหลายเดือน

สำนักข่าวกรองแห่งชาติเกาหลีใต้ (NIS) รายงานว่า ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ากองกำลังเกาหลีเหนือยังคงมีบทบาทในพื้นที่สู้รบทางตะวันตกของรัสเซีย หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่การถอนกำลังคือการสูญเสียทหารจำนวนมากจากการปะทะกับยูเครน

ก่อนหน้านี้ ในช่วงต้นเดือนมกราคม NIS ได้แจ้งต่อรัฐสภาเกาหลีใต้ว่า มีรายงานการเสียชีวิตของทหารเกาหลีเหนือประมาณ 300 นาย และบาดเจ็บอีกกว่า 2,700 นายจากการสู้รบในภูมิภาคดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับชะตากรรมของทหารที่ได้รับบาดเจ็บว่าพวกเขาได้รับการรักษาหรือถูกส่งตัวไปยังพื้นที่ปลอดภัยอื่น

หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของการถอนกำลังครั้งนี้ โดยข้อมูลล่าสุดสอดคล้องกับรายงานจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพยูเครน ซึ่งระบุว่า ไม่พบความเคลื่อนไหวทางทหารของกองทัพเกาหลีเหนือในภูมิภาคเคิร์สก์ตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวด้านความมั่นคงจากชาติตะวันตกเปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 เดือนของการเข้าร่วมปฏิบัติการรบในรัสเซีย เกาหลีเหนือสูญเสียทหารไปแล้วราว 4,000 นาย จากกำลังพลที่ถูกส่งไปทั้งหมดประมาณ 11,000 นาย ซึ่งการสูญเสียนี้รวมถึงทหารที่เสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหาย และถูกจับเป็นเชลยศึก โดยมีการประเมินว่า ทหารที่เสียชีวิตมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 นายจนถึงกลางเดือนมกราคม

ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษ โดยกล่าวว่าหากยูเครนไม่สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ได้ ประเทศพันธมิตรตะวันตกควรจัดหาแนวทางรับประกันความมั่นคงของยูเครนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบขีปนาวุธ งบประมาณด้านการทหาร หรือแม้แต่การส่งกำลังทหารเข้ามาช่วยดูแลพื้นที่

นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนยังยืนยันว่าพร้อมเปิดการเจรจากับรัสเซีย หากการพูดคุยสามารถนำไปสู่การยุติสงครามและลดการสูญเสียชีวิตของประชาชน

วิจารณ์ก้องโลก! ทรัมป์ผุดไอเดียยึดฉนวนกาซา ขับไล่ชาวปาเลสไตน์ไปอยู่ที่อื่น

(5 ก.พ. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยแผนการที่น่าตกตะลึงว่า สหรัฐฯ ควรเข้าไปยึดครองฉนวนกาซาและให้ชาวปาเลสไตน์ย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยในการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ที่เดินทางมาเยือนสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่า หากจำเป็น สหรัฐฯ อาจจะส่งทหารเข้าไปเพื่อจัดการพื้นที่และเคลียร์อาวุธที่ยังคงหลงเหลืออยู่ พร้อมทั้งเสนอให้ชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยในฉนวนกาซาอพยพไปยังที่ดินในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค

แผนดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมากจากทั่วโลก โดยบางฝ่ายมองว่าอาจเปลี่ยนแปลงทิศทางของความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และก่อให้เกิดการวิจารณ์จากหลายด้าน ทรัมป์กล่าวว่า เขามองว่าการเป็นเจ้าของและพัฒนาแผ่นดินฉนวนกาซาจะนำมาซึ่งเสถียรภาพในภูมิภาคและอาจจะสร้างงานหลายพันตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม การย้ายถิ่นฐานของชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนอาจเป็นปัญหาที่ไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ และอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางกฎหมายและการเมือง

ทรัมป์ยังกล่าวต่อว่า ชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซาควรย้ายไปยังสถานที่ใหม่ที่มีสภาพที่ดีและอุดมสมบูรณ์ และไม่ควรกลับไปที่ฉนวนกาซาอีกครั้ง เนื่องจากพื้นที่นั้นไม่เหมาะสมและเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานจากสงคราม นอกจากนี้ เขายังเสริมว่าผู้ที่ต้องการอาศัยในพื้นที่ดังกล่าวเพียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น

คำแถลงของทรัมป์ได้สร้างความไม่พอใจในกลุ่มเจ้าหน้าที่อาหรับ รวมถึงความกังวลจากสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ หลายคน โดยเฉพาะจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ซึ่งได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการทำตามแผนดังกล่าว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปกครองฉนวนกาซา ได้ประณามคำกล่าวของทรัมป์ว่าเป็นการจุดชนวนความขัดแย้งและความตึงเครียดในภูมิภาค

คำพูดของทรัมป์ยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศและนักวิจัยต่างประเทศหลายคน ซึ่งมองว่าแผนนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งในด้านการเมืองและกฎหมาย และอาจไม่สามารถดำเนินการได้จริงในทางปฏิบัติ

ยกโขยงคืนบัตรประชาชน หลังสละสัญชาติเป็นพลเมืองสิงคโปร์

(5 ก.พ. 68) สื่อพม่าตีข่าว ชาวเมียนมานับร้อยชีวิตแห่คืนบัตรประชาชนให้สถานทูตฯ หลังขอสละสัญชาติเปลี่ยนเป็นสิงคโปร์ โดยเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2568  เฟซบุ๊กเพจ The Irrawaddy ได้เผยแพร่ภาพพร้อมข้อความระบุว่า ประชาชนชาวเมียนมากว่า 100 ชีวิตในสิงคโปร์ ได้สละสัญชาติเมียนมา หลังจากได้รับสัญชาติสิงคโปร์

ตามรายงานจากสถานทูตเมียนมาในสิงคโปร์ ระบุว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชาวเมียนมาจำนวน 278 คน ได้มอบบัตรประชาชนเมียนมาให้กับสถานทูตฯ หลังจากที่ได้รับสัญชาติสิงคโปร์แล้วเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวในหัวข้อ  Nearly 300 Myanmar nationals in Singapore naturalized in 2024 to avoid returning home ซึ่งอ้างการเปิดเผยของสถานทูตเมียนมาประจำประเทศสิงคโปร์ ระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา มีชาวเมียนมาเกือบ 300 คน แสดงความจำนงขอสละสัญชาติ เพื่อไปรับสัญชาติสิงคโปร์

ตามข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนากำลังคนของสิงคโปร์ พบว่ามีชาวเมียนมากว่า 200,000 คนอาศัยอยู่ในประเทศสิงคโปร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top