Saturday, 10 May 2025
World

‘ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ’ หญิงแกร่งแห่งคองเกรส สตรีเชื้อสายไทยผู้พิชิตทุกขีดจำกัดหัวใจแกร่ง

ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกตัวตึง หญิงแกร่งสายเลือดไทยหนึ่งเดียวแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ หากติดตามการเมืองอเมริกาในช่วง 10 ปีหลัง นับตั้งแต่สมัยปลายยุคโอบามา เข้าสู่ทรัมป์ 1.0 เปลี่ยนมาเป็น โจ ไบเดน ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยเปลี่ยนถ่ายอำนาจเข้าสู่ทรัมป์ 2.0 หนึ่งในนักการเมืองดาวรุ่งที่มีผลงานโดดเด่นต่อเนื่องมาโดยตลอดคงหนีไม่พ้น วุฒิสมาชิกจากรัฐอิลลินอยส์ สังกัดพรรคเดโมแครต ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ หรือ พี่แทมมี่ของน้อง ๆ คนไทยในอเมริกาท่านนี้นั่นเอง

ใดๆ digest ขอพาผู้อ่านย้อนดูประวัติของคุณแทมมี่สักเล็กน้อย โดยเธอเกิดที่กรุงเทพนี่เองครับ ในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2511 เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นทหารผ่านศึกชาวอเมริกันสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเวียตนามชื่อ ร้อยเอกแฟรงก์ แอล. ดักเวิร์ธ กับ คุณแม่ชาวไทยเชื้อสายจีนจากเชียงใหม่ชื่อ คุณละไม สมพรไพลิน ในวัยเด็กคุณแทมมี่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนื่องจากต้องติดตามคุณพ่อซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ 

ซึ่งจากการที่คุณแทมมี่เคยอาศัยอยู่ในหลายประเทศนี่เอง ทำให้นอกจากใช้อังกฤษเป็นภาษาหลักแล้ว เธอยังใช้ภาษาไทยได้ในระดับดีมาก และภาษาบาฮาซาในระดับสื่อสารได้เข้าใจอีกด้วย ทางด้านการศึกษา คุณแทมมี่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยและอินโดนีเซียและจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา, สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยฮาวายวิทยาเขตมานัว, ปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน และปริญญาเอกสาขาบริการประชาชนจากมหาวิทยาลัยคาเปลลา คุณแทมมี่เดินตามรอยเท้าคุณพ่อด้วยการเข้ารับราชการทหารในกองทัพสหรัฐ 

ในปี พ.ศ. 2535 และเลือกที่จะเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ และได้เข้าร่วมรบในสงครามอิรักโดยมีหน้าที่ขับเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงยุทโธปกรณ์และนำทหารที่บาดเจ็บจากแนวหน้ามารับการรักษาในแนวหลัง แต่โชคร้ายที่เครื่องเฮลิคอปเตอร์ ที่เธอเป็นนักบินผู้ช่วย ถูกยิงลูกระเบิดเข้ามาในเครื่อง และเกิดระเบิดตรงที่เธอนั่ง ทำให้คุณแทมมี่สูญเสียขาทั้งสองข้างและแขนข้างขวาบาดเจ็บสาหัสทันที อย่างไรก็ตามแพทย์ก็ได้ทำการต่อแขนข้างขวาให้แก่เธอ แต่ก็ทำให้คุณแทมมี่ต้องต้องใช้ขาเทียมทั้งสองข้าง รวมทั้งมีแขนซ้ายที่ใช้การได้ดีเพียงข้างเดียว 

ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน จากเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปนี่เองทำให้คุณแทมมี่ เกษียณตัวเองจากตำแหน่งนักบิน แต่ยังคงรับราชการเป็นนายทหารในสังกัดกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิแห่งรัฐอิลลินอยส์ โดยเน้นการทำงานเพื่อทหารผ่านศึกและผันตัวสู่เส้นทางการเมือง ด้วยการลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐอิลลินอยส์ เป็นครั้งแรกในปี 2549 จากนั้นในปี 2552 ได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการทหารผ่านศึกประจำรัฐ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐ ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 คุณแทมมี่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสนามใหญ่ และสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอย่างเต็มภาคภูมิ 

ผลงานอันโดดเด่นและการสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะ 'คนแรก' ของคุณแทมมี่นั้นมีอยู่มากมายอาทิเช่น 
- เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตขึ้นกล่าววิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้านการทหารและสงครามต่าง ๆ ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และ ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์หลายครั้ง

- เป็นหนึ่งในสองตัวเลือกสุดท้ายคู่กับกมลา แฮริสในตำแหน่งรองประธานาธิบดีสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน 
- ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการบริหารพรรคเดโมแครต โดยจะอยู่ในตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารพรรคเดโมแครต
- เป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกสหรัฐตั้งคำถามและซักฟอกผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะบริหารของประธานาธิบดีหลายครั้ง โดยล่าสุดก็ได้ทำการซักถามว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พีท เฮ็กเซ็ทที่ได้รับการเสนอชื่อโดยทรัมป์อย่างถึงพริกถึงขิงเรื่องการขาดความรู้เกี่ยวกับกลุ่มประเทศอาเซียนนั่นเอง 
- นอกจากการได้รับเหรียญตราเชิดชูเกียรติมากมายจากทั้งกองทัพและรัฐบาลสหรัฐในฐานะทหารผ่านศึกที่กล้าหาญและการอุทิศตัวทำงานเพื่อส่วนรวมแล้ว คุณแทมมี่ยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ชั้นที่ 1 จากรัฐบาลไทยอีกด้วย
- เป็นสุภาพสตรีเชื้อสายไทยคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาคองเกรสทั้งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก รวมทั้งเป็นคนแรกที่เกิดในแผ่นดินไทยที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาอันมีเกียรติประวัติยาวนานของสหรัฐอเมริกาแห่งนี้ด้วย
- เป็นบุคคลทุพพลภาพคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาคองเกรส และยังนับเป็นผู้พิการอวัยวะมากกว่าหนึ่งอย่างคนแรกอีกด้วย
- เป็นวุฒิสมาชิกคนแรกที่ให้กำเนิดบุตรในขณะที่ดำรงตำแหน่ง

ทางด้านชีวิตครอบครัว คุณแทมมี่ได้สมรสกับอดีตเพื่อนทหารผ่านศึกในสงครามอิรักพันตรีไบรอัน ดับเบิลยู โบล์สบีย์ เจ้าหน้าที่กองพลสื่อสาร และมีลูกสาวที่น่ารักด้วยกัน 2 คน 

เรื่องราวชีวิตและผลงานของคุณแทมมี่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายทั่วโลกโดยเฉพาะผู้พิการและผู้มีสายเลือดไทยทุกคน เธอได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและผลลัพธ์แห่งความพยายามทุ่มเททำงานหนักตามแนวทางอุดมคติแบบ American Dream ว่าเป็นไปได้จริง และที่สำคัญคือในวันนี้คุณแทมมี่ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังและไฟในการทำงานที่ไม่เคยมอดดับลงไป 

ใดๆ digest ขอร่วมส่งกำลังใจให้เธอพร้อมทั้งเฝ้าติดตามความเป็นไปได้มากมายที่คุณแทมมี่จะสร้างให้เกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยครับ

ผู้นำเม็กซิโกตอกกลับทรัมป์ ร้อง Google เปลี่ยนชื่อสหรัฐอเมริกาเป็น 'อเมริกาเม็กซิกัน'

(31 ม.ค.68) นางคลอเดีย เชนบาม ประธานาธิบดีเม็กซิโก ร่อนจดหมายถึงบริษัท  Google เปิดเผยความไม่พอใจอย่างรุนแรง หลังบริษัทยอมปฏิบัติตามคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' พร้อมกับเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเป็น 'อเมริกาเม็กซิกัน'

นางเชนบาม ได้แสดงท่าทีคัดค้านอย่างหนักต่อการกระทำของ Google ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของทรัมป์ โดยเธอเห็นว่าการเปลี่ยนชื่อดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยและประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก เธอยังเรียกร้องให้ Google คืนชื่อเดิมของอ่าวเม็กซิโกและหยุดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชื่อทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศของเธอ

ความไม่พอใจของประธานาธิบดีเม็กซิโกเกิดขึ้นหลังจากที่ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สั่งให้เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา โดย Google ได้ปรับปรุงชื่อดังกล่าวใน Google Maps ทันทีตามคำสั่ง

ก่อนหน้านี้ Google ได้ออกแถลงการณ์ผ่านแพลตฟอร์ม X ระบุว่า "การเปลี่ยนแปลงชื่อนี้เป็นไปตามนโยบายของเราในการอัปเดตข้อมูลตามเอกสารราชการของรัฐบาลสหรัฐฯ" โดยบริษัทอ้างว่าการเปลี่ยนแปลงชื่อจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีการแก้ไขในเอกสารทางการของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ Google ยังประกาศว่าจะ 'ดำเนินการทันที' ในการเปลี่ยนชื่อภูเขาเดนาลิในรัฐอะแลสกากลับไปเป็นภูเขาแมคคินลีย์ ตามคำสั่งของทรัมป์ ทันทีที่เอกสารทางการได้รับการอัปเดต แม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและชนพื้นเมืองก็ตาม

ทรัมป์ได้อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งสองรายการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการ 'เชิดชูความยิ่งใหญ่ของอเมริกา' อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนชื่อภูเขาเดนาลิ ซึ่งเป็นชื่อที่ชนพื้นเมืองอะแลสกาให้ความสำคัญ ได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจในวงกว้าง

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทรัมป์และ Google ได้รับการตอบรับอย่างไม่ดีจากทั้งเม็กซิโกและกลุ่มชนพื้นเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการลบเลือนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น

‘ดร.อักษรศรี’ โพสต์เรื่องราวของทีมงาน ‘DeepSeek’ เผย!! อายุเฉลี่ยแค่ 35 ปี ชี้!! นี่คือ ทีมงานผู้พัฒนา ‘เอไอจีน’ ที่กลายเป็น ‘Talk of the World’ ดังทั่วโลก

(1 ก.พ. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ถึงคนรุ่นใหม่ ในประเทศจีน โดยมีใจความว่า ...

#พลังคนรุ่นใหม่ Youth power leads to national strength #DeepSeek สาวหมวย/หนุ่มตี๋ในภาพนี้ (อายุเฉลี่ย 35 ปี) มีรายงานว่า คือ ทีมงานพัฒนา DeepSeek เอไอจีนที่กลายเป็น Talk of the World  

รายชื่อสมาชิกทีมพัฒนา DeepSeek AI จีน และมหาวิทยาลัยชั้นนำในจีนที่แต่ละคนเรียนจบมา (ไม่ได้จบนอก )

1. **梁文峰** เหลียง เวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง
*(Liang Wenfeng)* 
ปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง 

2. **代达励** ไต้ ต๋าลี่ 
*(Dai Dali)* 
ปริญญาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

3. **朱琪豪** จู ฉีหาว
*(Chu Qihao)* 
ปริญญาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

4. **邵智宏** เส้า จื้อหง 
*(Shao Zhihong)* 
ปริญญาเอกปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยชิงหัว

5. **赵成钢** เจ้า เฉิงกัง 
*(Chao Chenggang)* 
สมาชิกทีม Supercomputing มหาวิทยาลัยชิงหัว

6. **高华佐** เกา หัวจั่ว 
*(Gao Huazuo)* 
ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง

7. **曾旺丁** เจิง วั่งติง 
*(Zeng Wangding)* 
มหาวิทยาลัยไปรษณีย์และโทรคมนาคมปักกิ่ง

8. **辛华剑** ซิน หัวเจี้ยน 
*(Xin Huajian)* 
สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยจงซาน

ชำแหละ!! มหากาพย์ ‘แดนสแกมเมอร์’ ริมชายแดน ตอนที่ 2 เผย!! มีสายลึกลับ เสนอ 20 ล้าน หลังเพิ่งตัดสัญญาณไปไม่นาน

จากตอนแรกที่เอย่า นำเสนอเรื่องของที่มาของเมืองสแกมเมอร์มาแล้วว่ามีความเป็นมาอย่างไร วันนี้เอย่าจะมาเสนอตอนต่อในชื่อที่ว่า ‘ทำไมไทยคือจำเลย’

เอย่าได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยและรัฐบาลเมียนมามาว่าการที่ทางเมียนมามั่นใจมากถึงขั้นกล่าวหาว่าฝั่งไทยให้การสนับสนุนกลุ่มจีนเทาเหล่านี้ก็เพราะฝั่งไทยมีการส่งทั้งสายสัญญาณอินเทอร์เน็ตลอดแม่น้ำข้ามไป มีทั้งตั้งเสาร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อให้สัญญาณข้ามไปฝั่งตรงข้าม และการดึงไฟข้ามจากฝั่งไทยไปใช้ และเรื่องบัญชีม้าในประเทศไทยนะที่หลายคนเปิดไว้ให้กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ใช้  ทั้งรู้ก็ดีและรู้เท่าไม่ถึงการก็ดีว่าแล้วเรามาขุดกันดีกว่า

เรื่องสายสัญญาณข้ามแม่น้ำ นี่เป็นวิธีการในอดีตที่กลุ่มมิจฉาชีพริมชายแดนทำกันโดยคนกลุ่มนี้จะจ้างคนในพื้นที่ให้มาลากสายจากตู้ชุมทางส่งสัญญาณสวมกับตัวส่งต่อสัญญาณที่ร้อยสายเข้าไปในท่อข้ามแม่น้ำเมยไป ถามว่าค่ายอินเทอร์เน็ตไม่มีการตรวจสอบเลยหรือว่าอยู่ดี ๆ บางจุดมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก และไม่คิดจะลงพื้นที่มาตรวจสอบบ้างหรือ

ส่วนค่ายมือถือนั้นแรกเริ่มก็แค่มีการซื้อซิมไปใช้งานพอมีการใช้งานมากขึ้น แทนที่ทางค่ายมือถือจะมาตรวจสอบว่าใครใช้ แต่กลับให้คนมาตั้งเสาสัญญาณชิดริมชายแดนแทน แบบนี้ก็หวานเจี๊ยบแก๊งคอลฯเลยสิ ถามว่าก่อนค่ายมือถือจะมาวางเสาสัญญาณต้นเป็นล้านไม่คิดจะลงมาสำรวจก่อนเหรอว่าใครเป็นผู้ใช้

กลุ่มที่ 3 เรื่องไฟฟ้า ล่าสุดเอย่าได้รับรายงานมาว่ากลุ่มมิจเหล่านี้เอาไฟฟ้าจากทางไทยไปโดยผ่านจากท่าข้ามแดนที่ตั้งอยู่ริมเมย ถามจริง ๆ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีการมาตรวจสอบและเอาผิดกันบ้างหรือยัง

สุดท้ายคือกลุ่มบัญชีม้าในไทยที่เป็นแหล่งพักเงินของกลุ่มคอลฯ ถามว่าทางธนาคารพาณิชย์ไทยไม่คิดจะตรวจสอบบ้างเลยเหรอ 

สุดท้ายที่เอย่าได้ทราบมาจากแหล่งข่าวในกระทรวงมหาดไทยว่าในวันที่ไปจับทำลายเสาส่งสัญญาณ พบว่าตัวส่งสัญญาณส่วนใหญ่ที่เคยตั้งอยู่กลับถูกถอดไปก่อนที่เจ้าหน้าที่ลงไม่กี่ชั่วโมง ถามว่าไทยเรามี ‘เกลือเป็นหนอน’ ใช่หรือไม่  และที่สำคัญคือหลังจากตัดสายสัญญาณไป มีสายลึกลับโทรข้ามฝั่งจากเมียวดีถึงข้าราชการในพื้นที่เสนอเงินถึง 20 ล้านบาทต่อต้นให้ต่อสายสัญญาณให้

ก็มันเป็นแบบนี้ไงละ มันถึงปราบกันไม่หมดเสียที ตราบใดที่ข้าราชการในพื้นที่ นายก อบต. เอย รวมถึงเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า หรือ บริษัทเอกชนที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตกับธนาคารพาณิชย์ไม่เดือดร้อน มันก็ปราบกันไม่จบเสียที

เอย่าบอกแล้วรัฐบาลทหารเมียนมาเขาเอาจริง และหลังจากที่ไทยเพิกเฉยกับคำขอร้องของฝั่งเมียนมา หลายต่อหลายครั้งก็หวังว่าเราคงจะไม่ต้องอายนะ หากวันใดวันหนึ่งทางรัฐบาลทหารเมียนมาจะเปิดหลักฐานที่เขามีถึงขั้นกล้าด่าฝั่งไทยออกสื่อแบบนี้ เชื่อว่าหลักฐานดังกล่าวน่าจะมัดตัวให้ฝั่งไทยเถียงไม่ออกกันเลยทีเดียว

‘สำนักข่าวอิศรา’ เผย!! ‘ทรัมป์’ ระงับทุนการศึกษา นศ.เมียนมา ลั่น!! ต้องการให้เงินให้ไหล ไปทำอย่างอื่น ที่เหมาะสมกว่า

(1 ก.พ. 68) นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประกาศถึงการระงับเงินทุนช่วยเหลือด้านการศึกษามูลค่า 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,518,884,289 บาท) สำหรับนักเรียน นักศึกษาชาวเมียนมา

โดยเงินทุนดังกล่าวนั้นเป็นเงินที่มีการอนุมัติโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ด้วยจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนนักเรียนในเมียนมาตามนโยบาย DEI (นโยบายสนับสนุนความหลากหลาย,ความเท่าเทียม และการเปิดรับคนทุกคน) ภายใต้ชื่อโครงการทุนการศึกษาความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก (DISP)

แนวคิดริเริ่มของทุนการศึกษานั้นเกิดขึ้นหลังกองทัพเมียนมาได้ก่อรัฐประหารในปี 2564 ส่งผลทำให้เกิดปัญหาเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นับแต่นั้น

ทั้งนี้ทุนการศึกษาดังกล่าวมีผู้ดูแลได้แก่ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) และสถานทูตสหรัฐฯในนครย่างกุ้ง ซึ่งได้มีการเริ่มเดินหน้าทุนการศึกษา DISP ที่กรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 29 ก.พ.2567

โครงการทุนการศึกษา DISP มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ตั้งเป้าว่าจะช่วยเหลือนักศึกษากว่า 1,000 คนจากเมียนมาเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้คำสั่งระงับการสนับสนุนทุนการศึกษาดังกล่าวเป็นผลการดำเนินงานของกระทรวงพัฒนาประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ Department Of Government Efficiency (D.O.G.E.) ซึ่งมีนายอีลอน มัสก์ รับผิดชอบกระทรวงนี้

ทางด้านของนายทรัมป์กล่าวถึงการระงับทุนการศึกษา DISP ว่า “เงิน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นเป็นเงินที่มากสำหรับทุนการศึกษาเพื่อความหลากหลายในเมียนมา คุณสามารถจินตนาการได้ว่าเงินนั้นจะไปไหน นี่คือประเภทของการจ่ายเงิน และอื่น ๆ อีกมากมายที่ผมสามารถยืนอยู่ที่นี่ทั้งวันและบอกคุณถึงสิ่งที่เราได้พบมา และเราต้องหาเงินพวกนี้อย่างรวดเร็วเพราะเราต้องการให้เงินให้ไหลไปยังที่ๆเหมาะสมกว่า”

ขณะที่สำนักข่าว DVB ของเมียนมาได้มีการไปสัมภาษณ์นักศึกษาเมียนมาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งใช้ทุนจากโครงการนี้ โดยนักศึกษารายนี้กล่าวยอมรับว่าทุน DISP ให้การช่วยเหลือกับนักเรียนนักศึกษาให้มีความต่อเนื่อง ดังนั้นการสูญเสียทุน DISP ไปก็เท่ากับว่าเป็นการสูญเสียสิทธิพิเศษที่นักศึกษาจะได้รับ และการจ่ายเงินค่าเทอมในปีถัดๆไปก็จะยากขึ้น

สาวไปเชียร์!! คู่หมั้นแข่งเบสบอล จู่ ๆ เจอ ‘แมวจร’ กระโดดนอนตัก สภาพสุดสงสาร!! ต้องพาไปหาหมอ สุดท้ายผูกพัน พากลับประเทศด้วย

(2 ก.พ. 68) ‘แนท รูโมโร’ หญิงสาวจากสหรัฐได้เดินทางไปเชียร์คู่หมั้นแข่งเบสบอลที่เปอร์โตริโก และต้องพบกับการต้อนรับสุดไม่คาดคิดจาก ‘ลูกแมวจร’ ตัวหนึ่ง ที่จู่ ๆ ก็กระโดดขึ้นมาบนตักของเธออย่างสบายใจและไม่ยอมลุกไปไหน

ภาพความน่ารักครั้งนี้ทำให้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาทักว่า “ดูเหมือนลูกแมวตัวนี้จะเลือกคุณแล้วนะ” ซึ่งขณะนั้นเธอยังไม่ใช่ทาสแมวจึงตอบชายคนดังกล่าวไปว่า เธอคงไม่พาเจ้าลูกแมวตัวนี้กลับบ้านด้วยแน่นอน

เมื่อการแข่งขันเบสบอลจบลง ลูกแมวก็วิ่งหายไป เธอคิดว่าลูกแมวคงไม่กลับมาอีกแล้วจึงเตรียมตัวกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม หางตาเธอเหลือบเห็นลูกแมวตัวหนึ่งหน้าตาคุ้น ๆ วิ่งมา แล้วก็นั่งลงตรงเท้าของเธอ ราวกับไม่ยอมให้เธอจากไปไหน

เนื่องจากเป็นช่วงเวลาดึก เธอและคู่หมั้นจึงต้องตัดสินใจว่า พวกเขาควรปล่อยลูกแมวไป หรือควรนำกลับไปที่ Airbnb ด้วย และเมื่อพิจารณาสภาพของลูกแมวที่มีแผลหลายแห่ง พวกเขาจึงเลือกที่จะช่วยมัน

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขารีบพาลูกแมวไปพบสัตวแพทย์ ลูกแมวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไรในหู ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หลังจากได้รับยาปฏิชีวนะและยารักษา ลูกแมวก็เริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาด้วยกัน เธอและคู่หมั้นตัดสินใจพาลูกแมวกลับไปยังรัฐเคนทักกี้ ของสหรัฐด้วย พร้อมตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ‘เจ้าโทโร่’ และแม้ว่าหลายสิ่งในชีวิตโทโร่จะเปลี่ยนไป แต่บางสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือมันยังคงเดินตามเธอไปทุกที่ และชอบนั่งบนตักของเธอเป็นเวลาหลายชั่วโมง

‘แคนาดา’ สู้ไม่ถอย ตั้งกำแพงภาษีสินค้าตอบโต้ ‘สหรัฐฯ’ พร้อมจ่อฟ้อง ‘ทรัมป์’ ละเมิดกฎหมายการค้าโลก

(3 ก.พ. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานข่าว Canada to take legal action against US for tariffs ระบุว่า แคนาดาเตรียมใช้กลไกระหว่างประเทศยื่นฟ้องสหรัฐอเมริกา กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศนโยบายขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าที่นำเข้าจากแคนาดา โดยเจ้าหน้าที่แคนดาที่ไม่ขอระบุชื่อ ให้ข้อมูลว่า การขึ้นภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ทำนั้นผิดกฎหมายและไร้เหตุผล นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา จัสติน ทรูโด (Justin Trudeau) นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้ใช้นโยบาย “ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน” ขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน

ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีนำเข้าร้อยละ 25 กับสินค้าของแคนาดาทั้งหมด ยกเว้นผลิตภัณฑ์พลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซ และไฟฟ้า ซึ่งจะมีอัตราภาษีร้อยละ 10 เมื่อเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งมาตรการภาษีร้อยละ 25 นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2568 เป็นต้นไป ส่วนมาตรการภาษีพลังงานจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. 2568 ขณะที่ฝั่งแคนาดากำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จำนวน 1,256 รายการ หรือคิดเป็นร้อยละ 17 ของสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากสหรัฐฯ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2568 เช่น   น้ำส้ม เนยถั่ว ไวน์ เบียร์ มอเตอร์ไซค์ เครื่องสำอาง และอื่นๆ ซึ่งจะมีมูลค่ารวมกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญแคนาดา (ราว 7.2 แสนล้านบาท)

โดยสินค้าที่มีมูลค่าสูง ได้แก่ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย มูลค่า 3.5 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 8.4 หมื่นล้านบาท) เครื่องใช้ไฟฟ้าและของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ มูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 8.16 หมื่นล้านบาท) ผลิตภัณฑ์เยื่อกระดาษและกระดาษ มูลค่า 3 พันล้านเหรียญแคนาดา (ราว 7.2 หมื่นล้านบาท) นอกจากนั้น รัฐบาลแคนาดา จะประกาศรายการสินค้าเพิ่มเติมในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบรรทุก รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เหล็กและอลูมิเนียม ผลไม้และผักบางชนิด ผลิตภัณฑ์อากาศยาน ซึ่งการนำเข้าสินค้าเหล่านี้มีมูลค่ารวม 125,000 ล้านเหรียญแคนาดา (ราว 3 ล้านล้านบาท)

แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแคนาดา อธิบายว่า นโยบายของทรัมป์ละเมิดพันธกรณีทางการค้าระหว่างสองประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีและภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) และหากแคนาดามีทางเลือกทางกฎหมายอื่นก็จะพิจารณาทางเลือกเหล่านั้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ยอมรับว่า ทั้งมาตรการของสหรัฐฯ และของแคนาดา ในการตอบโต้กันครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของแคนาดา แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 2 ก.พ. 2568 รัฐบาลแคนาดา กล่าวว่า จะจัดเตรียมกลไกให้ธุรกิจในแคนาดาได้รับการผ่อนปรนจากภาษีศุลกากรตอบโต้ ภายใต้กระบวนการที่เรียกว่า “การผ่อนปรน” ธุรกิจในแคนาดาสามารถยื่นขอผ่อนปรนหรือขอคืนเงินภาษีศุลกากรได้ โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไขบางประการ

ทรัมป์สั่งจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเป็นวงกว้าง พร้อมเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ควบคุมการไหลเข้าของเฟนทานิล และผู้อพยพผิดกฎหมายในกรณีของแคนาดาและเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐอเมริกา การกระทำของทรัมป์ทำให้เกิดสงครามการค้าที่อาจขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและจุดชนวนให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออีกครั้ง ทั้งนี้ เม็กซิโกและแคนาดาเป็นคู่ค้ารายใหญ่สองรายของสหรัฐฯ

ผู้นำไต้หวัน หมดหวังพึ่ง ‘ทรัมป์’ ชวน 'จีน' หันหน้าพูดคุยสร้างสันติภาพ

(3 ก.พ. 68) ประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ แห่งไต้หวัน ระบุวันนี้ว่า ไต้หวันและจีนจำเป็นต้องหันหน้าพูดคุยกันเพื่อให้เกิดสันติภาพ หลังบริบทการเมืองโลกเกิด “การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน” ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณชวนปักกิ่งรอมชอมมากกว่าที่จะเผชิญหน้ากันต่อไป

ไล่ ซึ่งถูกรัฐบาลจีนตราหน้าว่าเป็น “นักแบ่งแยกดินแดน” พยายามยื่นข้อเสนอขอพูดคุยกับปักกิ่ง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ได้ยกระดับกดดันไต้หวันทั้งในทางการเมืองและทหารเพื่อบีบให้ไทเปยอมรับในอำนาจอธิปไตยของจีน

อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทั้งจีนและไต้หวันต่างก็เผชิญแรงบีบจากรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนอกจากจะสั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจีนแล้ว ยังขู่จะใช้มาตรการเดียวกันกับเซมิคอนดักเตอร์นำเข้าซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของไต้หวันด้วย

ระหว่างกล่าวปาฐกถาต่อผู้แทนภาคธุรกิจไต้หวันที่เข้าไปลงทุนในจีน ไล่ ชี้ว่าไต้หวันและจีนต่างมี “ศัตรูร่วม” ก็คือภัยธรรมชาติ และมี “เป้าหมายร่วม” อยู่ที่การสร้างความอยู่ดีกินดีให้ผู้คนทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบ

“ดังนั้น ในห้วงเวลาที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างซับซ้อนเช่นนี้ เราทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบจึงยิ่งควรที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันด้วยดี เพื่อให้เกิดสันติภาพ” เขากล่าว

ผู้นำไต้หวันเอ่ยเสริมว่า รัฐบาลของเขาเต็มใจที่จะเปิดเจรจากับจีนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมที่ไร้เงื่อนไข และอยากให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าพูดคุยมากกว่าเผชิญหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ย้ำว่าอนาคตของไต้หวันมีเพียงประชาชนไต้หวันเท่านั้นที่จะตัดสินใจ

อย่างไรก็ตาม สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนยังไม่ออกมาให้ความเห็นต่อคำพูดของ ไล่ ชิงเต๋อ ทว่าที่ผ่านมาจีนเรียกร้องให้ไต้หวันยอมรับว่าดินแดน 2 ฝั่งช่องแคบคือส่วนหนึ่งของ “จีนเดียว” (One China) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ไล่ และรัฐบาลพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ไม่เอาด้วย

ไล่ ยังกล่าวด้วยว่า ไต้หวันไม่ควรมี “ภาพลวงตา” เกี่ยวกับสันติภาพ และจำเป็นต้องแสวงหาสันติภาพผ่านความเข้มแข็งด้วยการเสริมเขี้ยวเล็บของตนเอง และยืนหยัดเคียงข้างรัฐประชาธิปไตยอื่นๆ อย่างสง่าผ่าเผย

“ประเทศจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีอธิปไตย และเพราะมีไต้หวันเท่านั้นจึงมีสาธารณรัฐจีน” ไล่ กล่าว โดยเอ่ยถึงชื่ออย่างเป็นทางการของเกาะไต้หวัน

มักส์เล็งสั่งปิด 'USAID' องค์กรมนุษยธรรมโลก ซัด ไร้ประสิทธิภาพ-ผลาญเงิน-เกินเยียวยา

(4 ก.พ. 68) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีและนักธุรกิจชื่อดัง  ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้นำกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล หรือ DOGE ได้ประกาศแผนปรับลดขนาดหน่วยงานรัฐ  โดยมีหนึ่งในเป้าหมายหลักคือการสั่งปิด องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ (USAID) โดยให้เหตุผลว่าหน่วยงานดังกล่าว "ไร้ประสิทธิภาพและไม่สามารถแก้ไขได้อีกต่อไป" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

มักส์ โพสต์ในแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) ว่า กำลังหารือกับกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลหรือ DOGE เรื่องปิดยูเอสเอด เนื่องจาก “เกินเยียวยา” แล้ว และว่าประธานาธิบดีทรัมป์เห็นด้วยว่าควรปิดหน่วยงานนี้

USAID เป็นผู้บริจาคเดี่ยวรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยได้บริจาคความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามที่สหประชาชาติหรือยูเอ็นติดตามข้อมูลได้ในปี 2567 มากถึงร้อยละ 42 ของความช่วยเหลือทั้งหมด

ก่อนหน้าที่มักส์จะประกาศเรื่องดังกล่าว เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้สั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูง 2 รายของ USAID หลังจากที่พวกเขาพยายามขัดขวางตัวแทนจาก DOGE ของมัสก์ไม่ให้เข้าถึงพื้นที่ควบคุมของหน่วยงานดังกล่าว

USAID ถือเป็นองค์กรบริจาครายใหญ่ที่สุดของโลก โดยในปีงบประมาณ 2023 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ให้เงินช่วยเหลือทั่วโลกรวมกว่า 72,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท ครอบคลุมโครงการด้านสุขภาพ น้ำสะอาด การรักษาโรค HIV/AIDS ความมั่นคงด้านพลังงาน และมาตรการต่อต้านการทุจริต โดยคิดเป็น 42% ของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั้งหมดที่องค์การสหประชาชาติติดตามในปี 2024

ก่อนหน้านี้ไม่นานหลังโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่ง นโยบาย America First ของทรัมป์ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการให้ความช่วยเหลือระดับนานาชาติ โครงการสำคัญ เช่น โรงพยาบาลสนามในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศไทย การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่สงคราม และการแจกจ่ายยารักษาโรค HIV อาจถูกยกเลิกเนื่องจากมาตรการลดงบประมาณครั้งนี้

มัสก์คาดการณ์ว่ามาตรการลดงบประมาณดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดการขาดดุลงบประมาณลงได้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาทในปีหน้า โดยเขากล่าวหาว่ามีกลุ่มอาชญากรทางการเงินจากต่างประเทศปลอมแปลงตัวตนเป็นพลเมืองสหรัฐฯ เพื่อฉ้อโกงเงินช่วยเหลือจำนวนมหาศาล อย่างไรก็ตาม มัสก์ไม่ได้ให้หลักฐานเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหานี้ หรืออธิบายว่าตัวเลข 1 ล้านล้านดอลลาร์นั้นถูกคำนวณอย่างไร

นอกจากนี้ มีข้อกังวลเกี่ยวกับการที่มัสก์สามารถเข้าถึงระบบการเงินของกระทรวงการคลัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับหน่วยงานรัฐบาลกลาง และยังมีข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนสหรัฐฯ ที่ได้รับเงินสวัสดิการทางสังคมและการคืนภาษี ซึ่งเรื่องนี้ ส.ว. ปีเตอร์ เวลช์ จากพรรคเดโมแครต ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลอธิบายว่าเหตุใดมัสก์จึงสามารถเข้าถึงระบบดังกล่าวได้ โดยกล่าวตำหนิมัสก์ว่า 

“นี่เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบของบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และสะท้อนให้เห็นว่าการเงินสามารถซื้ออำนาจในรัฐบาลทรัมป์ได้” 

ในขณะเดียวกัน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับบทบาทของมัสก์ โดยเฉพาะการมุ่งทำงานเพื่อตัดลดงบประมาณของรัฐบาล ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า "ผมเห็นด้วยกับเขา เขาช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มาก แม้ว่าบางครั้งเราอาจมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ผมคิดว่าเขากำลังทำงานได้ดี เขาเป็นคนฉลาดมาก และมีความมุ่งมั่นในการลดขนาดรัฐบาลกลางของเรา"

ผู้อพยพประท้วงรบ.ทรัมป์ บอยคอตหยุดงาน แสดงพลังเป็นเบื้องหลังผู้สร้างศก.อเมริกา

(4 ก.พ. 68) สื่อท้องถิ่นสหรัฐรายงานว่า บรรดาประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวและผู้อพยพ ต่างออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านนโยบายจับกุมและเนรเทศผู้อพยพของรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะที่นครลอสแอนเจลิส (LA) ซึ่งมีการรวมตัวประท้วงหลายจุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า การประท้วงทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐภายใต้แคมเปญ Day without immigrations ที่นครลอสแองเจลิส กลุ่มผู้ประท้วงเดินขบวนไปยังศาลากลาง LA พร้อมโบกธงและถือป้ายต่อต้านมาตรการแข็งกร้าวต่อผู้อพยพ ก่อนที่บางส่วนจะเคลื่อนตัวไปปิดกั้นทางด่วนหมายเลข 101 ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตในใจกลางเมืองนานหลายชั่วโมง ขณะที่เมืองริเวอร์ไซด์ ทางตะวันออกของ LA ก็มีการชุมนุมเช่นกัน โดยบางกลุ่มใช้รถยนต์เบิร์นยางกลางสี่แยกเพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบ

ส่วนที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส กลุ่มภาคประชาสังคมได้เดินขบวนประท้วงนโยบายเข้มงวดของทรัมป์ ที่มุ่งเน้นจับกุมและเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย พร้อมเพิ่มงบประมาณปิดกั้นพรมแดน รายงานระบุว่ารัฐบาลทรัมป์จับกุมผู้อพยพเฉลี่ยวันละ 900-1,200 คน โดยเฉพาะในเมืองที่มีศูนย์พักพิงขนาดใหญ่ เช่น นิวยอร์กและชิคาโก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกาใต้ เปรียบเทียบกับยุครัฐบาลโจ ไบเดน ที่มีอัตราการจับกุมเฉลี่ยเพียง 311 คนต่อวัน

กลุ่มผู้อพยพหลายกลุ่มได้แสดงพลังในการสนับสนุนบทบาทของแรงงานต่างด้าวในฐานะกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการบอยคอตการทำงานและการงดซื้อสินค้าต่างๆ เพื่อแสดงออกว่าแรงงานต่างด้าวมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากขาดแรงงานต่างด้าว สหรัฐฯ จะไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงได้

ขณะเดียวกันนาย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มีกำหนดการเดินทางเยือนปานามา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับคลองปานามา ซึ่งทรัมป์เคยขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าควบคุม อ้างเหตุผลว่าค่าธรรมเนียมผ่านทางสูงเกินไปและปานามาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโฮเซ ราอูล มูลิโน ของปานามายืนยันว่าคลองปานามาเป็นของประเทศตนและไม่สามารถเจรจาเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะพิจารณาข้อกังวลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการลงทุนของบริษัทจีนและฮ่องกง รวมถึงมาตรการควบคุมผู้อพยพ

รูบิโอยังมีกำหนดเดินทางเยือนเอลซัลวาดอร์ คอสตาริกา กัวเตมาลา และสาธารณรัฐโดมินิกัน เพื่อหารือเรื่องการผลักดันผู้อพยพกลับประเทศต้นทาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเข้มงวดของทรัมป์ในการควบคุมการเข้าเมืองผิดกฎหมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top