Saturday, 10 May 2025
World

ฟ้องหนักบริษัทยา Merck วัคซีนมะเร็ง HPV ทำวัยรุ่นพิการถาวร แฉซ้ำบริษัทปกปิดผลข้างเคียง

(30 ม.ค.68) Merck & Co., Inc. บริษัทผู้ผลิตยาอันดับ 2 ของสหรัฐฯ กำลังเผชิญคดีฟ้องร้องจากการทำตลาดวัคซีน Gardasil ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็ง HPV หลังจากที่มีรายงานว่าพบผลข้างเคียงรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่นที่รับวัคซีน โดยพบรายงานมีอาการ ไมเกรนรุนแรง ปัญหาด้านความจำ อัมพาตชั่วคราว โรคหัวใจ ระบบย่อยอาหารอ่อนแรง และอาการบาดเจ็บอื่นๆ ในขณะที่วัคซีนดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้กับ  Merck ถึง 8,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ก็ตาม

ด้านนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ (RFK Jr.) ผู้มีแนวโน้มจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข ในรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงความกังวลและประกาศว่าจะดำเนินการอย่างเข้มงวดกับบริษัทยาที่เขาระบุว่าเป็น 'องค์กรอาชญากรรม' โดยเฉพาะกรณีของ Merck ที่มีประวัติการจ่ายค่าเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์จากคดียา Vioxx ในอดีต และยังถูกกล่าวหาว่าทดลองยาในยูเครนโดยไม่ได้รับความยินยอม

สำหรับวัคซีน Gardasil ได้รับการส่งเสริมและจำหน่ายอย่างแพร่หลายในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย สำหรับกลุ่มอายุ 9-45 ปี เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก มะเร็งศีรษะและลำคอ รวมถึงมะเร็งอื่นๆ ที่เกิดจากเชื้อ HPV นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ในประเทศกำลังพัฒนาผ่านการสนับสนุนของ Gavi พันธมิตรด้านวัคซีน อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์รวมถึง RFK Jr. ชี้ว่า Gardasil อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด และก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว 

ล่าสุด ทนายความของหญิงชาวลอสแองเจลิสได้ยื่นฟ้อง Merck ฐานให้ข้อมูลเท็จและปกปิดผลข้างเคียงของวัคซีน โดยกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง ขณะที่ทนายความของ Merck ยืนยันว่าจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และปฏิเสธว่าอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับวัคซีน ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตยาสามารถ

ทั้งนี้ Merck เคยมีประวัติจ่ายค่าเสียหายมหาศาลในคดียา Vioxx เมื่อปี 2007 ซึ่งต้องจ่ายเงินชดเชยกว่า 4,850 ล้านดอลลาร์ หลังพบว่ายาดังกล่าวทำให้เกิดอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่าบริษัทได้ทำการทดลองยาในยูเครนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เข้าร่วม ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกเปิดเผยจากเอกสารที่กองทัพรัสเซียยึดได้

สั่ง Meta ควัก 25 ล้านดอลลาร์ชดใช้ทรัมป์ กรณีปิดบัญชีจากเหตุจลาจลรัฐสภา

(30 ม.ค. 68) บริษัท Meta ยินยอมที่จะจ่าย 25 ล้านดอลลาร์ให้กับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อยุติคดีความที่ทรัมป์ฟ้องร้องบริษัท หลังจากที่แพลตฟอร์มสั่งระงับบัญชีของทรัมป์หลังเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 รายงานข่าวดังกล่าวถูกเปิดเผยโดย  The Wall Street Journal และได้รับการยืนยันโดยโฆษกของ Meta 

จากรายงานของ The Wall Street Journal ระบุว่า เงินจำนวน 22 ล้านดอลลาร์ที่ Meta จ่ายให้ทรัมป์นี้จะถูกนำไปสมทบทุนสร้างหอสมุดประธานาธิบดี ส่วนที่เหลือจะถูกใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมทางกฎหมายและชำระให้กับโจทก์รายอื่น ๆ ที่มีชื่อในคดีดังกล่าว ทั้งนี้ ทำเนียบขาวยังไม่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

การฟ้องร้อง Facebook ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้บริษัทแม่ Meta เป็นหนึ่งในหลายคดีที่ทรัมป์ยื่นฟ้อง สืบเนื่องหลังเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม ซึ่งนอกจาก Facebook แล้ว ทรัมป์ยังยื่นฟ้อง YouTube และ Twitter (ปัจจุบันคือ X) รวมถึงผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม คดีฟ้องร้อง Twitter ถูกผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางยกฟ้องไปแล้ว ขณะที่คดีฟ้องร้อง Google ถูกระงับคดีชั่วคราวไปในปี 2023 แต่ยังมีโอกาสที่จะนำกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง

หลังเหตุการณ์จลาจลที่รัฐสภาสหรัฐฯ Facebook ระงับบัญชีของทรัมป์ เนื่องจากเขาใช้แพลตฟอร์มเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการเลือกตั้งและอ้างว่าตนเป็นผู้ชนะในปี 2020 การตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Facebook ซึ่งก่อนหน้านี้มักปล่อยให้ผู้นำทางการเมืองใช้งานแพลตฟอร์มได้โดยไม่มีการควบคุมเข้มงวด แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์รุนแรง บริษัทได้ปรับปรุงกฎระเบียบใหม่เพื่อให้สามารถระงับบัญชีบุคคลสำคัญได้ในกรณี "พิเศษ" เช่น ภาวะความไม่สงบและความรุนแรงทางการเมือง

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Facebook ในเวลานั้นกล่าวว่า "เราเชื่อว่าความเสี่ยงจากการปล่อยให้ประธานาธิบดีใช้งานแพลตฟอร์มของเราต่อไปในช่วงเวลานี้นั้นสูงเกินไป" บริษัทจึงตัดสินใจลงโทษทรัมป์ขั้นสูงสุดตามกฎใหม่ โดยระงับบัญชี Facebook และ Instagram ของเขาแบบไม่มีกำหนด

"พวกเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้ทำแบบนี้ พวกเขากำลังเซ็นเซอร์และปิดปากเรา และสุดท้ายแล้ว เราจะชนะ ประเทศของเราไม่สามารถทนรับการกดขี่แบบนี้ได้อีกต่อไป!" ทรัมป์กล่าวในขณะนั้น และเสริมว่า "ครั้งต่อไปที่ผมอยู่ในทำเนียบขาว จะไม่มีมื้อค่ำที่ซักเคอร์เบิร์กและภรรยาของเขาร้องขออีกต่อไป ทุกอย่างจะเป็นเรื่องธุรกิจเท่านั้น!"

ไม่กี่เดือนต่อมา Facebook ปรับลดระยะเวลาการระงับบัญชีของทรัมป์เป็นสองปี และในปี 2023 เมื่อครบกำหนดสองปี บริษัทได้คืนสิทธิ์ให้เขากลับมาใช้งานแพลตฟอร์ม เช่นเดียวกับ Twitter และ YouTube ที่ยกเลิกการแบนบัญชีของทรัมป์

ล่าสุด ซักเคอร์เบิร์กดูเหมือนจะกลับมาเป็นที่โปรดปรานของทรัมป์อีกครั้ง โดยมีรายงานว่าเขาพบกับทรัมป์หลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และนั่งแถวหน้าระหว่างพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี ซักเคอร์เบิร์กยังเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงระดับหรูให้กับทรัมป์ในช่วงเฉลิมฉลองวันเข้ารับตำแหน่ง

การเจรจายุติคดีเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เมื่อซักเคอร์เบิร์กไปรับประทานอาหารค่ำกับทรัมป์ที่บ้านพัก Mar-a-Lago ในฟลอริดา โดย The Wall Street Journal รายงานว่าทรัมป์ระบุว่าคดีความต้องถูกจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่ซักเคอร์เบิร์กจะสามารถ "เข้าร่วมกลุ่มของเขา" ได้ ต่อมา ซักเคอร์เบิร์กกลับไปที่ Mar-a-Lago ในช่วงต้นเดือนมกราคมเพื่อการไกล่เกลี่ยที่กินเวลาทั้งวัน

หลังจากเดินทางไปฟลอริดาไม่นาน ซักเคอร์เบิร์กก็ประกาศนโยบายใหม่ของ Meta โดยระบุว่าบริษัทจะยกเลิกข้อจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับเนื้อหาทางการเมือง และอนุญาตให้มีการแสดงความคิดเห็นมากขึ้น โดยสะท้อนคำพูดของทรัมป์ว่า "การเซ็นเซอร์ออนไลน์มีมากเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่เราจะกลับไปสู่รากฐานของเรา

ทหาร 1 แสนนายหนีทัพ รัสเซียเผยสูญเสียหนัก เซเลนสกีไม่มีทางเลือก แก้กม.ดึงเด็ก 18 ปีสู้ศึกแทน

(30 ม.ค.68) กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันพฤหัสบดีว่า มีทหารยูเครนราว 100,000 นาย ละทิ้งหน้าที่จากหน่วยของตนเองและหลบหนีไป โดยกรณีการหนีทัพดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในเวลานี้

รายงานระบุว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา กองทัพยูเครนสูญเสียกำลังพลโดยเฉลี่ยประมาณ 50,000 คนต่อเดือน

"จากข้อมูลทางการ ทหารยูเครนประมาณ 100,000 คน ได้ละทิ้งหน่วยทหารของตนโดยพลการและหลบหนีไป" กระทรวงฯ กล่าวในแถลงการณ์ นอกจากนี้ ยังเสริมว่า อัตราการระดมพลในยูเครนไม่สามารถชดเชยการสูญเสียได้ ส่งผลให้จำนวนกำลังพลของยูเครนลดลงอย่างต่อเนื่อง

กลาโหมรัสเซียยังเผยอีกว่า ด้วยสภาพดังกล่าวทำให้รัฐบาลเคียฟมีทางเลือกไม่มาก โดยอาจใช้วิธีการแก้ไขกฎหมายลดอายุเกณฑ์การระดมพลจาก 25 ปีเหลือ 18 ปี ซึ่งเป็นเพียงวิธีเดียวที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี จะสามารถทำได้เพื่อยืดเวลาการรบในแนวหน้าโดยเฉพาะที่ภูมิภาคดอนบาสออกไปอีกไม่กี่เดือน แต่นั่นก็ทำให้ยูเครนถูกบรรดาชาติตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์

ตะวันตกล้อมกรอบ 'DeepSeek'แห่ปิดกั้น-สั่งสอบ กล่าวหาขโมยเทคโนโลยี-เสี่ยงข้อมูลผู้ใช้งานรั่ว

(30 ม.ค.68) เพียงไม่กี่วันที่บริษัท DeepSeek ของจีนเปิดตัวโมเดล AI ที่ใช้ต้นทุนต่ำแถมมีประสิทธิภาพไม่แพ้ ChatGPT ของบริษัท OpenAI จนสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วซิลิคอนวัลเลย์ ถึงขั้นที่หุ้นของบรรดาบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติสหรัฐหลายแห่งร่วงระนาว แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าบรรดาบริษัทเอกชนฝั่งตะวันตก และบรรดาชาติตะวันตกบางแห่งจะระแวงบริษัท AI จีนที่กำลังมาแรงในขณะนี้ 

ล่าสุดดูเหมือนว่าบริษัทเอกชนและรัฐบาลบางประเทศในตะวันตกเริ่มแสดงความกังวลต่อการเติบโตของบริษัท AI จากจีน โดยเฉพาะ DeepSeek ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ มีรายงานว่า คณะกรรมาธิการการค้าของสหรัฐอเมริกา (FTC) กำลังเตรียมตรวจสอบธุรกิจคลาวด์ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) เพื่อประเมินว่ามีการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดหรือไม่ 

แหล่งข่าวจากรอยเตอร์เปิดเผยว่า การตรวจสอบของ FTC จะมุ่งเน้นไปที่ข้อสงสัยว่าไมโครซอฟท์อาจใช้อิทธิพลในฐานะผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ กำหนดเงื่อนไขที่อาจกีดกันไม่ให้ลูกค้าย้ายข้อมูลจากบริการคลาวด์ Azure ไปยังแพลตฟอร์มของคู่แข่ง นอกจากนี้ FTC ยังกำลังพิจารณาข้อกล่าวหาที่ไมโครซอฟท์ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมสมาชิกในราคาสูงสำหรับลูกค้าที่ต้องการยกเลิกบริการคลาวด์ และทำให้ผลิตภัณฑ์ Office 365 ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบคลาวด์ของคู่แข่งได้

ขณะเดียวกัน DeepSeek ก็กำลังถูกจับตาจากหลายประเทศเช่นกัน โดยหน่วยงานกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของอิตาลี (Garante) ได้สั่งให้ Apple และ Google ถอดแอปพลิเคชัน DeepSeek ออกจาก App Store และ Play Store ชั่วคราว ส่งผลให้ผู้ใช้งานในอิตาลีไม่สามารถดาวน์โหลดแอปได้ในขณะนี้ 

Garante ระบุว่ามีความกังวลเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน DeepSeek จึงได้ส่งคำถามไปยังผู้พัฒนาเพื่อขอคำชี้แจงภายใน 20 วัน พร้อมตรวจสอบเพิ่มเติมว่า DeepSeek ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับทั่วไปเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล (GDPR) ของสหภาพยุโรปหรือไม่  

นอกจากอิตาลีแล้ว หน่วยงานกำกับดูแลข้อมูลของไอร์แลนด์ก็เริ่มตรวจสอบการเก็บข้อมูลของ DeepSeek เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกาที่กำลังสืบสวนว่า DeepSeek ใช้ข้อมูลใดในการฝึกฝนโมเดลปัญญาประดิษฐ์ 

กต.แถลงยืนยัน 5 คนไทยพ้นฮามาส เร่งประสานช่วยอีก 1 คนที่เหลือ

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.68) กระทรวงการต่างประเทศแถลงยืนยันว่าคนไทย 5 คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันในฉนวนกาซาได้รับการปล่อยตัวแล้ว และขณะนี้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยเพื่อรับการดูแลทางการแพทย์ โดยรัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือตัวประกันไทยอีก 1 คนที่ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่  

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้รายงานว่าตัวประกันไทยทั้ง 5 คนได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ และกำลังถูกนำตัวไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจสุขภาพ  

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้จัดส่งเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตฯ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศไปให้ความช่วยเหลือ พร้อมติดต่อครอบครัวของตัวประกันในประเทศไทยทันที  

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีเดินทางไปยังอิสราเอลคืนนี้ เพื่อประสานงานรับตัวแรงงานไทยกลับประเทศ กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความยินดีต่อครอบครัวของผู้ที่ได้รับการปล่อยตัว และขอบคุณประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ ได้แก่ กาตาร์ อียิปต์ อิหร่าน ตุรกี สหรัฐอเมริกา รวมถึงสภากาชาดสากล  

รัฐบาลไทยยังขอบคุณอิสราเอลที่ให้ความร่วมมือในการดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยทั้ง 5 คนในการเดินทางกลับประเทศ และหวังว่าตัวประกันไทยที่เหลืออยู่ รวมถึงตัวประกันทุกคนในฉนวนกาซา จะได้รับอิสรภาพโดยเร็วที่สุด  

นายนิกรเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า นับตั้งแต่เกิดความขัดแย้ง มีแรงงานไทยเสียชีวิตจากสงครามในตะวันออกกลางแล้ว 46 ราย ขณะที่ตัวประกันไทยได้รับการปล่อยตัวแล้ว 28 ราย และยังเหลืออีก 1 รายที่อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอให้ได้รับอิสรภาพ  

สำหรับแรงงานไทย 5 คนที่ได้รับการปล่อยตัว ได้แก่  
1. นายเสถียร สุวรรณคำ  
2. นายพงษ์ศักดิ์ แทนนา  
3. นายวัชระ ศรีอ้วน  
4. นายสุรศักดิ์ ลำเนา  
5. นายบรรณวัชร แซ่ท้าว  

ส่วนอีก 1 ราย คือ นายณัฐพงษ์ ปินตา ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันสถานะ แต่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่ โดยประสานงานกับประเทศที่สามารถเจรจากับกลุ่มฮามาส เพื่อให้ตัวประกันไทยคนสุดท้ายได้รับการปล่อยตัวและเดินทางกลับสู่มาตุภูมิอย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

ทรัมป์โทษนโยบายหลากหลาย ทำจราจรทางอากาศพัง จ้างคนไร้ความสามารถทำงาน ต้นเหตุปมเครื่องบินชนเฮลิคอปเตอร์ดับ

(31 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข่าวถึงเหตุโศกนาฏกรรมเครื่องบินสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ ชนเข้ากับเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอวก์ของกองทัพ ตกกลางแม่น้ำโปโตแมค ที่กรุงวอชิงตัน ขณะกำลังลงจอดที่สนามบินเรแกนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 67 ราย โดยไม่มีผู้รอดชีวิต

ซึ่งแม้ว่าสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ทรัมป์กล่าวโทษว่าปัญหาดังกล่าวเกิดจากการขาดประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศ ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมความหลากหลายและความเท่าเทียม (DEI) ที่ส่งเสริมการเปิดรับบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ ให้เข้ามาทำงานแทนที่บุคคลที่มีความสามารถสูงสุด โดยทรัมป์กล่าวว่า 

"คนที่ทำงานควบคุมการจราจรทางอากาศต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาหรือเชื้อชาติ สิ่งสำคัญที่สุดคือความสามารถ" ทรัมป์กล่าว พร้อมวิจารณ์ว่าการเปิดรับบุคคลจากกลุ่มที่หลากหลายเข้าทำงานแทนที่จะพิจารณาจากความสามารถ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง  

เมื่อนักข่าวถามว่าทำไมเขาจึงสรุปว่านโยบาย DEI เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ ทรัมป์ตอบว่า “เพราะผมมีคอมมอนเซนส์ แต่โชคร้ายที่คนอื่นไม่มี”

ทรัมป์ยังกล่าวหาว่ารัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา และโจ ไบเดน ให้ความสำคัญกับนโยบาย DEI มากเกินไป จนทำให้เกิดผลกระทบต่อมาตรฐานขององค์กร เช่น องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) ซึ่งในสมัยของโอบามา เคยเรียกร้องให้เพิ่มความหลากหลายทางเชื้อชาติภายในองค์กร แทนที่จะคัดเลือกพนักงานจากความสามารถโดยตรง

นอกจากนั้นทรัมป์ยังเผยว่า เขาเตรียมลงนามคำสั่งให้กระทรวงคมนาคมยกเลิกนโยบายความหลากหลายและความเท่าเทียม (DEI) ในภาคการบิน หลังเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารของอเมริกันแอร์ไลน์สชนกลางอากาศกับเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กของกองทัพสหรัฐฯ ดังกล่าวด้วย

ด้านรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ และ ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ต่างสนับสนุนแนวทางของทรัมป์ โดยแวนซ์ระบุว่านโยบาย DEI ทำให้มาตรฐานการจ้างงานในหอบังคับการบินตกต่ำลง ขณะที่ดัฟฟียืนยันว่าจะมีการปฏิรูปเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก  

ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า บนเที่ยวบินของอเมริกันแอร์ไลน์สมีผู้โดยสารและลูกเรือรวม 64 คน ส่วนเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กมีผู้โดยสาร 3 คน หนึ่งในกลุ่มผู้โดยสารคือทีมสเก็ตลีลาจากเมืองบอสตัน ซึ่งมีนักกีฬาวัย 16 ปี 2 คน พร้อมมารดาและโค้ชชาวรัสเซียอยู่บนเครื่อง  

ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุ โดยเบื้องต้นพบว่าเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์เดินทางมาตามเส้นทางปกติ ระบบสื่อสารไม่มีปัญหา แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจุดบกพร่องเกิดขึ้นที่ใด ขณะที่สำนักงานดับเพลิงและบริการการแพทย์ฉุกเฉินของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า โอกาสพบผู้รอดชีวิตเป็นไปได้น้อยมาก ปฏิบัติการกู้ภัยจึงเปลี่ยนเป็นการเก็บกู้ศพ

ทรัมป์ฟาดหนัก! ขู่ BRICS เจอภาษี 100% แน่ หากกล้าแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ

(31 ม.ค.68) อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำเตือนผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ถึงกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) โดยขู่ว่าจะขึ้นภาษี 100% หากกลุ่มประเทศเหล่านี้พยายามแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยสกุลเงินใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นในการค้าระหว่างประเทศ

ทรัมป์ระบุว่า “แนวคิดที่ว่ากลุ่ม BRICS จะหันหลังให้กับดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่เรายืนดูอยู่นั้นต้องจบลงแล้ว” พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่สร้างสกุลเงินใหม่ของ BRICS หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นเพื่อแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ 

“หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม พวกเขาจะต้องเผชิญกับภาษี 100% และควรเตรียมตัวโบกมืออำลาการค้ากับเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ” ทรัมป์กล่าว พร้อมเสริมว่า “พวกเขาสามารถไปหาประเทศอื่นที่ยอมจำนนได้ แต่ไม่มีทางที่ BRICS จะเข้ามาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศหรือที่ใดก็ตาม”

คำเตือนของทรัมป์เกิดขึ้นในบริบทที่กลุ่ม BRICS ได้แสดงความสนใจในการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการหารือเกี่ยวกับการสร้างระบบการชำระเงินหรือสกุลเงินใหม่เพื่อลดอิทธิพลของสหรัฐฯ ในระบบการเงินโลก อย่างไรก็ตาม การขู่ว่าจะขึ้นภาษี 100% ของทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และกลุ่ม BRICS ในอนาคต

'มาซาโตชิ อิโตะ' ต้นตระกูลเจ้าของยักษ์สะดวกซื้อ หลังมีข่าวผนึก CP สกัดค้าปลีกแคนาดาเทคโอเวอร์

(31 ม.ค.68) หนึ่งข่าวแวดวงธุรกิจช่วงนี้ที่ถูกกล่าวถึงกันมากคือ รายงานข่าวของสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นที่ว่า ตระกูลอิโตะ (Ito)ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท 7-ELEVEN ญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ (Seven & i Holdings)เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN มีสาขาทั่วโลก ติดต่อกลุ่มธุรกิจเครือ CP เจริญโภคภัณฑ์ ของเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์ ให้ช่วยเหลือเพื่อกันไม่ให้บริษัทร้านสะดวกซื้อแคนาดาชื่อดัง Alimentation Couche-Tard เข้าเทคโอเวอร์กิจการในราคา 47 พันล้านดอลลาร์ 

แม้ว่าปัจจุบันสมาชิกตระกูลอิโตะ จะไม่ได้ทำหน้าที่บริหารกลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ โดยตรงแล้วก็ตาม โดยให้นายริวอิจิ อิซากะ รับหน้าที่ประธานและซีอีโฮของกลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ แทน แต่ปัจจุบันตระกูลอิโตะยังคงมีบทบาทและถือหุ้นใน เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ อยู่ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ในปี 2023 กลุ่มเซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ เพิ่งสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากต่อการเกิดขึ้นของแบรนด์ 7-ELEVEN ในญี่ปุ่น นั่นคือการเสียชีวิตของนาย มาซาโตชิ อิโตะ อดีตประธานและผู้ก่อตั้งกลุ่ม เซเว่น& ไอ โฮลดิงส์ ที่เสียชีวิตด้วยโรคชราในวัย 98 ปี เมื่อ 14 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา

นายมาซาโตชิ อิโตะ นับว่าเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างแบรนด์ 7-ELEVEN ให้รู้จักไปทั่วญี่ปุ่นรวมถึงทั่วโลก ต้องเท้าความก่อนว่าเชนแฟรนไชนส์ร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN นั้นแรกเริ่มเดิมทีมีต้นกำเนิดในเมืองเออร์วิง รัฐเท็กซัส ของสหรัฐ โดย โจ ซี. ทอมป์สัน (Joe C. Thompson) กระทั่งต่อมาขายหุ้นบริษัทให้กับกลุ่ม‘อิโตะ-โยคาโดะ’ (Ito-Yokado) ของตระกูลอิโตะ 

ย้อนกลับมาที่ประวัติของมาซาโตชิ อิโตะ ย้อนไปในปี 2499 นายอิโตะรับช่วงต่อธุรกิจร้านเสื้อผ้าขนาดเล็กต่อจากลุงและพี่ชายต่างมารดา ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ‘อิโตะ-โยคาโดะ’ (Ito-Yokado) และเปลี่ยนธุรกิจไปเป็นเชนร้านสะดวกซื้อครบวงจร ที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ของชำไปจนถึงเสื้อผ้า และได้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 2515

ในเวลาเดียวกัน นายโทชิฟุมิ ซูซุกิ ผู้บริหารคนหนึ่งของ อิโตะ-โยคาโดะ ได้เป็นเจอร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น ขณะเดินทางเยือนสหรัฐฯ พวกเขาเล็งเห็นโอกาส ในเวลาต่อมา อิโต-โยคาโดะ จึงได้ทำข้อตกลงกับบริษัทสหรัฐฯ ‘เซาท์แลนด์ คอร์เปอเรชัน’ (Southland Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทแม่เจ้าของ เซเว่น อีเลฟเว่น ในสหรัฐ นำแบรนด์เข้ามาทำตลาดแดนอาทิตย์อุทัย และเปิดร้านสาขาแรกในญี่ปุ่นในปี 2517

หลังจากนั้นในเดือนมีนาคม 2533 บริษัทของนายอิโตะก็เข้าซื้อหุ้น 70% ของบริษัท เซาท์แลนด์ คอร์เปอเรชัน หลังเซาท์แลนด์ฯ ประสบปัญหาหนี้ท่วมจนต้องยื่นล้มละลาย ทำให้นายอิโตะได้สิทธิ์ในการบริหารกิจการทั้งหมดของเซาท์แลนด์ฯ ก่อนจะขยายสาขาของ เซเว่น อีเลฟเว่น ไปในหลายประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในปี 2535 นายอิโตะต้องลาออกจากตำแหน่งใน อิโตะ-โยคาโดะ เพื่อรักษาความสงบในการประชุมผู้ถือหุ้น หลังจากผู้บริหารของบริษัท 3 คนถูกกล่าวหาว่า จ่ายเงินผิดกฎหมายให้กลุ่มแก๊งยากูซ่า

จากนั้นในปี 2548 บริษัท เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ ก็ถูกก่อตั้งขึ้น และมีการปรับโครงสร้างการบริหาร ให้ อิโตะ-โยคาโดะ ไปเป็นบริษัทสาขาแทน แต่ทางบริษัทยังให้ความสำคัญกับนายอิโตะ โดยตัว ‘ไอ’ (i) ของชื่อ เซเว่น แอนด์ ไอ มีที่มาจากอักษรตัวแรกจากชื่อของนายอิโตะกับบริษัท อิโตะ-โยคาโดะ และนายอิโตะยังได้รับตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ด้วย

ปัจจุบัน เซเว่น อีเลฟเว่น เป็นร้านสะดวกซื้อครบวงจรที่มีสาขามากกว่า 83,000 แห่งใน 17 ประเทศทั่วโลก โดย 1 ใน 4 ของจำนวนนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น คู่แข่งหลักของเซเว่น อีเลฟเว่น ได้แก่ ลอว์สัน (Lawson) ที่มีเจ้าของเป็นชาวญี่ปุ่นเช่นกัน และแฟมิลี มาร์ท (Family Mart) ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ แต่ทั้ง 2 เจ้าก็ยังมีจำนวนสาขาทั่วโลกไม่เยอะ หรือทั่วถึง เทียบเท่ากับอาณาจักรของเซเว่น อีเลฟเว่น 

กล่าวกันว่ามุมมองธุรกิจที่เฉียบแหลมของอิโตะ ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ที่ปรึกษาด้านการจัดการของเขา ผู้ซึ่งเคยยกย่องอิโตะว่า "เป็นผู้ประกอบการและผู้สร้างธุรกิจที่โดดเด่นคนหนึ่งของโลก"

ปี 2531 อิโตะเคยให้สัมภาษณ์กับ The Journal of Japanese Trade and Industry ว่าเมื่อครั้งที่เขาเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในปี 2503 เขาเกิดความรู้สึกตกใจว่า "ทำไมทุกคนที่นี่ถึงดูร่ำรวย ในขณะญี่ปุ่นเวลานั้นเศรษฐกิจย่ำแย่ และอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2"

เขาจึงเริ่มศึกษาจำนวนผู้บริโภคที่แท้จริงในสหรัฐ จนพบว่ามีขนาดใหญ่ และลองหาเทคนิคการจัดจำหน่ายที่เป็นไปได้เพื่อตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มใหญ่นี้

“แม้ผู้คนอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่พวกเขายังคงมีความต้องการโดยพื้นฐานเหมือนกัน และระบบการจัดจำหน่ายของญี่ปุ่น จะเริ่มเหมือนของสหรัฐมากขึ้น เมื่อสังคมผู้บริโภคของญี่ปุ่นเติบโตขึ้น”

อิโตะ เป็นผู้ประกอบการที่สร้างธุรกิจในยุคหลังสงคราม เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ปั้นแบรนด์ระดับโลกที่จำหน่ายสินค้าทุกอย่าง ตั้งแต่โยเกิร์ตไปจนถึงอาหารสำเร็จรูปและยารักษาโรค  ตลอดช่วงปี 2513 -2523 มีผู้สนใจเสนอซื้อกิจการและขยายกิจการหลายครั้งหลายครา

ในบทสัมภาษณ์ของอิโตะเมื่อ 2531 เขาเคยกล่าวว่า “ผมมักถูกถามว่า ประสบความสำเร็จได้ เพราะทำงานหนักหรือเพราะโชคดี คำตอบของผม คือ ทั้งสองอย่าง”

สำหรับบริษัท Seven & i Holdings ปัจจุบันมีบริษัทโฮลดิ้งของตระกูลอิโตะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ  Ito Kogyo KK มีสัดส่วนถือหุ้นประมาณ 8.14%

ทรัมป์เจาะสื่อใหม่!! ไฟเขียวทำเนียบขาวรับอินฟลูฯ ทำข่าว ยอดขอรับบัตรสื่อทะลุ 7,400 ในวันเดียว

(31 ม.ค.68) ทำเนียบขาวสร้างกระแสใหญ่หลังประกาศเปิดโอกาสให้คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ และพอดแคสเตอร์ เข้าร่วมการแถลงข่าวได้อย่างเป็นทางการ ล่าสุด มีคำขอรับบัตรประจำตัวสื่อมวลชนมากกว่า 7,400 รายการ ในเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น หลังประกาศนโยบายนี้เมื่อวันอังคารที่ 25 มกราคม  

แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคข่าวสารของชาวอเมริกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาเสพข่าวผ่านพอดแคสต์ บล็อก และโซเชียลมีเดีย แทนสื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์  

ผลสำรวจล่าสุดจากศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ยืนยันว่า อินฟลูเอนเซอร์และสื่อออนไลน์กลายเป็นแหล่งข่าวหลักสำหรับคนอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยเกือบ 40% ของกลุ่มนี้พึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์ในการติดตามข่าวสารและการเมือง การเปิดพื้นที่ให้สื่อทางเลือกเหล่านี้จึงเป็นโอกาสให้พวกเขาตั้งคำถามกับรัฐบาลได้โดยตรง  

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา พรรคเดโมแครตได้เชิญคอนเทนต์ครีเอเตอร์กว่า 200 คนมาร่วมรายงานข่าวการเลือกตั้ง ขณะที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีก็ร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์หลายสิบคนในการทำข่าวโอลิมปิกปารีส 2024 โดยมอบบัตรผู้สื่อข่าวให้เหมือนนักข่าวมืออาชีพ  

นอกจากนี้ กลยุทธ์การสื่อสารผ่านพอดแคสต์ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังถูกมองว่าประสบความสำเร็จในการดึงดูดผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยรุ่นชายที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม โดยทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์กับพอดแคสเตอร์ชื่อดังอย่าง โจ โรแกน, โลแกน พอล และธีโอ วอน ซึ่งช่วยเพิ่มความนิยมในกลุ่มนี้อย่างมาก

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของทำเนียบขาวไม่เพียงสะท้อนถึงการปรับตัวต่อเทรนด์สื่อสมัยใหม่ แต่ยังเป็นการท้าทายบทบาทของสื่อดั้งเดิมที่อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในยุคที่ทุกคนสามารถเป็น 'ผู้สื่อข่าว' ได้

อาร์ตทอยแบรนด์จีนครองใจนักสะสมไทย ยก 'ลาบูบู้-ดีมู่' ทูตพิเศษเชื่อม 50 ปีสัมพันธ์สองชาติ

(31 ม.ค.68) 'ป๊อปมาร์ท' (Pop Mart) ร้านจำหน่ายของเล่นของสะสมอาร์ตทอย (art toy) สัญชาติจีนชื่อดังระดับโลก มีสาขาใหญ่อยู่บนถนนคนเดินสายธุรกิจการค้าหนานจิงลู่ในมหานครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน ที่ซึ่งได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากเข้ามาเลือกซื้อกล่องสุ่มของเล่นของสะสมติดไม้ติดมือกลับประเทศกันอย่างคึกคัก

ไอวี่ สาวไทยคนหนึ่งที่มาท่องเที่ยวประเทศจีนเป็นครั้งแรก บอกกับผู้สื่อข่าวประจำสำนักข่าวซินหัวว่ากล่องสุ่มลาบูบู้ (Labubu) ได้รับความนิยมอย่างมาก แทบทุกคนอยากซื้อกันหมด แต่ร้านป๊อปมาร์ททุกสาขาในไทยไม่ค่อยมีสินค้าแล้ว ทำให้ไอวี่ไม่พลาดจะเลือกซื้อกล่องสุ่มลาบูบู้จากร้านสาขาใหญ่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ความนิยมชมชอบลาบูบู้ในไทยเห็นได้ชัดจากกรณีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มอบตำแหน่ง 'Amazing Thailand Experience Explorer' แก่มาสคอตลาบูบู้จากจีน พร้อมจัดพิธีต้อนรับที่สนามบินเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2024 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานรัฐบาลไทยมอบตำแหน่งลักษณะนี้แก่ผลิตภัณฑ์ที่มีทรัพย์สินทางปัญญา (IP)

รายงานของนีลเส็น (Nielsen) บริษัทวิจัยตลาดโลก เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ระบุว่าไทยเป็นประเทศที่มีการกล่าวถึงลาบูบู้และป๊อปมาร์ทมากที่สุดบนติ๊กต็อก (TikTok) มีการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องมากกว่า 3.65 แสนรายการ โดยลาบูบู้ยังสามารถครองใจสมาชิกราชวงศ์และดาราดังของไทยเข้าร่วมเป็นแฟนคลับด้วย

เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ซึ่งร่วมพิธีต้อนรับมาสคอตลาบูบู้ที่สนามบิน เผยว่าลาบูบู้มีอิทธิพลระดับโลกที่แข็งแกร่ง ไทยจึงเลือกมอบตำแหน่งสำคัญข้างต้น และหวังว่าลาบูบู้จะเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญต่อการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมร่วมสมัยของไทยกับจีน

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ตลาดของเล่นของสะสมของจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว มีแบรนด์เกิดใหม่ที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ป๊อปมาร์ท 52ทอยส์ (52TOYS) และท็อป ทอย (TOP TOY) ในเครือมินโซ (MINISO) ก่อให้เกิดการซื้อขายกันอย่างคึกคักทั่วโลก โดย 'ไทย' กลายเป็นตลาดสำคัญของเหล่าผู้ผลิตของเล่นของสะสมจากจีน

ป๊อปมาร์ทได้เปิดร้านสาขาธีมลาบูบู้แห่งแรกของโลกที่ศูนย์การค้าเมกาบางนาในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ซึ่งนับเป็นร้านสาขาแห่งที่ 6 ในไทยนับตั้งแต่ป๊อปมาร์ทเข้าสู่ตลาดไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 โดยยอดจำหน่ายในวันเปิดร้านสูงเกิน 10 ล้านหยวน (ราว 46 ล้านบาท) สร้างสถิติยอดจำหน่ายสูงสุดในวันเดียวของร้านสาขาในต่างประเทศ

นอกจากนั้นป๊อปมาร์ทยังร่วมงานกับศิลปินชาวไทยอย่าง 'มอลลี่' (Molly) สร้างสรรค์ของเล่นของสะสม 'ครายเบบี้' (CRYBABY) อันมีเอกลักษณ์ที่หยดน้ำตาคลอเบ้าบนใบหน้าเศร้า เพื่อช่วยให้นักสะสมได้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกภายใต้แนวคิดว่าการร้องไห้ช่วยเยียวยาหัวใจอันบอบช้ำได้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากหลังจากเปิดตัวเพียงไม่นาน

นักท่องเที่ยวชาวไทยเหล่านี้ที่ได้เยือนร้านสาขาของป๊อปมาร์ทในจีนคือผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบายฟรีวีซ่าซึ่งกันและกันระหว่างจีนกับไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2024 และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนสองประเทศอย่างยิ่ง

เสี่ยวหรง ผู้จัดการร้านป๊อปมาร์ทสาขาใหญ่ในนครเซี่ยงไฮ้ เผยว่าจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติ ทั้งจากไทย สหรัฐฯ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เพิ่มขึ้นมากตั้งแต่มีนโยบายฟรีวีซ่า กอปรกับทำเลที่ดีของร้านสาขาแห่งนี้ทำให้กลายเป็นหนึ่งในจุดเช็กอินยอดนิยม โดยลูกค้ามักจะเยอะช่วงวันศุกร์เพราะเป็นวันเปิดตัวสินค้าใหม่

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยยังมอบตำแหน่ง 'มิตรสหายพิเศษ' ประจำวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทยในปี 2025 แก่ของเล่นของสะสม 'ดีมู่' (DIMOO) ของป๊อปมาร์ทเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระสำคัญด้วยแนวคิดช่วยเหลือเติบโตไปด้วยกันและสร้างความเชื่อมโยงในหมู่คนหนุ่มสาวชาวไทยและชาวจีน

การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนเป็นข้อได้เปรียบของความสัมพันธ์จีน-ไทยเสมอมา โดยของเล่นของสะสมเหล่านี้กลายเป็นอีกหนึ่งพลังใหม่ที่เข้ามาร่วมส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและระหว่างประชาชนในปัจจุบัน ทำให้คำกล่าว “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” มีความหมายลึกซึ้งยิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top