Thursday, 15 May 2025
World

อาลัย ‘ฉีเส้าเฉียน’ ดาราชื่อดังฮ่องกง ‘ฮุ้นปวยเอี้ยง’ แห่งกระบี่ไร้เทียมทาน

(16 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘เพจเก้ากระบี่เดียวดาย’ ได้โพสต์อาลัยถึง ‘ฉีเส้าเฉียน’ ดาราดังของฮ่องกง ผู้รับบท ‘ฮุ้นปวยเอี้ยง’ แห่งกระบี่ไร้เทียมทาน โดยระบุว่า…

“ตามรายงานของสื่อฮ่องกง Hong Kong 01 และ East Net ในวันนี้ มีรายงานข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของ ฉีเส้าเฉียน ดาราภาพยนตร์ละครโทรทัศน์กำลังภายในของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮ่องกงในช่วงทศวรรษ 70 ถึง 80 ด้วยวัย 73 ปี ว่ากันว่าเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหารในกรุงปักกิ่งเมื่อต้นเดือนนี้ สื่อบางแห่งถาม เทียนฉีเหวิน ผู้สร้างภาพยนตร์อาวุโส และเขายืนยันข่าวการเสียชีวิตของ ฉีเส้าเฉียน…

“เอริก้า​ ฉี​ ลูกสาวของ ฉีเส้าเฉียนโพสต์เพลงของ จางเซียะโหย่ว ‘You Are the Only Legend in My Life’ บนโซเชียลมีเดีย “I Love You!” คุณพ่อ และกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ “ขอบคุณสำหรับความห่วงใย ฉันหวังว่าทุกคนจะให้ เรามีพื้นที่เพื่อให้ครอบครัวของเราจัดการกับเรื่องนี้” 

ฉีเว่ยตงลูกชายของเขาตอบกับสื่อว่า “ขอบคุณสำหรับความกังวล เรากำลังจัดการเรื่องนี้กับครอบครัว”

ฉีเส้าเฉียน เกิดที่กว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ในวันที่ 16 ตุลาคม 1950 ฉีเส้าเฉียนมีพี่สาวแท้ ๆ หนึ่งคน ส่วนพ่อของเขาเป็นนักธุรกิจ เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนหลิงตง เขาก็เริ่มทำงานเป็นพนักงานติดตามหนี้ของธนาคารต่างประเทศ แล้วจึงย้ายไปทำงานในตลาดหลักทรัพย์ในฐานะเสมียนบัญชีรับผิดชอบในการจัดการผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ในช่วงนั้นฉีเส้าเฉียนรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ และมีเพื่อนของเขาแนะนำให้ไปเรียนการแสดงของชอว์ บราเดอร์ ซึ่งฉีเส้าเฉียน จบการแสดงในปี 1972 

ฉีเส้าเฉียน ได้แสดงบทชาวบ้านในภาพยนตร์เรื่องแรก คือ ไอ้หนุ่ม 8 จอมเหี้ยม (The Savage Five/1974 ) ที่นำแสดงโดย ตี้หลุง เดวิด เจียง เฉินกวนไถ้ หลังจากนั้นเขาก็วนเวียนแสดงภาพยนตร์ของชอว์ บราเดอร์อีกหลายเรื่อง 

จนกระทั่งในปี 1977 ทางสถานีโทรทัศน์ลี่เตอ Rediffusion Television หรือ RTV (ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ATV เอเชียเทลิวิชัน ในวันที่ 24กันยายน 1982) ได้ขอยืมตัวฉีเส้าเฉียนไปแสดงละครโทรทัศน์เรื่อง Big Man (大丈夫/1977) ก่อนที่จะกลับไปแสดงภาพยนตร์ให้ชอว์ บราเดอร์ เรื่อง ศึกล้างเจ้ายุทธจักร (Death Duel/1977) ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของโกวเล้ง เรื่อง ซาเสียวเอี้ย นำแสดงโดย เอ๋อตงเซิน และ หวีอันอัน

ก่อนที่จะโด่งดังไปทั่วเอเชียกับ บทบาท ฮุ้นปวยเอี้ยง ใน ‘กระบี่ไร้เทียมทาน’ ปี​ 1979  ละครกำลังภายใน​ ในตำนานวงการโทรทัศน์​ฮ่องกงและไทย​ ขอไว้อาลัยแด่ท่าน ณ ที่นี้ขอรับ

'ทรัมป์' ถูกลอบสังหารรอบ 2 ขณะตีกอล์ฟในฟลอริดา พบมือลอบสังหารเป็นฝ่ายหนุน 'แฮร์ริส' ประวัติอาชญากรรมเพียบ

(16 ก.ย. 67) สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์ รายงานว่า มือปืนต้องสงสัยลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะกำลังตีกอล์ฟในรัฐฟลอริดาในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (15 ก.ย.) เคยประกาศบนสื่อสังคมออนไลน์ในปีนี้ว่า "ประชาธิปไตยอยู่บนบัตรเลือกตั้ง" และ "เราไม่อาจพ่ายแพ้ได้" สะท้อนวาทกรรมต่อต้านทรัมป์ ที่รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ใช้บ่อย ๆ

แหล่งข่าวพวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ระบุผู้ต้องสงสัยรายนี้คือนายไรอัน เวสลีย์ รูธ วัย 58 ปี ขณะที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ระบุว่า รูธ ซึ่งมาจากนอร์ทแคโรไลนาและมีประวัติอาชญากรรมยาวเหยียด บ่อยครั้งมักโพสต์เกี่ยวกับการเมืองและเคยบริจาคเงินให้บรรดาตัวแทนพรรคเดโมแครตหลายต่อหลายครั้ง ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2019

นอกจากนี้ เขายังเคยวิจารณ์ ทรัมป์ อย่างดุเดือด โดยเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเขาได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ว่า "ประชาธิปไตยอยู่บนบัตรเลือกตั้งและเราไม่อาจพ่ายแพ้ได้"

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดน และรองประธานาธิบดีแฮร์ริส มักใช้สโลแกนดังกล่าวอยู่เป็นประจำ

ในข้อความที่โพสต์ในวันดังกล่าว เขายังเขียนแนะนำ ไบเดน วัย 81 ปี ซึ่งตอนนั้นยังคงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าให้เดินหน้ารักษา "ความเป็นประชาธิปไตยและความเสรีของอเมริกา" ต่อไป พร้อมกับอ้างว่า ทรัมป์ ต้องการทำให้ "อเมริกันชนเป็นทาสรับใช้"

"ประชาธิปไตยอยู่บนบัตรเลือกตั้ง และเราไม่อาจพ่ายแพ้ได้ เราไม่สามารถล้มเหลว โลกกำลังยึดถือการนำทางของเรา" รูธ ระบุ

ภาษาลักษณะเดียวกันนี้เป็นวาทกรรมที่ แฮร์ริส เดินหน้าใช้มาตลอดการหาเสียงเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม เธอกล่าว ณ เวทีหาเสียงที่เมืองซาวานนาห์ รัฐจอร์เจีย ว่า "เรากำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเรา"

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 31 กรกฎาคม แฮร์ริส กล่าวในกิจกรรมหนึ่งในฮิวสตัน ว่า "เสรีภาพพื้นฐานของเราอยู่บนบัตรเลือกตั้ง เช่นเดียวกับประชาธิปไตยของเรา" หลังจากกล่าววาทกรรมแบบเดียวกันนี้ ในอีกกิจกรรมของชมรมหนึ่งในวันเดียวกัน

ทอม ฟิตตอน ประธาน Judicial Watch กลุ่มกฎหมายอนุรักษนิยม ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กโพสต์ว่า "ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ รูธ จะพูดพร่ำวาทกรรมรุนแรงสุดขั้วของ กมลา และ โจ ที่มีต่อ ทรัมป์ และ ณ เวลานี้ มันคือการยั่วยุที่ไม่อาจให้อภัยได้"

เบื้องต้น โฆษกของทั้งไบเดนและแฮร์ริส ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้

เปิดข้อมูล 'ไรอัน รูธ' ผู้ต้องสงสัยคิดลอบสังหาร 'ทรัมป์' เป็นผู้สนับสนุนยูเครนตัวยงเรื่องการทำสงครามกับรัสเซีย

(16 ก.ย. 67) ผลการสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับชายต้องสงสัยพยายามลอบสังหารนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐพบว่า เขาเป็นผู้สนับสนุนยูเครนตัวยงเรื่องการทำสงครามกับรัสเซีย

รอยเตอร์รายงานว่า พบข้อมูลของนายไรอัน รูธ ชาวรัฐฮาวาย วัย 58 ปี ในแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) เฟซบุ๊ก และลิงก์อิน (LinkedIn) แต่การเข้าถึงเอ็กซ์และเฟซบุ๊กของเขาแบบสาธารณะ ถูกลบไปไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุพยายามลอบสังหารทรัมป์ที่สนามกอล์ฟ เมืองเวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น บัญชีที่ใช้ชื่อนายรูธ 3 บัญชีบ่งชี้ว่า เขาเป็นผู้สนับสนุนยูเครนตัวยง

โดยเมื่อวันที่ 21 เมษายน เขาโพสต์ข้อความผ่านเอ็กซ์ถึงนายอีลอน มัสก์ เจ้าของแพลตฟอร์มโดยตรงว่า "อยากซื้อจรวดของมัสก์เพื่อนำไปติดหัวรบถล่มคฤหาสน์ที่ทะเลดำของวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เพื่อจบชีวิตปูติน ขอให้แจ้งราคามาด้วย"

ส่วนเมื่อต้นปีนี้เขาโพสต์เอ็กซ์โดยติดแท็กชื่อบัญชีของประธานาธิบดีโจ ไบเดนว่า "การหาเสียงของไบเดนควรใช้ชื่อว่า KADAF ย่อมาจากคำว่า Keep America democratic and free แปลได้ว่า ทำให้อเมริกาเป็นประชาธิปไตยและเสรีต่อไป ส่วนการหาเสียงของทรัมป์ควรใช้ชื่อว่า MASA ย่อมาจากคำว่า make Americans slaves again master แปลได้ว่า ทำให้อเมริกาเป็นทาสอีกครั้ง"

ทั้งนี้ นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า เคยสัมภาษณ์นายรูธในปี 2566 เรื่องชาวอเมริกันที่อาสาไปช่วยยูเครนรบกับรัสเซีย โดยเขาอ้างว่าเคยอยู่ในยูเครนหลายเดือนในปี 2565 และหาทางรับสมัครทหารอัฟกันที่หนีรัฐบาลตอลิบานในอัฟกานิสถานไปรบในยูเครน

รอยเตอร์และซีเอ็นเอ็นได้ติดต่อสอบถามบุตรชาย 2 คนของนายรูธ แต่ทั้งคู่ปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องลอบสังหาร

'ฮ่องกง' จ่อยัดคุกหนุ่มใส่เสื้อ ‘ปลุกระดม’ เซ่นกฎหมายความมั่นคง ‘มาตรา 23’

(16 ก.ย. 67) รอยเตอร์ส รายงานว่า ชู ไคพง (Chu Kai-pong) วัย 27 ปี รับสารภาพความผิดฐาน ‘กระทำการปลุกระดมโดยเจตนา’ จำนวน 1 กระทง ซึ่งตามกฎหมายมาตรา 23 ได้ขยายระวางโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี กลายเป็น 7 ปี และอาจเพิ่มเป็น 10 ปี หากพบว่ามีการ ‘สมคบคิดกับต่างชาติ’ ร่วมด้วย

ชู ถูกจับเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่สถานีรถไฟฟ้าแห่งหนึ่งขณะสวมเสื้อทีเชิ้ตซึ่งเขียนสโลแกนว่า “ปลดปล่อยฮ่องกง การปฏิวัติของคนรุ่นเรา” (Liberate Hong Kong, revolution of our times) และยังสวมหน้ากากที่เพนต์ตัวอักษร FDNOL ซึ่งย่อมาจาก ‘five demands, not one less’ หรือ ‘ข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ไม่น้อยลงแม้แต่ข้อเดียว’

สโลแกนทั้งสองนี้มักจะถูกป่าวร้องในกิจกรรมของกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยฮ่องกงเมื่อช่วงปี 2019 และวันที่ 12 มิ.ย. ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวซึ่งนำไปสู่สถานการณ์รุนแรงในเวลาต่อมา

ศาลฮ่องกงอ้างคำรับสารภาพของ ชู ซึ่งบอกกับตำรวจว่า เขาสวมเสื้อตัวนี้ก็เพราะต้องการย้ำเตือนคนฮ่องกงให้รำลึกถึงการชุมนุมประท้วงดังกล่าว

วิกเตอร์ โซ (Victor So) หัวหน้าผู้พิพากษาซึ่งถูกคัดเลือกโดย จอห์น ลี ผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงให้มาทำหน้าที่ไต่สวนคดีความมั่นคง ได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันพฤหัสบดีนี้ (19 ก.ย.)

อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนให้จีนในปี 1997 โดยรัฐบาลจีนในขณะนั้นได้ให้สัญญาว่าสิทธิเสรีภาพของพลเมืองฮ่องกง ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จะได้รับการปกป้องภายใต้สูตรการปกครอง ‘หนึ่งประเทศ-สองระบบ’

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลปักกิ่งภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้นำกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติมาบังคับใช้กับฮ่องกงในปี 2020 ซึ่งมีบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตสำหรับผู้ที่พยายามแบ่งแยกดินแดน บ่อนทำลายรัฐ ก่อการร้าย และสมคบคิดกับต่างชาติ

ต่อมาในเดือน มี.ค.ปีนี้ ฝ่ายบริหารฮ่องกงยังได้ออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ที่เรียกกันว่ามาตรา 23 ซึ่งกำหนดบทลงโทษสำหรับความผิดฐานเป็นกบฏ ก่อวินาศกรรม ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก ขโมยความลับของรัฐ การแทรกแซงจากภายนอก และการจารกรรมข้อมูล โดยมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หลายปีไปจนถึงตลอดชีวิต

นักวิจารณ์รวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งให้คำนิยามของการ ‘ปลุกปั่นยุยง’ เอาไว้อย่างกว้าง ๆ จนอาจกลายเป็นเครื่องมือกดขี่ผู้ต่อต้านรัฐ

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่จีนและฮ่องกงยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้จำเป็นสำหรับการ ‘อุดช่องโหว่’ เพื่อช่วยปกป้องความมั่นคงของชาติไว้

'โพนี หม่า' แห่ง Tencent ทวงบัลลังก์คนรวยที่สุดในจีนคืนอีกครั้ง ชี้!! ส่วนหนึ่งเพราะความสำเร็จจากเกม Black Myth : Wukong

(16 ก.ย. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า โพนี หม่า (Pony Ma) ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท Tencent Holdings Ltd. กลับมาทวงบัลลังก์มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของจีน ของการจัดอันดับความมั่งคั่งในประเทศจีนอีกครั้ง ซึ่งทำให้กลายเป็นมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีคนล่าสุดที่สามารถบรรลุสถานะดังกล่าวได้

ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากเศรษฐกิจจีนส่งผลให้หุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงบางส่วนลดลงในวันที่ 16 ก.ย.2567 ทำให้ โพนี หม่า แซงหน้าจงซานซาน ผู้ประกอบการน้ำดื่มบรรจุขวด ด้วยทรัพย์สินมูลค่า 43,900 ล้านดอลลาร์ ณ เวลา 14.23 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตามดัชนีมหาเศรษฐี Bloomberg จงซานซานหล่นลงมาอยู่ที่อันดับ 3 และจางอี้หมิง ผู้ก่อตั้ง ByteDance Ltd. เจ้าของ TikTok ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน อยู่ในอันดับสอง

ความมั่งคั่งของโพนี หม่า เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากผลกำไรของ Tencent แซงหน้าคู่แข่งที่มีขนาดใกล้เคียงกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเกมในจีน ซึ่งเป็นตลาดเกมบนมือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความสำเร็จของเกมดังอย่าง DnF Mobile ไปจนถึง Black Myth: Wukong ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่บริษัทให้การสนับสนุน ประกอบกับคำมั่นสัญญาที่จะสนับสนุนจากจีน ช่วยผลักดันให้ Tencent ก้าวไปสู่ระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่ยุคอินเทอร์เน็ตพีคในยุคโควิด

หลังจากที่จีนใช้เวลาเกือบ 2 ปีในการควบคุมบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศ รวมถึง Alibaba Group Holding Ltd. และ Didi Global Inc. พร้อมด้วยผู้ก่อตั้งที่ร่ำรวยมหาศาล การปราบปรามดังกล่าวกัดกร่อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ประกอบการ และทำให้ภาคเอกชน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาหดตัวลง

ความมั่งคั่งของ โพนี หม่า ลดลงประมาณ 40% จากจุดสูงสุดในเดือนมกราคม 2564 ตามดัชนีความมั่งคั่งของ Bloomberg เขาเป็นคนที่สามที่ได้รับการจัดอันดับเป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในจีนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม หลังจากการขายหุ้นที่ทำลายสถิติทำให้ทรัพย์สินของผู้ร่ำรวยที่สุดของประเทศหายไปหลายพันล้านดอลลาร์และเผยให้เห็นความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นของนักลงทุนเกี่ยวกับสถานะของเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย Colin Huang ผู้ก่อตั้ง PDD Holdings Inc. ครองตำแหน่งนี้เพียง 18 วันในเดือนที่แล้ว

ทั้งนี้ โพนี หม่าก่อตั้ง Tencent ขึ้นในปี 1998 ด้วยเงินที่หาได้จากการร่วมทุนครั้งก่อนด้วยต้นทุน 500,000 หยวน หรือราว 70,450 ดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ 62 ปีของค่าจ้างเฉลี่ยของชาวจีนในขณะนั้น หม่าเกิดที่มณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน ศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเซินเจิ้น และเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ก่อนที่จะร่วมก่อตั้ง Tencent กับอีก 4 คน

Tencent ผู้จัดจำหน่ายเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งทะยานในช่วงหลายปีก่อนที่จีนจะเริ่มปราบปราม โดยขึ้นถึงจุดสูงสุดในฐานะบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก นอกจากนี้ Tencent ยังซื้อหุ้นใน Tesla Inc., Reddit Inc., Snap Inc., Spotify Technology SA และแบรนด์ความบันเทิงระดับโลกอีกมากมาย

ในเวลานั้น โพนี หม่าเป็นหนึ่งในเจ้าพ่ออุตสาหกรรมจีนที่สะสมทรัพย์สินมหาศาลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่พุ่งสูง จนกลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดของประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2563 ความมั่งคั่งส่วนใหญ่ของหม่าได้มาจากการถือหุ้นในบริษัท Tencent ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเซินเจิ้น ตามดัชนีมหาเศรษฐีของ Bloomberg

หลังจากที่จีนมีท่าทีเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมอิทธิพลของบริษัทเทคโนโลยีและกำจัดคอร์รัปชันที่เชื่อมโยงกับการขยายตัวของทุนอย่างไม่เป็นระเบียบ บริษัท Tencent ก็ได้ลดขนาดลงโดยการขายหุ้นในสินทรัพย์ด้านอีคอมเมิร์ซและเกม และรัฐบาลได้สั่งให้บริษัทดังกล่าวยกเครื่องธุรกิจการเงิน

ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 จีนได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงความผ่อนปรน ซึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความจำเป็นในการว่าจ้างบริษัทเอกชนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วจีนได้ยุติการตรวจสอบ Ant Group Co. และภาคเทคโนโลยีทางการเงินมาหลายปี หลังจากปรับเงินไปกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

‘สหรัฐฯ’ แจกทุนเรียนฟรี หลักสูตรพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ เพิ่มขีดความสามารถอุตฯ ชิปเวียดนามให้แกร่งสุดในภูมิภาค

อุตสาหกรรมด้านเซมิคอนดักเตอร์ของเวียดนามกำลังถูก ‘ติดปีก’ ด้วยแรงสนับสนุนอย่างดีจากชาติมหาอำนาจอย่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ ด้วยการให้นักศึกษา และผู้เชี่ยวชาญในเวียดนามได้เรียนหลักสูตรเฉพาะทางด้านการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ฟรี เพื่อนำความรู้มาพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนด้านนวัตกรรมภายใต้ชื่อ ‘Innovation and Technology Security International Program’ (ITSI) เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 1 ปี ของแผนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ และเวียดนามที่ได้เซ็นไว้เมื่อเดือนกันยายน 2566 ที่ผ่านมา

หลักสูตรด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ เป็นของมหาวิทยาลัย Arizona State University จัดการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญสายตรงจากของสถาบันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยหลักสูตรประกอบด้วยวิชาต่าง ๆ เช่น คุณสมบัติของเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง วัสดุเซมิคอนดักเตอร์ วิธีการประกอบ และผลิตไมโครชิปอิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ โดยจะให้สิทธิ์เรียนฟรีเฉพาะประเทศที่รัฐบาลกำหนดเท่านั้น ซึ่งตอนนี้มีอยู่เพียง 8 ประเทศ ได้แก่ คอสตาริกา อินเดีย อินโดนีเซีย เคนยา เม็กซิโก ปานามา ฟิลิปปินส์ และ ล่าสุด เวียดนาม

เป้าหมายของโครงการนี้ เพื่อกระจายความรู้ และขยายขีดความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ให้กับประเทศพันธมิตรที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลสหรัฐฯ

หลักสูตรเปิดรับสมัครทั้งนักศึกษา อาจารย์ และผู้เชี่ยวชาญที่สนใจด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเดตอร์ และจะได้ใบประกาศนียบัตรด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์หลังจบหลักสูตรด้วย 

เจฟฟรีย์ กอส หัวหน้านักวิจัยของโครงการ ITSI แห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา สเตท กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ จะเปิดโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้กับนักศึกษา และผู้เชี่ยวชาญชาวเวียดนาม ได้การเข้าถึงหลักสูตรด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ชั้นสูง ที่จะส่งให้เวียดนามมีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมนี้ได้ในอนาคต 

เช่นเดียวกันกับ มาร์ค แนปเปอร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำเวียดนาม ที่ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของโครงการนี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของเวียดนาม ที่จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และยังส่งเสริมความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างทั้งสหรัฐฯ และเวียดนามในระยะยาว 

ด้าน เหงียน ชี ดุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุน ก็รับลูกต่อจากสหรัฐฯ ด้วยการตกลงที่จะผลักดันให้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เป็นเสาหลักในความร่วมมือระหว่างเวียดนาม และ สหรัฐฯ อีกทั้งยังกล่าวชื่นชมความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ที่จะสนับสนุนเวียดนามในการสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งจะช่วยฝึกอบรมวิศวกรหลายหมื่นคน ป้อนสู่ตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ

ก่อนหน้าที่จะมีข้อตกลงความร่วมมือกับสหรัฐฯ เวียดนามก็มี ศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ (NIC) อยู่แล้วภายใต้การดูแลของกระทรวงการวางแผนและการลงทุน ที่จัดโครงการฝึกอบรมด้านเซมิคอนดักเตอร์ร่วมกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Qorvo, Cadence, Google, Siemens, Samsung และ FPT 

มาวันนี้ สหรัฐอเมริกาหอบลมใต้ปีกมาหนุนเวียดนามอย่างเต็มตัว ช่วยแบ่งปันองค์ความรู้ให้ รวมถึงขยายโอกาสในการลงทุนร่วมในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ร่วมกับเวียดนามในอนาคตด้วย จึงไม่เกินจริงที่จะกล่าวว่า ‘เวียดนาม’ จะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในด้านเศรษฐกิจ และศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในภูมิภาคนี้ ด้วยวิสัยทัศน์ และความทะเยอทะยานอย่างถึงที่สุดของรัฐบาลเวียดนามนั่นเอง

'กระทรวงพาณิชย์จีน' เตือนค่ายรถท้องถิ่น ระวังความเสี่ยงตั้งโรงงานในต่างแดน

(17 ก.ย. 67) รอยเตอร์ส รายงานว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จีน (MOFCOM) ได้แจ้งกับบริษัทรถท้องถิ่นที่เข้าร่วมประชุมกว่า 10 แห่งให้งดการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ในอินเดีย และแนะนำอย่างแข็งขันไม่ให้ลงทุนในรัสเซียเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้น MOFCOM ยังย้ำความเสี่ยงในการสร้างโรงงานในไทยและยุโรป อีกด้วย

ทางด้านบลูมเบิร์กที่รายงานข่าวนี้เป็นเจ้าแรก ระบุว่า MOFCOM กำหนดให้ผู้ผลิตที่ต้องการลงทุนในตุรกีต้องแจ้งกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศที่รับผิดชอบอุตสาหกรรมอีวี รวมถึงสถานทูตจีนในตุรกีก่อน ระหว่างการประชุมยังมีการแนะนำให้ค่ายรถใช้ชิ้นส่วนน็อกดาวน์สำหรับการประกอบขั้นสุดท้ายในโรงงานต่างแดน ซึ่งหมายความว่า ส่วนประกอบสำคัญของรถจะยังคงทำการผลิตภายในจีน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ ชุดน็อกดาวน์ครอบคลุม CKD (Completely Knocked Down) คือการประกอบภายในประเทศ โดยที่ตัวถัง ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ผลิตภายในประเทศ และ SKD (Semi Knocked Down) คือการประกอบภายในประเทศ แต่ตัวถัง ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ต่าง ๆ นำเข้าจากต่างประเทศ

ค่ายรถจีนบางแห่งปรับใช้กลยุทธ์นี้ในตลาดต่างประเทศแล้ว เช่น เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่ลงนามเป็นหุ้นส่วนในการประกอบรถยนต์กับอีพี มานูแฟกเจอริง เบอร์ฮัดของมาเลเซีย โดยอิงกับรูปแบบ CKD เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านม

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวยืนยันว่า ไม่มีการกำชับให้ผู้ผลิตต้องทำตัวให้แน่ใจว่า เทคโนโลยีอีวีล้ำสมัยจะไม่หลุดรอดออกนอกประเทศตามที่บลูมเบิร์กรายงานแต่แรก

บลูมเบิร์กตั้งข้อสังเกตว่า แนวทางของ MOFCOM ที่กำหนดให้การผลิตหลักต้องจำกัดอยู่ภายในจีนนั้น ส่งผลกระทบต่อความพยายามในการขยายตัวทั่วโลกของบริษัทรถจีนที่กำลังพยายามหาลูกค้าใหม่ ๆ มาชดเชยการแข่งขันรุนแรงและยอดขายดิ่งในประเทศ

ขณะที่ด้าน MOFCOM ตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศที่เชิญชวนค่ายรถจีนเข้าไปสร้างโรงงาน มักเป็นประเทศที่บังคับใช้หรือกำลังพิจารณาใช้กำแพงการค้ากีดกันรถจีน นอกจากนั้น ผู้ผลิตยังได้รับคำแนะนำว่า ไม่ควรหลับหูหลับตาไล่ตามเทรนด์หรือหลงเชื่อคำเชิญเข้าลงทุนของรัฐบาลต่างชาติ

ปัจจุบัน บริษัทรถจีนกำลังพยายามอย่างหนักในการขยายธุรกิจออกนอกประเทศ ท่ามกลางปัญหาศักยภาพการผลิตล้นเกินอันเนื่องมาจากดีมานด์ในจีนซบเซาลงซึ่งนำไปสู่สงครามราคาที่โหดร้ายและยาวนาน ขณะที่ความพยายามในการกระตุ้นยอดขายในตลาดใหญ่อย่างยุโรปและอเมริกาต้องเผชิญอุปสรรคจากการขูดภาษีศุลกากรรถยนต์ไฟฟ้าเมด อิน ไชน่า

ขณะเดียวกัน แม้หลายประเทศในยุโรปที่รวมถึงสเปนและอิตาลี พยายามดึงดูดการลงทุน ทว่า บริษัทรถจีนยังคงระมัดระวังในการลุยเดี่ยวตั้งฐานการผลิตในประเทศเหล่านั้นเนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก รวมทั้งยังต้องพยายามทำความเข้าใจกฎหมายและวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย

โดยบริษัทจีนบางแห่ง เช่น ลีปมอเตอร์ เลือกเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทท้องถิ่นแทน โดยโครงการร่วมทุนของลีปมอเตอร์กับสเตลแลนทิสเริ่มเดินเครื่องผลิตอีวีแล้วในโรงงานในโปแลนด์ของบริษัทสัญชาติฝรั่งเศส-อิตาลีแห่งนี้

'ทัปเปอร์แวร์' เตรียมประกาศล้มละลาย หลังเผชิญวิกฤติหนี้กว่า 700 ล้านเหรียญ

(17 ก.ย. 67) ทันโลกกับ Trader KP รายงานว่า Tupperware Brands Corp. ผู้ผลิตกล่องใส่อาหารชั้นนำของโลก กำลังเตรียมยื่นขอคุ้มครองล้มละลาย หลังประสบปัญหาการแข่งขันอย่างหนักและไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ได้ Bloomberg รายงานข้อมูลสำคัญดังนี้...

1) #ปัญหาหนี้สิน Tupperware มีหนี้สินมากกว่า $700 ล้าน ซึ่งเป็นภาระที่บริษัทต้องจัดการท่ามกลางความท้าทายจากการแข่งขัน

2) บริษัทได้ติดต่อที่ปรึกษากฎหมายและการเงินแล้ว และอาจยื่นขอคุ้มครองล้มละลายในศาลเร็ว ๆ นี้

3) หุ้นร่วงหนัก -  หุ้นของ Tupperware ร่วงลง 57.5% ในช่วงการซื้อขายปกติ และอีก 16.7% ในช่วงการซื้อขายหลังเวลาทำการ โดยหุ้นตกลงรวม 74.5% ในปีนี้

4) ผลกระทบจากการแข่งขัน - แม้ Tupperware จะเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ภาชนะเก็บอาหารพลาสติก แต่กลับต้องเจอกับการแข่งขันจากแบรนด์อื่น ๆ ที่ผลิตสินค้าคล้ายกันในราคาที่ถูกกว่า

5) ความพยายามปรับโครงสร้าง - ปีที่แล้วบริษัทเปลี่ยนแปลงผู้นำและบอร์ดบริหารเพื่อพยายามฟื้นฟูกิจการ แต่ปัญหาต่าง ๆ ยังคงทับถม รวมถึงการเตือนเรื่องความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องและการยื่นรายงานทางการเงินล่าช้า

Tupperware ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1946 เผชิญกับแรงกดดันที่รุนแรงในการหาทางออกเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ

ช็อก!! ตำรวจญี่ปุ่นจับลูกสาวประธานใหญ่ 'ยามาฮ่า' หลังใช้มีดแทงพ่อของเธอ คาด!! เกิดจากปัญหาร้าวฉานภายในที่รุนแรง เดชะบุญประธานใหญ่ไม่ตาย

สื่อญี่ปุ่นรายงานข่าวว่า นาย ฮิดากะ โยชิฮิฮิโระ วัย 61 ปี ประธานบริษัท ยามาฮ่า มอเตอร์ หนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ถูกทำร้ายร่างกายโดยบุตรสาวของตัวเองภายในบ้านที่เมือง อิวาตะ ในจังหวัดชิสุโอกะ เมื่อช่วงบ่ายของวันจันทร์ (16 กันยายน 2567) ที่ผ่านมา

โดยตำรวจญี่ปุ่นได้จับกุม ฮิดากะ ฮานา บุตรสาว วัย 33 ปีของนาย โยชิฮิฮิโระ ผู้ก่อเหตุ ที่ใช้มีดทำครัวแทงพ่อของตัวเอง จนได้รับบาดเจ็บบริเวณแขนซ้าย แต่ไม่ได้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต เบื้องต้น ตำรวจตั้งข้อหา 'พยายามฆ่า' แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าบุตรสาวของประธาน ยามาฮ่า ยอมรับข้อกล่าวหาหรือไม่

ตำรวจท้องที่ให้ข้อมูลว่า พวกเขาเคยได้รับสายด่วนฉุกเฉินจาก ฮิดากะ ฮานะ ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน โทรมาแจ้งว่า พ่อทุบตีเธอ ทำให้ตำรวจต้องรีบมาตรวจสอบถึงบ้าน แต่ไม่มีอะไร แต่วันต่อมา ฮานะ โทรแจ้งตำรวจอีกครั้งในเรื่องเดิม ก่อนจะก่อเหตุแทงพ่อตัวเองในบ้านตามข่าว

ด้าน ฮิดากะ โยชิฮิฮิโระ ที่ถูกลูกสาวทำร้ายด้วยมีด ให้การว่า ลูกสาวใช้มีดเข้ามาแทงเขาในขณะที่เขากำลังนอนหลับพักผ่อนในช่วงบ่าย จนได้รับบาดเจ็บที่แขน แต่ทั้งนี้ ไม่ได้ให้รายละเอียดถึงปัญหาครอบครัวหรือ กล่าวว่าลูกสาวของเขามีอาการผิดปกติทางจิตหรือไม่ ทราบเพียงว่า ฮิดากะ ฮานา อยู่ในสถานะ 'ว่างงาน' และอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับบิดา

ส่วนบริษัท ยามาฮ่า มอเตอร์ ไม่ขอแสดงความเห็นใด ๆ เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัว และขอให้เป็นหน้าที่ของทางตำรวจสอบสวนคดี

อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ครอบครัวระดับประธานบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ จะมีปัญหาร้าวฉานภายในที่รุนแรง จนเกือบกลายเป็นโศกนาฏกรรมไปแล้ว 

แต่ทว่า มีหลายครอบครัวที่ภายนอกดูเป็นครอบครัวในอุดมคติ แต่กลับซ่อนเร้นความรุนแรงไว้ภายใน และเมื่อระเบิดออกมาก็สร้างความตื่นตกใจให้กับชาวญี่ปุ่นไม่น้อย 

อาทิ คดีฆ่าหั่นศพในโรงแรมที่เมืองซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด คดีใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อราวเดือนกรกฎาคม 2566 ที่คนร้ายเป็นเพียงหญิงสาว และมีพ่อเป็นถึงแพทย์ประจำโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อทราบว่าบุตรสาวของตนก่อคดีหั่นศพ และนำศีรษะเหยื่อกลับมาที่บ้าน พวกเขาทำได้เพียงปกปิดความผิดให้ลูก และช่วยกันซ่อนเร้นอำพรางศพ แต่ก็ถูกตำรวจจับตัวได้ในที่สุด

การสร้างครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งสถานะทางสังคมไม่ได้การันตีคุณภาพความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เสมอไป และคงไม่มีครอบครัวไหนอยากให้เกิดเหตุการณ์ที่กลายเป็นอุทาหรณ์สังคม ดังเช่นที่เห็นในข่าว

‘น้องหมูเด้ง’ ดังไกลถึงวงการกีฬา ‘อเมริกันฟุตบอล’ ‘Washington Commanders’ ตัดต่อภาพร่วมฉลองชัยชนะ

(17 ก.ย. 67) นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘หมูเด้ง’ ฮิปโปฯ แคระซูเปอร์สตาร์สัญชาติไทยจาก ‘สวนสัตว์เปิดเขาเขียว Khao Kheow Open Zoo’ เพราะตั้งแต่เกิดจนอายุ 2 เดือนนิด ๆ ด้วยความน่ารัก โดดเด้งจนเป็นที่ชื่นชอบ สื่อทั้งในและต่างประเทศก็หยิบไปทำข่าว และกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก

ล่าสุด (17 ก.ย. 67) ‘หมูเด้ง’ ก็ได้ไปรันวงการกีฬาเป็นที่เรียบร้อย หลังทีมอเมริกันฟุตบอลชื่อดังอย่าง ‘Washington Commanders’ ได้ตัดต่อภาพหมูเด้งเข้าไปในภาพขณะที่ทีมกำลังฉลองชัยชนะ เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. ของวันนี้ตามเวลาประเทศไทย

ทั้งนี้ Commanders ถือเป็นทีมชื่อดังในลีก NFL ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top