Thursday, 15 May 2025
World

'นักข่าวเกาหลี' จ่อดำเนินคดี 'คนไทย' หลังโดนทัวร์ลงจากคอนเทนต์แซะไทย โต้!! ไม่ได้เกลียดคนไทย แต่คลิปดรามา #แบนเกาหลี อ้างจากข้อมูลจริง

(6 ก.ย.67) Top News รายงานว่า 'นักข่าวสาวเกาหลี' เคลื่อนไหวโต้ไม่ได้เกลียดคนไทย แต่คอนเทนต์ที่ทำเป็นความจริงอ้างอิงมาจากข้อมูลจริง ปมทำคลิปล้อเลียนดราม่า #แบนเกาหลี หลังนักท่องเที่ยวไทยแชร์ประสบการณ์ติด ตม.เกาหลี ด้วยเหตุผลที่ตอบเจ้าหน้าที่ไม่ได้ว่า โรงแรมที่พักมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร ทำคนไทยขนทัวร์ไปลงฉ่ำ ล่าสุดเจ้าตัวจ่อดำเนินการทางกฎหมายแล้ว

กลายเป็นประเด็นศึกข้ามชาติอีกแล้วระหว่าง 'ประเทศไทย' กับ 'ประเทศเกาหลี' ที่มีกระแสร้อนแรงติดเทรน X ไปเมื่อวาน จนกระทั่งเมื่อวานนี้ก็ยังติดรั้งอันดับ1อยู่ โดยเรื่องราวเกิดจากกรณีที่ นักท่องเที่ยวชาวไทย ติดตม.เกาหลี ถูกส่งตัวกลับเป็น 10 คน เพราะเจอถามว่า "โรงแรมมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร ทำไมถึงตอบไม่ได้"

ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีข่าวว่านักท่องเที่ยวชาวไทย ถูกตีกลับไม่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ได้ แม้บางรายจะมีเอกสารครบ แต่ตม.ก็ไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ เนื่องด้วยหวั่นว่าจะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย จนนำมาซึ่งกระแสแบนเที่ยวเกาหลี จนทำให้ตัวเลขของนักท่องเที่ยวไทย ที่เดินทางเข้าเกาหลีลดต่ำลงติดต่อกันหลายเดือน

โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ลงในกรุ๊ป เที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง ระบุว่า "ล่าสุดโดน ส่งกลับ 10 กว่าคน เราไม่ได้ไปเกาหลีมาก็ 5-6 ปีที่แล้วค่ะ กะว่าจะไปหาเพื่อน เมื่อวาน เราติด ตม. เรียบร้อยคะ ตอบได้ทุกคำถาม ยกเว้น ถามว่า ต้นไม้ที่ โรงแรมที่พัก มีกี่ต้น สีห้องพัก สีอะไร เรา ตอบไม่ได้ โดนส่งกลับ โดยแจ้งว่า ตอบคำถามไม่ชัดเจน มันอยู่ที่ดวงด้วยจริง ๆ ค่ะ"

นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ด้วยว่า ตม.ให้เซ็นยินยอม พร้อมให้เช็กโทรศัพท์มือถืออีกด้วย ทำให้นักเดินทางหวาดกลัวไม่น้อย จนเกิดเป็นกระแส แฮชแท็ก #แบนเกาหลี

ดรามาระอุข้ามวันข้ามคืน เหตุเพราะมีนักข่าวสาวสวยชาวเกาหลีใต้ ออกมาทำคอนเทนต์ที่เรียกได้ว่าทั้งเหยียด และทั้งแซะ ด้อยค่าคนไทยถึงกระแส #แบนเกาหลี อีกทั้งตัวเธอเองก็เป็นสื่อ แต่กลับไม่มีความเป็นกลางเลยสักนิด

'ไต้หวัน' เซ็ง!! ศักยภาพขีปนาวุธต่อต้านรถถัง TOW จากสหรัฐฯ ยิงถูกเป้าหมาย ‘ไม่ถึงครึ่ง’ ไม่รู้จากตัวอาวุธหรือผู้ที่ใช้งาน

เมื่อปลายเดือนสิงหาคม Taiwan News เปิดเผยว่า ทางกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ได้ประกาศจะทบทวนการใช้ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถัง TOW 2A หลังพบว่าขีปนาวุธที่ยิงออกไประหว่างการฝึกซ้อม 'พลาดเป้า' เสียเป็นส่วนใหญ่

จากรายงาน ระบุว่า มีขีปนาวุธ TOW เพียง 7 ลูกจากทั้งหมด 17 ลูกที่ยิงถูกเป้าหมายระหว่างการซ้อมรบ 2 วัน และยังไม่แน่ชัดว่าความผิดพลาดนี้เกิดจากระบบอาวุธเอง หรือผู้ที่ใช้งาน

ด้านสื่อ CNA อ้างเจ้าหน้าที่กองทัพไต้หวันซึ่งออกมาชี้แจงว่า วัตถุประสงค์ในการฝึกครั้งนี้ก็เพื่อให้ทหารไต้หวันคุ้นเคยกับอาวุธมากกว่าที่จะเน้นเรื่องความแม่นยำหรือการทำผลงานได้อย่างเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับระบบขีปนาวุธชนิดนี้ภายในสัปดาห์หน้า

การซ้อมรบดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นที่ชายหาดของเทศมณฑลผิงตง (Pingtung) ทางตอนใต้ใกล้ช่องแคบไต้หวัน เน้นไปที่การใช้ขีปนาวุธ TOW เพื่อล็อกเป้าทำลายยานพาหนะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกที่จีนอาจนำมาใช้หากสงครามปะทุขึ้น และต้องการให้ทหารไต้หวันได้เห็นภาพว่าหากมีการรุกรานเกิดขึ้นจริง สถานการณ์น่าจะเป็นเช่นไร

สำหรับขีปนาวุธ TOW นั้นมีข้อดีตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและมีการใช้งานที่ยืดหยุ่น โดยไต้หวันอาจนำแท่นยิงไปติดตั้งบนยานพาหนะทหาร เช่น รถฮัมวี และขับไปที่ชายหาดเพื่อใช้ยิงทำลายกองกำลังจีนที่ยกพลขึ้นบกได้

ไต้หวันเผชิญภัยคุกคามหลายด้านจากจีน ตั้งแต่การรุกรานไปจนถึงการปิดล้อม (blockade) ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่า ไต้หวันจำเป็นจะต้องใช้อาวุธแบบอสมมาตรที่ต้นทุนต่ำ เช่น ทุ่นระเบิดทะเล เพื่อป้องปรามกองทัพจีนซึ่งทั้งมีขนาดใหญ่และมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าหลายเท่า แต่กระนั้นอาวุธแบบดั้งเดิม (Conventional) ก็ยังสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

รัฐบาลไต้หวันยังมีโครงการพัฒนาเรือดำน้ำภายในประเทศ และตั้งงบประมาณเอาไว้หลายพันล้านดอลลาร์สำหรับการจัดสร้างเรือดำน้ำให้ได้อีก 7 ลำ ภายใน 14 ปีข้างหน้า

'ด่านโม่ฮานจีน' รับชาวไทยกว่า 16,000 คนใน 6 เดือน อานิสงส์รถไฟความเร็วสูง 'ลาว-จีน' ช่วยกระตุ้น

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) สำนักข่าวซีซีทีวี รายงานว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 67 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ข้อตกลงการยกเว้นวีซ่าระหว่างประเทศไทยและจีนมีผลบังคับใช้ ด่านโม่ฮานที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของมณฑลยูนนานในจีนตอนใต้ ได้รองรับผู้โดยสารชาวไทยมากกว่า 16,000 คน ภายในระยะเวลา 6 เดือน

สถานีตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านโม่ฮาน ซึ่งเป็นด่านพรมแดนทางบกที่ใหญ่ที่สุดระหว่างจีนและลาวระบุว่า ผู้โดยสารชาวไทยที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าคิดเป็น 54 เปอร์เซ็นต์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งหมด

ในบรรดาผู้โดยสารจากประเทศที่สามที่ผ่านเข้าออกด่านแห่งนี้ นักท่องเที่ยวชาวไทยมีสัดส่วนมากกว่า 74 เปอร์เซ็นต์

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา รถไฟโดยสารข้ามพรมแดนระหว่างลาวและไทยได้เริ่มเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าจีนสามารถโดยสารรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปยังเวียงจันทน์ในลาว และต่อรถไฟสายจีน-ลาว จากเวียงจันทน์เข้าสู่จีนได้ ส่วนผู้โดยสารที่เดินทางออกจากจีนสามารถเดินทางไปยังลาว ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความสะดวกสบายดังกล่าวส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ผ่านเข้าออกที่ด่านรถไฟโม่ฮานอย่างมีนัยสำคัญ

จากสถิติของสถานีตรวจคนเข้าเมืองที่ด่านโม่ฮาน ในช่วงวันที่ 19 ก.ค. 67 ถึง 31 ส.ค. 67 ด่านรถไฟโม่ฮานได้รองรับผู้โดยสารชาวไทยขาเข้าและขาออกมากกว่า 1,400 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในจำนวนนี้ ผู้โดยสารชาวไทยที่ได้รับการยกเว้นวีซ่าคิดเป็น 56 เปอร์เซ็นต์

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระบุว่า นโยบายการยกเว้นวีซ่าที่ได้รับจากจีนและประเทศเพื่อนบ้านจะช่วยส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

"ในขณะที่ตลาดการท่องเที่ยวของจีนมีความน่าสนใจมากขึ้น ประกอบกับนโยบายต่างๆ เช่น การยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนกับไทย และนโยบายยกเว้นวีซ่าสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนในลาว ผมเชื่อว่าการท่องเที่ยวตามเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ และเส้นทางอื่นๆ จะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ" 

‘นายอวี๋ หนาน’ ไกด์นำเที่ยวของ China International Travel Service กล่าว

แหล่ง ‘แร่โมลิบดีนัม’ ขนาดใหญ่กว่า 100 ล้านตัน ถูกค้นพบใน ‘มองโกเลีย’ ทางตอนเหนือของจีน

(7 ก.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แหล่งแร่โมลิบดีนัมขนาดใหญ่ที่คาดว่ามีปริมาณสำรองราว 100 ล้านตัน ถูกค้นพบในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน

แหล่งแร่โลหะหายากดังกล่าวตั้งอยู่ในอำเภอเวิงหนิวเท่อ เมืองชื่อเฟิง โดยสำนักทรัพยากรธรรมชาติประจำอำเภอระบุว่าแหล่งแร่โมลิบดีนัมในท้องถิ่นยังประกอบด้วยแร่โลหะอื่นๆ อีกหลายชนิด อาทิ เงิน ทองคำ สังกะสี ตะกั่ว และทองแดง

โมลิบดีนัมสามารถนำไปใช้เพื่อเพิ่มความแข็งและความเหนียวของเหล็กกล้าผสมได้ ขณะที่สารประกอบโมลิบดีนัมยังใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตสารเคมี ยา เชื้อเพลิง และน้ำมันหล่อลื่น

ทั้งนี้ เมืองชื่อเฟิงได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งโลหะนอกกลุ่มเหล็ก (nonferrous metals) ของจีน เนื่องจากเป็นที่ตั้งของแหล่งสำรองตะกั่ว สังกะสี ดีบุก ทองคำ เงิน และโลหะอื่น ๆ อีกจำนวนมาก

ชายเกษียณ ถูก ‘ยูโรลอตเตอรี่’ แต่ต้องใช้ชีวิตอย่างอนาถา กินอาหารแจกฟรี ชี้!! เงินไม่เข้าบัญชี ทั้งที่รอมาเดือนกว่า ทุกครั้งที่โทรหา เจ้าหน้าที่ก็บอกปัด

(7 ก.ย.67) ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้วนับตั้งแต่ ‘พีท เดลี’ ชายเกษียณอายุชาวอังกฤษได้รับแจ้งว่าเขาเป็นผู้ชนะรางวัล EuroMillions แต่จนถึงขณะนี้เขายังไม่ได้รับเงินรางวัลที่ควรจะได้ ทำให้ต้องพึ่งศูนย์แจกอาหารชุมชนเพื่อความอยู่รอด

สำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติต้องออกมาขอโทษหลังจากเกิดความล่าช้าในการจ่ายเงินรางวัล EuroMillions ให้กับชายคนนี้ ทำให้เขาต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างหนัก

หลายคนฝันที่จะถูกรางวัลจากลอตเตอรี่ และสำหรับ พีท เดลี จาก วีร์รัล (Wirral) ความฝันนั้นก็กลายเป็นจริงเมื่อหมายเลขของเขาถูกรางวัล EuroMillions ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

การถูกรางวัลครั้งนี้ทำให้เขาได้รับเงินจำนวน £582.20 ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีจากการซื้อลอตเตอรี่เพียง £2.50

เมื่อ Pete โทรไปเพื่อขอรับเงินรางวัล เขาได้รับแจ้งว่าจะใช้เวลาประมาณ 10 วันก่อนที่เงินจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของเขา แต่ผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งเดือน เขาก็ยังไม่ได้รับเงินรางวัลดังกล่าว

พีท เดลี ต้องใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาศูนย์แจกอาหารชุมชน (ฟู๊ดแบงค์) หลังจากการจ่ายเงินรางวัล EuroMillions ของเขาถูกเลื่อนออกไปมากกว่าหนึ่งเดือน

แต่ความล่าช้าในการจ่ายเงินรางวัลของ Pete ทำให้เขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางการเงินที่ยากลำบาก

พีท ให้สัมภาษณ์กับ Liverpool Echo ว่า "ผมถูกรางวัล £582.20 และทุกครั้งที่ผมโทรไปหาพวกเขา ผมจะได้รับคำตอบที่ต่างกันออกไป"

"ผมจ่ายเงินซื้อลอตเตอรี่มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว นั่นคือ £10 ต่อสัปดาห์ £1,040 ต่อปี รวมทั้งหมดแล้ว 30 ปี และในที่สุดผมก็ถูกรางวัล £500 แต่พวกเขากลับไม่ให้เงินผม"

เขาเล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากที่เขาจ่ายค่าต่อประกันรถยนต์ เขาก็ไม่มีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเลย

"ผมไม่สามารถซื้ออะไรได้เลย เพราะผมจ่ายค่าประกันรถไปหมดแล้ว โดยตอนแรกคิดว่าจะได้เงินรางวัลนี้ภายใน 10 วัน"

ตอนนี้ Pete ต้องพึ่งศูนย์แจกอาหารชุมชน (ฟู๊ดแบงค์) และไม่สามารถจ่ายค่าตัดผมหรือซื้อรองเท้าใหม่ที่เขาต้องการได้จนกว่าจะได้รับเงินรางวัลที่ติดค้างอยู่

"ผมติดอยู่ในบ้าน ไม่สามารถไปไหนได้ เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะเติมน้ำมัน ผมต้องการเงินนี้จริงๆ ผมกำลังลำบาก เงินนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แค่มีชีวิตอยู่ต่อไปได้" ชายวัยเกษียณจาก เพนส์บี (Pensby) ใน Wirral กล่าว

สำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติได้ออกมาขอโทษสำหรับความล่าช้าที่เกิดขึ้น และได้ให้เหตุผลว่าทำไมการจ่ายเงินให้กับผู้ถูกรางวัลวัย 71 ปีจึงใช้เวลานานเช่นนี้

โฆษกของบริษัท Allwyn (ออลวิน เป็นชื่อของบริษัทที่ดำเนินการลอตเตอรี่ในหลายประเทศ รวมถึงในสหราชอาณาจักร) กล่าวว่า "เราขออภัยอย่างยิ่งต่อความกังวลที่เกิดขึ้น ขณะนี้ทางเราได้โทรไปแจ้งคุณ Daly แล้ว โดยปกติเราดำเนินการจ่ายเงินรางวัลหลายร้อยถึงหลายพันรางวัลให้เสร็จสิ้นในแต่ละสัปดาห์"

เมื่ออธิบายถึงสาเหตุของความล่าช้า พวกเขาเสริมว่า ความล่าช้านี้เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ปรับปรุงกระบวนการขอรับรางวัลใหม่เมื่อต้นปีนี้ เนื่องจากทางที่ทำการไปรษณีย์ตัดสินใจที่จะไม่จ่ายเงินรางวัลลอตเตอรี่ที่ซื้อผ่านร้านค้าปลีกในระหว่างเงินจำนวน £500.01 ถึง £50,000 อีกต่อไป 

น่าเสียดายที่การเคลมรางวัลจำนวนหนึ่งมีความล่าช้าเนื่องจากสาเหตุต่างๆ อย่างไรก็ตาม เรากำลังพัฒนาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงกระบวนการเคลมรางวัล และขอยืนยันกับผู้ถูกรางวัลทุกท่านว่าพวกเขาจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน

‘ยางิ’ แผลงฤทธิ์!! ทำยอดเสียชีวิตพุ่ง 14 ราย บาดเจ็บ 219 ราย อุตุฯ ชี้!! แม้อ่อนกำลังลง แต่ยังเสี่ยง 'น้ำท่วมฉับพลัน-ดินถล่ม'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าจากกรณีที่ ‘ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ’ (typhoon Yagi) พายุที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในทวีปเอเชียประจำปีนี้ หลังจากพัดกระหน่ำมณฑลไห่หนานจนราบเป็นหน้ากลอง

ซึ่งล่าสุด 'ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ' ได้พัดขึ้นฝั่งเวียดนามด้วยความเร็วลม 149 กม./ชม. ทำให้เกิดคลื่นสูง 4 เมตร ในหลายจังหวัดริมชายฝั่ง บ้านเรือนได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและลมแรงกว่า 3,200 หลัง ต้นไม้และเสาไฟฟ้าหักโค่น ทำให้เกิดไฟดับและสัญญาณโทรคมนาคมถูกตัดขาด ซึ่งสร้างความยากลำบากในการประเมินความเสียหายจากพายุ 

โดย 'ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ' อ่อนกำลังจากไต้ฝุ่นเป็นดีเปรสชันแล้ว สร้างความเสียหายอย่างหนักในภาคเหนือของเวียดนาม ทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมแรง ดินถล่ม และมีเรือหลายลำจมหาย คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 14 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 219 ราย หลังจากพายุพัดขึ้นฝั่งด้วยความรุนแรงระดับพายุไต้ฝุ่นที่เมืองไฮฟองและจังหวัด ‘กว๋างนิญ’ ทางภาคเหนือของเวียดนาม

นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและพัฒนาชน รายงานอีกว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด มี 4 ราย อยู่ในจังหวัดกว๋างนิญ, อีก 3 ราย อยู่ใน ‘กรุงฮานอย’ และอีก 4 ราย เสียชีวิตจากดินถล่มในจังหวัด ‘ฮวาบิ่ญ’ และผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัด ’กว๋างนิญ’

ขณะเดียวกันมีรายงานเรือล่ม 25 ลำในจุดที่ทอดสมอในจังหวัดกว๋างนิญ ชาวประมงสูญหาย 13 คน และเมืองไฮฟอง ที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายที่สุด มีน้ำท่วมเกือบ 50 เซนติเมตรในบางพื้นที่ และเกิดไฟดับในวงกว้าง

ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ประกาศว่า พายุอ่อนกำลังเป็นดีเปรสชันแล้วแต่ยังเตือนมีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ขณะพายุมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

ส่วนสถานการณ์ในกรุงฮานอย เจ้าหน้าที่เริ่มเก็บกวาดถนน ที่มีต้นไม้หักโค่นกีดขวางทั่วเมือง ‘สนามบินโหน่ยบ่าย’ ในกรุงฮานอยเริ่มกลับมาให้บริการแล้ว หลังจากปิดบริการเช่นเดียวกับสนามบินอีก 3 แห่งในเมืองท่าตามแนวชายฝั่ง เมือง ‘ไฮฟอง’ จังหวัดกว๋างนิญ และจังหวัด ’ทัญฮว้า’

'ชาวมาเลเซีย' เกินครึ่ง เห็นด้วย!! จำกัดเด็กต่ำกว่า 14 เล่นโซเชียลมีเดีย แนะ!! 'ครู-ผู้ปกครอง' สำคัญ ช่วยสร้างภูมิเท่าทันภัยโลกออนไลน์

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยผลสำรวจจาก ‘อิปซอสส์’ (Ipsos) บริษัทวิจัยการตลาดและสำรวจความคิดเห็นระดับโลก พบว่า มีชาวมาเลเซียถึง 71% เห็นด้วยกับการจำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี

โดยผลโพลการติดตามการศึกษาของอิปซอสส์ ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของผู้คนในมาเลเซีย ไทย, อินโดนีเซีย, และสิงคโปร์ ระบุว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีผู้คนคิดเห็นตรงกันในเรื่องนี้มากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาก ‘อินโดนีเซีย’

"ชาวมาเลเซียระมัดระวังการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของเด็กๆ มากที่สุด ขณะที่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโรงเรียนนั้นแตกต่างกันออกไป" ผลสำรวจระบุ

ต่อมา ผลสำรวจยังพบว่าชาวมาเลเซีย 51% มองว่าควรห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีใช้สมาร์ทโฟนทั้งในระหว่างคาบเรียนและหลังเลิกเรียน ส่วนอีก 29% เห็นด้วยว่าควรห้ามใช้โมเดลภาษาเอไออย่างแชทจีพีที (ChatGPT)

ขณะเดียวกัน ชาวมาเลเซีย 56% เชื่อว่าครูและโรงเรียนควรมีหน้าที่ในการสอนความรู้ด้านดิจิทัลและความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ด้าน 39% มองว่าหน้าที่นี้ควรเป็นของผู้ปกครอง

‘นิวยอร์กไทม์’ เผย!! 'ทรัมป์-แฮร์ริส' คะแนนนิยมกินกันไม่ลงก่อนดีเบตรอบใหม่ ภายใต้มุมมองอเมริกันชนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ 'จุดยืน-นโยบาย' ของ 'แฮร์ริส'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจของ ‘นิวยอร์กไทม์’ (New York Times/ Siena College) พบว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคริพับริพัน มีคะแนนนิยมนำ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ จากพรรคเดโมแครต 1 แต้ม อยู่ที่ 48% ต่อ 47% ซึ่งเป็นส่วนต่างที่ไม่มีนัยสำคัญภายใต้ค่าความผิดพลาดของโพลซึ่งอยู่ที่บวกลบไม่เกิน 3% นั่นหมายความว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีโอกาสมากพอๆ กันที่จะชนะศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 67

แม้แคมเปญหาเสียงของ ทรัมป์ จะซวนเซไปบ้างหลังจากที่ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ประกาศถอนตัว และส่ง ‘กมลา แฮร์ริส’ ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงพรรคเดโมแครตแทนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ผลสำรวจล่าสุดของหลายสำนักบ่งชี้ตรงกันว่ากลุ่มประชากรที่เป็นฐานเสียงหลักของ ทรัมป์ ยังคงเหนียวแน่นเหมือนเดิม

โพลฉบับนี้ยังพบด้วยว่า ชาวอเมริกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนยังไม่ค่อยเข้าใจจุดยืนและนโยบายต่างๆ ของแฮร์ริสเท่าไหร่นัก ขณะที่ความเข้าใจของพวกเขาต่อทรัมป์ นั้น ‘ชัดเจน’ อยู่แล้ว โดย 28% ยอมรับว่ายังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครของเดโมแครตมากกว่านี้ แต่มีเพียง 9% ที่รู้สึกแบบเดียวกันกับทรัมป์

จากตัวเลขที่ออกมาทำให้เห็นได้ว่า ศึกดีเบตนัดแรกระหว่าง ทรัมป์ กับ แฮร์ริส ในวันพรุ่งนี้ (10 ก.ย. 67) อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดพลิกผันที่สำคัญของศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

โดย ‘แฮร์ริส’ จะได้มีโอกาสแจกแจงนโยบายต่างๆ ของเธอให้ชาวอเมริกันเข้าใจมากยิ่งขึ้นระหว่างที่ประชันวิสัยทัศน์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเวลา 90 นาที และเนื่องจากคะแนนนิยมของทั้งคู่สูสีกันอย่างยิ่ง ศึกดีเบตครั้งนี้จึงอาจสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมีนัยสำคัญหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผลงานออกมาได้ดีกว่า

นับตั้งแต่ แฮร์ริส ก้าวเข้ามาถือตั๋วผู้แทนพรรคเดโมแครต เธอก็ตระเวนเดินสายพบปะประชาชนอย่างแข็งขัน แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการแสดงวิสัยทัศน์แบบ ‘อ่านบท’ ที่เตรียมเอาไว้แล้ว และยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างๆ น้อยมากด้วย

ผลสำรวจครั้งนี้ออกมาคล้ายคลึงกับโพลของ ‘New York Times/ Siena College’ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนำแฮร์ริส อยู่ 1 แต้มเช่นกัน

สำหรับผลโพลใน 7 รัฐสมรภูมิสำคัญที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 67 ก็พบว่าผู้สมัครทั้ง 2 รายยังคงมีคะแนนนิยมตีคู่สูสีกันอย่างมาก

'ต่างด้าว' ผุดศูนย์การเรียนรู้ในไทยเพียบ หวั่น!! สอนคนต่างด้าวแย่งอาชีพคนไทย

(9 ก.ย. 67) ล่าสุดไม่นานมานี้ เอย่า ได้รับข้อมูลจากหลากหลายทางถึงการเปิดศูนย์การเรียนรู้ในไทยอย่างโจ่งครึ่ม ทั้งที่ในประเทศไทยมีนโยบายให้เรียนฟรี แม้จะเป็นเด็กต่างชาติก็ตาม

แต่ทว่าก็ยังมีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ โดยให้การศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่เป็นไปตามหลักสูตรการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการไทยกำหนด รวมถึงการฝึกงานฝึกอาชีพ เพื่อรองรับงานที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดของแรงงานต่างด้าวให้เข้ามาฝึกอาชีพด้วยเช่นกัน

แต่ก่อนอื่น เราควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ศูนย์การเรียนรู้ในไทย ต่างจากโรงเรียนอย่างไร  

ศูนย์การเรียนรู้ หมายถึง การจัดพื้นที่การเรียนทางกายภาพ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล หรือผู้เรียนในกลุ่มเล็ก ตามงานที่โปรแกรมกำหนดให้ โดยจัดเป็นคูหาหรือโต๊ะ และมีสื่อการเรียนในรูปแบบสื่อประสม ช่วยในการเรียนรู้โดยมีครูผู้สอนคอยแนะนำ  

โดยตามกฎหมายแล้วระบุไว้ว่า "ศูนย์การเรียนรู้ คือ สถานที่เรียนที่องค์กรชุมชนหรือเอกชนจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่แสวงหากำไร แต่การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยสามารถจัดการเรียนการศึกษานอกระบบได้ตามอัธยาศัยตามที่ศูนย์การเรียนรู้นั้น ๆ พัฒนาขึ้น แต่จะต้องยึดหลักคือ มุ่งเรียนรู้จากสถานที่จริง เป็นแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น"

แน่นอนว่าข้อกำหนดดังกล่าวนี้ เป็นการกำหนดกรอบกว้าง ๆ เพื่อให้ภาคเอกชนที่มีเจตจำนงที่ดีในการที่จะมอบความรู้ได้อย่างอิสระ มามอบความรู้ให้แก่ผู้สนใจ โดยใช้บ้านหรือพื้นที่ตนเองเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้หรือโรงเรียนปราชญ์ชาวบ้าน นั่นเอง

แต่ในปัจจุบัน ด้วยช่องโหว่ของกฎกระทรวงและความเพิกเฉยของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือก็มิอาจทราบได้ ทำให้มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้บัตรประชาชนไทยมาเปิดสมาคม-มูลนิธิ เพื่อใช้เป็นแหล่งพักเงินและใช้เงินเหล่านี้ในการเปิดศูนย์การเรียนรู้ที่จะเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนของคนต่างด้าวที่สอนด้วยระบบของประเทศนั้น ๆ อย่างเป็นล่ำเป็นสัน 

เอย่า ทราบมาว่า ตอนนี้มีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ในแม่สอด และอำเภอตามตะเข็บชายแดนนับร้อยศูนย์ โดยโรงเรียนเหล่านั้นไม่ได้สอนหนังสือตามแผนการศึกษาของไทยด้วยซ้ำ จนอดสงสัยไม่ได้ว่า สำนักงานพื้นที่เขตการศึกษาอนุมัติให้เปิดมาได้อย่างไร  

และเช่นกัน ก็มีรายงานอีกว่า ในมหาชัยเองและรวมถึงในหลายเขตในกรุงเทพมหานครนั้น ก็มีศูนย์การเรียนรู้แบบนี้มากมาย และสอนด้วยครูที่หลบหนีเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูด้วย อีกทั้งไม่ได้สอนในหลักสูตรของไทยอีกต่างหาก  

ที่สำคัญ!! เขาสอนอะไร? เขาปลูกฝังอะไรให้คนของเขาในประเทศไทย? และไม่มีใคร-หน่วยงานไหนไปประเมินเลยหรือ? รึว่าต้องการรายงานปีละครั้งจากศูนย์การเรียนรู้ตามที่กฎกระทรวงระบุไว้ก็พอ

หลังการรัฐประหารมีรายงานว่า กลุ่มผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และเหล่าสมาคม มูลนิธีที่เป็น NGO เหล่านี้ ก็ตีอกชกปีก ตั้งตัวรับคนเหล่านี้มาทำงาน ตรงนี้ถามว่าผิดกฎหมายไทยหรือไม่? เห็นแล้วก็ไม่ค่อยแปลกใจเลยว่า ทำไมองค์กรเหล่านี้ถึงพยายามจะให้สิทธิ์คนต่างด้าวลืมตาอ้าปากได้แทนที่จะผลักดันให้กลับประเทศ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประการสำคัญ ก็เป็นผลจากการที่เราไม่เคยเข้าไปตรวจสอบศูนย์การเรียนรู้เหล่านี้ และหากวันใดวันหนึ่งคนเหล่านี้จะลุกฮือขึ้นมายึดดินแดนไทยหรือเรียกร้องขอแบ่งแยกดินแดน แบ่งแยกการปกครอง ก็คงไม่แปลกนัก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามในอดีตที่ไม่เคยมีใครกำกับดูแลก็มีให้เห็นมาแล้วว่า จนประเทศไทยต้องเสียชีวิต ทรัพยากรมากมายแค่ไหนกับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทุกวันนี้ประเทศไทยให้โอกาสการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กทุกชาติพันธุ์ให้ได้เรียนฟรีอยู่แล้ว ฉะนั้นคำถามคือ ณ วันนี้ เราควรต้องหันมาจัดการกำกับดูแลศูนย์การเรียนรู้พวกนี้ได้หรือยัง รวมถึงมองไปถึงกลุ่มมูลนิธิ สมาคม NGO ที่ให้การสนับสนุนว่ามีเส้นทางเงินมาจากไหน อีกทั้งกำกับดูแลการเรียนการสอนเพื่อให้ศูนย์การเรียนรู้ที่เปิดมีคุณภาพและเพื่อคนไทยหรือคนที่ต้องการจะอยู่ในไทยจริง ๆ 

ไม่ใช่โรงเรียนต่างแดนของคนพลัดถิ่นหรือที่ซ่องสุมเพื่อใช้ฟอกขาวในการเป็นคนไทยในอนาคต

'โดนัลด์ ทรัมป์' ประกาศเก็บภาษี 100% หากประเทศใดเลิกใช้ดอลลาร์ในการค้าขาย

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แถลงการณ์ของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐและที่ปรึกษาเศรษฐกิจของเขาหารือกันเป็นเวลานานหลายเดือนเกี่ยวกับแนวทางในการลงโทษพันธมิตรหรือศัตรูที่แสวงหาวิธีดำเนินการทางการค้าทวิภาคีด้วยสกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์ ทรัมป์กล่าวว่าดอลลาร์ถูกโจมตีอย่างหนักมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว

“ถ้าคุณเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ คุณก็ไม่ได้ทำธุรกิจกับสหรัฐฯ เพราะเราจะเรียกเก็บภาษีสินค้าของคุณ 100 เปอร์เซ็นต์” โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในการชุมนุมที่วิสคอนซิน พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำให้ประเทศต่าง ๆ จ่ายเงินชดเชยกรณีเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่ จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย และแอฟริกาใต้ หารือเกี่ยวกับการเลิกใช้ดอลลาร์ในการประชุมสุดยอดเมื่อปีที่แล้ว

อิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าและการเงินระหว่างประเทศเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสที่เรียกว่า de-dollarisation หมายถึงกระบวนการที่ประเทศต่าง ๆ ตั้งเป้าหมายที่จะลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสกุลเงินหลักของโลก

ความพยายามในการยกเลิกการใช้ดอลลาร์ผ่านความคิดริเริ่ม เช่น กลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ ทำให้การบรรลุฉันทามติเกี่ยวกับสกุลเงินร่วมและนโยบายการเงินทำได้ยาก

แม้ว่าการครอบงำของดอลลาร์จะลดลงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงคิดเป็น 59% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกของปี 2024 เงินยูโรเป็นอันดับสองที่เกือบ 20% ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ การค้าโลกประมาณครึ่งหนึ่งมีสกุลเงินดอลลาร์ ตามข้อมูลของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ

ระยะหลังอินเดียกำลังผลักดันความพยายามที่จะเพิ่มการชำระเงินทางการค้าด้วยเงินรูปีและลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์มากขึ้น ซึ่งเป็นความทะเยอทะยานที่หลบเลี่ยงประเทศต่าง ๆ ส่วนใหญ่

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อปีที่แล้วว่า โรงกลั่นในอินเดียได้เริ่มชำระเงินค่าน้ำมันรัสเซียส่วนใหญ่ที่ซื้อผ่านผู้ค้าในดูไบด้วยสกุลเงินเดอร์แฮม สกุลเงินที่ใช้ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แทนที่จะเป็นสกุลเงินดอลลาร์

อินเดีย เริ่มทำการค้าเงินรูปีกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งเนปาลและภูฏาน กลไกการค้าเงินรูปีได้รับการริเริ่มขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าสกุลเงินประจำชาติกับรัสเซีย ในขณะที่ศรีลังกาได้รวมเงินรูปีไว้ในรายชื่อสกุลเงินต่างประเทศที่กำหนดไว้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top