Thursday, 15 May 2025
World

‘โซเชียลจีน’ ถกสนั่น!! อากาศร้อน ‘ควรติดแอร์ในห้องเรียน’ หรือไม่? บางคนเห็นด้วย แต่บางคนบอกเป็นการฝึกความอดทนให้กับเด็กๆ

(11 ก.ย. 67) ความขยันหมั่นเพียร, มัธยัสถ์, อดทน เป็นค่านิยมที่ชาวจีนมักปลูกฝังให้แก่บุตรหลานตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เพื่อจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า แต่ทว่า วันนี้ ค่านิยมเหล่านี้กำลังถูกท้าทาย ด้วยสาเหตุจาก… ‘ภาวะโลกร้อน’

เมื่อไม่นานมานี้ โลกโซเชียลจีนมีการถกเถียงในประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียน เนื่องจากจีนกำลังเผชิญปัญหาจากคลื่นความร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ บางเมืองมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงเกิน 35 องศาเซลเซียส 

ทำให้ผู้ปกครองจำนวนมากรู้สึกเป็นห่วงบุตรหลาน ที่ต้องทนเรียนในห้องเรียนในช่วงภาวะอากาศร้อนรุนแรงเช่นนี้ และเรียกร้องให้ทางโรงเรียนติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนหนังสือได้สบายขึ้น 

แต่ข้อเรียกร้องของผู้ปกครองกลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี จากหน่วยงานด้านการศึกษาประจำนครฉางชา ของมณฑลหูหนาน ที่ตั้งอยู่ในภาคกลางตอนใต้ของจีน เขตที่เจอมรสุมคลื่นความร้อนรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของจีนในขณะนี้ โดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ออกมายืนยันว่า จะไม่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศใด ๆ ในโรงเรียนไหนทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ปลูกฝังคุณธรรม ‘ด้านความอุตสาหะ’ และ ‘ความอดทน’ ให้แก่เด็กนักเรียน

คำตอบของเจ้าหน้าที่นครฉางชา ได้จุดกระแสการถกเถียงเรื่อง ‘ควร-ไม่ควร’ ติดแอร์ในห้องเรียนขึ้นอย่างร้อนแรงเป็นไฟลามทุ่ง ที่มาพร้อมกับคำถามว่า แล้วใครสมควรที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของเครื่องปรับอากาศนี้

ผู้ปกครองคนหนึ่ง แสดงความเห็นใน Weibo ว่า "ให้ฝึกความขยันและอดทนเหรอ? ไหนลองให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการลองมานั่งในห้องทำงานอุณหภูมิ 40 องศาดูบ้างซิ แล้วพูดใหม่อีกทีว่านี่เป็นวิธีในการฝึกความอดทนให้เด็กจริงหรือเปล่า" 

อีกความเห็นหนึ่งกล่าวว่า "ปัญหาภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และจะยิ่งรุนแรงขึ้น แล้วคุณจะให้เด็ก ๆทำยังไง"

หลิน ยูจิน คุณพ่อของเด็กนักเรียนในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองกวางโจว แสดงความเห็นผ่านสื่อท้องถิ่น สนับสนุนการติดแอร์ในห้องเรียนว่า ถ้าไม่มีแอร์ คงยากที่จะทำให้เด็กมีสมาธิในการเรียนได้เต็มที่ 

แต่ทั้งนี้ ก็มีผู้ปกครองอีกฝั่งที่เห็นต่าง ในประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียน โดยคำนึงถึงหลักสุขอนามัย หากติดแอร์แล้วจะทำให้ห้องเรียนที่เคยมีอากาศถ่ายเทกลายเป็นห้องปิด ที่นอกจากกจะบ่มเพาะเชื้อโรคแล้ว ยังเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ อาทิ ไข้หวัด หรือ Covid-19 ในห้องเรียนได้ง่าย

ผู้ปกครองบางคน เสนอไอเดียในการปรับเปลี่ยนภาคการเรียนให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป  หรือบางห้องเรียนก็นำถังน้ำแข็งมาตั้งไว้ในห้องช่วยเพิ่มความเย็นในห้องเรียนได้ 

ในปัจจุบัน ห้องเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนจีนไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่อาศัยความเย็นจากพัดลมเพดาน แต่ด้วยภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ที่ทำให้ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิในหน้าร้อนของจีนสูงขึ้น และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเจอกับมรสุมคลื่นความร้อนเช่นในปีนี้ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาจีนคาดการณ์ว่า อุณหภูมิสูงสุดของจีนมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 2.8 องศาในอีก 30 ปีข้างหน้า 

แต่ถึงกระนั้น หลายโรงเรียนยังลังเลกับข้อเรียกร้องของผู้ปกครองที่ต้องการให้ติดแอร์ในห้องเรียน เพราะติดเรื่องค่าใช้จ่าย และ ค่าไฟ ที่จะเพิ่มสูงขึ้น ที่เกินงบประมาณของโรงเรียน

และเคยมีประเด็นมาแล้ว เมื่อโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเมืองเซียงถัน ของมณฑลหูหนาน ขอให้ผู้ปกครองช่วยกันบริจาคเงินเพื่อซื้อเครื่องปรับอากาศให้โรงเรียน แต่สุดท้ายคณะกรรมการด้านการศึกษาพิจารณาว่าไม่สมควร และสั่งให้โรงเรียนคืนเงินบริจาคให้ผู้ปกครอง ทั้ง ๆ ที่ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่สนับสนุน และเต็มใจบริจาคเงินช่วยโรงเรียน เพราะเห็นว่าควรคำนึงถึงความสะดวกสบายของนักเรียนเป็นอันดับแรก

ด้วยเหตุนี้ ประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียนของจีน จึงตีไม่แตก แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากผู้ปกครอง ที่ยินดีที่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อให้บุตรหลานได้เรียนหนังสืออย่างสบาย แต่ก็ติดที่นโยบายภาครัฐ ที่มองว่าสุดท้ายรัฐบาลก็ต้องแบกค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าไฟ และ ค่าซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นอยู่ดี หรือหากมองในแง่มุมความเท่าเทียมของโรงเรียนรัฐ ที่ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเดียวกันในทุกโรงเรียน ที่ทำให้นโยบายห้องเรียนติดแอร์ไม่ผ่าน

ดังนั้น สิ่งที่นักเรียนหวังพึ่งได้ ก็คือ ความขยันหมั่นเพียร, มัธยัสถ์, อดทน ของตนเอง ที่ต้องทนเรียนในห้องเรียนในช่วงอากาศร้อน ที่รุนแรงกว่าสมัยก่อนให้ได้ จนกว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นเพื่อไปเปลี่ยนแปลงอนาคตในวันข้างหน้าด้วยตัวของพวกเขาเอง

'บ.มะกัน' ชู 'อิฐดินเหนียว' พลังงานสีเขียวทางเลือกใหม่ เจาะภาคอุตสาหกรรม ชี้!! แค่ก้อนเดียว ก็เก็บพลังงานได้มากเท่าชุดแบตฯ Tesla Model X

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าววีโอเอ รายงานว่า ‘บริษัท รอนโด เอ็นเนอร์จี’ (Rondo Energy) ในเมือง ‘อาลาเมดา’ (Alameda) รัฐ ‘แคลิฟอร์เนีย’ ได้มีการเสนอแนวคิด ‘แบตเตอรีดินเหนียว’ เป็นทางเลือกใหม่ที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสำหรับภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาและของโลก

‘จอห์น โอดอนเนล’ ซีอีโอ บริษัท รอนโด เอ็นเนอร์จี อธิบายว่า “ภาคการผลิตใช้พลังงานของโลกมากที่สุด ความร้อนที่ใช้ในการผลิตสินค้า คิดเป็นหนึ่งในสี่ ของ (พลังงาน) ที่ได้จากถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติทั้งหมดในโลก”

อีกทั้งยังมีความคิดเห็นว่า พลังงานหมุนเวียนจากลมและแสงอาทิตย์เป็นพลังงานที่ผลิตได้ไม่คงที่ จึงมีแนวคิดที่จะนำวัสดุที่ผู้คนต่างละเลยอย่าง ‘อิฐดินเหนียว’ มาทำหน้าที่เป็นแบตเตอรีกักเก็บความร้อน คล้ายกับโรงงานมีแผงลวดทำความร้อนแบบเครื่องปิ้งขนมปังฝังเอาไว้

โอดอนเนล เล่าย้อนว่า ดินเหนียวเหล่านี้เป็นวัสดุที่โลกใช้มานานกว่า 200 ปีแล้วถือว่า นำเอาวัสดุที่เคยเป็นที่นิยมจากยุค 80 มาใช้ผลิตในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสำหรับยุคปัจจุบันในศตวรรษที่ 21

สำหรับหลักการของ ‘แบตเตอรีดินเหนียว’ นั้น ภายในจะมีลวดเหล็กในการสร้างและเหนี่ยวนำความร้อน ส่วนก้อนอิฐถูกออกแบบมาให้มีรูปทรงที่ซับซ้อนเพื่อกระจายความร้อนอย่างสม่ำเสมอและกักเก็บพลังงานไว้นานหลายวัน

พร้อมกันนั้น โอดอนเนลยังอธิบายเสริมว่า “อิฐ (ดินเหนียว) เพียงก้อนเดียว จะเก็บพลังงานได้มากเท่ากับชุดแบตเตอรีของ เทสลา โมเดล เอ็กซ์ (Tesla Model X)” ซึ่งในการสร้างคลังกักเก็บพลังงานหนึ่งจุด จะใช้อิฐดินเหนียวซ้อนกันประมาณ 3,000 ชิ้น

คลังกักเก็บความร้อนจากก้อนอิฐสามารถทำให้อากาศมีอุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสซึ่งภาคธุรกิจสามารถนำความร้อนดังกล่าวไปใช้ได้ในการผลิตอาหาร เชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้

ทั้งนี้ ผลงานแบตเตอรีดินเหนียวของบริษัท Rondo Energy ถูกนำไปใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2023 ที่โรงงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

โอดอนเนลกล่าวทิ้งท้ายว่า การทดแทนระบบเผาไหม้ด้วยการใช้พลังงานจากลมและแสงแดดจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพได้ถึงครึ่งหนึ่ง

ในเวลานี้ โรงงานฐานการผลิตขนาดใหญ่สำหรับแบตเตอรี่ก้อนอิฐตั้งอยู่ในประเทศไทย ขณะที่ บริษัทแห่งนี้มีแผนการสร้างโรงงานแบตเตอรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ และกำลังอยู่ในกระบวนการเจรจากับบริษัท EDP ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ เพื่อจะทำหน้าที่จัดหาพลังงานความร้อนที่ไร้ก๊าซคาร์บอนให้กับภาคอุตสาหกรรมต่อไปด้วย

ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดพลังงานจากอิฐดินเหนียวธรรมดา ๆ นั้นอาจกำลังก้าวขึ้นมาเป็นความหวังของอนาคตของพลังงานสะอาดโลกครั้งใหม่ได้แล้ว

‘ออสเตรเลีย’ จ่อออกกฎหมายจำกัดเด็กอายุ 14-16 ใช้งานโซเชียลฯ กระตุ้น!! 'ห่างไกลจากมือถือ-ให้ออกไปเล่นในสนามมากขึ้น'

เมื่อวานนี้ (11 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรี ‘แอนโทนี อัลบาเนซี’ ของออสเตรเลีย ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณากำหนดอายุขั้นต่ำของเยาวชนที่สามารถใช้โซเชียลมีเดียระหว่าง 14-16 ปี และจะเตรียมทดลองใช้ระบบตรวจสอบอายุในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ก่อนออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้เกณฑ์ใหม่นี้

ผู้ปกครองหลายคนวิตกกังวลอย่างมากเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กในการใช้โซเชียลมีเดีย และต้องการให้เด็กๆ ห่างไกลจากโทรศัพท์มือถือ และออกไปเล่นในสนาม ที่ผ่านมาจีน ฝรั่งเศส และอีกหลายรัฐในสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายที่มุ่งจำกัดอายุของเยาวชนที่สามารถใช้โซเชียลมีเดีย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับอันตรายต่างๆ ตั้งแต่ เรื่องการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ จนถึงเรื่องมาตรฐานความงามที่ไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง

มาตรการนี้ได้รับเสียงวิจารณ์โต้แย้งว่าเป็นการลิดรอนสิทธิการแสดงออกของเยาวชนและสร้างความเสี่ยงเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว รวมถึงอาจเป็นการกีดกันเยาวชนจากการมีส่วนร่วมที่ดีและมีความหมายในโลกดิจิทัล และผลักให้พวกเขาหันไปสู่พื้นที่ออนไลน์ที่มีคุณภาพต่ำ

'เวียดนาม' ยังวิกฤต!! อาจมีน้ำท่วมรอบเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนผลกระทบ ‘ไต้ฝุ่นยางิ’ ทำยอดเสียชีวิตใกล้แตะ 200 รายแล้ว

(12 ก.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า สถานการณ์น้ำท่วมในกรุงฮานอยของเวียดนามยังคงวิกฤต โดยประชาชนในเมืองหลวงต้องเผชิญระดับน้ำสูงถึงเอวในวันพุธ ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำแดงพุ่งสูงสุดในรอบ 20 ปี และอาจทะลักท่วมเมืองมากขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น 'ยางิ' ซึ่งรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีพุ่งขึ้นเป็นอย่างน้อย 179 ราย และสูญหาย 145 คนทั่วประเทศ นอกจากนี้ฝนที่ตกหนักยังทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มทำลายล้างในพื้นที่ทางตอนเหนือของลาว, ไทย และเมียนมาอีกด้วย คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก

มีรายงานดินถล่มในหมู่บ้าน ‘ลางนู’ บนภูเขาอันห่างไกลในจังหวัดหล่าวกาย ทำให้พื้นที่หมู่บ้านทั้งหมดราบเป็นหน้ากลองด้วยโคลนและหิน

สื่อเวียดนามยังรายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียชีวิตในหมู่บ้านอย่างน้อย 34 ราย และยังมีผู้สูญหายอีก 46 คน โดยหน่วยกู้ภัยมีแค่จอบและพลั่วในการขุดดินเพื่อค้นหา

นักพยากรณ์อากาศ กล่าวว่าระดับน้ำในฮานอยถึงจุดสูงสุดแล้ว และระดับน้ำในแม่น้ำแดงจะลดลง พร้อมเตือนว่าจะมีน้ำท่วมรุนแรงเป็นวงกว้างในพื้นที่รอบเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ตำรวจ, ทหาร และอาสาสมัครช่วยเหลือประชาชนหลายร้อยคนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่เอ่อล้นในกรุงฮานอย เพื่ออพยพออกจากบ้านในช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตำรวจฮานอยกล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังเดินเท้าและใช้เรือไปตรวจสอบบ้านทุกหลังริมแม่น้ำ

"ประชาชนทุกคนต้องอพยพทันที เจ้าหน้าที่จะนำพวกเขาไปยังอาคารสาธารณะที่กลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวหรือพวกเขาสามารถอาศัยอยู่กับญาติในพื้นที่อื่นๆได้ ขณะนี้ฮานอยไม่ปลอดภัยเพราะฝนตกหนักมากและระดับน้ำก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว" ตำรวจกล่าว

ขณะที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงฮานอยกล่าวว่า สหรัฐฯ ได้อนุมัติงบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วนมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ให้แก่เวียดนาม

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประชาชน 59,000 คนถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเรือน เนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัยบางส่วนของจังหวัดท้ายเหงียนและเอียนบ๊ายจมอยู่ใต้น้ำเกือบหมด โดยประชาชนที่อพยพไม่ทันได้หนีขึ้นไปหลบอยู่บนหลังคาเพื่อขอความช่วยเหลือ

เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามเข้าไปช่วยผู้สูงอายุและเด็กในชุมชนที่อยู่อาศัย ขณะที่ญาติของผู้ที่ติดอยู่ในน้ำท่วมได้โพสต์คำร้องขอความช่วยเหลือและสิ่งของจำเป็นอย่างสิ้นหวัง

ในประเทศลาวซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ทางการได้อพยพประชาชน 300 คนจากหมู่บ้าน 17 แห่งในจังหวัดหลวงน้ำทาทางตอนเหนือ

โครงการอาหารโลกของสหประชาชาติแสดงความวิตกกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยของชุมชนในภาคเหนือของลาว ขณะที่วิทยุกระจายเสียงแห่งชาติรายงานว่าบ้านเรือน, ถนน, ตลาด, โรงเรียน และพื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยมียอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมอย่างน้อย 1 ราย

ในประเทศไทย มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 รายในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทางภาคเหนือ โดยกองทัพได้ส่งกำลังพลไปช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมประมาณ 9,000 ครอบครัว

ในประเทศเมียนมา มีฝนตกติดต่อกันหลายวันในบริเวณกรุงเนปยีดอ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำพุ่งสูงถึงระดับอันตราย ตามรายงานของรัฐบาลทหาร เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิต แต่ยังไม่มีการยืนยันว่ากี่ราย

ทั้งนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบกับฝนมรสุมทุกปี แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่มีต้นเหตุจากมนุษย์ ทำให้เกิดรูปแบบสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น กลายเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงกว่าปกติ

'อดีตนักบินนาซ่า' ตอบคำถาม ทำไมไก่ CP ถึงได้ไปอวกาศ ย้ำ!! ไก่ที่ส่งให้นักบินหรือคนไทย ล้วนมีมาตรฐานเดียวกัน

(12 ก.ย.67) อดีตนักบินอวกาศนาซ่า ไมค์ มาสสิมิโน (Mike Massimino) ออกมาตอบคำถามคนไทยเรื่องอาหารอวกาศ และ 'ไก่ CP' ของไทยว่ามีมาตรฐานเดียวกับที่นักบินอวกาศได้กินบนสถานีอวกาศหรือไม่ 

โดย ไมค์ ให้คำตอบกับเรื่องนี้ว่า การส่งอาหารไปให้นักบินอวกาศทานคือเรื่องที่ยากมาก เพราะต้องผ่านมาตรฐานอาหารอวกาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐานที่สูงที่สุดในโลก ดังนั้นไก่ไทยของ CP จะต้องผ่านการทดสอบทุกขั้นตอน และได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับของนักบินอวกาศทานได้

"มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะส่งอาหารขึ้นสู่อวกาศ มันต้องผ่านกระบวนการทดสอบเพื่อหาการปนเปื้อน ซึ่งหากมีเชื้ออะไรก็ตามอยู่ มันก็จะไม่สามารถเก็บได้นาน มันจึงต้องถูกเตรียมและปรุง จากนั้นก็ทำการปิดผนึกอย่างดี เพื่อให้ยังคงสภาพที่สมบูรณ์ และปลอดภัยสำหรับนักบินอวกาศ และนั่นไม่ใช่กระบวนการที่ทำได้ง่าย ๆ เลย มันต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบมากมาย" ไมค์ กล่าวและว่า...

"เพราะพวกเราไม่ต้องการให้มีนักบินอวกาศป่วยจากอาหารที่ถูกส่งขึ้นไป มันไม่ได้แค่ทำให้พวกเขาป่วย แต่มันยังกระทบต่อภารกิจด้วย ซึ่งนั่นอาจสร้างความอันตรายต่อภารกิจที่พวกเราต้องทำ...

"ดังนั้น ผมจึงมีความมั่นใจมากว่า 'ไก่ CP' นั้นมีมาตรฐานขั้นสูงสุด พวกมันถูกตรวจสอบผ่านกระบวนการทุกขั้นตอนอย่างละเอียด จนมั่นใจได้ว่าปลอดภัยพอที่จะส่งขึ้นไปบนสถานีอวกาศ"

ไมค์สรุปช่วงท้ายด้วยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นนักบินอวกาศหรือเป็นคนไทย ก็มั่นใจได้เลยว่าไก่ซีพีที่ส่งให้นักบินอวกาศทาน จะทานที่ไทยหรือบนอวกาศก็มาตรฐานความปลอดภัยเดียวกัน

'ผลสำรวจ' ชี้!! 'มะกัน' ยังเชื่อมั่นใน ‘ทรัมป์’ แม้ ‘กมลา’ ดีเบตได้ดีกว่า แต่ผิดหวัง!! ทั้งคู่ยังพูดถึง 'แผน-นโยบาย' พัฒนาประเทศได้ไม่ชัดนัก

(12 ก.ย. 67) หลังการดีเบตยกแรกของ ‘ทรัมป์-แฮร์ริส’ ผู้สื่อข่าวพีพีทีวีในสหรัฐฯ ได้สำรวจความเห็นประชาชนในวอชิงตันดีซีและรัฐแมรีแลนด์ พบชาวอเมริกันยังเชื่อมั่นในตัว ‘ทรัมป์’ มากกว่า

จากการลงพื้นที่สำรวจความเห็นประชาชนหลังการดีเบตครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 67 ชาวอเมริกันมองว่า พวกเขาต้องการแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากกว่าการโต้เถียงเรื่องอื่น ๆ

ด้านผลโพลล่าสุดชี้ การดีเบตในครั้งนี้ ‘กมลา แฮร์ริส’ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่งอย่างอดีตประธานาธิบดี ‘โดนัล ทรัมป์’ แต่หากเจาะลึกความเชื่อมั่นแล้ว ชาวอเมริกันยังเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของทรัมป์มากกว่า

การพบกันครั้งแรกในศึกดีเบตระหว่างแฮร์ริสจากพรรค ‘เดโมแครต’ และทรัมป์จากพรรค ‘รีพับลิกัน’ ทั้งสองได้แสดงวิสัยทัศน์ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจที่เน้นเรื่องภาษี สิทธิการทำแท้งในผู้หญิง และบทบาทของสหรัฐฯ ในด้านการต่างประเทศ จุดยืนในการช่วยเหลือสงครามในตะวันออกกลางหรือสงครามยูเครน

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการจัดการแนวชายแดน และแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทรัมป์เลือกที่จะโจมตีแฮร์ริส ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในตอนนี้และรับผิดชอบโดยตรงแต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ด้านนางกมลาก็หันไปโจมตี โดนัล ทรัมป์กลับ ว่าเป็นผู้ที่มีคดีความติดตัวและโกหก

จากการลงพื้นที่สำรวจความเห็นประชาชนในกรุงวอชิงตันดีซีและรัฐแมรีแลนด์ พบว่า ชาวอเมริกันต้องการเห็นแผนการบริหารงานที่ชัดเจน มากกว่าการโจมตีกัน 

ไมค์ ซี จากรัฐแมรีแลนด์ กล่าวว่า การดีเบตครั้งนี้ มองโดยรวมแล้วไม่สามารถโน้มน้าวให้เปลี่ยนการตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย. 67 นี้ได้ เพราะต่างคนต่างเลี่ยงตอบคำถามและไม่มีแผน หรือแนวทางที่ชัดเจน

ไมค์ ซี ชาวอเมริกัน บอกว่า “ผมคาดหวังให้ทั้งคู่พูดถึงแผนการ และนโยบายให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะพวกเขาไม่ได้ตอบคำถามมากนัก หรือให้ข้อมูลตามจริงในสิ่งที่พวกเขาวางไว้”

ก่อนจะเสริมว่า “ผมไม่คิดว่าการอภิปรายครั้งนี้จะทำให้สามารถเปลี่ยนผลการลงคะแนนเลือกตั้งของใครได้”

ด้านลูเซียร์ วัย 29 ปี ให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาเที่ยวที่กรุงวอชิงตัน ดีซี มองว่า การดีเบตครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมีแต่การโจมตีกันเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนตัวเธอมองว่า การดีเบตมุ่งแต่ถกเถียงเรื่องการต่างประเทศ โดยไม่ได้มีแผนในการดำเนินงาน หรือแก้ปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจภายในสหรัฐฯ

ลูเซียร์บอกว่า “ฉันคิดว่าพวกเขาโฟกัสปัญหาต่างประเทศ และอภิปรายแผนแบบนามธรรม ฉันอยากรู้แผนการพัฒนาด้านประกันสุขภาพ หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับรุ่นลูก ฉันยังไม่เห็นแผนการพัฒนาประเทศในการดีเบต”

สอดคล้องกับผลการสำรวจจาก ‘CNN Polls’ ในผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เข้ารับการลงทะเบียนชมการถ่ายทอดสดศึกดีเบต ระหว่าง ทรัมป์และแฮริส ได้มองว่า หากเลือกถึงผลงานการอภิปรายบนเวทีดีเบต กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี จากเดโมแครต ทำผลงานได้ดีกว่าทรัมป์ ถึง 63% โดยหลังจากนั้น ทีมหาเสียงของแฮร์ริสได้เรียกร้องให้มีการจัดดีเบตผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ทรัมป์ปฏิเสธและอ้างว่า การดีเบตครั้งนี้เป็นชัยชนะของเขา 

ศึกดีเบตที่มีหัวข้อที่โจมตีทั้งสองฝ่าย โดยทรัมป์เลือกเลี่ยงตอบคำถามในหลายประเด็น ขณะที่แฮร์ริสเลือกที่จะตอบคำถามอย่างมั่นใจมากกว่า หากแตกประเด็นลงไปดูการสำรวจความเชื่อมั่นด้านการแก้ไขปัญหาในด้านต่าง ๆ แล้วนั้น ด้านปัญหาการป้องกันชายแดนและแก้ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย  ทรัมป์ยังเอาชนะแฮร์ริสได้กว่า 56%

รวมถึงประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้มากกว่า ทางด้านแฮร์ริส ได้รับความเชื่อมั่นในด้านการปกป้องประชาธิปไตย และการดูแลสิทธิสตรีให้เข้าถึงการทำแท้งถูกกฎหมาย

'สื่อญี่ปุ่น' ยก!! 'ปู่วัยเก๋า' ใฝ่เรียนรู้ สร้างเงินระดับร้อยล้านจากการลงทุน สะท้อนภาพพฤติกรรมคนญี่ปุ่นที่ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาตนเองอยู่เสมอ

(13 ก.ย. 67) สำนักข่าวอาซาฮี รายงานเรื่องราวของยอดคุณปู่นักลงทุน ‘ชิเงรุ ฟูจิโมโตะ’ อายุ 88 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของจังหวัดเฮียวโงะ โดยคุณปู่ชิเงรุ ยึดถืออาชีพพ่อค้า และไม่เคยหยุดพักในการทำงาน แม้ชีวิตหลังเกษียณ ก็ยังเป็น ‘วันทำงาน’ ของปู่ จะเริ่มต้นในเวลา 02.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่กำลังนอนหลับอยู่

คุณปู่จะเริ่มต้นการลงทุนในแต่ละวัน ด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายร่างกาย ก่อนที่จะชงกาแฟและเปิดจอคอมพิวเตอร์ 3 จอ เพื่อดูข้อมูลการซื้อขายในตลาด ทั้งตลาดหุ้นยุโรป อเมริกา 

นอกจากนี้ คุณปู่ ชิเงรุ ยังได้อ่านหนังสือพิมพ์และเอกสารเกี่ยวกับผลประกอบการ หรืองบการเงิน ของบริษัทที่ตนเองสนใจการลงทุนอีกด้วย โดยคุณปู่ชิเงรุ ใช้ข้อมูลนี้เพื่อคาดการณ์ทิศทางโดยรวมของตลาดญี่ปุ่นและจำกัดขอบเขตว่าเขาจะซื้อขายหุ้นที่คาดว่าจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน

“วันนี้ตลาดจะเป็นตลาดหมี” คุณปู่ชิเงรุกล่าวหลังจากที่ดูข้อมูลภาพรวมตลาดทั้งหมด

เมื่อตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเปิดทำการในเวลา 9.00 น. ได้มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นติดต่อกัน เพื่อแจ้งว่าได้ปิดการซื้อขายหุ้นที่บริษัท Fujimoto ได้ส่งคำสั่งขายไว้เพื่อคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น

จอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์แสดงให้เห็นว่า แต่ละข้อตกลงมีกำไรเป็นตัวเลขหกหลักเป็นเงินเยน (สี่หลักเป็นเงินดอลลาร์)

“ฉันยุ่งที่สุดระหว่าง 9.00 ถึง 10.00 น.” คุณปู่ฟูจิโมโตะบ่นขณะที่เขาใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวพิมพ์แป้นพิมพ์เพื่อสั่งงาน ซึ่งมีหลายครั้งที่คุณปู่ชิเงรุพิมพ์ผิด และบนหน้าจอปรากฏตัวอักษรคำว่า ‘Error’

“คงจะแย่มากหากผมสับสนระหว่างคำสั่งซื้อกับการขาย” เขากล่าวขณะเพ่งมองจอคอมพิวเตอร์และแป้นพิมพ์ “อันที่จริง ผมทำอย่างนั้นบ้างเป็นครั้งคราว”

>> ‘วอเรน บัฟเฟตต์’ ไอดอลการลงทุนของปู่ชิเงรุ

แม้ว่าในแต่ละวัน คุณปู่ฟูจิโมโตะจะมีการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นมากมาย แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะจดบันทึกรายการธุรกรรมของเขาไว้ในสมุดบันทึกที่ถืออยู่

“เห็นไหมว่าหลายอย่างน้อยก็ทำให้มีปริมาณมากได้” เขากล่าว

จำนวนทรัพย์สินที่เป็นผลตอบแทนจากการลงทุนของคุณปู่ ซึ่งได้สะสมไว้สูงถึง 2 พันล้านเยน (12.6 ล้านดอลลาร์) หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 425,124,000 บาท ในปีนี้เป็นครั้งแรกที่แตะ 2 พันล้านเยน และยังคงสร้างสถิติใหม่เพิ่มขึ้นต่อไป

ฟูจิโมโตะกล่าวว่า “ผมหวังว่าจะเพิ่มตัวเลขอีกหลักหนึ่งเข้าไปได้ เป้าหมายของผมคือ (นักลงทุนชื่อดังของสหรัฐฯ) วอร์เรน บัฟเฟตต์” คุณปู่ชิเงรุ กล่าวถึงไอดอลในดวงใจของการลงทุน

นอกจากนี้คุณปู่ยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าเขาจะมีเป้าหมายเป็นตัวเลข แต่เขาไม่มีความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างหรูหราด้วยรายได้ที่เขาได้รับ

เมื่อฟังดูแล้วสินทรัพย์ที่มีตรงกันข้ามกับการใช้ชีวิตของคุณปู่ฟูจิโมโตะอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากคุณปู่ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ หรือกระทั่งรถยนต์ โดยเสื้อผ้าที่ใส่ยังคงเป็นเสื้อผ้าเดิม ๆ เก่าสีซีดตามสภาพ มีรอยยับบนเสื้อบ้างเล็กน้อย ไม่ได้เป็นเสื้อผ้ายี่ห้อหรูหราราคาแพง หรือเป็นสินค้าแบรนด์เนมแต่อย่างใด

ล่าสุดที่คุณปู่ใช้เงินคือการซื้อหมวกใบโปรดซึ่งมีมูลค่าหลายพันเยนเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว และคุณปู่ก็ยังคงสวมหมวกใบนั้นต่อไป โดยภรรยาของเขาเป็นคนซ่อมมันตรงส่วนที่ชำรุด 

>>ความชรา และ สุขภาพที่เสื่อมโทรมลง

คุณปู่ ชิเงรุ ฟูจิโมโตะ มักจะออกกำลังกายเบา ๆ ด้วยการเดินเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายแข็งแรง แต่ก็ยังมีสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ คือความชรา โดยคุณปู่มักมีอาการปวดหลังส่วนก้นกบ ซึ่งกำเริบขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้คุณปู่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยในการเดิน แม้เพียงระยะทางสั้น เพื่อไปห้องน้ำ

แต่ความเสื่อมของสังขารที่เกิดขึ้นกับคุณปู่ยังไม่จบลงที่เพียงแค่อาการปวดหลัง เพราะมีภาวะสมองขาดเลือดเป็นครั้งที่สองในเดือนกุมภาพันธ์ เป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบการใช้ชีวิตของคุณปู่มากกว่า ทำให้ไม่สามารถจดบันทึกรายการธุรกรรมในสมุดบันทึกได้รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

และยิ่งแย่กว่านั้น คือปัญหาการมองเห็นเมื่อประสาทตาเสื่อม ทำให้คุณปู่ต้องใช้แว่นขยายในการดูจอคอมพิวเตอร์ เมื่อตาของคุณปู่เมื่อยล้าเกินกว่าจะมองเห็นตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามคุณปู่ ฟูจิโมโตะ ยอมรับว่าการเสื่อมถอยทางร่างกายของเขาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นไปตามวัย แต่ถึงกระนั้น คุณปู่ก็ยังคงมองโลกในแง่บวก

“ผมคงทำธุรกรรมได้มากขึ้น หากเรียนรู้วิธีเขียนชวเลขเพื่อจะได้จดบันทึกได้เร็วขึ้น และสไตล์การซื้อขายของผมยังคงพัฒนาต่อไป แม้ว่าผมจะอ่อนแอลงก็ตาม ผมให้คะแนนตัวเองเพียง 75 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100) ” คุณปู่ชิเงรุ กล่าวอย่างอารมณ์ดี

>>การลงทุน เส้นบาง ๆ คั่นกลาง ระหว่างการเสี่ยงโชค กับ แรงบันดาลใจ

คุณปู่ฟูจิโมโตะใช้ชีวิตโดยยึดหลักปรัชญาว่า “คุณควรเสี่ยง แม้จะเสี่ยงต่อความล้มเหลวก็ตาม เมื่อบางสิ่งบางอย่างทำให้คุณคิดว่า ‘นี่แหละใช่แล้ว’ ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตาม”

คุณปู่ฟูจิโมโตะ เล่าให้ฟังว่าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 19 ปีหลังจากเรียนจบมัธยมปลาย โดยคุณปู่เรียนรู้การลงทุนจากลูกค้าของร้านขายสัตว์เลี้ยง ที่เขาเริ่มทำงาน โดยแนะนำและให้คำปรึกษาในการเริ่มลงทุน

ต่อมาเมื่อมีเงินเพิ่มมากขึ้น คุณปู่ได้ลงทุนเปิดกิจการร้านเล่นไพ่นกกระจอก หลังจากที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ” และต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการและความบันเทิง โดยได้ลงทุนเปิดร้านเหล้า เมื่อร้านเหล้าเจริญรุ่งเรือง โดยขยายสาขาร้านเหล้าได้ถึงสามแห่ง และสามารถทำกำไรได้ดี คุณปู่จึงขายธุรกิจให้ผู้รับช่วงต่อในราคา 65 ล้านเยน

คุณปู่ชิเงรุ ใช้เงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมด หลังจากขายกิจการออกไป โดยมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวในปี 2529 โดยสร้างผลตอบแทนการลงทุนอย่างมากในช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเฟื่องฟูในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ทำให้สินทรัพย์ของคุณปู่ชิเงรุเพิ่มมากขึ้นถึง 1 พันล้านเยน

แม้ว่าต่อมา จะเกิดวิกฤติ ‘ฟองสบู่’ ทางเศรษฐกิจแตก ทำให้ทรัพย์สินของคุณปู่ชิเงรุ ลดลงเหลือ 200 ล้านเยน แต่การจำกัดความเสี่ยงของความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ทำให้ไม่ล้มละลายจากการลงทุน

ชีวิตของคุณปู่ชิเงรุ ยังคงเจอวิบากกรรมอื่น ๆ เข้ามาซ้ำเติมอีก โดยได้รับผลกระทบเพิ่มเติม จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชินเมื่อปี พ.ศ. 2538 ซึ่งทำให้ทางเข้าอพาร์ตเมนต์ของคุณปู่พังเสียหาย โดยคุณปู่หนีจากแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ซึ่งในขณะนั้นมีเพียงเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนไหล่ และเดินเท้าเปล่าบนถนนที่เต็มไปด้วยเศษแก้ว ซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทำให้คุณปู่เกิดความรู้สึกสิ้นหวัง และห่างเหินจากการลงทุนเพราะการใช้ชีวิตในตอนนั้น เหมือนผู้อพยพไร้ที่พึ่งที่ต้องซุกตัวอยู่ในอาคารเรียนประถมศึกษา

>>เรียนรู้การลงทุนแบบออนไลน์ในวัยเกษียณ

จุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อคุณปู่ฟูจิโมโตะ ได้รู้จักกับโลกของการซื้อขายหุ้นออนไลน์ในปี 2002

ก่อนหน้านี้ คุณปู่ใช้วิธีส่งคำสั่งซื้อและขายได้เฉพาะทางโทรศัพท์บ้านหรือการซื้อขายผ่านเคาน์เตอร์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา บริษัทได้แจ้งกับคุณปู่ว่า บริษัทนายหน้าซื้อขายหุ้นแห่งหนึ่งซึ่งคุณปู่ชิเงรุคุ้นเคยมานาน กำลังเริ่มให้บริการซื้อขายออนไลน์

ซึ่งคุณปู่ฟูจิโมโตะ ในขณะนั้นอายุ 66 ปี และไม่เคยจับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ แต่ก็พร้อมที่จะเรียนรู้ และไม่หวั่นไหวกับรูปแบบการลงทุนที่เปลี่ยนไป

“วิธีนี้จะสะดวกมาก และค่าคอมมิชชันก็ต่ำมาก ซึ่งผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองวิธีนี้ดู” คุณปู่กล่าว

หลังจากที่รูปแบบการลงทุนเปลี่ยนไป คุณปู่ฟูจิโมโตะ ไม่รีรอที่จะไปร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และค่อย ๆ เรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งนำเขาไปสู่การลงทุนในยุคปัจจุบันนี้

“การระมัดระวังและคิดกับตัวเองว่า ‘โอ้ ดูดีจังเลย’ เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะอะไรน่ะเหรอ ศูนย์คูณศูนย์ก็เท่ากับศูนย์ โลกของคุณช่างเล็กเหลือเกิน มีสิ่งต่าง ๆ มากมายที่คุณไม่รู้ อายุไม่สำคัญเมื่อคุณเริ่มลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ” คุณปู่ชิเงรุ กล่าวอย่างกระตือรือร้น

แน่นอนว่าวิธีการของคุณปู่ในตอนนั้น ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดและล้มเหลวในที่สุดหลังสูญเสียเงินลงทุนครั้งใหญ่ในการซื้อขายหุ้น

คุณปู่ฟูจิโมโตะเล่าว่า โดยยกสำนวนภาษาญี่ปุ่นที่ว่า “ผมสะดุดไม่ใช่แค่เจ็ดครั้ง แต่ประมาณ 50 ครั้ง” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “สะดุดเจ็ดครั้ง แต่สามารถฟื้นตัวได้แปดครั้ง.....แต่ผมมักจะสาปแช่งตัวเองอยู่เสมอ โดยเชื่อว่าผมไม่ควรตำหนิผู้อื่น การครุ่นคิดมากเกินไปนั้นไม่ดี เพราะการทำเช่นนี้จะทำเหมือนการตอกย้ำความผิดพลาด และทำให้เสียโอกาสที่จะลงทุนครั้งต่อไป”

มาถึงจุดนี้ คุณปู่ฟูจิโมโตะ ยืนยันว่า "การซื้อขายหุ้นไม่เหมาะสำหรับผู้ที่หวังจะหาเงินง่าย ๆ"

“เมื่อคุณซื้อหุ้นแล้ว หุ้นเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเพื่อนของคุณ ดังนั้นคุณต้องคอยดูแลหุ้นเหล่านั้นเหมือนดูแลเพื่อนคุณตลอดเวลา คุณต้องค้นหาหุ้นเหล่านั้นทุกวัน ศึกษาหุ้นเหล่านั้น และเป็นพี่น้องกับหุ้นเหล่านั้น” คุณปู่กล่าว

แต่ก็ใช่ว่าความจริงจะสามารถทำได้ เพราะคำพูดมันง่าย แต่ทำจริงมันยาก

ความมุ่งมั่นของคุณปู่ มีมากกว่าอาการเจ็บป่วยและความชราจะเข้ามาบั่นทอนได้ แม้ว่าต้องทนเจ็บปวดจากกระดูกสันหลังส่วนล่าง แต่คุณปู่ฟูจิโมโตะ ยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน เพื่ออ่านและศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เมื่อใดก็ตามที่มีข่าวสำคัญ เขาจะคาดการณ์ปฏิกิริยาของนักลงทุนรายอื่นต่อปัจจัยดังกล่าว และพยายามคาดเดาปฏิกิริยาเหล่านั้น

จากประสบการณ์และความคิดของเขาถูกสะสมขึ้นทุกวัน แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่คุณปู่ชิเงรุคาดการณ์จะถูกต้องเสมอไป ความผิดพลาดยังเกิดขึ้นอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่คุณปู่ฟูจิโมโตะยังคงยิ้มรับสิ่งที่เกิดขึ้น และกล่าวว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นั่นแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากและเสน่ห์ของการซื้อขายรายวัน"

นักข่าวของ อาซาฮี ชิมบุน ที่ยังคงรู้สึกประทับใจกับความกระตือรือร้นของคุณปู่ ฟูจิโมโตะ ตลอดการให้สัมภาษณ์เพื่อเผยแพร่บทความนี้ ซึ่งนักข่าวได้ถามคำถาม 2-3 คำถามในตอนท้ายของการสัมภาษณ์

ข้อความบางส่วนจากการแลกเปลี่ยนได้แก่

นักข่าว : เงินหมายถึงอะไรสำหรับคุณ?

ฟูจิโมโตะ : เงินไม่ใช่สิ่งน่ารำคาญ แต่ผมไม่ได้ต้องการมันมากนัก อย่างไรก็ตาม เงินทำให้คุณต้องใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง กว่าจะเลือกลงทุนได้ ผมไม่เชื่อคำพูดของนักวิเคราะห์ที่บอกว่า ‘หุ้นของรุ่นนี้จะขึ้น’ ทางทีวีและในหนังสือพิมพ์ เพราะพวกเขาเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนที่พูดแบบนั้น โดยไม่ได้ใช้เงินของตัวเอง ผมต้องรวบรวมความกล้า แม้กระทั่งตอนนี้ เมื่อผมควักเงินของตัวเองออกมาใช้ เมื่อผมแพ้เกม ผมจะพูดกับตัวเองว่า “ช่างหัวมันเถอะ” และตั้งใจเรียนอย่างหนักด้วยความสำนึกผิด มันสนุกมากเมื่อเศรษฐกิจและราคาหุ้นเคลื่อนไหวไปตามที่คาดไว้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงหยุดทำแบบนี้ไม่ได้

นักข่าว:คุณกำลังคิดเรื่องการเกษียณหรือไม่?

ฟูจิโมโตะ : ผมจะเกษียณจากการลงทุนก็ต่อเมื่อผมตาย ตอนนี้ผมให้คะแนนชีวิตตัวเองอยู่ที่ 75 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100) ผมพยายามสงบสติอารมณ์และฝึกฝนทักษะการซื้อขายทุกวัน ผมจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาจิตวิญญาณ เทคนิค และสมรรถภาพทางกายให้สมบูรณ์แบบต่อไป และชีวิตของผมอาจดีขึ้นถึง 90 หรือ 100 คะแนน ซึ่งนั่นคงเป็นเวลาที่ผมกำลังจะจากโลกนี้ไป (หัวเราะ)

"โอ้ ดวงวิญญาณที่ทุกข์ระทม จงมองดูฉัน ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นสิ่งใดๆ การเดินทางไกลนับพันไมล์เริ่มต้นด้วยไมล์เดียว คุณควรใช้ชีวิตโดยไม่ต้องครุ่นคิด!"

ทั้งนี้ คุณปู่ชิเงรุ ฟูจิโมโตะ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1936 เป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องสี่คนของครอบครัวเกษตรกรในจังหวัดเฮียวโงะ โดยเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุ 19 ปี โดยเน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาแนวโน้มราคาหุ้นในอดีตเพื่อคาดการณ์ความเคลื่อนไหวในอนาคต จนมีความเชี่ยวชาญในการอ่านภาพบริษัทและทิศทางการลงทุน ขณะที่งานอดิเรกของคุณปู่คือการปีนเขา และมีงานอดิเรกคือการได้พูดคุย และเล่นกับนกแก้วตัวโปรดที่คุณปู่เลี้ยงไว้

นอกจากนี้ คุณปู่ฟูจิโมโตะ ยังได้ตีพิมพ์หนังสือภาษาญี่ปุ่นเรื่อง ‘คำสอนของชิเงรุซัง เทรดเดอร์วัย 87 ปี’ จากบริษัท Diamond Inc. ซึ่งออกวางจำหน่ายในปี 2566

‘ทรัมป์’ ยัน!! ไม่ดีเบต 'กมลา' อีกรอบ ลั่น!! มีแต่ผู้แพ้เท่านั้นที่ขอโอกาสล้างตา

(13 ก.ย. 67) อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันในศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความลงบน ทรูธ โซเชียล ระบุว่า การประชันวิสัยทัศน์หรือดีเบตครั้งที่ 3 กับตัวแทนพรรคเดโมแครตจะไม่เกิดขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ได้ขึ้นเวทีมาแล้ว 2 ครั้ง ในเดือน มิ.ย.67 กับประธานาธิบดี โจ ไบเดน และครั้งล่าสุดกับรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส เมื่อวันที่ 10 ก.ย.67 ที่ผ่านมา

ในโพสต์ดังกล่าว ทรัมป์ยืนยันว่าตนเองเป็นฝ่ายเอาชนะแฮร์ริส และมีเพียงผู้แพ้เท่านั้นที่เรียกร้องขอโอกาสแก้มือหรือล้างตากันอีกรอบ โดยทรัมป์แนะนำว่าแฮร์ริสควรมีสมาธิกับการทำหน้าที่รองประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะเปลี่ยนใจ เพราะก่อนการดีเบตกับแฮร์ริส ทรัมป์แทบไม่เคยให้ความชัดเจนเลยว่าจะขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์หรือไม่ ขณะที่แกนนำพรรครีพับลิกันหลายคนต้องการให้ทรัมป์ขึ้นดีเบตกับแฮร์ริสอีกครั้ง โดยมีรายงานว่า สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์ได้เชิญทรัมป์และแฮร์ริสขึ้นเวทีดีเบตกันในเดือน ต.ค. 67 นี้

ส่วนความเคลื่อนไหวการหาเสียงเลือกตั้งภายหลังการดีเบต  เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 67 ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เลือกลงพื้นที่เมือง ‘ทูซอน’ รัฐ ‘แอริโซนา’ 1 ใน 6 รัฐสำคัญที่คะแนนเสียงสูสีและจะเป็นปัจจัยชี้ขาดผลแพ้ชนะ โดยทรัมป์ได้ย้ำถึงปัญหาการควบคุมพรมแดนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันปล่อยให้ผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากและก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น

ด้านแฮร์ริสเดินทางไปยังเมือง ‘ชาร์ลอต’ รัฐ ‘นอร์ทแคโรไลนา’ โดยระหว่างการปราศรัย แฮร์ริสระบุว่า เธอและทรัมป์ยังต้องทำหน้าที่รับใช้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วยการขึ้นเวทีดีเบตกันอีกครั้ง เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 67 นี้ คือเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดของสหรัฐฯ 

ขณะที่ทีมหาเสียงของแฮร์ริสเปิดเผยว่า ยอดเงินบริจาคในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังจากการดีเบต มีตัวเลขอยู่ 47 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500  ล้านบาท จากจำนวนผู้บริจาคเกือบ 600,000 คน ทำให้ขณะนี้ แฮร์ริสมียอดเงินบริจาคสะสมสำหรับการหาเสียงเพิ่มเป็น 360 ล้านดอลลาร์ หรือ 12,000 ล้านบาท ส่วนทรัมป์มียอดบริจาคสะสมอยู่ที่ประมาณ 130 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท

‘ลาว’ เตือน!! น้ำท่วม หลัง ‘แม่น้ำโขง’ เพิ่มสูง พื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมขนย้ายของไปยังที่ปลอดภัย

(13 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยว่า หน่วยงานสภาพอากาศของลาว ได้ประกาศเตือนน้ำท่วมเนื่องจากระดับน้ำของแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขาสายหลักยังคงเพิ่มขึ้นตามฝนที่ตกหนักหลายวันทั่วลาว พร้อมเตือนสาธารณชนในพื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมขนย้ายสิ่งของไปยังที่ปลอดภัย

สำนักอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของลาว ระบุว่าระดับน้ำของแม่น้ำโขงที่แขวงหลวงพระบางในวันพฤหัสบดี (12 ก.ย.67) อยู่ที่ 19.02 เมตร ซึ่งสูงเกินระดับอันตรายที่กำหนดไว้ 18 เมตร

ขณะระดับน้ำของแม่น้ำโขงในแขวงอุดมไซอยู่ที่ 29.90 เมตร ซึ่งสูงเกินเกณฑ์เตือนภัยที่กำหนดไว้ 29 เมตร และเกือบแตะระดับอันตรายที่กำหนดไว้ 30 เมตร ส่วนระดับน้ำของแม่น้ำโขงในแขวงไชยบุรีอยู่ที่ 13.95 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภัย (15 เมตร) และระดับอันตราย (16 เมตร)

ด้านระดับน้ำของแม่น้ำโขงในเมืองปากซันของแขวงบอลิคำไซอยู่ที่ 11.15 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภัย (13.50 เมตร) และระดับอันตราย (14.50 เมตร) ส่วนระดับน้ำของแม่น้ำโขงในนครหลวงเวียงจันทน์อยู่ที่ 11.45 เมตร ซึ่งเกือบแตะเกณฑ์เตือนภัย (11.50 เมตร) และระดับอันตราย (12.50 เมตร)

ทั้งนี้ ภาคเหนือของลาวกำลังเผชิญน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี หลังจากพายุโซนร้อนยางิทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องจนแม่น้ำหลายสายมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นและเอ่อล้นตลิ่ง โดยบรรดาหน่วยงานรัฐบาลลาวเร่งจัดสรรยานพาหนะและความช่วยเหลืออื่นๆ เข้าช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของและปศุสัตว์

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#4 สุดยอดปืนเล็กยาวตระกูล AK จาก Kalashnikov Group

ยังเป็นบ่ายวันแรก (12 สิงหาคม) หลังจากชมนานาสารพัดจรวดนำวิถีที่ออกแบบและผลิตโดยบริษัท Tactical Missiles Corporation (KTRV) แล้วทีมงานของบริษัท ROSOBORONEXPORT ก็พาเดินไปยังอาคารของบริษัท Kalashnikov Group ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนตระกูล AK ที่คนไทยรู้จักกันดี 

‘Mikhail Kalashnikov’ (1919 - 2013) ผู้ออกแบบและสร้างปืนเล็กยาวตระกูล AK

ก่อนปี 2013 บริษัทนี้รู้จักกันในชื่อของ 'Izhevsk Machine-Building Plant' และได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น 'Kalashnikov Concern' เพื่อเป็นเกียรติแก่ ‘Mikhail Kalashnikov’ ผู้ออกแบบและสร้างปืนเล็กยาวตระกูล AK บริษัท 'Kalashnikov' มีประวัติการก่อตั้งมายาวนาน 217 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Izhevsk ในเขต Udmurtia และกรุงมอสโกเมืองหลวง เป็นบริษัทมหาชนจำกัดออกแบบและผลิต อาวุธยุทโธปกรณ์ของสหพันธรัฐรัสเซีย อาทิ อาวุธปืนสำหรับพลเรือนและทหารหลากหลายประเภท เช่น อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจม อาวุธปืนสำหรับพลแม่นปืน ปืนกลอัตโนมัติประจำหมู่ ปืนยาวล่าสัตว์ ปืนลูกซอง ปืนใหญ่กระสุนนำวิถี และอาวุธยุทโธปกรณ์ประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น สถานีอาวุธควบคุมระยะไกล ยานยนต์ไร้คนขับ และหุ่นยนต์ทางการทหาร

ปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูล Kalashnikov (AK)

บริษัท Kalashnikov Concern ผลิตอาวุธปืนขนาดเล็กประมาณ 95% ของที่ผลิตทั้งหมดในสหพันธรัฐรัสเซีย และส่งออกไปยังกว่า 27 ประเทศทั่วโลก ทำให้เป็นผู้ผลิตอาวุธปืนรายใหญ่ที่สุดในรัสเซีย โดยมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูล Kalashnikov (AK) ปืนกลเบา RPK ปืนไรซุ่มยิงกึ่งอัตโนมัติ Dragunov SVD ปืนเล็กสั้นกึ่งอัตโนมัติ SKS ปืนพก Makarov PM ปืนลูกซอง Saiga-12 และปืนกลมือ Vityaz-SN และ PP-19 Bizon อาวุธปืนเหล่านี้ ยกเว้น SVD, SKS และ PM ล้วนพัฒนาขึ้นจากอาวุธปืนตระกูล AK อันโด่งดัง ซึ่งตัวเลขโดยประมาณของปืนเล็กยาวจู่โจมตระกูลนี้น่าจะมากกว่า 100ล้านกระบอก อันเนื่องมาจากความน่าเชื่อถือในเรื่องของความแข็งแรงและทนทานในทุกสภาวะ ต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถหาซื้อได้ในเกือบทุกภูมิภาค (เนื่องจากเป็นอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมที่มีการผลิตเลียนแบบมากที่สุด) และใช้งานง่าย 

อุปกรณ์ป้องกัน (หมวกกันกระสุนและเกราะกันกระสุน) เครื่องแบบและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทางการทหารผลิตโดย Kalashnikov

ปัจจุบันบริษัทผลิตอาวุธปืนอยู่ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ 'Kalashnikov' (อาวุธปืนสำหรับการสงครามและพลเรือน) 'Baikal' (อาวุธปืนสำหรับพลเรือนและล่าสัตว์) และ 'Izhmash' (ปืนเล็กยาวสำหรับการกีฬา) บริษัทกำลังพัฒนาสายธุรกิจใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึง ยานติดอาวุธปืนไร้คนขับ ยานพาหนะทางอากาศและภาคพื้นดิน และเรืออเนกประสงค์เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ ตลอดจนอุปกรณ์ป้องกัน (หมวกกันกระสุนและเกราะกันกระสุน) เครื่องแบบและอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ทางการทหาร เกราะปฏิกิริยาต้านแรง (Explosive Reactive Armor : ERA)

แผ่นเกราะชนิดต่าง ๆ และเกราะปฏิกิริยาต้านแรงระเบิด (Explosive Reactive Armor : ERA)

อาสาสมัครทหารพรานกับอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-104 ขนาด 7.62x39 ม.ม.

สำหรับประเทศไทย กองทัพบกก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของ Kalashnikov โดยมีการจัดซื้อจัดหาอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-104 ขนาด 7.62x39 ม.ม. สำหรับกองกำลังอาสาสมัครทหารพราน และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้จัดซื้อจัดหาอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-102 ขนาด 5.56x45 ม.ม. สำหรับกองกำลังอาสาสมัครรักษาดินแดน

อาสาสมัครรักษาดินแดน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กับอาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-102 ขนาด 5.56x45 ม.ม.

ปัจจุบัน กองทัพของสหพันธรัฐเซียใช้อาวุธปืนเล็กยาวจู่โจมแบบ AK-12 ขนาด 5.45x39 ม.ม. เป็นอาวุธปืนประจำกาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top