Thursday, 15 May 2025
World

'นิวซีแลนด์' ขึ้นค่าธรรมเนียม 3 เท่า สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หนุนบริการสาธารณะ-ประสบการณ์ท่องเที่ยวดีๆ จากนิวซีแลนด์

(4 ก.ย.67) รัฐบาลนิวซีแลนด์ออกแถลงการณ์ว่า จะมีการขึ้นค่าธรรมเนียมสำหรับนักเดินทางต่างชาติ การอนุรักษ์และการท่องเที่ยว จากเดิม ราคา 742 บาท เพิ่มเป็น 2,232 บาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นเกือบ 3 เท่า เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้เป็นต้นไป เพื่อให้มั่นใจว่านักท่องเที่ยวได้มีส่วนสนับสนุนบริการสาธารณะ และประสบการณ์ดี ๆ ที่ได้รับ จากการท่องเที่ยวในประเทศ

ที่ผ่านมา นิวซีแลนด์เองก็เผชิญกับปัญหานักท่องเที่ยวล้น จนกระทบกับสภาพแวดล้อม ธรรมชาติ และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ต่างจากที่อีกหลายประเทศเผชิญอยู่

สำหรับค่าธรรมเนียมเข้าประเทศ 742 บาท ถูกบังคับใช้มาตั้งแต่ ก.ค.ปี 2019 แต่จำนวนดังกล่าวยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการรับมือกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป

รัฐบาลระบุว่า ค่าธรรมเนียมยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ และมั่นใจว่านิวซีแลนด์จะยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม สมาคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของนิวซีแลนด์ เชื่อว่าค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นจะทำให้นักท่องเที่ยวยิ่งไม่อยากเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศ ท่ามกลางการฟื้นตัวที่ช้ากว่าประเทศอื่น ๆ หลังมีการใช้มาตรการปิดพรมแดนอย่างเข้มงวด ช่วงโควิด-19 ระบาด

อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน ยังอยู่ที่ 80% เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงก่อนใช้มาตรการปิดพรมแดน

'สภาทองคำโลก' เผย!! ทองคำยังให้ผลตอบแทนดีกว่าทรัพย์สินหลัก ชี้!! ช่วยกระจายความเสี่ยง ให้ผลตอบแทนระยะยาวเชิงบวก

(4 ก.ย. 67) สภาทองคำโลก (World Gold Council) ‎เผยแพร่บทวิเคราะห์แนวโน้มของทองคำตามกรอบแนวทางการประเมินมูลค่าของ ‎QaurumSM และสภาทองคำโลก‎ โดยได้วิเคราะห์ว่าหากทิศทางเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยยังคงสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดในปัจจุบัน ทองคำอาจจะยังคงได้รับแรงหนุนจากการลงทุนต่อไป

รายงานภาพรวมของทองคำช่วงกลางปีที่สภาทองคำโลกได้เผยแพร่ยังชี้ให้เห็นว่าทองคำมีผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์หลักส่วนใหญ่ในครึ่งแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา ‎โดยในช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน 2567 ทองคำพุ่งขึ้นสูงถึง 12% และเกือบแตะ 15% ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ผลตอบแทนของทองคำในครึ่งแรกของช่วงครึ่งปีหลังนี้มีความแข็งแกร่ง แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับสูงและเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ซึ่งมักจะเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อทองคำ

มีสาเหตุหลายประการด้วยกันที่จะทำให้ทองคำมีผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่อง สภาทองคำโลกได้เริ่มเห็นว่านักลงทุนได้หันกลับมาสนใจในทองคำอีกครั้ง จากกระแสการลงทุนที่ไหลเข้าสู่กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ทองคำสำหรับนักลงทุนในภูมิภาคยุโรปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม และในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยการลดลงของอัตราดอกเบี้ยควบคู่กับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ อาจช่วยสนับสนุนแนวโน้มนี้ต่อไป

คุณฮวน คาร์ลอส อาร์ทิกัส (Juan Carlos Artigas) หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “เช่นเดียวกับในเศรษฐกิจระดับโลก ดูเหมือนว่าทองคำกำลังรอปัจจัยที่จะเข้ามากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในรูปแบบของกระแสการลงทุนจากทางตะวันตกในขณะที่อัตราดอกเบี้ยลดลง หรือตัวชี้วัดระดับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่สูงขึ้น ถึงแม้ว่าแนวโน้มของทองคำในอนาคตอาจจะยังมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่ความต้องการทองคำเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการจัดสรรสินทรัพย์นั้นกำลังเพิ่มสูงขึ้น”

คุณฮวน กล่าวเสริมว่า “ในขณะที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน นักลงทุนจึงต้องการรู้ว่าแนวโน้มของทองคำที่ผ่านมาจะยังสามารถดำเนินต่อไปหรือจะลดความร้อนแรงลง ในอดีตตลาดมักมองเฉพาะที่อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นในการกำหนดมุมมองเกี่ยวกับทองคำ ซึ่งหากมองจากแนวทางดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 นั้นน่าจะส่งผลเชิงลบต่อทองคำ แต่ราคาทองกลับพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้ง และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในตลอดทั้งไตรมาสที่ 2” 

สภาทองคำโลกคาดว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางในปีนี้จะยังคงสูงกว่าแนวโน้มที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมุมมองที่สอดคล้องกับ Metals Focus โดยการคาดการณ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากรายงานผลการสำรวจจากธนาคารกลางของสภาทองคำโลกที่ได้แสดงให้เห็นว่าผู้จัดการด้านทุนสำรองทองคำยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทองคำต่อไป อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าธนาคารกลางบางแห่งซึ่งรวมถึงธนาคารประชาชนจีน (PBoC) นั้นได้ปรับลดปริมาณการซื้อทองคำลง

นักลงทุนชาวเอเชียยังได้มีบทบาทสำคัญต่อผลการดำเนินงานของทองคำในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้ชัดจากความต้องการในทองคำแท่งและเหรียญทองคำ รวมถึงการไหลเข้าของกระแสการลงทุนใน ETF ทองคำในไตรมาสที่ 2 ‎ของปี 2567‎

ด้าน คุณเซาไก ฟาน (Shaokai Fan) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าธนาคารกลางระดับโลกของสภาทองคำโลก กล่าวว่า “ความต้องการทองคำผู้บริโภคของประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ได้เพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับจำนวน 9 ตัน ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตคิดเป็น % ที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับไตรมาสที่ 2 และแม้ว่าราคาทองคำได้พุ่งสูงขึ้น ความต้องการทองคำทั่วโลกก็ยังคงเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 1,258 ตัน และถือเป็นไตรมาสที่ 2 ของปีที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เราได้เก็บรวบรวมข้อมูลมา 

ทั้งนี้ เมื่อมองไปในอนาคต คำถามคือมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะผลักดันให้ทองคำยังคงมีความน่าสนใจเป็นอันดับต้น ๆ ในกลยุทธ์การลงทุนต่อไป คุณฟาน มองว่า จากการคาดการณ์และรอคอยมาเป็นระยะยาวนานว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่นานนี้ ทำให้กระแสการลงทุนได้ไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจากตะวันตกหันกลับมาให้ความสนใจอีกครั้ง การฟื้นตัวของการลงทุนจากกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง อาจเปลี่ยนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของความต้องการทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2567”‎

โดยสรุปแล้วทองคำอาจยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่จำกัด (Rangebound) หากธนาคารกลางสหรัฐใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ทองคำจะมีผลตอบแทนสูงกว่าจากจุดนี้ โดยอาจเกิดจากแรงหนุนของกระแสการลงทุนในฝั่งตะวันตก ในทางกลับกันหากความต้องการทองคำของธนาคารกลางลดลงอย่างมาก และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอเชียเปลี่ยนไป นักลงทุนอาจเห็นการปรับฐานในช่วงครึ่งปีหลัง 

ทั้งนี้การวิเคราะห์ของสภาทองคำโลกได้แสดงให้เห็นว่าทองคำมีบทบาทสำคัญในการกระจายความเสี่ยง และเป็นแหล่งสภาพคล่องทางการเงิน ควบคู่ไปกับการให้ผลตอบแทนระยะยาวในเชิงบวก

เด็ก 14 กราดยิงโรงเรียนมัธยม ‘รัฐจอร์เจีย’ ทำครู-นักเรียนดับ 4 ศพ เผยประวัติ เคยถูกสอบปากคำเมื่อปีก่อน ฐานโพสต์ขู่กราดยิง

(5 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ตำรวจสหรัฐฯ ควบคุมตัวเด็กชายวัย 14 ปี ซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่ครูและนักเรียนเสียชีวิตรวม 4 ศพ และมีผู้บาดเจ็บอีก 9 คน ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในรัฐจอร์เจีย เมื่อวันพุธ (4 ก.ย.) กลายเป็นเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เริ่มเปิดภาคการศึกษาใหม่

เด็กชายต้องสงสัยถูกตำรวจควบคุมตัวภายในเวลาไม่นาน หลังเกิดเหตุกราดยิงขึ้นที่โรงเรียน Apalachee High School ในเมืองวินเดอร์ รัฐจอร์เจีย โดยตามรายงานระบุว่า เด็กคนนี้เคยถูกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเรียกสอบปากคำเมื่อปีที่แล้วฐานโพสต์ข้อความข่มขู่กราดยิงโรงเรียนลงในสื่อออนไลน์

คริส โฮซีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนประจำรัฐจอร์เจีย ระบุในงานแถลงข่าวว่า โคลต์ เกรย์ (Colt Gray) วัย 14 ปี จะถูกตั้งข้อหาและดำเนินคดีเสมือนเป็นผู้ใหญ่

จัด สมิธ ผู้ปกครองเทศมณฑลแบร์โรว์ส ระบุว่า เด็กชายคนนี้ใช้ “อาวุธปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ” ในการก่อเหตุ และเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ก็ยอมจำนนหมอบราบลงกับพื้นทันที

พนักงานสอบสวนเชื่อว่าผู้ก่อเหตุกระทำการเพียงคนเดียว แต่ยังปฏิเสธที่จะเผยว่าอะไรคือมูลเหตุจูงใจ

สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 4 รายแบ่งออกเป็นนักเรียน 2 คน และครูอีก 2 คน ได้แก่ เมสัน เชอร์เมอร์ฮอร์น วัย 14 ปี, คริสเตียน แอนกูโล วัย 14 ปี, ริชาร์ด แอสเพนเวลล์ วัย 39 ปี และ คริสตินา อีริมี วัย 53 ปี ส่วนผู้บาดเจ็บที่เหลือถูกนำส่งโรงพยาบาล และคาดว่าจะมีอาการดีขึ้นตามลำดับ

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ได้แถลงในเวลาต่อมาว่า ทางหน่วยงานเคยตรวจสอบคำขู่ออนไลน์ว่าจะกราดยิงโรงเรียนในปี 2023 และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นได้เรียกตัวเด็กชายวัย 13 ปีมาสอบปากคำพร้อมกับบิดาของเขา ซึ่งแม้ว่าคำแถลงของ FBI จะไม่ระบุชื่อเด็ก แต่เจ้าหน้าที่รัฐจอร์เจียยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุกราดยิงในครั้งนี้

“ผู้เป็นบิดาอ้างว่ามีปืนล่าสัตว์อยู่ในบ้าน แต่ไม่ได้ปล่อยให้ลูกชายเข้าถึงโดยปราศจากคำแนะนำ ส่วนตัวเด็กเองก็ปฏิเสธว่าไม่เคยโพสต์ข้อความข่มขู่ ทางเทศมณฑลแจ็คสันจึงได้แจ้งไปยังโรงเรียนในพื้นที่ให้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของเด็กคนนี้” FBI ระบุ พร้อมย้ำว่าในขณะนั้นยังไม่มีเหตุอันควรให้ต้องดำเนินการจับกุม

เหตุกราดยิงครั้งนี้ยิ่งโหมกระพือข้อถกเถียงระดับชาติเกี่ยวกับมาตรการควบคุมอาวุธปืน และหลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความโศกเศร้าที่ความสูญเสียลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยเหลือเกินในสหรัฐอเมริกา

ประชาชนในเมืองวินเดอร์ซึ่งอยู่ห่างจากแอตแลนตาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 80 กิโลเมตรได้ไปรวมตัวกันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในค่ำวันพุธ (4 ก.ย.) เพื่อร่วมกิจกรรมจุดเทียนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต

'โซเชียลจีน' แชร์โมเมนต์ใจฟู คุณพ่อวัยชราเดินทางไกลพันกิโลมาง้อลูกสาว ด้านลูกสาว เผย!! คิดถึงมากแต่รู้สึกผิดจนไปกล้าติดต่อ หลังทะเลาะกัน

(5 ก.ย. 67) เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีไวรัลที่โด่งดังไปทั่วโซเชียลของจีน หลังมีคลิปวิดีโอเผยภาพคุณพ่อวัย 60 ปีที่ยอมเดินทางไกลกว่า 1,000 กม. เพื่อง้อลูกสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันกว่า 6 เดือน โดยคุณพ่ออยากที่จะคืนดีกับลูกสาว เพราะหลังจากทะเลาะกันเรื่องนัดบอดเมื่อ 6 เดือนก่อน ลูกสาวของเขาก็เก็บกระเป๋าออกจากบ้านไป และไม่ยอมติดต่อกลับมาอีกเลย

คลิปวิดีโอเผยภาพผู้เป็นพ่อสวมชุดมาสคอตหมี พร้อมกับถือช่อดอกไม้ เดินเข้ามาในบริษัทที่ตั้งอยู่ในกว่างโจว มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ลูกสาวของเขาทำงานอยู่

ด้านลูกสาวที่นั่งทำงานอยู่นั้นก็ดูงุนงงเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ ก็ได้รับช่อดอกไม้ จากนั้นผู้เป็นพ่อในชุดมาสคอตหมีก็กางแขนออก เพื่อขอกอดเธอ

แม้เธอจะลังเลอยู่บ้าง แต่ก็กอดตอบ ซึ่งวินาทีที่พ่อของเธอถอดหัวมาสคอตออกมา พร้อมส่งรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่ได้เจอเธอ ก็ทำเอาเธอตกตะลึงและตะโกนออกมาทันทีว่า "พ่อ!" จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปกอดพ่อแน่นๆ แล้วถามพ่อว่า “พ่อมาทำอะไรที่นี่?” ก่อนที่ต่างฝ่ายจะพากันร้องไห้

“ลูกสาว ลูกไม่ได้ติดต่อพวกเรามานานเลย พ่อคิดถึงลูกมาก” พ่อกล่าว พร้อมเสริมว่า “มันเป็นความผิดของพ่อกับแม่ พวกเราตกลงกันแล้วว่า จะไม่บังคับให้ลูกเข้าร่วมนัดบอดอีก ลูกวางใจได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ภายหลังผู้เป็นลูกสาวเผยทั้งน้ำตาว่า เธอไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่เลยนับตั้งแต่วันที่ทะเลาะกัน ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึง แต่เธอกลัวที่จะโทร.หา เพราะรู้สึกผิดและรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นลูกที่แย่ ที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังเอาไว้ได้

นอกจากนี้ ยิ่งได้เห็นว่าพ่อชราลงไปมากแค่ไหน มันก็ทำให้เธออดที่จะร้องไห้ไม่ได้ 

“ผมของพ่อกลายเป็นสีขาวไปแล้ว ฉันรู้สึกผิดมาก” ลูกสาวกล่าว

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างแสดงความคิดเห็น เช่น “ฉันล่ะอิจฉาผู้หญิงคนนี้ที่มีพ่อแม่ที่รักเธอมากๆ” และ “ดูแล้วน้ำตาไหล ความรักของพ่อที่มีต่อเธอนั้นยิ่งใหญ่ดั่งภูผา”

‘ดีเคช’ นักแม่นปืนทีมชาติตุรกีจดลิขสิทธิ์ท่ายิงสุดไวรัลแล้ว หลังถูกนำท่าไปใช้หากิน แถมหวังชิงจดลิขสิทธิ์ตัดหน้าเจ้าตัว

(5 ก.ย. 67) ยังคงโด่งดังจนเป็นไวรัลต่อเนื่องมาจากการเข้าแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส กับ ‘ยูซุฟ ดีเคช' (Yusuf Dikec) นักกีฬาแม่นปืนทีมชาติตุรกีที่เข้าแข่งขันโดยใช้เพียงปืนคู่ใจและแว่นตา

แถมจอมแม่นปืนวัย 51 ปี ยังไม่ได้สวมอุปกรณ์ปิดตาไฮเทค ซึ่งสำคัญมากสำหรับกีฬายิงปืน หากแต่เขาใส่เเว่นสายตาปกติ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วสามารถคว้าเหรียญเงินมาครองได้ จนโด่งดังอย่างมากในโลกโซเชียล

แต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ ดีเคช ถูกพูดถึงอย่างมาก คือ 'ท่ายิงสุดชิล' ของเขา ที่เอามือล้วงกระเป๋า หน้านิ่ง จนถูกยกเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตามกลับมีหลายคนฉวยโอกาส นำท่าดังกล่าวไปใช้ค้าขายเชิงพาณิชย์หรือโปรโมทสินค้าตัวเองโดยไม่ได้รับอนุญาต

เท่านั้นไม่พอ ยังมีคนบางกลุ่มหัวหมอเตรียมชิงจดลิขสิทธิ์ท่าดังกล่าวตัดหน้าโดยที่ดีเคชไม่รู้ นั่นจึงทำให้พวกเขาอยู่นิ่งไม่ได้ 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘ออร์ดินก์ บิลกิลี’ โค้ชของดีเคชกล่าวว่า "หลังจากได้รับแจ้งเกี่ยวกับความพยายามจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจำนวนมากที่ดำเนินการโดยที่ดีเคชไม่ทราบ เราได้ยื่นคำร้องเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเเจ้งว่าคำขอของคนอื่นๆ จะถูกปฏิเสธ"

การตัดสินใจจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าท่าทางดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของดีเคชเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องการใช้รูปลักษณ์ของเขาในเชิงพาณิชย์อีกด้วย หลังจากลักษณะไวรัลท่าทางของเขา ถูกนำไปสร้างของที่ระลึกต่างๆ มากมาย รวมทั้งเสื้อยืด แก้วกาแฟ และเคสโทรศัพท์มือถือ ซึ่งล้วนมีภาพของเขาอยู่ทั้งสิ้น

'จีน' เล็งจัดการชาวเน็ตปล่อย 'ข่าวลือ' บนโลกออนไลน์ แพลตฟอร์มไหนไม่รับลูก ปล่อยละเมิดเด่นชัด ได้เจอดี

ไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเปิดเผยว่าทางกระทรวงฯ ได้เรียกร้องให้กลุ่มแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของจีนร่วมกันสร้างพื้นที่บนโลกออนไลน์ที่สะอาด โดยมีเป้าหมายจัดการกับผู้ที่ชอบปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นความจริง

แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตได้ออกมาประกาศห้ามการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางออนไลน์ ใช้ตัวตนปลอม หรือแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น ๆ พร้อมให้คำมั่นว่าจะกำหนดบทลงโทษต่อบัญชีผู้ใช้ที่ละเมิดกฎดังกล่าวอย่างเข้มงวดมากขึ้น อีกทั้งจะกำหนดบทลงโทษผู้ที่โจมตีหรือดูถูกเหยียดหยามนักกีฬาและโค้ชผู้ฝึกซ้อมด้วยเจตนามุ่งร้ายอย่างเข้มงวดเช่นกัน

กระทรวงฯ ระบุว่าจะเดินหน้าปรับปรุงการกำกับดูแลความปลอดภัยบนโลกอินเทอร์เน็ต และจะลงโทษแพลตฟอร์มที่พบว่ามีปัญหาการละเมิดกฎอย่างเห็นได้ชัด

เปิด 30 รายชื่อ ผู้เข้าชิงรางวัล 'บัลลงดอร์ 2024' ไร้ชื่อ 'โรนัลโด - เมสซี่' เป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี

(5 ก.ย. 67) ‘ฟรองซ์ ฟุตบอล’ นิตยสารลูกหนังชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส ประกาศ 30 รายชื่อผู้ท้าชิงรางวัลประจำปี ‘บัลลงดอร์ 2024’ หรือ ครั้งที่ 68 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี นับตั้งแต่ปี 2023 ที่ไม่มีชื่อคู่สตาร์ระดับโลกอย่าง ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ แข้งจาก ‘อัล นาสเซอร์’ เจ้าของบัลลงดอร์ 5 สมัย และ ‘ลิโอเนล เมสซี่’ จาก ‘อินเตอร์ ไมอามี่’ เจ้าของรางวัล 8 สมัย

โดยสำหรับครั้งล่าสุดที่ไม่มี ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ ติดโผรายชื่อ 30 นักเตะนั้น เกิดขึ้นเมื่อปี 2003 ก่อนปีถัดมา 2004 ‘โรนัลโด’ ติดชื่อครั้งแรก สมัยค้าแข้งกับ ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’ และได้อันดับ 12 ร่วม ขณะที่ ‘ลิโอเนล เมสซี่’ ที่เวลานั้นอยู่กับ ‘บาร์เซโลน่า’ ติดโผตั้งแต่ปี 2006 

ทั้งนี้ ‘บัลลงดอร์ 2024’ เป็นแข้งจาก ศึก ‘พรีเมียร์ลีก’ ที่มีชื่อลุ้นรางวัลมากที่สุดถึง 9 ราย ประกอบด้วย โรดรี, รูเบน ดิอาส, ฟิล โฟเดน, เออร์ลิง ฮาลันด์, มาร์ติน โอเดการ์ด, โคล พาลเมอร์, เดแคลน ไรซ์, บูคาโย ซากา และ วิลเลียมส์ ซาลิบา

สำหรับรายชื่อ 30 นักเตะ ลุ้นรางวัล ‘บัลลงดอร์ 2024’ มีดังนี้

1. จู๊ด เบลลิงแฮม (เรอัล มาดริด)
2. มาร์ติน โอเดการ์ด (อาร์เซน่อล)
3. ฮาคาน คาลฮาโนกลู (อินเตอร์ มิลาน)
4. โคล พาล์มเมอร์ (เชลซี)
5. ดานี โอลโม่ (บาร์เซโลน่า)

6. ดานี คาร์บาฆาล (เรอัล มาดริด)
7. รูเบน ดิอาส (แมนซิตี้)
8. เดแคลน ไรซ์ (อาร์เซน่อล)
9. อาร์เต็ม ดอบบิก (โรม่า)
10. โรดรี้ (แมนซิตี้)

11. ฟิล โฟเด้น (แมนซิตี้)
12. อันโตนิโอ รูดิเกอร์ (เรอัล มาดริด)
13. เลฮานโดร กริมัลโด้ (เลเวอร์คูเซ่น)
14. บูกาโย่ ซาก้า (อาร์เซน่อล)
15. เออร์ลิง ฮาแลนด์ (แมนซิตี้)

16. วิลเลียม ซาลิบา (อาร์เซน่อล)
17. มัตส์ ฮุมเมลส์ (โรม่า)
18. เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ (เรอัล มาดริด)
19. แฮร์รี่ เคน (บาร์เยิร์น มิวนิค)
20. วินิซิอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด)

21. โทนี โครส (เรอัล มาดริด แขวนสตั๊ด)
22. วิตินญ่า (เปแอสเช)
23. อเดโมลา ลุคแมน (อตาลันต้า)
24. นิโก้ วิลเลียมส์ (แอตเลติก บิลเบา)
25. เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ (แอสตัน วิลล่า)

26. ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ (เลเวอร์คูเซ่น)
27. เลาตาโร่ มาร์ติเนซ (อินเตอร์ มิลาน)
28. กรานิต ชาก้า (อาร์เซน่อล)
29. คีเลียน เอ็บบัปเป้ (เรอัล มาดริด)
30. ลามีน ยามาล (บาร์เซโลน่า)

อย่างไรก็ตาม พิธีประกาศรางวัลบัลลงดอร์ 2024 จะมีขึ้นในวันที่ 28 ต.ค. 67 นี้ ที่ ’เตียเตอ ดู ซาเตอเลต์’ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

'ไต้หวัน' โวย!! จีนแย่ง 'วิศวกรด้านชิป-ความลับทางการค้า' ทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมไฮเทค

(6 ก.ย.67) เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยีของจีน 8 แห่ง ซึ่งรวมถึงยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์ผลิตชิปอย่าง ‘นอราเทคโนโลยีกรุ๊ป’ (Naura Technology Group Co.) ถูกทางการไต้หวันกล่าวหา แย่งชิงคนเก่งที่มีความสามารถไปอย่างผิดกฎหมาย นอกจากนั้น ยังขโมยความลับด้านการค้าของไต้หวันไปอีกด้วย

สำนักงานสืบสวนในสังกัดกระทรวงยุติธรรมไต้หวัน ได้มีการแถลงทางเว็บไซต์เมื่อวันพุธ (4 ก.ย. 67) ที่ผ่านมาว่า ได้บุกตรวจค้นสถานที่ 30 แห่ง และสอบสวนบุคคล 65 คนใน 4 เมือง รวมถึงไทเปและซินจู๋ โดยบริษัทจีนตกเป็นผู้ต้องสงสัยกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่ง ‘ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความสามารถในการแข่งขันของไต้หวันในด้านอุตสาหกรรมไฮเทค’

โดยบริษัทอีก 7 แห่งได้แก่ ไอคอมม์เซมิ (iCommsemi), เซี่ยงไฮ้นิววิชั่นไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (Shanghai New Vision Microelectronics), หนันจิง เอเวียคอมม์ เซมิคอนดักเตอร์ (Nanjing Aviacomm Semiconductor), อีโมติบอต (Emotibot), ทงฟาง (Tongfang), เฉิงตูอะนาล็อกเซอร์กิตเทคโนโลยี (Chengdu Analog Circuit Technology) และเฮสเทียเพาเวอร์ (Hestia Power)

ทั้งนี้ ‘นอรา’ ซึ่งมีฐานในกรุงปักกิ่ง เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของจีน เช่น SMIC YMTC และหัวหงเซมิคอนดักเตอร์กรุ๊ป (Hua Hong Semiconductor Group) โดย นอรา ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ตามล่าวิศวกรด้านอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ แต่ทางบริษัทยืนยันว่า สำนักงานในไต้หวันดำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบและข้อกฎหมายของท้องถิ่น

หลายบริษัทที่ถูกกล่าวหา รวมถึงไอคอมม์เซมิ และเซี่ยงไฮ้นิววิชั่นไมโครอิเล็กทรอนิกส์นั้น เชี่ยวชาญด้านการออกแบบชิป ส่วนอีโมติบอตเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์อัตโนมัติ โดยอาศัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ และการเรียนรู้เชิงลึก

สำนักงานสืบสวนระบุอีกว่า หลายบริษัทที่ถูกกล่าวหา เช่น ‘เฮสเทียเพาเวอร์’ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาวัสดุชิปในเซี่ยงไฮ้ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ผ่านกองทุนสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ที่เรียกกันว่า ‘Big Fund’

ส่วนบริษัททงฟาง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ มีผู้ก่อตั้งคือ ‘มหาวิทยาลัยชิงหวา’ ในปี 2540 บริษัทรู้จักกันในชื่อเดิมว่า ‘ชิงหวาทงฟาง’ แต่ปัจจุบันอยู่ในความควบคุมของบริษัทนิวเคลียร์แห่งชาติจีน โดยดำเนินธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค พลังงาน และสิ่งแวดล้อม

สำนักงานสืบสวนกล่าวหา บริษัททงฟางแย่งตัวพนักงานด้านการวิจัยและพัฒนาเกือบหนึ่งร้อยคนผ่านบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในไต้หวัน

ข้อกล่าวหาของไต้หวันมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลจีนทุ่มเทความพยายามเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์ท่ามกลางมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงของสหรัฐอเมริกาให้แก่จีน

ด้าน แพลตฟอร์ม ‘Qichacha’ ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทต่างๆ ของจีนระบุว่า เมื่อเดือนที่แล้วเทศบาลกรุงปักกิ่งได้เปิดตัวกองทุนเพื่อการลงทุนเซมิคอนดักเตอร์ด้วยทุนจดทะเบียน 8,500 ล้านหยวน ซึ่งเกิดขึ้น 3 เดือน หลังจากที่จีนจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนด้านชิปก้อนใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเป็น ‘Big Fund’ เฟสที่ 3 ด้วยทุนจดทะเบียน 344,000 ล้านหยวน

'สื่ออังกฤษ' แฉ!! พันธมิตรด้านการตลาดของ 'เฟซบุ๊ก-กูเกิล-อเมซอน' ใช้เอไอดักฟังคนใช้โทรศัพท์ เพื่อยิงโฆษณาตรงตามที่ผู้ใช้กำลังพูดถึง

(6 ก.ย.67) เดลีเมลล์ สื่ออังกฤษรายงานว่า ได้มีข้อมูลของ บริษัท 'ค็อกซ์ มีเดีย กรุ๊ป' หรือ 'ซีเอ็มจี'  (Cox Media Group (CMG) ซึ่งเป็นบริษัทพาร์ทเนอร์การตลาดของ เฟซบุ๊ก, กูเกิล และ อเมซอน รั่วไหลไปถึงมือขององค์กรสื่อออนไลน์ชื่อว่า '404 มีเดีย' (404 Media) ซึ่งเป็นหลักฐานชี้ชัดว่า บริษัท ซีเอ็มจี ได้ใช้ซอฟต์แวร์ดักฟังเสียง ชื่อว่า 'แอค-ทีฟ ลิสเซนนิ่ง' (Active Listening) ดักฟังเสียงผู้ใช้โทรศัพท์ เพื่อที่จะยิงโฆษณาได้ตรงจุดที่สุด

โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าว จะดักฟังเนื้อหาจากไมโครโฟนในเครื่องของผู้ใช้โทรศัพท์ และใช้เอไอประมวลผล เพื่อให้สามารถยิงโฆษณาได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และทำอย่างถูกกฎหมายด้วย ซึ่งการเปิดเผยดังกล่าวได้คลายความสงสัยของผู้คนนับล้าน ที่สงสัยมานานแล้วว่า ทำไมโทรศัพท์รู้ถึงความต้องการและโชว์โฆษณาในสิ่งที่เราได้พูดถึงได้อย่างไร ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏออกมานั้นยืนยันว่า โทรศัพท์ของเรากำลังฟังเราอยู่จริงๆ

ข้อมูลระบุว่า ซอฟต์แวร์ 'Active-Listening' ของบริษัท ซีเอ็มจี จะใช้ AI เพื่อรวบรวม วิเคราะห์  และประมวล 'ข้อมูลเจตนาแบบเรียลไทม์' โดยการฟังสิ่งที่พูดผ่านโทรศัพท์ แล็ปท็อป หรือไมโครโฟนของอุปกรณ์ผู้ช่วยต่างๆ ในบ้าน จากนั้นผู้โฆษณาก็จะใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ เพื่อกำหนดเป้าหมาย ผลิตภัณฑ์หรือบริการบางอย่าง โดยเฉพาะที่ผู้ใช้โทรศัพท์กำลังพูดถึงอยู่ 

ถ้าหากเสียงหรือข้อมูลพฤติกรรมของคุณ บ่งชี้ว่าคุณกำลังพิจารณาซื้อสินค้าบางอย่าง ก็จะมีโฆษณาสำหรับสินค้าชิ้นนั้นขึ้นมาในมือถือทันที ตัวอย่างเช่น หากมีการพูดคุยกันถึง 'รถยนต์โตโยต้า' ระบบก็จะยิงโฆษณา รถยนต์โตโยต้ารุ่นใหม่ขึ้นมาให้เห็นทันที 

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เรื่องนี้รั่วไหลออกมา ทางด้านกูเกิล ก็ได้ลบกลุ่มสื่อ '404 มีเดีย' ออกจากโครงการ 'โปรแกรมพันธมิตร' ของกูเกิลทันที ขณะที่ โฆษกของเมต้า (Meta) บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ปฏิเสธว่า “บริษัทไม่ได้ใช้ไมโครโฟนของโทรศัพท์ของผู้ใช้สำหรับการโฆษณา และได้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะมาหลายปีแล้ว เรากำลังติดต่อซีเอ็มจี เพื่อให้พวกเขาชี้แจงว่าโปรแกรมของพวกเขาไม่ได้กระทำดังกล่าว"

ทางด้านอเมซอน ระบุว่า แผนกโฆษณาของบริษัท "ไม่เคยร่วมงานกับ ซีเอ็มจี ในโปรแกรมนี้ และจะไม่มีแผนจะทำเช่นนั้น"

รายงานข่าวระบุว่า นอกจากนั้น การใช้ซอฟต์แวร์ 'แอคทีฟ ลิสเซนนิ่ง' ยังถูกกฎหมายด้วย เพื่อเมื่อผู้ใช้ ดาวน์โหลด หรืออัปเดต แอปพลิเคชันใหม่ ก็จะมีการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบถึงข้อตกลงเงื่อนไขการใช้งานหลายหน้าในข้อความขนาดเล็กๆ ซึ่งจะรวมถึงการอนุญาตใช้ซอฟต์แวร์ แอคทีฟ ลิสเซนนิ่ง Active Listening ไว้ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมการดักฟังเช่นนั้นถึงไม่ผิดกฎหมายในรัฐของสหรัฐฯ ที่มีกฎหมายห้ามบันทึกเสียงใครก็ตามโดยที่บุคคลนั้นไม่ทราบ เช่น ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ทั้งนี้ ซีเอ็มจี เป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกาที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย บริษัทให้บริการสื่อกระจายเสียง สื่อดิจิทัล โฆษณา และบริการทางการตลาด และสร้างรายได้ 22,100 ล้านดอลลาร์ (ราว 7.59 แสนล้านบาท) ในปี 2022

'จีน' กระตุ้น!! สหรัฐฯ ยกเลิก 'ภาษีนำเข้าเพิ่มเติม' สินค้าจีนทั้งหมด เพราะขัดต่อกฎของ WTO และอาจทำให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิม

(6 ก.ย.67) สำนักข่าวซินหัว เผย กระทรวงพาณิชย์ของจีน ระบุว่า สหรัฐฯ ควรแก้ไขข้อผิดพลาดของตนและยกเลิกภาษีนำเข้าเพิ่มเติมต่อสินค้าจีนทั้งหมดทันที

เหอหย่งเฉียน โฆษกกระทรวงฯ กล่าวระหว่างตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นที่สหรัฐฯ เลื่อนการประกาศตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนภายใต้มาตรา 301 ออกไปอีกครั้ง

ทั้งนี้องค์การการค้าโลก (WTO) ได้ตัดสินแล้วว่า ภาษีนำเข้าตามมาตรา 301 นั้นขัดต่อกฎระเบียบขององค์การฯ ซึ่งเหอระบุว่า การที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม มีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ หน่วยงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ขอความเห็นจากสาธารณชนเกี่ยวกับผลการพิจารณาภาษีนำเข้าตามมาตรา 301 ซึ่งเสียงส่วนใหญ่คัดค้านต่อการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติมหรือขอยกเว้นภาษีในวงกว้างขึ้น โดยเหอระบุว่า ความเห็นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการขึ้นภาษีภายใต้มาตรา 301 ไม่เป็นที่นิยมในหมู่สาธารณชนในสหรัฐฯ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top