Thursday, 15 May 2025
World

อดีตเซลล์แมน Lenovo ฟ้องบริษัทฯ 50 ล้านบาท โทษฐานไล่เขาออก เพราะแอบฉี่ในล็อบบี้โรงแรมหรู

‘ริชาร์ด เบคเกอร์’ อดีตพนักงานขายวัย 66 ปีของบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยักษ์ใหญ่ Lenovo ไม่คิด ไม่ฝันว่าในชีวิตเขาต้องมาทำเรื่องขายหน้าจนต้องถูกไล่ออกจากงาน ที่มีสาเหตุมาจากอาการป่วยเรื้อรังของตัวเอง 

เหตุเกิดขึ้น ราว ๆ เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ที่ Westin Hotel โรงแรมหรูในย่าน Time Square ของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในขณะที่ริชาร์ด เบคเกอร์ อยู่ระหว่างการประชุมนัดพบลูกค้า แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ที่ทำให้เขาต้องเดินเข้า-ออก เพื่อทำธุระในห้องน้ำไม่ต่ำกว่า 5 รอบ จนเดินไม่ไหว จึงแอบมาหลบฉี่ในมุมอับ ที่โถงทางเดินในบริเวณล็อบบี้ของโรงแรมนั้นเอง 

แต่ก็ไม่พ้นสายตาของคนในบริษัท ที่ทนเห็นพฤติกรรมไม่ไหว จึงได้แจ้งเรื่องถึงฝ่ายบุคคล อันเป็นเหตุที่ทำให้เบคเกอร์ถูกไล่ออกจากงาน จากการที่แอบปัสสาวะในล็อบบี้โรงแรม

อย่างไรก็ตาม ริชาร์ด เบคเกอร์ เห็นว่าเป็นการไล่ออกจากงานที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมั่นใจว่าเกิดจากความอาฆาต เคียดแค้นภายในองค์กร เขาจึงตัดสินใจจ้างทนายฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก Lenovo เป็นเงินสูงถึง 1.5 ล้านเหรียญ (ประมาณ 50 ล้านบาท) ต่อศาลฎีกาในนิวยอร์ก เมื่อ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา จากกรณีการเลิกจ้างพนักงานอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในความผิดฐานเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากความพิการทางร่างกาย ซึ่งละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนของรัฐนิวยอร์ก

นาย เบคเกอร์ ได้กล่าวถึงอาการป่วยด้วยโรคกระเพาะปัสสาวะของเขา เรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว ซึ่งตอนนี้กำลังรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินปัสสาวะ โดยทั้งผู้จัดการ และเพื่อนร่วมงานในบริษัทต่างก็ทราบถึงอาการป่วยของเขามาโดยตลอด

นอกจากนี้ เขายังได้ระบุตัวตนในเอกสารของศาลว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการขายคอมพิวเตอร์ และตั้งแต่ Lenovo ได้จ้างเขาในปี 2022 เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างดีในหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายในตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายขายต่างประเทศ ที่ให้เขาได้รับรางวัลจากบริษัทมากมาย รวมถึงทริปไปคอสตาริกาด้วย 

และอ้างว่าผลงานของเขามีส่วนที่ทำให้ธุรกิจเติบโตถึง 200% จากการทุ่มเททำงานหนักให้กับบริษัท ทำให้อาการป่วยเขากำเริบ จนต้องแอบปล่อยฉี่ในบริเวณโถงทางเดินใกล้ล็อบบี้ ที่เขาเห็นว่าเป็นที่ลับตา ไม่น่ามีคนเห็น 

แต่สุดท้าย คนที่เห็นเต็ม ๆ คือรองประธานบริษัท Lenovo ที่เข้าร่วมประชุมลูกค้าในวันนั้นด้วย เขาจึงแจ้งเรื่องถึงแผนกบุคคล และพิจารณาเลิกจ้างนาย เบคเกอร์ หลังจากนั้นเพียง 4 วัน และจนกระทั่งวันนี้ เขายังหางานใหม่ไม่ได้เลย 

ทนายของนาย เบคเกอร์ กล่าวว่า ทางบริษัทปฏิบัติต่อลูกความของเขาอย่างไร้ความเห็นอกเห็นใจใด ๆ และไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายเรื่องราวกับฝ่ายบุคคลด้วยซ้ำ แม้การกระทำของเขาอาจจะดูน่ารังเกียจ แต่ไม่ใช่พฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสังคม แต่บริษัทกลับละเมิดสิทธิ์ โดยการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จึงเรียกร้องเงินชดเชยจาก Lenovo ถึง 1.5 ล้านเหรียญ

ด้านบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ Lenovo ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นในกรณีดังกล่าว แต่ทางโรงแรม Westin ได้ออกมาปฏิเสธว่า โรงแรมในสาขา Time Square ที่เกิดเรื่องนั้น ไม่มีพื้นที่ที่เรียกว่า ‘โถงทางเดิน ที่เป็นที่รโหฐาน’

จะมีก็แต่เพียงส่วนล็อบบี้ ที่เป็นพื้นที่สาธารณะ บริเวณชั้น 1 และ Concierge ที่ชั้น 2 และมีเสาคู่ขนาดใหญ่ไว้หลบมุมเท่านั้น และยืนยันว่าทางโรงแรมก็มีห้องน้ำให้บริการที่ล็อบบี้ 

‘มาเลเซีย’ ระดมกำลัง ค้นหาร่างนทท.ชาวอินเดีย หลังตกหลุมลึก 8 เมตรกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

กลายเป็นงานใหญ่ระดับชาติไปเสียแล้ว สำหรับภารกิจค้นหาร่างนักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ที่เคราะห์ร้ายตกลงไปในหลุมยุบที่มีความลึก 8 เมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในช่วงเช้าของวันที่ 23 สิงหาคม 67 ที่ผ่านมา ขณะที่เธอเดินไปทำบุญที่วัด แต่ผ่านไปแล้วถึง 5 วันจนถึงวันนี้ ก็ยังหาไม่พบ

จากงานที่คาดว่าน่าจะค้นหาร่างของหญิงอินเดียได้ในเวลาไม่นาน กลับยากมากกว่าที่คิดมาก โดย ซูลิซมี สุไลมาน รองผู้บัญชาการตำรวจเขตดังวางี ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กล่าวว่า อุปสรรคใหญ่ในการค้นหาเกิดจากกระแสน้ำใต้ดินที่ไหลเชี่ยวรุนแรงบริเวณรอบท่อระบายน้ำ จากฝนที่ตกหนักก่อนหน้านี้ 

และยังมีเศษซากคอนกรีต และหินต่าง ๆ กีดขวางช่องทางใต้ดิน ที่การใช้เครื่องพ่นน้ำแรงดันสูงเพื่อทำลายเศษซากต่าง ๆ ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องนำเทคนิคการระเบิดและสลายวัตถุมาปรับใช้ด้วย 

ทางหน่วยกู้ภัยประสานงานให้รัฐบาลกรุงกัวลาลัมเปอร์จัดกระสอบทรายมาเพิ่มอีก 100 กระสอบ มาตั้งกำแพงปิดทางน้ำไหลใต้ดินเพื่อลดอุปสรรคในการค้นหา และได้ตรวจสอบโรงงานบำบัดน้ำเสียอินดาห์ ที่บันไต ดาลัม ที่เป็นปลายทางของระบบท่อระบายน้ำใต้ดินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ 

เมื่อสื่อมาเลยเซียสอบถามว่า จะมีการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศในภารกิจการค้นหาครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ซูลิซมี อธิบายว่า เบื้องต้นทางการมาเลเซียได้ระดมกำลังผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายหน่วยงานของประเทศเข้าร่วมการค้นหาอย่างเต็มที่แล้ว และหวังว่าจะสัมฤทธิ์ผลในไม่ช้านี้ 

โดยได้มีการจัดตั้งกองกำลังพิเศษซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมแร่ธาตุและธรณีวิทยาและกรมโยธาธิการ เพื่อศึกษาสภาพดินและธรณีวิทยาในพื้นที่ เกณฑ์กำลังตำรวจเพิ่มเพื่อกันประชาชนออกจากพื้นที่ และกั้นเขตขยายพื้นที่ค้นหาเพิ่ม

ด้านนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแห่งมาเลเซีย ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวนักท่องเที่ยวอินเดียเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และสั่งการให้ดูแลคนในครอบครัวของ นาง วิจายาลักษมี ที่บางส่วนเดินทางมาจากอินเดียเพื่อมานั่งรอ เฝ้าติดตามภารกิจอย่างใกล้ชิด โดยขยายวีซ่าให้อีก 1 เดือน พร้อมที่พัก อาหาร และบริการด้านการให้คำปรึกษา และยืนยันว่า มาเลเซียจะมุ่งมั่นค้นหาร่างของนาง วิจายาลักษมี อย่างเต็มกำลัง 

ส่วนกรณีหลุมยุบขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ ต้องรอรายงานฉบับสมบูรณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะสรุปได้หลังจากปฏิบัติการเสร็จสิ้น

แต่รัฐบาลมีแผนในการป้องกันไม่ให้หลุมยุบเกิดขึ้นซ้ำ โดยเตรียมที่จะทำแผนที่เชิงธรณีวิทยาใหม่ จากข้อมูลที่รวบรวมจากกรมแร่ธาตุและธรณีวิทยา เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเขตใกล้เคียงยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ชาวกรุงกัวลาลัมเปอร์เคยมีประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรงในโลกโซเชียลมาก่อนตั้งแต่ปี 2558 ว่ามีหลุมยุบซ่อนเร้นอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นจำนวนมาก ที่พร้อมยุบตัวได้ทุกเมื่อ และเคยวิจารณ์ว่ากรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัยที่สุดในมาเลเซีย 

โดยครั้งนั้น นายกเทศมนตรีของกัวลาลัมเปอร์ได้ออกมาโต้แย้งข้อกล่าวหาของชาวเน็ต และรับประกันว่า กัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ปลอดภัยสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน 

'เมียนมาถูกกฎหมาย' เหลืออด!! ซัดแรงงานเถื่อน 'เรียกร้องสิทธิ์-ด่าคนไทย' เมล็ดพันธุ์จาก 'NGO-คนได้สัญชาติ' หนุนหลัง ทำพม่าดีๆ ในไทยลำบาก

กลายเป็นประเด็นทางสังคมในไทยไปแล้ว เมื่อชาวเมียนมา ซึ่งเป็นคนที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือกลุ่ม White Collar เริ่มออกมาตอบโต้กลับกับกลุ่ม Blue Collar ที่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานเถื่อนหรือเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ตั้งแต่เรื่องที่มีการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมเสมือนประหนึ่งประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของเมียนมา หรือการที่มีคลิปออกมาด่าคนไทยที่เข้ามาคอมเมนต์ในคลิปที่กลุ่มพม่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองของไทย จนไม่รู้ว่าใครจะต้องกลัวใครกันแล้ว

ว่ากันว่ากลุ่มเหล่านี้มีเหล่า NGO และกลุ่มสมาคมช่วยเหลือแรงงานพม่าที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามา ซึ่งคนที่ทำงานตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนพม่าที่อยู่ไทยมาก่อนและได้สัญชาติไทยไปแล้ว พร้อมทั้งแนะนำชี้ทางให้เห็นว่าคนพวกนี้จะต้องทำอย่างไร ดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ตนเองพ้นผิด รวมถึงหลุดพ้นจากการเป็นจำเลยในสังคมไทย เป็นต้น

อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ ว่าคนไทยเป็นคนง่าย ๆ มีคนบอกบท ให้ยกมือไหว้ ขอโทษออกสื่อ ก็จบ แต่ความจริงนั้นสะท้อนอีกแบบ เพราะการที่เราให้อภัยกันอย่างง่าย ๆ นั้น ทำให้คนอื่น ๆ ที่เห็นไม่กลัว และออกมาทำคลิปเลียนแบบกันเต็มโซเชียลเต็มไปหมด ดังที่เราเห็นได้จากคลิปหนุ่มบางบอนที่ถูกคนพม่าเอามาเลียนแบบเป็นกระแสอยู่ทุกวันนี้  

ในขณะที่ฝั่งชาวเมียนมา White Collar ต่างออกคลิปมาขอโทษขอโพยคนไทย พร้อมขอบคุณคนไทยที่ให้โอกาส ให้ที่อยู่ที่พักพิงให้เขาเหล่านั้น มีเงิน มีทอง สามารถจับจ่ายซื้อของ ทำบุญ ทำทาน ได้ตามที่เขาได้ตั้งใจ  

เอย่า คงบอกได้แค่ว่า คนไทยเข้าใจนะคะ เวลามีปลาเน่าสักตัว ก็มักจะส่งกลิ่นเหม็นกลบปลาดีไปหมด แต่การที่จะกำจัดปลาเน่านั้น หากจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนไทยฝ่ายเดียวคงจะไม่ได้แล้ว  

ดังนั้นพวกชาวเมียนมาดี ๆ ที่อยากอยู่อย่างสงบสุขเหมือนในอดีต คงต้องร่วมมือกับคนไทยในการสร้างสังคมที่น่าอยู่

เอย่า จำได้ว่าคนไทยเรามีความทรงจำที่ดีกับชาวเมียนมาประดุจเพื่อนบ้านที่แสนดีฉันใด ความรู้สึกแบบนั้นคงไม่สามารถสร้างได้จากฝั่งคนไทยเพียงฝ่ายเดียวฉันนั้น

ชาวเมียนมาต้องให้ความร่วมมือในการสอดส่องดูแลจัดการให้คนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ หรือรวมตัวกันเป็นแก๊งอั้งยี่ได้ และคนพม่าที่ดีในสังคมไทยก็ต้องช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ไทยในการจัดการกับกลุ่มนอกกฎหมาย หรือผู้ที่ต้องการใช้ประเทศไทยมาเป็นที่ซ่องสุมหรือกบดานด้วยเช่นกัน

อ้อ!! ที่กล่าวเช่นนี้ ก็ใช่ว่าคนไทยจะไม่มีความสามารถหาทางหรือจัดการได้เองนะคะ...

เพียงแต่ว่า ถ้าวันใดประเทศไทยไม่ต้องการคนชาติคุณขึ้นมาจริง ๆ วันนั้นพวกคุณอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเหยียบบ้านนี้เมืองนี้อีกเลย 

เรายื่นโอกาสให้คุณ เพื่อให้คุณแสดงออกว่าคุณมีความรักในประเทศนี้ เคารพกฎหมาย กติกาของบ้านเมืองนี้ ไม่ใช่ช่วยคนของคุณแบบผิด ๆ เหมือนที่ทุกวันนี้เราเห็น ๆ กันอยู่

‘สหรัฐฯ’ หวั่น!! ตำรวจใช้ ‘AI’ ช่วยเขียนรายงาน ตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

(27 ส.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เผยรายงานจากสำนักข่าวเอพี (AP) ที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐฯ บางส่วนเริ่มทดลองใช้งานแชทบอตพลังปัญญาประดิษฐ์ (AI chatbot) หรือเอไอ แชตบอต เพื่อทำรายงานเหตุการณ์ฉบับร่าง ส่งผลให้อัยการ หน่วยงานกำกับดูแลตำรวจ และคณะนักวิชาการทางกฎหมายบางส่วนกังวลว่าแชทบอต อาจปรับแก้เอกสารพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมอาญา ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจว่าใครควรถูกดำเนินคดีหรือถูกจำคุก

รายงานระบุว่า เอไอ แชทบอต ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับแชตจีพีที (ChatGPT) และจำหน่ายโดยแอกซอน (Axon) บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาเทเซอร์หรืออุปกรณ์ช็อตไฟฟ้า (Taser) อาจเข้ามาปรับเปลี่ยนการทำงานของตำรวจอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมเสริมว่าเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างตื่นเต้นกับคุณสมบัติของเอไอ แชทบอต ที่สามารถช่วยประหยัดเวลาได้

ริก สมิธ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของแอกซอน กล่าวว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เลือกมาเป็นตำรวจ เพราะอยากทำงานตำรวจ และการต้องใช้เวลาครึ่งวันไปกับการป้อนข้อมูลเป็นเพียงส่วนน่าเบื่อหน่ายของงาน พร้อมอธิบายว่าผลิตภัณฑ์เอไอตัวใหม่ที่มีชื่อว่า ‘ดราฟ วัน’ (Draft One) ได้รับ ‘เสียงตอบรับเชิงบวกมากที่สุด’ เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่บริษัทฯ เคยเปิดตัวมา

สมิธกล่าวว่า ตอนนี้หลายฝ่ายอาจมีข้อกังวลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคณะอัยการเขตที่ปฏิบัติหน้าที่ฟ้องร้องคดีอาญา ซึ่งต้องการมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนรับผิดชอบกับการเขียนรายงานดังกล่าว ไม่ใช่เป็นฝีมือเอไอ แชทบอต เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจต้องให้การเป็นพยานในศาลเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขารู้เห็น

รายงานระบุอีกว่า เทคโนโลยีเอไอไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับหน่วยงานตำรวจ ซึ่งเคยนำเครื่องมืออัลกอริทึมมาใช้ในการอ่านป้ายทะเบียนรถ จดจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย ตรวจจับเสียงปืน และคาดการณ์ว่าอาชญากรรมอาจเกิดขึ้นที่ไหน

รายงานทิ้งท้ายว่า การประยุกต์ใช้เหล่านี้ หลายครั้งมาพร้อมกับความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและสิทธิพลเมือง ขณะที่ฝ่ายนิติบัญญัติพยายามกำหนดมาตรการป้องกัน ทว่าการนำรายงานตำรวจจากฝีมือเอไอมาใช้ยังถือเป็นเรื่องใหม่มาก จนแทบไม่มีมาตรการป้องกันการใช้งานเลย

'โรงหนังมาเลเซีย' ผุดไอเดีย 'ฮอตพอต ซินีมา' ดูหนังไปกินหม้อไฟไป ชาวมาเลย์ฯ ตั้งตารอ

(27 ส.ค. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ชาวเน็ตมาเลเซียต่างแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก ‘Dadi Cinema’ ของโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ที่พบว่ามีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ ‘ฮอตพอต ซินีมา’ (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้

โดยรูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ แต่ก็มีคนวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป

สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย ซึ่งเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 เป็นเครือข่ายโรงภาพยนตร์สัญชาติจีนที่มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังประเทศมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์

'มาร์ก' แฉ!! 'รัฐบาลไบเดน' สั่งปิดกั้นข้อมูลโควิดช่วงปี 2021 บนเฟซบุ๊ก เพื่อช่วยรักษาคะแนนให้พวกเขาชนะการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ออกมาแฉว่า 'รัฐบาลไบเดน กดดันให้ Facebook/Meta ปิดข้อมูลข่าวสารหลายอย่างมาก เพื่อช่วยรักษาคะแนนให้ชนะการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน และตัวเขาเองเสียใจมากที่ไม่ได้ออกมาบอกความจริงให้เร็วกว่านี้

(28 ส.ค.67) Business Tomorrow เปิดเผยว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ผู้เป็นเบื้องหลังของแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook และ Instagram ได้ออกมาแสดงความเสียใจเมื่อคืนก่อน (26)

เขาอ้างว่า ตนไม่เคยเปิดเผยถึงแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิดที่ผ่านมา โดยในจดหมายถึงคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันจันทร์ (26) ซักเคอร์เบิร์ก เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลไบเดนได้ 'กดดัน' ให้ Meta เซ็นเซอร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับไวรัสระบาดในปี 2021

ซักเคอร์เบิร์ก ยอมรับว่า แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่ผิด และเขารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างหนักแน่นเพื่อต่อต้านแรงกดดันจากรัฐบาลในขณะนั้น 

"ผมเชื่อว่าแรงกดดันจากรัฐบาลเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และผมเสียใจที่เราไม่ได้ออกมาต่อต้านอย่างแข็งขันมากกว่านี้" 

มาร์กกล่าวในจดหมายถึง จิม จอร์แดน ประธานคณะกรรมการตุลาการจากรัฐโอไฮโอ

นอกจากนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยังเน้นย้ำว่า Meta ไม่ควรยอมเปลี่ยนแปลงมาตรฐานเนื้อหาของตนเพียงเพราะแรงกดดันจากรัฐบาลในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง และบริษัทพร้อมที่จะต่อสู้กลับหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ในจดหมายฉบับเดียวกัน ซักเคอร์เบิร์กยังกล่าวถึงกรณีที่ Meta ตัดสินใจปรับลดการเผยแพร่เนื้อหาของ New York Post ที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาทุจริตของครอบครัวประธานาธิบดีไบเดนก่อนการเลือกตั้งปี 2020 โดยเขายอมรับว่าบริษัท 'ไม่ควร' ลดระดับเนื้อหาดังกล่าวในขณะที่รอการตรวจสอบข้อเท็จจริง และ Meta ได้ปรับปรุงนโยบายใหม่ โดยไม่ลดระดับเนื้อหาในสหรัฐฯ ระหว่างรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกต่อไป

อีกประเด็นที่น่าสนใจในจดหมายนี้คือ ซักเคอร์เบิร์กประกาศว่า เขาไม่มีแผนที่จะบริจาคเงินสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการเลือกตั้งในท้องถิ่นเหมือนที่เคยทำในช่วงการเลือกตั้งปี 2020 การบริจาคที่เขาตั้งใจให้เป็นกลางนี้กลับถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นธรรมและถูกตั้งชื่อเล่นว่า 'Zuckerbucks' โดยกลุ่มพรรครีพับลิกัน

เรื่องราวนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงความซับซ้อนในการจัดการเนื้อหาบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ แต่ยังเปิดเผยถึงความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในยุคของข้อมูลข่าวสารในวันนี้ 

'จีน' ยก 'หลานม่า' สร้างอารมณ์ร่วมในหมู่ผู้ชม-ทุบคะแนนหนังสูงเป็นสถิติ ด้านชาวจีนปลื้ม!! หนังพาคิดถึงวันวาน-สะท้อนวิถีครอบครัวเอเชียตะวันออก

(27 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยความรู้สึกชาวจีนหลังจากเมื่อวันศุกร์ (23 ส.ค. 67) ภาพยนตร์ไทยเรื่อง 'หลานม่า' ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วแผ่นดินใหญ่ของประเทศจีน 

เฉินเย่ว์ ชาวเมืองหนานหนิง เปิดเผยความรู้สึกหลังชมภาพยนตร์จบว่า รูปแบบการเล่าเรื่องที่สงบและอบอุ่น ผ่านเรื่องราวที่ดำเนินไป ทำให้ตนหวนนึกถึงความทรงจำที่มีกับครอบครัว พร้อมกล่าวว่ารูปแบบการเล่าเรื่องนั้นชวนให้น้ำตาคลอ การตีแผ่ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว และการนำเสนอประเด็นทางสังคมอย่างแยบคายก็ชวนให้ผู้ชมขบคิดตาม

สำหรับ 'หลานม่า' เป็นภาพยนตร์ที่ครองแชมป์การจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ หรือบ็อกซ์ออฟฟิศ (box office) ของไทยประจำปีนี้ โดยกวาดรายได้จากการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ทะลุ 300 ล้านบาท หลังเข้าฉายในไทยเมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา ต่อมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เข้าฉายในออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ โดยได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากผู้ชมในต่างประเทศ

ขณะที่ภายหลังจากภาพยนตร์เรื่อง 'หลานม่า' เข้าฉายในแผ่นดินใหญ่ เว็บไซต์โต้วป้าน (Douban) แหล่งรวมรีวิวและคำวิจารณ์ภาพยนตร์สัญชาติจีน ก็ได้ให้คะแนนภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้สูงถึง 9.0 ถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่มีคะแนนสูงที่สุดในปัจจุบัน 

นอกจากนี้ ประเด็นจริยธรรมในความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัวในเรื่องหลานม่า เป็นที่พูดถึงอย่างมากบนสื่อสังคมออนไลน์ของจีน และจวบจนวันอาทิตย์ (25 ส.ค.67) ที่ผ่านมา 'หลานม่า' กวาดรายได้จากการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ในแผ่นดินใหญ่ทะลุ 30 ล้านหยวน (ราว 150 ล้านบาท) แล้วเรียบร้อย

ชาวเน็ตจีนรายหนึ่งได้เขียนแสดงความคิดเห็นบนเว็บไซต์โต้วป้านว่า ในวัฒนธรรมของชาวเอเชียตะวันออก ครอบครัวถือเป็นหนึ่งเดียวกัน และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวเน้นย้ำถึงคุณค่าของครอบครัว รวมไปถึงความกตัญญูกตเวที และการเคารพผู้อาวุโส ซึ่ง 'หลานม่า' ได้ชวนให้ผู้ชมได้ขบคิดถึงประเด็นทางสังคมหลายด้าน เช่น การเลี้ยงดูลูก การดูแลบุพการี และสภาวะ 'นอนราบ' ของคนหนุ่มสาว ผ่านภาพของครอบครัวชาวเอเชียตะวันออกที่ยึดถือคุณค่าเรื่องครอบครัวและความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน อันช่วยเพิ่มมิติที่ลึกซึ้งให้กับภาพยนตร์ และกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงเป็นวงกว้างไปพร้อมๆ กับการสร้างอารมณ์ร่วมในหมู่ผู้ชม

ด้าน พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับภาพยนตร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ทีมงานพยายามสอดแทรกกลิ่นอายของครอบครัวเอเชียตะวันออกเข้าไปในภาพยนตร์ นำเสนอความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างผู้คน เพื่อทำให้แต่ละตัวละครมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ซึ่งสิ่งนี้อาจเป็นเหตุผลว่า "ทำไมผู้ชมจึงหวนนึกถึงคนที่พวกเขารัก"

นอกเหนือจากอารมณ์ของภาพยนตร์ที่ชวนให้ซึ้งกินใจแล้ว ภูมิหลังที่เกี่ยวกับชาวจีนโพ้นทะเลจากแต้จิ๋วและองค์ประกอบทางวัฒนธรรมในพิธีศพของชาวจีนตอนใต้ที่ปรากฏในภาพยนตร์ ยังทำให้ผู้ชมชาวจีนรู้สึกเข้าถึงและคุ้นเคย ทั้งยังสื่อให้เห็นถึงการเคารพและการสืบสานอารยธรรมตะวันออก

ด้าน เซี่ยงอวี๋ มัคคุเทศก์ชาวจีนในไทย กล่าวว่าตัวละครอาม่าในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว พูดภาษาแต้จิ๋วได้ และชอบดูงิ้ว ในหนังยังมีการใส่เพลงกล่อมเด็กภาษาแต้จิ๋ว รวมถึงประเพณีการปัดกวาดสุสานในช่วงเทศกาลเช็งเม้งเข้าไปด้วย สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันชิดใกล้ระหว่างวัฒนธรรมจีนกับไทย ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการรักษาขนบธรรมเนียมและค่านิยมดั้งเดิมของชาวจีนโพ้นทะเลในต่างประเทศ ไปพร้อมๆ กับการสร้างอัตลักษณ์ของตนเองในขณะปรับตัวเข้ากับสังคมท้องถิ่น

หลายปีมานี้ ผลงานภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ของจีนและไทยมีบทบาทในการสานสัมพันธ์ของประชาชนสองประเทศ การเผยแพร่ผลงานเหล่านี้ในต่างประเทศได้สร้างคุณูปการต่อการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ยกตัวอย่างจากภาพยนตร์ไทยเรื่อง 'ฉลาดเกมส์โกง' ที่เข้าฉายในจีนเมื่อปี 2017 ได้กวาดรายได้จากการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ไปกว่า 1.35 พันล้านบาท นอกจากนี้ ภาพยนตร์และละครไทยยังมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เสื้อผ้า, ขนม, ผลไม้ ฯลฯ

ด้าน เหลยเสี่ยวหัว นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สังกัดสถาบันสังคมศาสตร์เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง กล่าวว่า ไม่กี่ปีมานี้ การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่างจีน-ไทย อันรวมถึงการเผยแพร่ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ได้ช่วยส่งเสริมการพูดคุยข้ามวัฒนธรรม และกระตุ้นศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

'ออสเตรเลีย' สั่งลดจำนวนนักศึกษาต่างชาติเข้าประเทศปีหน้า 'แก้ปัญหาคนล้นเมือง-ราคาที่อยู่อาศัยพุ่ง' ฟากมหาวิทยาลัยไม่ปลื้ม

(28 ส.ค.67) บลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ส.ค.67 ออสเตรเลีย ได้กลายเป็นประเทศล่าสุดที่เตรียมกวาดล้างปัญหานักศึกษาต่างชาติล้นเมือง ซึ่งเป็นข้อวิตกที่สืบเนื่องกับปัญหาประชากรล้นเข้าเมืองออสเตรเลียจำนวนมากในช่วงระยะหลัง ตามหลังแคนาดา, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ที่ล้วนใช้มาตรการจำกัดนี้ไปแล้ว

ทั้งนี้จากรายงานโดยอ้างอิงจากรอยเตอร์ส ระบุว่า รัฐบาลพรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบานิส ได้ประกาศเมื่อวันอังคาร (27) ว่า ในปี 2025 จำนวนเพดานนักศึกษาต่างชาติจะเหลือแค่ 270,000 คนเท่านั้น

"ภายใต้นโยบายนี้ รัฐบาลแคนเบอร์ราจะจำกัดจำนวนนักศึกษาต่างชาติใหม่ที่ 145,000 คนสำหรับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และอีก 95,000 คนสำหรับคอร์สฝึกฝีมือแรงงาน" รัฐมนตรีการศึกษาออสเตรเลีย เจสัน แคลร์ (Jason Clare) แถลงข่าว (27)

สำหรับออสเตรเลีย มีนักศึกษาต่างชาติเกือบ 600,000 คนที่ได้รับวีซ่านักศึกษาเดินทางเข้าประเทศในปี 2023 ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงเป็นประวัติศาสตร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

รอยเตอร์ส รายงานว่า ในงานแถลงข่าววันอังคาร (27) แคลร์ ได้กล่าวด้วยว่า “มีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 10% อยู่ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเรา โดยในปัจจุบันมีจำนวนสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และอีกกว่า 50% อยู่ในสถาบันเอกชนฝึกอบรมคอร์สอาชีพ”

ด้านรัฐมนตรีการศึกษาออสเตรเลีย แถลงว่า "รัฐบาลพรรคแรงงานออสเตรเลียจะแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สำหรับการลดเพดานจำนวนการรับนักศึกษาเหล่านั้นต่อไป"

ฟาก สมาคมการศึกษาอุดมศึกษาเอกชนออสเตรเลีย (The Independent Tertiary Education Council Australia) ได้ออกแถลงการณ์ว่า "มหาวิทยาลัยต้องการข้อมูลเพิ่มในการเปลี่ยนแปลงนี้" โดยชี้ว่า "การประกาศของรัฐบาลทำให้เกิดคำถามมากกว่าคำตอบ"

รอยเตอร์ส รายงานต่อว่า ทางมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ก็ได้มีกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า ทางมหาวิทยาลัยได้รับแจ้งการจำกัดเพดาน แต่ยังไม่เปิดเผยเพิ่มเติม นอกจากระบุว่า กำลังอยู่ระหว่างการประเมินทางด้านการเงินและปัจจัยแทรกซ้อนอื่น ๆ

"การจำกัดเพดานนักศึกษาต่างชาติ จะส่งผลร้ายต่อมหาวิทยาลัยของพวกเรา, ภาคส่วนการศึกษาระดับสูงโดยรวม และต่อประเทศเป็นเวลาอีกหลายปีหลังจากนี้' รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ศาสตราจารย์ ดันแคน มาสเคลล์ (Prof. Duncan Maskell) แถลง

ขณะที่ เดวิด ลอยด์ (David Lloyd) ประธานกรรมการสมาคมมหาวิทยาลัยออสเตรเลีย (Universities Australia) ชี้ว่า "การตั้งเพดานรับนักศึกษาเหมือนเป็นการติดเบรกให้กับภาคอุตสาหกรรมการศึกษาระดับอุดมศึกษาออสเตรเลียที่มีชื่อเสียง"

ด้าน บลูมเบิร์ก รายงานว่า การสนับสนุนเข้าเมืองในออสเตรเลียตกลงในจุดต่ำสุดของรอบ 5 ปี อ้างอิงจากโพลสำรวจของ Essential ที่ได้เผยแพร่วันอังคาร (27) โดย 42% ของผู้ตอบแบบสอบถามต่างกล่าวว่า ส่งผลกระทบทางลบต่อออสเตรเลีย

ทั้งนี้ นักศึกษาต่างชาติสร้างรายได้ราว 32,500 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้แก่ระบบเศรษฐกิจแดนจิงโจ้ในปี 2023 และทำให้ภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาออสเตรเลียกลายเป็นภาคบริการส่งออกสูงสุดของประเทศ

รู้จัก ABA Centers of America เครือข่ายคลินิกรักษาโรคออทิสติก หนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐฯ เพราะเร็วกว่า-เชี่ยวชาญกว่า

(28 ส.ค. 67) ABA Centers of America ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Fort Lauderdale มลรัฐ Florida เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่เติบโตเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการจัดอันดับที่ 5 ในรายชื่อ Inc. 5000 ประจำปีนี้ ให้เป็นหนึ่งในบริษัทที่เติบโตเร็วที่สุดจาก 5,000 แห่งในสหรัฐฯ พิจารณาจากการเติบโตของรายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 

Christopher Barnett ผู้ก่อตั้ง ABA Centers of America เผยถึงว่า ABA Centers of America ในฐานะผู้ให้บริการบำบัดสำหรับเด็กออทิสติก โดยบริษัทฯ ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 ซึ่งตอนนั้น Barnett เริ่มทำธุรกิจด้วยวัยเพียง 18 ปี และเขามีเพียงวุฒิการศึกษา GED (เทียบเท่ามัธยมปลาย) แต่ด้วยการเป็นทั้งนายหน้าอสังหาริมทรัพย์, เจ้าของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, นายหน้าจำนอง และผู้รับเหมา ทำให้เมื่ออายุ 20 ต้น ๆ เขาสามารถปิดการทำธุรกรรมได้ 150 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีกันเลยทีเดียว

ต่อมา Barnett ได้ก้าวเข้าสู่วงการการดูแลสุขภาพในปี 2013 และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของกลุ่มดูแลสุขภาพพฤติกรรมชั้นนำ ซึ่งรวมถึง บริษัทให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจิต, บริษัทให้บริการเรียกเก็บเงินทางการแพทย์ และบริษัทห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 

ปี 2020 ในฐานะผู้ปกครองของเด็กออทิสติก เขาได้ก่อตั้ง ABA Centers of America ขึ้นเพื่อทำลายกรอบการรอคอยบริการแบบเดิม ๆ ที่วนเวียนเป็นระยะเวลาหลายปีแก่บรรดาผู้ที่แสวงหาการวินิจฉัยหรือการรักษาโรคออทิสติก ในขณะเดียวกันก็เพื่อมอบความเป็นเลิศทางคลินิกในระดับสูงสุดในรูปแบบที่สร้างขึ้น เพื่ออุทิศให้แก่ลูกสาวของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ป่วยออทิสติก

ด้วยความมุ่งมั่นของ Barnett ซึ่งพยายามหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อรักษาลูกสาวของเขาเอง จากปัญหาที่เขาพบเจอเริ่มต้นจากการนัดหมายเพื่อวินิจฉัยโรคที่อาจต้องใช้เวลาถึงสี่ถึงหกเดือน หรืออาจจะนานกว่านั้นด้วยซ้ำ และจริง ๆ แล้ว การเริ่มต้นการรักษาอาจต้องใช้เวลาหนึ่งหรือสองปี จนเคยมีคนไข้ที่ต้องรอคิวนานกว่านั้นด้วยซ้ำ บางครั้งอาจนานสามถึงหกปี นั่นคือ สถานการณ์การรักษาโรคออทิสติกในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งได้มีการก่อตั้ง ABA Centers of America ขึ้นมา บริษัทฯ สามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านั้นได้ โดยเสนอการนัดหมายเพื่อวินิจฉัยโรคออทิสติกในบางครั้งภายในเวลาเพียง 45 วัน และทำให้เด็ก ๆ เข้ารับการบำบัดได้เร็วกว่าคู่แข่งมาก 

ABA Centers of America สามารถลดเวลาในการรอการนัดหมายได้ ด้วยกระบวนการภายในซึ่งได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สามารถวินิจฉัยรักษาเด็ก ๆ ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องรอคิวนาน ด้วยทีมงานที่มีทั้งประสบการณ์และความสามารถ คัดเลือกบุคลากรที่มีความสามารถสูง ซึ่งนำกระบวนการใหม่ ๆ และแนวทางที่ดีกว่ามาสู่องค์กรในทุก ๆ วัน ทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างรวดเร็วและมีคลินิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีการจ้างพนักงานใหม่ได้รวดเร็วพอ ๆ กับลูกค้ารายใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขยายความสามารถในการเติบโตได้อย่างกว้างขวางและทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ดีและมากขึ้น อันเนื่องมาจากรูปแบบทางการจัดการทางเงิน และวิธีการในการดำเนินการกับลูกค้ารายใหม่ 

ด้วยการสรรหาบุคลากร ถือเป็นความท้าทายในอุตสาหกรรมสุขภาพจิต ABA Centers of America สามารถจ้างพนักงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรองเป็นหนึ่งในตำแหน่งงานที่หายากที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ และเป็นตำแหน่งที่มีความต้องการมากที่สุด ซึ่งก็คือ นักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรอง นักบำบัดที่ออกแบบและดูแลแผนการบำบัด ขณะนี้ในอเมริกา มีนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรองประมาณ 50,000 ถึง 60,000 คน และไม่นานมานี้ บริษัทฯ ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับจำนวนตำแหน่งงานว่างสำหรับตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งมีจำนวน 80,000 ถึง 90,000 ตำแหน่ง นั่นหมายความว่ามีความต้องการตำแหน่งงานดังกล่าวสูงมาก และตลาดไม่มีนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรองเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าว นั่นเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เด็ก ๆ ต้องรอคอยอยู่ในรายชื่อรอทั่วประเทศ เนื่องจากตำแหน่งสำคัญตำแหน่งหนึ่งมีไม่เพียงพอ 

>> ABA Centers of America บริจาคเงิน 1ล้านดอลลาร์สหรัฐให้ Temple University

วิธีหนึ่งที่ทำให้ ABA Centers of America สามารถรับมือกับปัญหานี้ได้คือ ผ่านโปรแกรม Temple University ของบริษัทฯ เอง ซึ่งบริษัทฯ ได้สร้าง ABA Centers Autism Lab ขึ้นมา ซึ่งช่วยให้บริษัทฯ สามารถทำการวิจัยในสาขานี้ และยังสามารถฝึกอบรมนักศึกษาได้อีกด้วย เมื่อบริษัทฯ ได้พนักงานที่เข้าเกณฑ์สำหรับโปรแกรมปริญญาโทที่ Temple U. บริษัทฯ ก็จะจ่ายค่าเล่าเรียนทั้งหมดให้กับพวกเขา ขณะนี้บริษัทฯ มีพนักงานราว 25 คนที่กำลังเรียนปริญญาโทเพื่อเป็นนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านการรับรอง (BCBA) และบริษัทฯ จะดำเนินการต่อไปเพื่อให้โปรแกรมนั้นเติบโตขึ้น นั่นคือหนึ่งในวิธีที่บริษัทฯ ไม่เพียงแต่สามารถหา BCBA ได้มากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการ แต่ยังสามารถคัดเลือกและนำบุคลากรที่มีความสามารถสูงมาสู่องค์กรได้อีกด้วย

ABA Centers of America สร้างสมดุลให้กับการเติบโตและความยั่งยืนได้ ในแบบ de novo บริษัทฯ สามารถทำทั้งหมดนี้ได้โดยไม่ต้องผ่านการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ ด้วยการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีขนาดเล็กกว่า ในขณะที่ยังคงสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจนี้โดยลดเวลาการรอคอยและให้เด็ก ๆ เข้ารับการดูแลได้เร็วขึ้น นั่นเป็นแรงผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ ไปพร้อม ๆ กัน การสามารถคัดเลือกและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงไว้ได้ ถือเป็นกลยุทธ์การเติบโตที่ดำเนินต่อไปได้ด้วยตัวเองและช่วยให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจไปทั่วประเทศได้อย่างต่อเนื่อง 

แนวคิดของ ABA Centers of America มองว่าการเปิดคลินิกใหม่มีประโยชน์มากกว่าการเข้าซื้อคลินิกที่มีอยู่ เพราะการไม่ได้พึ่งพา [การซื้อกิจการ] ด้วยโมเดลที่ยอดเยี่ยมและคิดมาอย่างดีสำหรับการเปิดคลินิกใหม่ในพื้นที่ใหม่ ๆ ซึ่งบริษัทฯ ได้ทำมาหลายครั้งแล้ว และทำได้ดีมากจนสามารถเปิดคลินิกใหม่ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้บริษัทฯ มีคลินิกประมาณ 30 แห่ง และน่าจะมีมากกว่า 50 แห่งภายในสิ้นปีนี้ (2024) พร้อมกับแผนการเติบโตในอนาคตที่ชัดเจนไปจนถึงปี 2025 เช่นเดียวกับบริษัทอื่น ๆ เช่นเดียวกับสตาร์ตอัปอื่น ๆ ซึ่งก็มีข้อผิดพลาดระหว่างทาง แต่สามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านั้น และวางแผนกลยุทธ์ขององค์กรให้เป็นจริงได้ ABA Centers ได้เติบโตจนกลายเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียง จนได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทเอกชนที่เติบโตเร็วที่สุดอันดับ 5 ในรายชื่อ Inc. 5000 แห่งชาติประจำปี 2024 ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อในรายชื่อ Inc. Best in Business ประจำปี 2023 อีกด้วย

'ทัพฟ้าไทย' เลือก ‘กริพเพน’ บรรจุฝูงบินรบใหม่เหนือ F-16 เผย!! ข้อเสนอผู้ผลิตจากสวีเดนตอบโจทย์ไทยมากกว่าของสหรัฐฯ

(28 ส.ค. 67) สื่อต่างประเทศรายงานข่าวกองทัพอากาศไทยตัดสินใจเลือกเครื่องบินขับไล่กริพเพน (Gripen) บรรจุเข้าฝูงบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ โดยมองว่าข้อเสนอซึ่งผู้ผลิตสัญชาติสวีเดนให้มานั้นตอบโจทย์ความต้องการของไทยมากกว่า F-16 จากอเมริกา

กองทัพอากาศไทยระบุในคำแถลงที่เผยแพร่วานนี้ (27ส.ค.) ว่า "คณะกรรมการพิจารณาเลือกแบบ ได้กำหนดขั้นตอนและเกณฑ์การพิจารณาที่ละเอียดรอบคอบ โดยใช้ระยะเวลากว่า 10 เดือนในการดำเนินการ จึงสามารถสรุปได้ว่าเครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ JAS 39 Gripen E/F มีขีดความสามารถที่ตอบสนองความต้องการทางยุทธการตามหลักนิยมและยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศ ทั้งยังมีอิสระในการใช้งาน และสามารถพัฒนาต่อยอดนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติการร่วมหลายมิติ (Multi-Domain Operations) ระหว่างกองทัพอากาศร่วมกับกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และหน่วยงานความมั่นคงต่าง ๆ ภายใต้แนวความคิดการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลางได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต"

ทอ.ยังระบุด้วยว่า “การพิจารณาดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องทำด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีในการปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศไปอีกอย่างน้อย 30 ปี”

สำหรับเครื่องบินขับไล่ F-16 รุ่นใหม่ล่าสุดจากบริษัท ล็อกฮีด มาร์ติน ก็ยังอยู่ในการพิจารณา โดยการตัดสินใจขั้นสุดท้ายนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลไทย

ทั้งนี้ โครงการจัดซื้อฝูงบินกริพเพนมีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาทดแทนฝูงบินขับไล่ F-16 A/B ซึ่งใช้งานมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980

กองทัพอากาศไทยยังไม่ได้เผยรายละเอียดว่าจะมีการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่กริพเพนทั้งหมดกี่ลำ แต่มีรายงานจากสื่อที่เชี่ยวชาญด้านการทหารออกมาให้ข้อมูลเมื่อช่วงต้นปีนี้ว่า ไทยน่าจะมีแผนจัดซื้อประมาณ 12 ลำ

ปัจจุบันไทยมีฝูงบินขับไล่กริพเพนรุ่นเก่าใช้งานอยู่ 11 ลำ และมีฝูงบิน F-16 อยู่อีกหลายสิบลำ

ด้านบริษัท ซาบ (Saab) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินกริพเพนได้ออกมาแสดงความยินดีต่อการตัดสินใจของกองทัพอากาศไทย

“เราสามารถยืนยันได้ว่า กองทัพอากาศไทยได้แถลงต่อสาธารณชนแล้วว่ามีความสนใจที่จะสั่งซื้อฝูงบินขับไล่กริพเพน ซึ่งถือเป็นข่าวดีมากสำหรับซาบและสวีเดน” แมทเทียส รัดสตรอม ผู้จัดการฝ่ายสื่อของซาบ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี

“ณ ขณะนี้ยังไม่ได้มีการทำสัญญาหรือมีคำสั่งซื้อเข้ามา แต่เราก็รอคอยที่จะได้หารือเพิ่มเติมกับกองทัพอากาศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top