Wednesday, 14 May 2025
World

‘จีน’ ชี้ ‘อเมริกา’ คือ ‘ตัวอันตราย’ ใหญ่หลวง เป็น ‘เจ้าโลก’ ด้วยการข่มขู่ ประชาคมนานาชาติ

(18 ส.ค.67) อเมริกาคือตัวอันตรายใหญ่หลวงที่สุดของโลก เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเสี่ยงของความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ จากความเห็นของจาง เสี่ยวกัง โฆษกกระทรวงกลาโหมจีน ระหว่างให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวในวันศุกร์ (16 ส.ค.) โดยปักกิ่งกล่าวหาวอชิงตัน ‘มักตัดสินใจต่าง ๆ โดยไร้ความรับผิดชอบ’ ในความพยายามรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าโลก ในนั้นรวมถึงผ่านการข่มขู่ประชาคมนานาชาติ ด้วยคลังแสงนิวเคลียร์

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการแถลงตอบโต้การตัดสินใจของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ที่จะยกระดับกองกำลังอเมริกาในญี่ปุ่น เป็นกองบัญชากองกำลังร่วม ซึ่งบังคับบัญชาของโดยพลระดับ 3 ดาวรายหนึ่งที่อยู่ภายใต้บัญชาการของกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิก แห่งกองทัพสหรัฐฯ

ถ้อยแถลงดังกล่าวดำเนินการโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ตามหลังการพบปะหารือกันระหว่างเหล่าหัวหน้านโยบายกลาโหมและต่างประเทศของอเมริกาและญี่ปุ่น

ในตอนนั้น ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยกย่องพัฒนาดังกล่าว ว่าเป็น ‘การปรับปรุงความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างเรากับญี่ปุ่น ครั้งเข้มแข็งที่สุดในรอบกว่า 70 ปี’ เขายังบอกด้วยว่าทั้ง 2 ฝ่าย ได้จัดประชุมระดับรัฐมนตรีอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง ในด้านการป้องปรามอย่างครอบคลุม ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ระหว่างการพบปะหารือ สหรัฐฯ ประกาศ "ปกป้องญี่ปุ่นด้วย: แสนยานุภาพต่างๆ ของเราอย่างเต็มพิกัด ในนั้นรวมถึง: แสนยานุภาพทางนิวเคลียร์" ออสติน กล่าวเมื่อเดือนกรกฎาคม

ในวันศุกร์ (16 ส.ค.) จาง เสี่ยวกัง ชี้ว่าวอชิงตันและโตเกียวเล่นไพ่ใช้คำกล่าวอ้างเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านการทหารของจีน เป็นข้ออ้างสำหรับความเคลื่อนไหวของพวกเขา "พฤติกรรมต่าง ๆ เช่นนี้รังแต่ยั่วยุการเผชิญหน้าและบ่อนทำลายเสถียรภาพและสันติภาพในภูมิภาค" ทั้งนี้ในถ้อยแถลงเมื่อเดือนกรกฎาคมของเพนตากอน พวกเขายังได้พาดพิงถึงการ "ขยายคลังแสงนิวเคลียร์ของจีน" เช่นเดียวกับหัวข้ออื่นๆ ระหว่างประชุมเกี่ยวกับการขยายขอบเขตการป้องปราม

โฆษกของกระทรวงกลาโหมจีนบอกว่า "สหรัฐฯ เสี่ยงเป็นภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ใหญ่หลวงที่สุดต่อโลก เนื่องจากพวกเขาครอบครองคลังแสงนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก และเดิมตามนโยบายหนึ่ง ๆ ซึ่งอนุญาตให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ก่อน"

ยุทธศาสตร์ป้องกันตนเองแห่งชาติสหรัฐฯ (NDS) ที่เผยแพร่โดยเพนตากอนเมื่อปี 2022 ระบุ รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ และอิหร่าน เป็น 4 ศัตรู สำหรับแผนอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมันเปิดประตูสำหรับการใช้นิวเคลียร์ชิงโจมตีก่อน โดยอนุญาตให้ใช้อาวุธดังกล่าวเล่นงานศัตรู เพื่อสกัดการโจมตี

เมื่อปี 2018 สหรัฐฯ ประกาศถอนตัวจากสนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยปานกลาง (INF) ที่ทำไว้กับรัสเซีย ซึ่งแบนทั้ง 2 ฝ่ายจากการพัฒนาและประจำการขีปนาวุธศักยภาพติดอาวุธนิวเคลียร์ที่ประจำการบนภาคพื้นบางรุ่น ณ ตอนนั้น วอชิงตันอ้างว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีอาวุธดังกล่าว เนื่องจากอย่างน้อย ๆ จีน ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในข้อตกลงทวิภาคี INF

ข้อตกลงทวิภาคีที่มีผลผูกพันฉบับสุดท้ายที่จำกัดคลังแสงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และรัสเซีย คือข้อตกลง New START ซึ่งมีกำหนดหมดอายุลงในปี 2026 อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้ว รัสเซียระงับการมีส่วนร่วมในข้อตกลง New START อ้างถึงนโยบายที่เป็นปรปักษ์ของสหรัฐฯ แต่ประกาศว่าจะยังคงปฏิบัติตามเงื่อนไขหลักของมัน ซึ่งจำกัดอาวุธนิวเคลียร์และระบบปล่อยอาวุธนิวเคลียร์

ในเดือนตุลาคม 2023 เพนตากอนกล่าวหา จีน "ยกระดับขยายคลังแสงนิวเคลียร์อย่างรวดเร็ว" ในขณะที่คณะกรรมาธิการยุทธศาสตร์ของสภาคองเกรสสหรัฐฯ เรียกร้องวอชิงตันให้เตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามกับทั้งปักกิ่งและมอสโก และต่อมาในเดือนเดียวกัน อเมริกายังได้แถลงแผนเกี่ยวกับการปรับปรุงระเบิดนิวเคลียร์ของพวกเขาให้มีความทันสมัย

การตัดสินใจและพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบของสหรัฐฯ ก่อผลลัพธ์แผ่ขยายความเสี่ยงทางนิวเคลียร์ และความพยายามรักษาไว้ซึ่งความเป็นเจ้าโลก และข่มขู่โลกด้วยแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ถูกแฉออกมาเต็มตาแล้ว จางกล่าว พร้อมระบุว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดในญี่ปุ่น รังแต่ซ้ำเติมความตึงเครียดในภูมิภาค และเพิ่มความเสี่ยงแพร่ขยายนิวเคลียร์และความขัดแย้งทางนิวเคลียร์

ลูกชายผู้นำฮามาส ชี้!! พ่อถูกฆ่าด้วยขีปนาวุธนำวิถีแกะรอยโทรศัพท์มือถือ แง้ม!! ไม่ใช่เหตุลอบวางระเบิด เพราะบุคคลอื่นที่ห่าง 2-3 เมตร ปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (18 ส.ค. 67) เว็บไซต์เยรูซาเล็มโพสต์รายงานว่า ตามที่เคยรายงานข่าว ‘นายฮานิเยห์’ เสียชีวิตในกรุงเตหะรานของอิหร่านเมื่อวันที่ 31 ก.ค.  รายงานข่าวจากนิวยอร์กไทม์สยืนยันโดยเยรูซาเล็มโพสต์ระบุว่า ระเบิดถูกฝังไว้ในห้องของเขาหลายเดือนก่อนเจ้าตัวถูกปลิดชีพ

ตามรายงานข่าวและข้อมูลจากแหล่งข่าวเผยว่า ระเบิดถูกซ่อนอยู่ตั้งแต่เดือน มิ.ย. สั่งการด้วยเทคโนโลยีทางกลไกล้ำสมัยที่เคยใช้ในการสังหารนายโมห์เซน ฟาริซาเดห์ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์อิหร่าน

แต่ล่าสุดบุตรชายของนายฮานิเยห์กล่าวกับอัล อารบิยาว่า ไม่ได้เป็นแบบนั้น

“ผมคิดว่าเรื่องระเบิดไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด มีบอดี้การ์ดและที่ปรึกษาอื่น ๆ อีกมากมายในห้องที่ห่างจากห้องเขาออกไปแค่ 2-3 เมตร ชัดเจนว่าถ้ามีระเบิดก็ต้องระเบิดกันทั้งหมด”

“มันคือขีปนาวุธนำวิธีแกะรอยจากโทรศัพท์มือถือของเขา ที่เขาวางไว้ในห้องตอนกลางคืนใกล้กับศรีษะซึ่งถูกโจมตีโดยตรง”

บุตรชายกล่าวและว่า บิดาของตนใช้โทรศัพท์ต่อเนื่อง ในคืนนั้นก็ใช้ในเวลา 22.15 น.

“พ่อผมไปร่วมงานพิธีการ เขาต้องนำโทรศัพท์มือถือไปด้วยปฏิบัติการจึงทำได้ไม่ซับซ้อน” บุตรชายอธิบายเหตุผลว่าทำไมบิดาของตนถึงตกเป็นเป้าอย่างง่ายดาย

“เขาอยู่ในประเทศหนึ่งเพื่อร่วมพิธีสาบานตนประธานาธิบดี (มาซุด เปเซชคิอัน) ร่วมกับตัวแทนคนอื่น ๆ มาตรการรักษาความปลอดภัยจึงเทียบกันไม่ได้กับในพื้นที่ซ่อนตัวที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ”

ตอนแรกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (ไออาร์จีซี) รายงานว่า ผู้นำฮามาสถูกปลิดชีพจากจรวดพิสัยใกล้บรรทุกวัตถุระเบิดราว 7 กิโลกรัมที่ยิงมาจากด้านนอกอาคาร ซึ่งฮานิเยห์ผู้ลูกจบการสัมภาษณ์ด้วยข้อสรุป เขาเชื่อว่าการโจมตีทางอากาศครั้งนี้ดำเนินการด้วยความคุ้มครองของสหรัฐ

ทั้งนี้ อิหร่านกล่าวโทษว่าเป็นฝีมืออิสราเอลและประกาศตอบโต้ โดยที่อิสราเอลไม่เคยพูดว่าเป็นฝีมือของตน สหรัฐก็ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารครั้งนี้

'ศาลชั้นต้นดูไบ' ตัดสิน 'อนุมัติจ่ายเงินเดือนด้วยคริปโต' สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้เงินดิจิทัลถูกนำมาใช้ในวงกว้าง

เมื่อไม่นานมานี้ ศาลชั้นต้นแห่งดูไบได้ยืนยันถึงความถูกต้องตามกฎหมายของการจ่ายเงินเดือนด้วยสกุลเงินดิจิทัลภายใต้สัญญาจ้างงานในการตัดสินสำคัญเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ซึ่งการตัดสินนี้มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคดีที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งศาลเดียวกันได้ยกฟ้องข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับโทเค็น EcoWatt

โดยคำตัดสินที่ออกในคดีหมายเลข 1739/2024 (แรงงาน) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางการพิจารณาคดีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาค

>>ข้อพิพาทการจ่ายเงินเดือนในรูปของสกุลเงินดิจิทัล

คดีนี้เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทที่โจทก์ ซึ่งเป็นลูกจ้าง เรียกร้องค่าจ้างที่ไม่ได้รับการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน โดยในสัญญาของโจทก์ระบุเงินเดือนรายเดือนเป็นสกุลเงินทั่วไป พร้อมกับโทเค็น EcoWatt จำนวน 5,250 โทเค็น ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งศาลตัดสินให้โจทก์ชนะคดี โดยสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินเดือนที่ค้างชำระเป็นโทเค็น EcoWatt โดยอ้างว่านายจ้างไม่แสดงหลักฐานการชำระเงิน

ในคำให้การของนายจ้าง ได้โต้แย้งว่าโจทก์ถูกเลิกจ้างด้วยเหตุผลที่สมเหตุสมผล และการจ่ายเงินเดือนเป็นโทเค็น EcoWatt นั้นไม่สามารถบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ศาลพบว่าสัญญาจ้างงานระบุการจ่ายเงินเป็นทั้งสกุลเงินทั่วไปและสกุลเงินดิจิทัลอย่างชัดเจน และนายจ้างไม่ได้ให้หลักฐานที่เพียงพอเพื่อพิสูจน์ว่าโทเค็น EcoWatt ได้รับการชำระเงินแล้ว

คำตัดสินดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของข้อตกลงทางสัญญาที่ชัดเจนและความพร้อมของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการปรับตัวให้เข้ากับแนวทางทางการเงินสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังถือเป็นก้าวล่าสุดในแนวทางที่ก้าวหน้าของประเทศในการนำเอาและควบคุมอุตสาหกรรมคริปโตมาใช้

>>การพลิกคำตัดสินก่อนหน้านี้

การตัดสินดังกล่าวมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับคดีที่คล้ายกันในปี 2566 ซึ่งศาลเดียวกันได้ยกฟ้องข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับโทเค็น EcoWatt ในกรณีดังกล่าว การที่พนักงานไม่สามารถระบุมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้ศาลปฏิเสธที่จะบังคับใช้การชำระเงิน

คำตัดสินในปี 2567 เน้นย้ำถึงท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของศาลเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ด้วยการยอมรับว่าสกุลเงินดิจิทัลเป็นรูปแบบของค่าตอบแทนที่ถูกต้องและศาลได้สร้างบรรทัดฐานที่อาจส่งเสริมการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ในวงกว้างมากขึ้นในหลายภาคส่วน รวมถึงการจ้างงานด้วย

การตัดสินดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากมาตรา 912 ของกฎหมายการทำธุรกรรมทางแพ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาลกลางหมายเลข (33) ปี 2021 ซึ่งควบคุมการกำหนดและการจ่ายค่าจ้าง

ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ยังคงวางตำแหน่งตัวเองให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมระดับโลก การตัดสินใจครั้งนี้อาจช่วยนำทางไปสู่การบูรณาการสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มเติมในกรอบทางกฎหมายและเศรษฐกิจของภูมิภาค

'พม่า' วิกฤติ!! หลายเมืองขาดแคลนน้ำมัน พบ!! สถานการณ์ลากยาวกว่า 20 วันแล้ว

(19 ส.ค. 67) เพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' เผยภาพ ประชาชนจำนวนมากมาต่อแถวซื้อน้ำมันเพื่อเติมรถยนต์ (18/8/2024) ในย่างกุ้ง และหลายเมืองน้ำมันขาดแคลน 

การขาดแคลนเชื้อเพลิงเกิดขึ้นทั่วเมียนมามานานกว่า 20 วันแล้ว การซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงกลายเป็นเรื่องยากมาก ต้องต่อคิวซื้อ

อย่าถูกชะตา 'แรงงานข้ามชาติ' จากค่าจ้างแสนถูก เพราะ 'โปรไฟล์ขั้นเทพในราคาย่อมเยา' ไม่มีอยู่จริง

เมื่อก่อนหน้าไม่นานมานี้นัก มีข่าวครึกโครมเรื่องที่แรงงานพม่า โปรไฟล์สวยหรู เรียนจบปริญญาด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่ขอเรียกเงินเดือนแค่ 12,000 บาท ทั้ง ๆ ที่เคยทำงานโปรเจกต์สร้างตึก Yoma Central ตึกขนาดใหญ่ย่านใจกลางกรุงย่างกุ้งมาแล้ว  

วันนี้ เอย่า จะมาวิเคราะห์ และบอกกล่าวอีกด้านหนึ่งให้ทราบกัน รวมถึงสิ่งที่ต้องรู้ต้องเตรียมตัว หากจะรับพนักงานต่างชาติมาให้ทราบโดยทั่วกัน

การจ้างลูกจ้างต่างชาติที่ไม่ใช่แรงงานในไทย มีข้อปฏิบัติที่บริษัทในไทยต้องคำนึงอยู่ไม่น้อย โดยจะขอแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มกิจการเพื่อให้ง่ายต่อการอธิบาย...

1. บริษัทที่จดทะเบียนเป็น BOI หรือ ส่งเสริมการลงทุน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีข้อกำหนดในการที่จะรับคนต่างชาติเข้าทำงานชัดเจนคือ...

• บริษัทที่จะรับคนต่างชาติต้องเป็นกิจการที่อยู่ในขั้นตอนขอรับการส่งเสริมฯ หรือได้รับบัตรส่งเสริมฯ แล้ว 
• คนต่างชาติที่จะรับต้องเป็นช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการ 
• มีเหตุผลและความจำเป็นต้องจ้างทำงานในกิจการ BOI

• คนต่างชาติที่จะทำงานต้องได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว คือ Non-B ประเภทธุรกิจ หรือ Non-IB ประเภทการลงทุนภายใต้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมลงทุน โดยชาวต่างชาติที่ต้องการทำงานกับบริษัทใน BOI ต้องมีอายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ในข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้...

>> ประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 2 ปี ในกรณีที่วุฒิการศึกษาตรงกับตำแหน่งงานในระดับทั่วไป และมีอายุไม่ต่ำกว่า 22 ปี นับถึงวันที่ยื่นบรรจุตัว

>> ประสบการณ์ทำงานอย่างน้อย 5 ปี ในกรณีที่วุฒิการศึกษาไม่ตรงกับตำแหน่งงาน หรือในกรณีที่มีตำแหน่งในระดับผู้จัดการ และมีอายุไม่ต่ำกว่า 27 ปี นับถึงวันที่ยื่นบรรจุตัว

2. บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนกับ BOI จะมีเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับหน่วยงานที่สามารถรับชาวต่างชาติเข้ามาทำงานได้ ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท และมีพนักงานคนไทย 4 คน ต่อพนักงานต่างชาติ 1 คน รวมถึงบริษัทจะต้องเป็นผู้ขออนุญาตทำ Work Permit ให้แก่พนักงานดังกล่าว รวมถึง Visa ที่จะต้องเปลี่ยนจาก Tourist Visa เป็น Non-B visa ที่สามารถพักอาศัยในไทยได้เป็นเวลา 1 ปี

กลับมาที่ประเด็นจั่วหัวเริ่มต้น ถามว่าทำไมคนเมียนมาโปรไฟล์ดี ๆ ถึงมาเรียกเงินเดือนไม่สูงในประเทศไทย?

เอย่า ขอหยิบยกสิ่งที่เป็นคำกล่าวจากชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในเมียนมาและสิ่งที่เป็นพื้นฐานการศึกษาของประเทศเมียนมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจกัน ดังนี้...

1. ในแง่ของการศึกษาในเมียนมาส่วนใหญ่ไม่ได้มีการฝึกงานจากสถานประกอบการก่อนเรียนจบ จะมีแค่เพียงการไปดูงานเท่านั้น ดังนั้นคุณภาพคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในเมียนมาส่วนใหญ่จะเก่งแต่วิชาการ แต่ไม่ใช่การปฏิบัติงานจริง หลายครั้งจากปากของผู้ประกอบการในเมียนมาเองกล่าวว่า คนเมียนมาเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ดี แต่ไม่สามารถ Generate job หรือ Problem solving ได้ในกรณีที่เกิดปัญหา ฉะนั้นในหลายบริษัทใหญ่ ๆ ในเมียนมา จึงมีการจ้างชาวต่างชาติเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาจุดนี้

2. คนเมียนมามีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษดีกว่าคนไทย เพราะตามประสบการณ์แล้ว คนเมียนมาส่วนใหญ่จะต้องทำงานใกล้ชิดกับชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็น ยุโรป, อเมริกา, อินเดีย, จีน หรือไทยเองก็ตาม และภาษาอังกฤษก็ถือว่าเป็นภาษากลางที่ใช้ในการสื่อสาร ยกเว้นในบางบริษัทที่ลงทุนจ้างล่ามมาเพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างระดับปฏิบัติการกับผู้บริหารระดับกลางที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้

3. โปรเจกต์ใหญ่ ๆ ในเมียนมานั้น คนเมียนมาส่วนใหญ่คือ ระดับปฏิบัติการหรือตรวจหน้างานเท่านั้น ส่วนคนที่อนุมัติแบบ ตัดสินใจโปรเจกต์และลงนามตรวจรับงาน ถ้าไม่ใช่คนเมียนมาที่มีดีกรีจบจากต่างประเทศมาก็จะเป็นชาวต่างชาติไปเลย

ในปัจจุบันชาวเมียนมาที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรี จะหนีเข้ามาในประเทศไทยทางเครื่องบิน โดยถือวีซ่าท่องเที่ยว หรือ วีซ่าเพื่อการศึกษา เข้ามาในประเทศไทย หลังจากนั้นคนเหล่านี้ก็พยายามที่จะเข้าหางานในไทย เพื่อปรับสถานะวีซ่าของตนจากวีซ่าท่องเที่ยวหรือวีซ่าการศึกษามาเป็น 'วีซ่าทำงาน' เพื่อให้อยู่ในไทยได้อย่างปกติสุข 

นี่ไม่รวมถึงสวัสดิการอื่นที่จะได้จากบริษัท ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนะ!!

เอาจริง ๆ เอย่า คงไม่สามารถปิดกั้นบริษัทใด ๆ ไม่ให้รับคนกลุ่มนี้มาทำงาน แต่อย่าลืมว่าการที่บริษัทใด ๆ บริษัทหนึ่งที่คิดจะลงทุนจ้างชาวต่างชาติเข้ามาทำงานให้ ก็มักจะมีหลายความคาดหวังที่บริษัทต้องการ โดยเฉพาะเรื่องของความคาดหวังในผลงานจากพนักงานคนนั้น ๆ

เอย่า ก็แค่อยากบอกให้คิดและตรึกตรองให้ดี ยิ่งกับเรื่องวีซ่าที่คนเหล่านี้ถือก่อนรับเข้ามาทำงาน หากเป็นกลุ่มที่มีครอบครัวอยู่ในไทย บริษัทจ้างคนกลุ่มนี้ไว้ก็คงไม่เดือดร้อนแน่นอน เพราะพวกที่มีครอบครัวในประเทศไทยเขาไม่ได้เดือดร้อนในการไม่มีที่อยู่ที่อาศัย แต่ถ้าเป็นวีซ่าอื่น ๆ หากเขาอยู่เกินข้อกำหนดของวีซ่าเขาก็ต้องกลับและเดินทางกลับมาใหม่หรือไม่ก็หนีเป็นผีน้อยในไทยในที่สุด

สุดท้ายอย่าลืมว่าหลายอาชีพเป็นอาชีพต้องห้ามที่ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติทำ ไม่ว่าจะเป็นงานเสมียนหรือเลขานุการ, งานมัคคุเทศก์, งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี ยกเว้นงานปฏิบัติหน้าที่อนุญาโตตุลาการและงานให้ความช่วยเหลือหรือทำการแทนในการดำเนินกระบวนพิจารณา ชั้นอนุญาโตตุลาการ ในกรณีที่กฎหมาย ซึ่งใช้บังคับแก่ข้อพิพาทที่พิจารณาโดยอนุญาโตตุลาการนั้นมิใช่กฎหมายไทย

ส่วนงานที่ให้คนต่างด้าวทำ โดยมีเงื่อนไขที่ให้คนต่างด้าวทำงานได้ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีความผูกพันภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย คือ งานให้บริการทางบัญชี, งานวิชาชีพในสาขาวิศวกรรม และงานทางสถาปัตยกรรม ซึ่งทั้ง 3 งานนี้คนต่างด้าวหรือต่างชาติที่จะทำ ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ หรือยกเว้นเป็นผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าวตามข้อตกลงยอมรับร่วมคุณสมบัตินักวิชาชีพของอาเซียน หรือ ASEAN Sectoral Mutual Recognition Arrangement (MRAs) ซึ่งมีหลักเกณฑ์แยกย่อยไปอีก (หากใครอยากทราบลองไปหาข้อมูลกันดูนะคะ)

อยากเลือกต่างชาติมาทำงาน ก็เลือกคนที่ทำถูกกฎหมาย จงมองความซื่อสัตย์ของพนักงาน ไม่ใช่มองแค่ค่าจ้างที่ถูกแสนถูกเพียงอย่างเดียว

เพราะในโลกนี้ไม่มีของดีราคาถูกหรอกค่ะ

‘จีน’ หวังสกัด ‘โรคฝีดาษลิง’ หลังยอดระบาดทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จ่อ ‘ซักข้อมูลสุขภาพ-ฆ่าเชื้อโรคสิ่งของ’ ผู้เดินทางมาจากประเทศเสี่ยง

(19 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทางการจีนเพิ่มความพยายามป้องกันการระบาดของโรคเอ็มพอกซ์หรือโรคฝีดาษลิงภายในประเทศ ขณะจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยทางด้านสำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่า ผู้เดินทางมาจากประเทศและภูมิภาคที่มีผู้ป่วยโรคเอ็มพอกซ์ต้องสำแดงข้อมูลสุขภาพแก่ศุลกากร หากเคยสัมผัสหรือมีอาการของโรค เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองบวม หรือมีผื่น โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะดำเนินมาตรการทางการแพทย์ พร้อมเก็บตัวอย่างและตรวจโรคเอ็มพอกซ์กับบุคคลดังกล่าว

ด้านยานพาหนะ ตู้คอนเทนเนอร์ สินค้า และสิ่งของอื่น ๆ จากประเทศและภูมิภาคที่มีผู้ป่วยโรคเอ็มพอกซ์จะถูกทำการฆ่าเชื้อโรค หากปนเปื้อนหรือมีความเสี่ยงปนเปื้อน

ทั้งนี้ มาตรการข้างต้นบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ส.ค. และมีระยะเวลา 6 เดือน

สำนักบริหารการควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กระตุ้นเตือนหน่วยงานระดับท้องถิ่นเสริมสร้างความร่วมมือและการแบ่งปันข้อมูลกับศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจหาและจัดการกับผู้ป่วยโรคเอ็มพอกซ์อย่างทันท่วงที

อนึ่ง ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติจีนระบุว่า เชื้อไวรัสเอ็มพอกซ์มักแพร่กระจายผ่านการสัมผัสใกล้ชิดทางกายภาพ โดยเฉพาะระหว่างทำกิจกรรมทางเพศ ขณะการสัมผัสในชีวิตประจำวันมีความเสี่ยงน้อยกว่า โดยหลี่ต้งเจิง ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลปักกิ่ง โย่วอัน เผยว่าผู้ที่เคยสัมผัสกับเชื้อไวรัสเอ็มพอกซ์หรือมีอาการควรพบแพทย์ทันที

ก่อนหน้านี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โรคเอ็มพอกซ์เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) พร้อมยกระดับการเตือนภัยระดับโลกสู่ระดับสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 ปี โดยทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การฯ เผยว่าทุกฝ่ายควรเป็นกังวลเพราะมีความเสี่ยงระบาดเพิ่มเติมในแอฟริกาและที่อื่น ๆ

‘ญี่ปุ่น’ เล็งใช้ AI ‘วาด-แปลภาษา’ ผลงานใน ‘อุตฯ อนิเมะ-มังงะ’ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน-เพิ่มผลิตภาพในเวลาอันรวดเร็ว

(19 ส.ค. 67) นิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า อุตสาหกรรมแอนิเมชันของญี่ปุ่นกำลังเปิดรับศักยภาพของ Generative AI หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Gen AI เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ เพื่อหยุดยั้งปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้สร้างสรรค์อยู่มากก็ตาม

โดยเมื่อปีที่ผ่านมา เคแอนด์เคดีไซน์ (K&K Design) เผยว่าใช้ Gen AI ในขั้นตอนการทำงานลงสีและวาดภาพพื้นหลัง ซึ่งสามารถลดเวลาวาดภาพพื้นหลังจากหนึ่งสัปดาห์ลงมาเหลือแค่ห้านาทีได้

ฮิโรชิ คาวาคามิ (Hiroshi Kawakami) ผู้อำนวยการบริษัทเคแอนด์เคดีไซน์ กล่าวว่า จำเป็นต้องทำงานโดยใช้ Gen AI เพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมการทำงานขณะที่ต้องรักษาคุณภาพของการผลิตไว้ด้วย

การเติบโตของสตรีมมิ่งอนิเมะผ่านอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ได้เรียกร้องให้การผลิตมีคุณภาพและความเร็วในมาตรฐานที่สูงมาก และการขาดแคลนแรงงานเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ต้องใช้ Gen AI 

ตามข้อมูลจากสมาคมแอนิเมชันญี่ปุ่น (Association of Japanese Animations - AJA) รายงานว่า อุตสาหกรรมอนิเมะญี่ปุ่น มีมูลค่าตลาดทั่วโลกอยู่ที่ 2.9 ล้านล้านเยนในปี 2022 (ราว 6.78 แสนล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อนหน้า 

ถึงแม้อย่างนั้น การขยายตัวของตลาดถูกรั้งไว้ ส่วนหนึ่งเนื่องด้วยค่าจ้างที่ต่ำและชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน

ในแบบสำรวจแรงงานอุตสาหกรรมแอนิเมชันโดยสมาคมอนิเมะและภาพยนต์ญี่ปุ่น (Nippon Anime & Film Cultural Association) พบว่า 38% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีรายได้ต่อเดือนจากงานที่เกี่ยวกับอนิเมะต่ำกว่า 200,000 เยน (ราว 47,000 บาท) ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 219 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่าเวลาทำงานปกติถึง 1.3 เท่า

การมอบหมายงานบางส่วนให้กับ AI อาจช่วยให้มนุษย์สามารถจดจ่ออยู่กับการวางแผนและการออกแบบตัวละครได้ ซึ่งผลิตภาพที่สูงขึ้นอาจนำไปสู่การปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น ขณะที่การเพิ่มความหลากหลายของงานอาจช่วยเสริมการส่งออกไปยังต่างประเทศ

ทั้งนี้ AI ยังช่วยในเรื่องการแปลภาษา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำการค้ากับต่างประเทศ ออเร้นจ์ (Orange) สตาร์ตอัป AI ได้พัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการแปลมังงะมากถึง 10 เท่า และได้รับเงินร่วมลงทุนจากกองทุนซึ่งร่วมกับบรรษัทการลงทุนแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Investment Corporation)

ผู้บริหารกองทุนกล่าวเกี่ยวกับการลงทุนในออเร้นจ์ว่า เป็นโครงการที่จะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น

คาดว่าในญี่ปุ่นมีงานมังงะประมาณ 700,000 ชิ้นงาน แต่กลับมีเพียง 14,000 ชิ้นงานเท่านั้นที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ออเร้นจ์ยังพิจารณาถึงการขยายบริการไปยังประเทศที่พูดภาษาสเปนและอินเดีย ที่ซึ่งมีผู้อ่านจำนวนมาก

บริษัทผู้ผลิตเว็บตูนเอ็นดอลฟิน (En-dolphin) กำลังพัฒนา Gen AI ที่สามารถสร้างภาพประกอบโดยเรียนรู้จากผลงานของศิลปินมังงะในอดีต ด้วยการมอบสคริปต์หรือภาพร่างคร่าว ๆ ระบบสามารถสร้างผลงานที่มีรูปแบบและองค์ประกอบเหมือนกับผลงานของศิลปินต้นฉบับได้

รัฐบาลยังได้ส่งเสริมให้มีการใช้ AI ในอุตสาหกรรมคอนเทนต์อีกด้วย โดยในเดือนกรกฎาคม กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (Ministry of Economy, Trade and Industry) เผยแพร่แนวทางการปรับใช้ AI ให้กับบริษัทเกมและแอนิเมชัน

แนวทางดังกล่าวระบุว่า Gen AI สามารถส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตเนื้อหาได้หลายแง่มุม ซึ่งในอนาคต รัฐบาลจะพิจารณามอบเงินอุดหนุนและการช่วยเหลืออื่น ๆ แก่บริษัทที่ใช้ AI โดยหวังว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยแก้ปัญหาแรงงานในภาคอุตสาหกรรมได้

แต่การพัฒนา AI อย่างรวดเร็วก็มีความเสี่ยงเช่นกัน มีความกังวลว่าผลงานของญี่ปุ่นจะถูกนำไปรวมเข้ากับโมเดล AI ในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจนำไปสู่การเลียนแบบ

อย่างไรก็ตาม ก็มีกลุ่มนักวาดภาพประกอบชาวญี่ปุ่นมากกว่า 10,000 รายชื่อ ได้ออกมาเรียกร้องให้มีข้อกฎหมายปกป้องผู้สร้างสรรค์ผลงานในปีที่ผ่านมา

‘นทท.จีน’ หลงเสน่ห์ ‘ป้าย ธ.Maybank’ บน Gaya Street มาเลเซีย ดันเป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตที่ต้อง ‘แชะภาพ-เช็กอิน’ อวดลงโซเชียล

กลายเป็น Maybank เมย์ใจ ชาวจีนไปเสียแล้ว เมื่อเกิดกระแสฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวจีน ที่แห่กันมาถ่ายรูปป้ายธนาคาร Maybank ที่ตั้งอยู่กลางสี่แยกถนน Gaya Street ในโกตากีนาบาลู เมืองหลวงของรัฐซาบะห์ ในมาเลเซีย จนกลายเป็นจุด Check in สุดฮิปยอดนิยมในโลกโซเชียลจีนอยู่ในขณะนี้

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า จุดเริ่มต้นของกระแสถ่ายป้ายธนาคาร Maybank ของนักท่องเที่ยวจีนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่การแวะถ่ายป้ายธนาคาร Maybank เริ่มนิยมในหมู่เซเลปคนดังใน Xiaohongshu แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน และมีการส่งต่อกันจนกลายเป็นไวรัลไปทั่วจีน จึงเริ่มมีนักท่องเที่ยวจีนตามรอยมาถ่ายรูปป้ายธนาคาร Maybank ในสาขานี้กันเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนไม่น้อยที่เจาะจงเดินทางมาถึงเมืองโกตากีนาบาลู เพื่อถ่ายรูปป้ายธนาคารแห่งนี้โดยเฉพาะ

ปรากฏการณ์กระแสป้ายธนาคาร Maybank สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน ว่าเหตุใด ป้ายชื่อธนาคารสีเหลืองเรียบ ๆ ที่มีโลโก้หัวเสือโคร่ง และชื่อธนาคารอักษรสีดำ ที่เห็นทั่วไปในมาเลเซีย จึงกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมายังถนนแห่งนี้ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแนะนำอีกแห่งสำหรับการถ่ายรูปลง Instagram ของโกตากีนาบาลู

และกระแสความนิยมนี้ ส่งผลให้ธนาคารอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกัน ต้องปรับลุคป้ายธนาคารใหม่เพื่อให้นักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูปเช่นเดียวกัน 

กระแสความธรรมดา ที่ไม่ธรรมดานี้ ถือเป็นโอกาสที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวในรัฐซาบะห์ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ และ ร้านอาหารดี ๆ มากมายไม่แพ้รัฐอื่น ๆ ในมาเลเซีย เพียงแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะยังไม่รู้จัก 

ซึ่ง โทนี่ เฟอร์นานเดซ CEO ของสายการบิน AirAsia กล่าวว่า ถึงเราจะไม่เข้าใจว่า ทำไมป้ายธนาคาร Maybank ของที่นี่ถึงได้ฮิตนัก แต่ถ้าสามารถใช้เป็นจุดขายในการโปรโมตการท่องเที่ยว ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับธุรกิจสายการบินเช่นกัน และเขาหวังว่าจะสามารถรักษากระแสความนิยมนี้ให้ไปต่อได้เรื่อย ๆ 

แต่ในความเห็นของ ดร.แฮมซา ชาฮาบ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการตลาดดิจิทัล ของมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม มาเลเซีย ให้ความเห็นว่า กระแสของป้ายธนาคาร Maybank อาจไม่ใช่ความบังเอิญ แต่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบ และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสมัยใหม่ที่เริ่มเปลี่ยนไป

จากเดิมที่เคยนิยมมาเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำยอดนิยมตามคู่มือท่องเที่ยว แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาแหล่งท่องเที่ยวที่สะท้อนวิถีความเป็นท้องถิ่นที่จริงใจ ที่บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องที่นั้นจริง ๆ ที่หาไม่ได้ในคู่มือท่องเที่ยว อีกทั้งกระแสที่ส่งผ่านทางโซเชียล ยิ่งกระตุ้นให้เกิดกระแสตามรอย เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์

และจากกระแสนี้ ยังส่งผลย้อนกลับให้ชาวมาเลเซียหันมาลองสำรวจเมืองท้องถิ่นของตัวเอง หรือแม้แต่มาตามรอยที่ Gaya Street เพื่อหาคำตอบว่านักท่องเที่ยวจีนหลงใหลสิ่งใดในถนนสายนี้ ที่เป็นเสน่ห์ของมาเลเซีย ที่ชาวมาเลยเซียแท้ ๆ มองข้ามไป 

แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ จากกระแสป้ายธนาคาร Maybank คือ คุณค่าที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลงทุนข้ามน้ำ ข้ามทะเล เพื่อมาตามหา อาจเรียบง่ายกว่าที่เราคิด โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนปรุงแต่งอย่างอลังการ จนความเป็นท้องถิ่นของเราหายไปก็เป็นได้ 

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชม 'อีลอน มัสก์' เป็นคนฉลาด-เก่งมาก แย้ม!! พร้อมทาบทามนั่งที่ปรึกษาหรือคณะรัฐมนตรี

(20 ส.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ขึ้นเวทีปราศรัยในเมืองยอร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ได้กล่าวกับสำนักข่าวว่า เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการแต่งตั้ง 'อีลอน มัสก์' ซีอีโอของเทสลา ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาหรือคณะรัฐมนตรีหรือไม่นั้น เขาได้กล่าวว่า 'อีลอน มัสก์' เป็นคนที่ฉลาด เขาเคยคุยกันอย่างสนุกสนานเมื่อไม่กี่วันก่อน และถ้าหากเขาตกลงดึง 'อีลอน มัสก์' เข้ามาทำงานในรัฐบาลของเขาอย่างแน่นอน เพราะ 'อีลอน มัสก์' เป็นคนที่เก่งมาก

โดย 'อีลอน มัสก์' ประกาศสนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่ทางเทสลายังไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับการประกาศสนับสนุนดังกล่าวของอีลอน มัสก์ 

หากทรัมป์ชนะเลือกตั้งเขาอาจยกเลิกกฎของกระทรวงการคลังที่ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ได้รับประโยชน์จากเครดิตภาษี EV มูลค่า 7,500 ดอลลาร์หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 250,000 บาท ได้ง่ายขึ้น หรืออาจเรียกร้องให้สภาคองเกรสยกเลิกทั้งหมดในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยทรัมป์เคยพยายามยกเลิกเครดิตภาษี EV แต่ถูกขยายเพิ่มเติมโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐในปี 2565 ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา

โดยเขายังได้กล่าวว่า "เขายังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ เขาเป็นแฟนตัวยงของรถยนต์ไฟฟ้า แต่ก็เป็นแฟนตัวยงของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเหมือนกัน"

‘Kang Mak’ หนังผีอินโดฯ ฉาย 4 วัน โกยรายได้ทะลุ 110 ล้านบาท หลังรีเมกจาก ‘พี่มากพระโขนง’ ของไทยอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์

(20 ส.ค.67) หลังจากที่ เพจเฟซบุ๊ก GDH โพสต์แสดงความยินดีกับภาพยนตร์ ‘Kang Mak’ ระบุว่า ภาพยนตร์ของประเทศอินโดนีเซียที่รีเมกอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์ไทย ‘พี่มาก…พระโขนง’ ที่เข้าฉายที่อินโดฯ เพียง 4 วัน ก็สามารถโกยรายได้ไปแล้วถึง 110 ล้านบาทไทย โดยมีตัวเลขผู้ชมถึง 1,236,673 คนนั้น ก็ได้สร้างความฮือฮากับชาวโซเชียลไทยจำนวนมาก 

โดยสำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า ‘Kang Mak’ ภาพยนตร์สัญชาติอินโดนีเซีย ซึ่งกำกับโดย Herwin Novianto และเขียนบทโดย Alim Sudio Falcon Pictures ซึ่งดัดแปลงมาจากพี่มาก…พระโขนง ของประเทศไทย ที่แสดงนำโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ กวาดรายได้ทั่วประเทศ 1,000 ล้านบาท

หลังจาก ‘Kang Mak’ ปล่อยมาได้เพียง 4 วัน มีคนรับชมไปแล้ว 1.2 ล้านคน ในอินโดนีเซีย บริษัทสร้างภาพยนตร์ประกาศข่าวดีผ่านโซเชียลมีเดียว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จมาก เพราะมียอดผู้ชมมากกว่า 356,000 คน ด้วยจำนวนตัวเลขดังกล่าวนี้ ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง ‘Kang Mak’ ขึ้นแท่นภาพยนตร์อินโดนีเซียที่ขายดีที่สุดอันดับ 9 ในปี 2024 ทันที และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ต่อมาทางเพจ GDH ได้โพสต์ข้อความว่า "ขอแสดงความยินดีกับ ‘Kang Mak’ ภาพยนตร์อินโดนีเซียที่รีเมกอย่างถูกต้องตามลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์ไทย ‘พี่มาก...พระโขนง’ ที่เข้าฉายที่อินโดฯ เพียง 4 วัน ก็สามารถโกยรายได้ไปแล้วถึง 110 ล้านบาทไทย โดยมีตัวเลขผู้ชมถึง 1,236,673 คน ผู้ชมชาวอินโดนีเซียโพสต์รีวิวว่า ‘Kang Mak’ สามารถปรับเอกลักษณ์ของต้นฉบับเข้ากับบริบทความเป็นอินโดนีเซียได้เป็นอย่างดี สามารถสร้างเสียงหัวเราะได้ทั้งเรื่อง และเป็นหนังตลกสยองขวัญที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มาร่วมลุ้นไปด้วยกันว่า ‘Kang Mak’ จะทำรายได้สูงสุดที่เท่าไร!"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top