Wednesday, 14 May 2025
World

‘จีน’ เล็งแก้ กม.‘แต่งงาน’ ง่ายขึ้น ‘หย่า’ ต้องรอ 30 วัน เบรกการหย่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบ-แก้วิกฤติประชากรลด

(15 ส.ค. 67) จีนเตรียมแก้กฎหมายเอื้อให้การจดทะเบียนสมรสทำได้ง่ายขึ้น ขณะที่การหย่าร้างจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากกว่าเดิม ในความเคลื่อนไหวที่จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จนกลายเป็นเทรนด์ฮอตในโซเชียลมีเดียวันนี้

ด้านกระทรวงกิจการพลเรือนของจีนได้เผยแพร่ร่างแก้ไขกฎหมายที่ระบุว่ามุ่งสร้าง ‘สังคมที่เป็นมิตรต่อครอบครัว’ เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน โดยจะเปิดให้พลเมืองจีนสามารถส่งความคิดเห็นเข้าไปยังกระทรวงได้จนถึงวันที่ 11 ก.ย.นี้

โดยการแก้กฎหมายครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความพยายามของผู้กำหนดนโยบายจีนที่ต้องการส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวหันมาแต่งงานสร้างครอบครัวและมีบุตร เพื่อแก้ไขวิกฤตประชากรจีนที่ลดลงต่อเนื่องมา 2 ปีติดแล้ว

ร่างกฎหมายนี้มีการลดทอนข้อจำกัดในแง่ของถิ่นที่อยู่อาศัยลง จากเดิมที่กฎหมายจีนกำหนดไว้ว่าการจดทะเบียนสมรสจะต้องกระทำในเขตพื้นที่ตามทะเบียนบ้านของคู่แต่งงานเท่านั้น

อย่างไรก็ดี คู่สมรสที่ประสงค์หย่าร้างจะมีช่วงเวลา ‘รอ’ 30 วันหลังจากที่ยื่นคำร้อง ซึ่งระหว่างนั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการหย่า ก็สามารถถอนคำร้องได้ทันที และกระบวนการจดทะเบียนหย่าถือเป็นอันสิ้นสุด

“แต่งงานง่าย แต่เวลาจะหย่ากลับยาก นี่มันกฎหมายงี่เง่าอะไรเนี่ย” ผู้ใช้ weibo รายหนึ่งกล่าว ซึ่งปรากฏว่ามีชาวเน็ตเข้าไปกดถูกใจหลายหมื่นครั้ง

ขณะที่ทางด้าน เจียง เฉวียนเป่า (Jaing Quanbao) อาจารย์ประจำสถาบันเพื่อการศึกษาด้านประชากรและการพัฒนาในสังกัดมหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง ให้สัมภาษณ์กับสื่อโกลบอลไทม์สว่า กฎหมายนี้มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนเล็งเห็นความสำคัญของการแต่งงานและการสร้างครอบครัว ป้องกันการหย่าร้างด้วยอารมณ์ชั่ววูบ สร้างความมั่นคงทางสังคม ตลอดจนปกป้องสิทธิตามกฎหมายของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

จำนวนคู่รักชาวจีนที่จดทะเบียนสมรสในช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 3.43 ล้านคน ลดลง 498,000 คนจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว และถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2013

ทั้งนี้ นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลจีนทำให้การแต่งงานเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีบุตร รวมถึงการที่พ่อแม่ต้องนำทะเบียนสมรสไปแสดง เพื่อลงทะเบียนขอรับสวัสดิการอุดหนุนสำหรับลูกที่เกิดมา

อย่างไรก็ตาม คนจีนหนุ่มสาวจำนวนมากเลือกที่จะเป็นโสดหรือเลื่อนการแต่งงานออกไปก่อน เนื่องจากกังวลเรื่องความมั่นคงด้านอาชีพการงาน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังคงซบเซาในช่วงเวลานี้

'Mission To The Moon' เผย!! แบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มเลี่ยงเอี่ยว 'การเมือง' หวั่น!! พาแบรนด์ไปพัง พร้อมเลือกใช้ 'เหล่าอินฟลูฯ' ที่ไม่คลั่งการเมืองมากขึ้น

ไม่นานมานี้ Mission To The Moon ได้นำเสนอบทความที่สืบเนื่องจากแบรนด์ใหญ่ในสหรัฐฯ เริ่มปรับทิศทาง ไม่นิยมจ้างอินฟลูฯ ที่ตื่นรู้ทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญ ระบุว่า...

ปัจจุบันนี้อาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ ถือเป็นสายงานที่มาแรงและสร้างกำไรให้กับตัวคนทำ รวมถึงบริษัท และแบรนด์ผู้จ้างได้อย่างมากมายมหาศาล

ด้วยพลังของโซเชียลมีเดียที่ผนวกกับพลังของความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพก็สามารถสร้างคอนเทนต์ พัฒนาทักษะการเล่าเรื่องและตัดต่อ รวมถึงค่อยๆ เก็บเกี่ยวความนิยมจนกลายมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นความนิยมในตัวของอินฟลูเอนเซอร์เองก็ยังสามารถต่อยอดมูลค่าได้อีกมากมาย เช่น ทำแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าคนที่มาสายอาชีพนี้จะประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้าทุกคน

เพราะความผันผวนรอบทิศทางทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นในตลาดแรงงาน ยิ่งในอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ที่มีทั้งระดับเล็กไปจนถึงระดับใหญ่ ทั้งอินฟลูเอนเซอร์ที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรงของแบรนด์ได้ และอินฟลูเอนเซอร์ที่อาจเพิ่มโอกาสใหม่ๆ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ให้กับแบรนด์

แต่ก็ใช่ว่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง และมียอดผู้ติดตามสูงๆ จะได้รับโอกาสจากทุกแบรนด์ เพราะผู้จ้างเองก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ ลักษณะของกลุ่มผู้ติดตาม รวมไปถึงประเด็นความอ่อนไหวอื่นๆ ที่อาจกระทบกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วย และหนึ่งในประเด็นที่อาจเรียกได้ว่าอ่อนไหวจนถึงขั้นทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางคนกลายเป็น ‘โปรไฟล์ที่มีความเสี่ยงสูง’ ต่อแบรนด์ก็คือเรื่องการเมืองนั่นเอง

>> เพราะ ‘การเมือง’ คือเรื่องอ่อนไหวในโลก Marketing
การทำการตลาดให้กับสินค้าและแบรนด์ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) มีอิทธิพลกับสร้างการรับรู้และกำไรให้กับแบรนด์สูงมากจริงๆ และแบรนด์ต่างๆ เองก็พร้อมที่จะลงทุนเม็ดเงินมหาศาลเพื่อทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น Walmart, Kraft Heinz หรือ Coca-Cola

โดยจากการรายงานของ CNBC มีการคาดการณ์ว่า Creator Economy หรือเศรษฐกิจจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของเหล่าครีเอเตอร์จะมีมูลค่าถึง 528 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 และสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจรูปแบบนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างคอนเทนต์กับแบรนด์ หรือบริษัทที่ลงโฆษณา

โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ความเห็นทางการเมืองมักประกอบสร้างขึ้นมาจากทฤษฎีสมคบคิด และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ยิ่งต้องระมัดระวังในเรื่องของคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากมีการคว่ำบาตรอินฟลูเอนเซอร์เกิดขึ้น คนที่จะโดนผลกระทบหนักที่สุดก็คือแบรนด์ที่เป็นผู้จ้างนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นการที่คอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้างไปอยู่ใกล้กับคอนเทนต์อื่นๆ ที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง ก็จะทำให้ส่งผลต่ออัลกอริทึม ยอดการเข้าถึง และอาจส่งผลกระทบไปถึงทัศนคติที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้แบรนด์จึงต้องมีการศึกษาภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ในตลาดเป็นอย่างดี เพื่อพิจารณาถึงกำไร ผลประโยชน์ รวมไปถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คริชนา สุบรามาเนียน (Krishna Subramanian) ผู้ก่อตั้ง Captiv8 บริษัทการตลาดกล่าวว่า แบรนด์ต้องการที่จะรู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญความเสี่ยงอะไรบ้าง ถ้าพวกเขาจะจ้างอินฟลูเอนเซอร์สักคนเพื่อทำการตลาดให้กับสินค้า

โดยเครื่องมือ AI ของ Captiv8 จะแบ่งเกรดของอินฟลูเอนเซอร์หรือเน็ตไอดอลในสหรัฐฯ ออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจของแบรนด์ เช่น...

- เกรด A หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ปลอดภัย’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่นำเสนอคอนเทนต์ที่มีความอ่อนไหวทางสังคม
- เกรด C ที่หมายถึง ‘โปรไฟล์ที่ต้องระวัง’ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่พูดถึงเรื่องการเมือง และประเด็นอ่อนไหวทางสังคมบ่อย ๆ
- รวบรวมและวิเคราะห์เนื้อหาที่เป็นประเด็น เช่น ประเด็นทางสังคมที่ละเอียดอ่อน ความตายและสงคราม คำพูดที่สร้างความเกลียดชังจากตัวครีเอเตอร์จากการรายงานข่าว

นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัท Viral Nation ผู้ให้บริการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียที่สร้างบริการ Advanced Brand Safety ในการช่วยวิเคราะห์คำสำคัญและตรวจจับคอนเทนต์ที่อาจเป็นประเด็นอ่อนไหว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแบรนด์ในภายหลังได้

>> ตระหนักรู้ทางการเมืองอย่างไรไม่ให้กระทบกับ ‘ภาพลักษณ์’ ของเรา?
แม้ว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ในโลกธุรกิจกลับไม่เป็นเช่นนั้น ความคิดเห็นที่ของคนที่มีอุดมการณ์ขัดแย้งกันอาจทำให้เกิดอคติขึ้น ส่วนแบรนด์เองก็ถือว่ามีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ใกล้ชิดกับอินฟลูเอนเซอร์ ทำให้หลายแบรนด์ไม่สามารถลอยตัวเหนือดรามาที่เกิดขึ้นได้

แต่การจะทิ้งอุดมการณ์ไปเลยก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะยังมีผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสำคัญกับจุดยืนของแบรนด์ และอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้าง ถ้าเช่นนั้นแล้วเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั้งหลายควรจะรับมือกับความต้องการของแบรนด์ และสถานการณ์การเมืองที่เพิกเฉยไม่ได้นี้อย่างไร?

>> แสดงออกอย่างมีมารยาท
ภาพลักษณ์และวิธีการสื่อสารของอินฟลูเอนเซอร์สำคัญอย่างมากในยุคนี้ โดยเฉพาะคนที่ใช้โซเชียลมีเดียทำมาหากินก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าทุกการโพสต์จะถูกเผยแพร่ และแชร์ต่ออยู่บนโลกออนไลน์ ดังนั้นความคิดและการแสดงออกของเราจะสร้างผลกระทบในอนาคตอย่างแน่นอน แต่จะเป็นผลดีหรือผลร้ายนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการสื่อสารของเรา

>> เคารพในความเห็นที่ต่างกัน
อาชีพอินฟลูเอนเซอร์ทำให้เราได้พบเจอกับความคิดเห็นมากมาย ทั้งความเห็นที่คล้ายกับเราและความเห็นที่ต่างจากเรา ดังนั้นต้องเข้าใจว่าคนทุกคนสามารถมีมุมมอง ความคิดเห็นและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันได้ แต่ต้องเคารพในเหตุผลของทุกฝ่าย และไม่สร้างความขัดแย้งด้วยคำพูดที่ก่อให้เกิดความเกลียดชัง

>> คำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง
ในกรณีที่ประเด็นความอ่อนไหวนั้นเป็นเรื่องที่เฉพาะกลุ่มมาก ๆ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเราโดยตรง คนที่ทำอาชีพคอนเทนต์ครีเอเตอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์อาจจะต้องไตร่ตรองถึงความคุ้มค่าอย่างถี่ถ้วน ว่าการแสดงความคิดเห็นออกไปนั้นจะส่งผลกระทบอย่างไรกับภาพลักษณ์และอาชีพของเรา แล้วจะได้อะไรกลับมาคุ้มกับที่เสียไปหรือไม่?

สุดท้ายนี้ แม้ว่าเรื่องบางเรื่องอาจกำลังกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างน่าติดตาม แต่ในฐานะของผู้ประกอบอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้สร้างคอนเทนต์ออนไลน์จำเป็นจะต้องคำนึงถึงทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผู้จ้าง ภาพลักษณ์ของตัวเราเอง และทัศนคติของโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบกับประเด็นอ่อนไหวที่เกิดขึ้นด้วย

การคำนึงถึงทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบอย่างถี่ถ้วน จะช่วยให้เราระมัดระวังในการผลิตและเผยแพร่คอนเทนต์มากขึ้น มีการตรวจสอบที่รัดกุมมากขึ้น ซึ่งจุดนี้เองจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของอินฟลูเอนเซอร์ให้ดูน่าเชื่อถือได้ และถ้าหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น อินฟลูเอนเซอร์ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ก็มีส่วนผิด และจำเป็นที่จะต้องแสดงการรับผิดชอบต่อแบรนด์ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดนั้นด้วยเช่นกัน

‘จีน’ ทดสอบ ‘เครื่องบินไฟฟ้าไร้คนขับ’ รองรับผู้โดยสารได้ 5 คน สำเร็จ พร้อมให้บริการรูปแบบแท็กซี่ หวังช่วยหนุน ‘การเดินทาง-เลี่ยงรถติด’

เมื่อวานนี้ (15 ส.ค.67) การให้บริการ ’Air Taxi‘ ใกล้ความจริงมากขึ้น เมื่อเครื่องบินไฟฟ้าไร้คนขับ (eVTOL) ประสบความสำเร็จในการบินข้ามแม่น้ำแยงซี ในเมืองหนานจิง โดยการบินทดสอบครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ระยะทาง 25 กิโลเมตร ถือเป็นครั้งแรกที่เครื่องบิน eVTOL ที่มีหนักกว่า 1 ตัน บินข้ามแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของจีน

สำหรับเครื่องบิน eVTOL รุ่นนี้มีปีกกว้าง 15 เมตร ลําตัวยาว 11 เมตร และสูงประมาณ 3.5 เมตร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 5 คน มีความจุสูงสุดเกือบ 500 กิโลกรัม พัฒนาโดยบริษัท AutoFlight บริษัทสตาร์ตอัปในเซี่ยงไฮ้ Xie Jia รองประธานอาวุโสของ AutoFlight กล่าวว่า เครื่องบินรุ่นนี้จะเป็นตัวเลือกในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยว หรือผู้ที่ต้องการเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดในเมือง ซึ่งใช้เวลาเพียง 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 10 ของการเดินทางภาคพื้นดิน

ทั้งนี้ จีนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจการบินในความสูงระดับต่ำ โดยเมืองหนานจิงถือเป็นเมืองแนวหน้าของการขับเคลื่อนเรื่องนี้ ตั้งแต่ปี 2020 เมืองหนานจิงได้มีการเปิดเขตทดสอบอากาศยานไร้คนขับพลเรือน (UAV) มีเที่ยวบินทดสอบมากกว่า 24,000 เที่ยว 

ทางด้าน Shi Shan เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำ Pukou Hi-Tech Zone ในหนานจิงกล่าวว่า การขับเคลื่อนการบินในความสูงระดับต่ำมีความก้าวหน้าอย่างมาก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งด้านการท่องเที่ยว การเดินทางในเมือง การกู้ภัยฉุกเฉิน การขนส่ง และสถานการณ์อื่น ๆ ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม CCID Consulting บริษัทด้านการวิจัยระบุว่า ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรม eVTOL ของจีนเติบโตขึ้นร้อยละ 77.3 มีมูลค่ากว่า 980 ล้านหยวน หรือประมาณ 4,900 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 อุตสาหกรรม eVTOL น่าจะมีมูลค่ากว่า 9,500 ล้านหยวน หรือประมาณ 47,500 ล้านบาท

Adidas เผย!! จีนยังเป็นตลาดสำคัญ 'การผลิต-การลงทุน' รับ!! ผลประกอบการที่ดีมีปัจจัยจากกลยุทธ์ 'ในจีน เพื่อจีน'

ไม่นานมานี้ บียอร์น กุลเดน ซีอีโอของอาดิดาส (Adidas) แบรนด์เครื่องแต่งกายและรองเท้ากีฬาระดับโลก ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของตลาดจีน ภายใต้กลยุทธ์ระดับโลกของอาดิดาส ซึ่งเป็นการแสดงมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการเติบโตในอนาคตและโอกาสการลงทุนในจีน ระหว่างการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดกับสำนักข่าวซินหัว

“จีนถือเป็นตลาดสำคัญสำหรับบริษัท และจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในอนาคต” กุลเดนกล่าวเมื่อวันจันทร์ (12 ส.ค.) ระหว่างต้อนรับนักฟุตบอลเยาวชนจีน 22 คน ซึ่งมีกำหนดเข้าร่วมการฝึกซ้อมเข้มข้นนาน 3 สัปดาห์ที่สำนักงานใหญ่อาดิดาสในเมืองแฮร์ซอกเกนัวรัค และสมาคมฟุตบอลบาเยิร์น มิวนิค โดยเขาได้เน้นย้ำบทบาทสำคัญของกีฬาในโลกท้าทายยุคปัจจุบัน และมองว่าโครงการแลกเปลี่ยนเหล่านี้จะช่วยสร้างสะพานเชื่อมผ่านเกมกีฬา

กุลเดนระบุว่า อาดิดาสจะลงทุนด้านกีฬาในจีนต่อไป รวมถึงย้ำบทบาทของจีนในการเป็นตลาดแห่งสำคัญ ตลอดจนฐานการผลิตและการจัดหาที่สำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ของอาดิดาส และเป็นตลาดสำคัญในแง่ยอดจำหน่ายและการผลิต

ข้อมูลของบริษัทระบุว่าอาดิดาสมีรายได้ไม่อิงตามสกุลเงิน (Currency-Neutral Revenue) เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ในช่วงไตรมาสที่สองของปีงบการเงิน 2024 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดจำหน่ายในจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน

กุลเดนชี้ว่า ผลประกอบการที่ดีของอาดิดาสมีปัจจัยจากการให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภค และย้ำความมุ่งมั่นที่อาดิดาสมีต่อกลยุทธ์ 'ในจีน เพื่อจีน' (in China, for China) โดยบริษัทยังมุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการของผู้คนในท้องถิ่น ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อรับรองความพึงพอใจของผู้บริโภค

‘สวีเดน’ ผวา!! พบผู้ติดเชื้อ ‘ฝีดาษลิง’ สายพันธุ์ใหม่ 1 ราย ชี้!! อาการรุนแรงขึ้น หลังเอี่ยวการระบาดในทวีปแอฟริกา

(16 ส.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าจากกรณีที่ 'องค์การอนามัยโลก' ประกาศให้การระบาดของโรคฝีดาษลิง ในพื้นที่บางส่วนของแอฟริกา กลายเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่เป็นข้อกังวลระหว่างประเทศ

ล่าสุด 'องค์การอนามัยโลก' ยืนยันพบผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิง สายพันธุ์ใหม่ คนแรกของประเทศสวีเดน ระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับการระบาดในทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ครั้งแรกว่าเชื้อโรคฝีดาษวานรแพร่ออกไปนอกทวีปแอฟริกาแล้ว

โดยทางด้าน เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสวีเดน แถลงว่า บุคคลที่ป่วยด้วยโรคฝีดาษลิงรายนี้ติดเชื้อในระหว่างที่อยู่ในทวีปแอฟริกา ซึ่งกำลังมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ผู้ติดเชื้อรายดังกล่าวติดเชื้อไวรัส clade 1b ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ใหม่ ที่ทำให้มีอาการรุนแรงขึ้นกว่าสายพันธุ์ clade 2 ที่เคยระบาดเมื่อ 2 ปีก่อน

ขณะที่ทางด้าน ลอว์เรนซ์ กอสติน ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ลอว์ ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า การพบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษลิงในทวีปยุโรปอาจทำให้โรคดังกล่าวแพร่ระบาดไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว การติดเชื้อที่พบในสวีเดนอาจหมายถึงมีผู้ติดเชื้ออีกหลายสิบรายที่ยังไม่พบในยุโรป

‘สภาคองเกรส’ อัด!! ‘มาร์ก’ ปล่อยโฆษณายาเสพติดเกลื่อนเฟซบุ๊ก ด้าน Meta อ้าง!! ระบบถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับผิดอย่างแข็งขัน

(16 ส.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า กลุ่มสมาชิกรัฐสภาจากทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ส่งจดหมายถึง ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Meta ซึ่งเป็นเจ้าของ Facebook ว่า ทางบริษัท ‘ล้มเหลว’ ในการป้องกันโฆษณายาเสพติดผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์มบริษัท

สมาชิกรัฐสภาได้อ้างถึงรายงานล่าสุดจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Tech Transparency Project ซึ่งพบว่า มีโฆษณายาจำนวนมากบน Facebook และ Instagram ที่นำผู้ใช้ไปสู่บริการของบุคคลที่สาม ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อยาตามใบสั่งแพทย์ โคเคน และยาเสพติดเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจอื่น ๆ ได้

“เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2024 วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า อัยการสหรัฐกำลังสอบสวน Meta ในข้อหาอำนวยความสะดวกในการขายยาเสพติดผิดกฎหมาย” สมาชิกรัฐสภาเขียน “แทนที่จะแก้ไขปัญหานี้โดยเร็วและลบเนื้อหาผิดกฎหมายออกไปทั้งหมด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2024 วอลล์สตรีทเจอร์นัลได้รายงานอีกครั้งว่า Meta กำลังลงโฆษณาบน Facebook และ Instagram ที่นำผู้ใช้ไปสู่ตลาดออนไลน์สำหรับยาเสพติดผิดกฎหมาย”

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ สมาชิกรัฐสภาเขียนว่า Meta ยังคงลงโฆษณาต่อไป แม้ว่าบริษัทกำลังถูกอัยการสหรัฐสอบสวนในข้อหา “อำนวยความสะดวกในการขายยาเสพติดผิดกฎหมาย” ก็ตาม

เหล่าสมาชิกรัฐสภาส่งคำถาม 15 ข้อไปยังซัคเคอร์เบิร์ก เพื่อเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของบริษัทแม่ Facebook และขอให้เขาตอบกลับภายในวันที่ 6 กันยายน

ด้าน Meta ยืนยันว่าได้รับจดหมายแล้ว โดยแถลงชี้แจงเรื่องนี้ว่า “ผู้ค้ายาเสพติดเป็นอาชญากรที่ทำงานข้ามแพลตฟอร์มและชุมชน เป็นเหตุผลที่เราทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อต่อสู้กับกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้ ระบบของเราถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับ และบังคับใช้กับเนื้อหาที่ละเมิดอย่างแข็งขัน และเรายังปฏิเสธโฆษณาหลายแสนรายการที่ละเมิดนโยบายยาเสพติดของเรา เราลงทุนทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง และปรับปรุงการบังคับใช้กับเนื้อหาประเภทนี้ต่อไป เราขอร่วมไว้อาลัยกับผู้ที่ทุกข์ทรมานจากผลกระทบอันน่าเศร้าของการระบาดยาเสพติดเหล่านี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อหยุดยั้ง”

ย้อนอดีต 'ทางรถไฟไนโรบี' การแบ่งแยกแอฟริกาจากนักล่าอาณานิคมชาวสหราชอาณาจักร สู่การกระตุ้น 'การค้า-ศก.' แก่ 'เคนยา' ด้วย 'มาดารากา เอ็กซ์เพรส' จากมิตรสหายที่ชื่อ 'จีน'

เมื่อวันที่ 14 ส.ค.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า "การที่ประเทศหนึ่งจะสร้างทางรถไฟนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ทางรถไฟนำพาให้เกิดประเทศหนึ่งขึ้นมานั้นเป็นเรื่องแปลก" เซอร์ ชาร์ลส์ อีเลียต กรรมาธิการอาณานิคมแอฟริกาตะวันออกแห่งสหราชอาณาจักร (British East Africa) ในเวลานั้นกล่าวในปี 1903

อีเลียต ผู้ซึ่งเว็บไซต์สารานุกรมบริแทนนิกา ระบุว่า เป็นผู้ริเริ่มนโยบายคนผิวขาวสูงส่งกว่าในอาณานิคมแอฟริกาตะวันออกแห่งสหราชอาณาจักร (เคนยาในปัจจุบัน) กล่าวอ้างถึงทางรถไฟรางกว้างหนึ่งเมตรที่ก่อสร้างโดยเหล่านักล่าอาณานิคมชาวสหราชอาณาจักรในแอฟริกาตะวันออกระหว่างปี 1896-1901

ทางรถไฟสายนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของการล่าอาณานิคมของอารยธรรมตะวันตก เป็นเส้นทางที่คนผิวขาวใช้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปแอฟริกาเพื่อแสวงหาการผจญภัยและการล่าอาณานิคม รวมถึงเป็นสักขีพยานในกระบวนการตื่นรู้และต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อเอกราชของเคนยา

การแบ่งแยกแอฟริกาโดยชาวยุโรป

ทางรถไฟไนโรบี ซึ่งถูกก่อสร้างขึ้นระหว่างปี 1896-1901 มีจุดเริ่มต้นที่เมืองท่ามอมบาซาบนชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และทอดยาวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงท่าเรือฟลอเรนซ์ (เมืองคิซูมูในปัจจุบัน) บนชายฝั่งทะเลสาบวิกตอเรีย

รัฐบาลสหราชอาณาจักรก่อสร้างทางรถไฟสายนี้เพื่อควบคุมพื้นที่ลุ่มแม่น้ำไนล์ทั้งหมด แม้เป็นโครงการที่รัฐสภาและสื่อของสหราชอาณาจักรไม่ชอบใจมากเพราะใช้เงินทุนสูงราว 5 ล้านปอนด์ (ราว 225 ล้านบาท) โดยเฮนรี ลาบูเชร์ นักการเมืองสหราชอาณาจักร เคยเขียนบทกวีล้อเลียนว่าเป็น ‘ทางรถไฟสายคนบ้า’

อย่างไรก็ดี สำหรับนักล่าอาณานิคมแล้ว ทางรถไฟสายนี้มีความคุ้มค่า โดยการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ไม่เพียงเป็นก้าวหนึ่งในการแบ่งแยกแอฟริกา แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบอาณานิคมแบบจักรวรรดินิยมอีกด้วย

>> ‘งูเหล็ก’ เปื้อนเลือด

ทางรถไฟสายไนโรบีในสายตาชนเผ่าท้องถิ่นเปรียบเสมือน ‘งูเหล็ก’ ที่ข้ามพาดดินแดนของพวกเขาและกลายเป็นลางร้ายสร้างปัญหาความวุ่นวาย โดยการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ที่ยาว 931 กิโลเมตร ใช้แต่แรงงานมนุษย์และเครื่องมือธรรมดาเท่านั้น ขณะวัสดุก่อสร้างต้องขนส่งมาจากที่อื่น

พิพิธภัณฑ์ทางรถไฟไนโรบีระบุว่า มีแรงงานสังเวยชีวิตแก่ทางรถไฟสายนี้ 2,493 ราย หรือคิดเป็นผู้เสียชีวิต 4 รายต่อรางรถไฟยาวหนึ่งไมล์ ขณะกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ในท้องถิ่น เช่น กลุ่มชาติพันธุ์มาไซ ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการขยายตัวของการล่าอาณานิคม การต่อต้านของพวกเขาถูกปราบปรามอย่างรุนแรง

ด้าน ลอตเต ฮิวจ์ส นักเขียนชาวสหราชอาณาจักร เจ้าของหนังสือ ‘การเคลื่อนย้ายชาวมาไซ : โชคร้ายของชาวเมืองขึ้น’ ระบุว่า ชาวมาไซจำนวนมากถูกบังคับอพยพย้ายและถูกปล้นเอาส่วนที่ดีที่สุดของดินแดน ซึ่งเป็นชะตากรรมเดียวกันที่กลุ่มชาติพันธุ์คิคุยุในภูมิภาคนี้ต้องประสบพบเจอ

>> การเคลื่อนไหวต่อต้านอาณานิคม

ช่วงทศวรรษ 1930-1940 กระแสต่อต้านปะทุขึ้นในหมู่ชุมชนท้องถิ่นที่ถูกยึดครองที่ดิน ความไม่พอใจของพวกเขานำสู่การเคลื่อนไหวของผู้รักชาติชาวเคนยาหลายหลุ่ม ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มเมาเมา (Mau Mau movement) ที่ประกอบด้วยชาวคิคุยุเป็นหลัก ซึ่งรวมตัวกันภายใต้สโลแกน ‘ดินแดนและเสรีภาพ’ และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนท้องถิ่น

เหล่าผู้รักชาติใช้ทางรถไฟสายไนโรบีเดินทางจากสุดขอบหนึ่งไปยังอีกสุดขอบหนึ่งของเคนยาเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองเรียกร้องเอกราชของเคนยา ทั้งกล่าวกันว่าประชาชนใช้ทางรถไฟสายไนโรบีในการขนส่งอาวุธแก่ผู้ต่อสู้เพื่อเอกราชด้วย

เดือนตุลาคม 1952 รัฐบาลอาณานิคมของสหราชอาณาจักรประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเนื่องด้วยการก่อกบฏของกลุ่มเมาเมา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกดขี่นองเลือด ต่อมาปี 1956 มีการจับกุมเดดาน คิมาธี ผู้นำก่อการกบฏ ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ของกลุ่มเมาเมา แต่การก่อกบฏยังคงมีอยู่จนถึงต้นทศวรรษ 1960

โดยเว็บไซต์สารานุกรมบริแทนนิกา ระบุว่ามีกบฏถูกสังหารในการสู้รบมากกว่า 11,000 ราย เมื่อนับถึงสิ้นปี 1956

เคนยาเป็นอิสระจากการปกครองแบบอาณานิคมอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 12 ธ.ค. 1963 และคลื่นแห่งการปลดปล่อยอาณานิคมแผ่กระจายทั่วแอฟริกาในช่วงทศวรรษ 1950-1960 นำสู่การประกาศเอกราชของประเทศในแอฟริการาว 30 แห่ง

>> จากทางรถไฟสายคนบ้าสู่ ‘มาดารากา เอ็กซ์เพรส’

ทางรถไฟรางมาตรฐาน (SGR) สายมอมบาซา-ไนโรบี หรือ ‘มาดารากา เอ็กซ์เพรส’ (Madaraka Express) ซึ่งก่อสร้างโดยจีนและวิ่งขนานกับทางรถไฟสายเก่า กลายเป็นจุดดึงดูดความสนใจจากผู้มาเยือน โดยทางรถไฟรางมาตรฐานสายนี้เปิดทำการวันที่ 31 พ.ค. 2017 หนึ่งวันก่อนวันมาดารากา ซึ่งเป็นวันรำลึกถึงการปกครองตนเองภายในของเคนยาในวันที่ 1 มิ.ย. 1963

มาดารากา เอ็กซ์เพรส ช่วยลดเวลาเดินทางและต้นทุนการบริการขนส่งสินค้าอย่างมาก กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ทั้งยังช่วยกระตุ้นการค้า เศรษฐกิจ และส่งเสริมเมืองเล็ก ๆ ตามแนวทางรถไฟ รวมถึงช่วยเคนยาบูรณาการตัวเองเข้ากับประเทศแอฟริกาตะวันออกแห่งอื่น ๆ

ทางรถไฟสายใหม่นี้ดำเนินงานอย่างราบรื่นต่อเนื่องกว่า 2,300 วันแล้ว ขนส่งผู้โดยสารหลายล้านคนและสินค้าหลายล้านตัน มีส่วนส่งเสริมการเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจของเคนยาอย่างมาก และเป็นตัวอย่างอันดีของความร่วมมือหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางระหว่างจีนกับเคนยา

จากทางรถไฟสายคนบ้าสู่ ‘มาดารากา เอ็กซ์เพรส’ ในวันนี้ เคนยากำลังก้าวสู่อนาคตอันสดใสด้วยทางรถไฟสายใหม่ และค่อย ๆ ปิดฉากอดีตของการเป็นอาณานิคมที่มีทางรถไฟสายเก่าเป็นตัวแทน

ย้อนดู ‘ศาลฎีกาสหรัฐฯ’ ตัดสิน ‘ม.ฮาร์วาร์ด’ ขัดรัฐธรรมนูญ หลังใช้นโยบายด้านเชื้อชาติกีดกัน ‘นักศึกษาอเมริกันเชื้อสายเอเชีย’

(16 ส.ค.67) จากช่องยูทูบ ‘ดร.อธิป อัศวานันท์’ ผู้บริหารของบริษัท ทรูคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) รองประธานกิจการไอซีทีหอการค้าไทย นักเขียนชื่อดัง และอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้โพสต์คลิปวิดีโอเล่าเรื่องราวภายใต้หัวข้อ ‘มหาวิทยาลัยดังสหรัฐแพ้คดี : ต้องหยุดกีดกันเด็กเอเชีย ยกเลิกการใช้เชื้อชาติ ศาลสูงสุดตัดสิน ฮาร์วาร์ด’ ต่อกรณีมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ใช้นโยบายหนึ่งที่เรียกว่า ‘Affirmative Action’ แต่สุดท้ายชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียกลับต้องเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า ‘Reverse Affirmative Action’ ซึ่งการเลือกปฏิบัติเชิงลบ หรือมาตรการลดโอกาสต่อพวกเขา โดยมีเนื้อหาดังนี้...

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2023 ศาลฎีกาของสหรัฐฯ (Supreme Court of the United States : SCOTUS) ได้มีคําตัดสินที่สะเทือนวงการ ‘การศึกษา’ โดยระบุว่าการใช้เชื้อชาติในการรับสมัครนักศึกษา เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ โดยคําตัดสินนี้เป็นผลมาจากการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนานถึงเกือบ 10 ปี ซึ่งเริ่มต้นในปี 2013 เมื่อมีการฟ้องร้อง ‘ฮาร์วาร์ด’ มหาวิทยาลัยชื่อดังของสหรัฐฯ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า มีการเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย

ก่อนอื่นเราต้องทําความเข้าใจว่า เด็กเอเชียที่พูดถึงในกรณีนี้คือใคร ซึ่งพวกเขาไม่ใช่นักศึกษาต่างชาติจากเอเชีย แต่เป็น ‘ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย’ 

ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีกฎหมายที่แตกต่างจากประเทศอื่นตรงที่ใช้หลัก ‘สิทธิของดินแดน’ หรือมีหมายความว่า เด็กที่เกิดในดินแดนของสหรัฐฯ จะได้รับสัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าพ่อหรือแม่จะมีสถานะทางกฎหมายอย่างไร ซึ่งนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่ว่า ‘Birthright Citizenship’ ที่ถูกระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญ ในขณะที่ประเทศไทยใช้หลักสิทธิของ ‘สายเลือด’ ซึ่งหมายความว่าลูกของคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยจะได้สัญชาติไทยต่อเมื่อพ่อหรือแม่เป็นคนไทยเท่านั้น

สหรัฐอเมริกาถือเป็น ‘ประเทศแห่งผู้อพยพ’ ซึ่งเป็นแนวสําคัญในการสร้างชาติของอเมริกา โดยแนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศที่เกิดขึ้นจากการอพยพของผู้คนจากทั่วโลก และยังคงเป็นส่วนสําคัญของอัตลักษณ์ของชาติอเมริกันจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ทําให้ชาวอเมริกันมีหลากหลายเชื้อชาติ โดยในวันนี้มีชาวผิวขาว 62%, ชาว Hispanic 19%, ชาวผิวดํา 12%, ชาวเอเชีย 6% และชาวอินเดียนแดง 3%

ดังนั้น หากยึดตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ แล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นเชื้อชาติอะไร แต่ตราบเท่าที่คุณเป็นสัญชาติอเมริกัน คุณจะต้องมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะเป็นคนต่างด้าวหรือผู้อพยพก็ตามเพราะต้องอย่าลืมว่าอเมริกาเป็นประเทศของผู้อพยพ เชื้อชาติอเมริกันที่แท้จริงก็คือชาวอินเดียนแดงที่มีอยู่เพียง 3% ของประชากร แต่ผู้ที่อพยพมาในภายหลังซึ่งรวมไปถึงชาวผิวขาว, ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวเอเชีย มีอยู่ถึง 97% ของประชากร ซึ่งจะแตกต่างกับประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งรวมไปถึงประเทศไทยของเรา ที่คนเชื้อชาติไทยคือคนส่วนใหญ่ของประเทศ 

นั่นหมายความว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็คือลูก หรือหลาน หรือเหลน ของผู้ที่อพยพมาจากเอเชีย แต่ก็นับเป็นชาวอเมริกันอย่างเต็มภาคภูมิตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ และก็ไม่สามารถถูกมองได้ว่าเป็นคนต่างด้าวอีกต่อไป

ดร.อธิป กล่าวต่ออีกว่า เช่นนั้นแล้ว ‘Affirmative Action’ ในการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยคืออะไร? คําตอบก็คือนโยบายการเพิ่มโอกาสให้กับเชื้อชาติที่เสียเปรียบในการเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อที่จะช่วยให้ชาติเหล่านั้นสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น

สำหรับ Affirmative Action เริ่มต้นในทศวรรษ 1960 ในช่วงของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติในอดีต ซึ่งนโยบายนี้ไม่ได้จํากัดอยู่แค่การศึกษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจ้างงานและการทําสัญญากับภาครัฐอีกด้วย อีกทั้งในบริบทของการศึกษา Affirmative Action ยังมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความหลากหลายในมหาวิทยาลัย และสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับกลุ่มที่เคยถูกกีดกันในอดีต และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ที่หลากหลายในชั้นเรียน 

ทั้งนี้ เชื้อชาติที่เสียเปรียบเหล่านั้นก็คือชนกลุ่มน้อยทั้งหมด โดยยกเว้นคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ซึ่งได้แก่ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวอินเดียนแดง เนื่องจากชนกลุ่มนี้มีความเสียเปรียบทั้งในเรื่องของผลการเรียนและฐานะของครอบครัวเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว ซึ่ง Affirmative Action นี้ไม่ได้ช่วยชาวผิวขาว เพราะชาวผิวขาวถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่ทุกเผ่าพันธุ์จะถูกเปรียบเทียบด้วย แต่ในทางกลับกัน Affirmative Action กลับทําร้ายชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย เพราะทําให้เข้ามหาวิทยาลัยได้ยากขึ้น เพราะถือว่าเป็นชนกลุ่มที่ได้เปรียบทั้งในเรื่องของผลการเรียนและฐานะของครอบครัวเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว

สรุปก็คือ Affirmative Action ทําให้ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเข้ามหาวิทยาลัยได้ยากกว่าชาวผิวขาว แต่ก็ช่วยให้ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา และชาวอินเดียนแดง เข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายกว่าชาวผิวขาว

ดร.อธิป เสริมอีกว่า ในทางปฏิบัติการใช้ Affirmative Action ในการรับนักศึกษา มักจะถูกทําในรูปแบบของการพิจารณาแบบองค์รวม ซึ่งพิจารณาปัจจัยหลากหลายนอกเหนือจากคะแนนและเกรดเฉลี่ย อย่างเช่นประสบการณ์ชีวิต ความสามารถพิเศษ และภูมิหลังทางวัฒนธรรม โดยเชื้อชาติอาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกนํามาพิจารณา ซึ่งก็คือชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียจะต้องมีคะแนนสอบและประวัติที่สูงกว่าทุกเผ่าพันธุ์ ซึ่งรวมถึงชาวผิวขาวด้วย หากจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ในระดับเดียวกัน

หากอธิบายในอีกแง่มุมหนึ่งก็เปรียบได้ว่า แต่ละมหาวิทยาลัยมีโควตาสําหรับชาวอเมริกันในแต่ละเผ่าพันธุ์ ก็คือมีโควตาสําหรับชาวผิวขาว, ชาว Hispanic, ชาวผิวดํา, ชาวเอเชีย และชาวอินเดียแดง ซึ่งก็คือ ‘ชาวผิวขาว’ แข่งกับ ‘ชาวผิวขาว’ / ‘ชาว Hispanic’ แข่งกับ ‘ชาว Hispanic’ เป็นต้น ซึ่งมาตรฐานของแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะไม่เท่ากัน และชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็จะแข่งขันกันเองในลีกที่คะแนนสูงกว่าและยากกว่าทุกเผ่าพันธุ์

ดังนั้น Affirmative Action จึงเป็นนโยบายที่มีทั้งผู้ที่สนับสนุนและผู้ที่คัดค้าน โดยผู้ที่สนับสนุนต่างมองว่านโยบายนี้จะช่วยแก้ไขความไม่เท่าเทียมทางสังคมที่สะสมมานาน และก็เป็นการส่งเสริมความหลากหลายในมหาวิทยาลัย ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของทุกคน และยังเป็นการเปิดโอกาสให้คนจากเผ่าพันธุ์ที่ขาดแคลนได้เข้าถึงการศึกษาระดับสูง แต่ผู้ที่คัดค้านก็ต่างมองว่า เป็นการเลือกปฏิบัติต่อบางกลุ่ม โดยเฉพาะชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และก็ไม่ได้พิจารณาความสามารถของบุคคลอย่างแท้จริง และยังทําให้เกิดการตั้งคำถามต่อความสามารถของผู้ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมี Affirmative Action หรือนโยบายการเพิ่มโอกาสให้กับเชื้อชาติที่เสียเปรียบ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียก็ยังจะมีจํานวนที่สูงมากในหลายมหาวิทยาลัยชั้นนํา ทั้ง ๆ ที่มีจํานวนอยู่เพียงแค่ 6% ของประชากรเท่านั้น

ทั้งนี้ ดร.อธิป ได้กลับมาพูดต่อถึงเคสที่ฟ้องร้องมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่สู้กันอยู่ 10 ปี จนกระทั่งศาลสูงสุดได้ตัดสินว่า การใช้เชื้อชาติในการรับนักศึกษาเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ โดยคดีนี้เริ่มต้นเมื่อองค์กร Students for Fair Admissions หรือ SFFA ได้ฟ้องฮาร์วาร์ดในปี 2014 โดยกล่าวหาว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อผู้สมัครชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย

โดย SFFA อ้างว่า ฮาร์วาร์ดใช้ระบบโควตาแอบแฝงที่จํากัดจํานวนนักศึกษาเชื้อสายเอเชีย ที่มีการนําเสนอหลักฐานที่สําคัญในคดี ซึ่งเป็นข้อมูลการรับสมัครตั้งแต่ปี 2014 - 2019 และข้อมูลรวมตั้งแต่ปี 2000 - 2019 ที่อ้างว่า ผู้สมัครเชื้อสายเอเชียได้คะแนนต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ ในด้านคุณลักษณะส่วนบุคคลเชิงบวก และการวิเคราะห์ทางสถิติโดยนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยหนึ่งก็ได้พบว่า ผู้สมัครเชื้อสายเอเชียก็ได้รับการลงโทษทางสถิติในคะแนนส่วนบุคคลและคะแนนโดยรวม นอกจากนี้ ก็มีการอ้างถึงรายงานภายในของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ได้ค้นพบการลงโทษทางสถิติต่อผู้สมัครเชื้อสายเอเซียจากการตรวจสอบภายใน ในปี 2013

อย่างไรก็ตาม ฮาร์วาร์ดก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดและอ้างว่าการพิจารณาเชื้อชาติเป็นเพียง 1 ในหลายปัจจัยเพื่อสร้างความหลากหลาย และถึงแม้ว่าฮาร์วาร์ดจะชนะในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ศาลฎีกากลับตัดสินในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2023 ด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 2 ว่า การใช้เชื้อชาติในการรับนักศึกษาเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ

แน่นอนว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนคําตัดสินของศาลสูงสุดและฝ่ายที่ไม่สนับสนุน โดยฝ่ายที่สนับสนุนมองว่าเป็นการยุติการเลือกปฏิบัติ และในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อความหลากหลาย และโอกาสทางการศึกษาของกลุ่มที่เคยเสียเปรียบในอดีต

สุดท้าย ดร.อธิป ได้เน้นย้ำเพิ่มเติมว่า “Affirmative Action มีผลโดยตรงกับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ชาวเอเชียที่มาจากเอเชียอย่างพวกเราจะได้รับผลกระทบโดยตรงจาก Affirmative Action ในรูปแบบที่เหมือนหรือแตกต่างอย่างไร และผลของการตัดสินนี้จะเกิดเป็นผลบวกหรือลบอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ มหาวิทยาลัยทั้งสหรัฐฯ จะต้องทบทวนและปรับเปลี่ยนนโยบายการรับนักศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสัดส่วนของการรับนักศึกษา ต่างชาติด้วย ซึ่งเรื่องนี้นักศึกษาต่างชาติก็ควรติดตามการเปลี่ยนแปลงและนโยบายของแต่ละมหาวิทยาลัยอย่างใกล้ชิด”

“ยิ่งไปกว่านั้น อรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในปีต่อ ๆ ไป และท้ายที่สุดการยกเลิกกับ Affirmative Action อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกา ที่เราก็คงจะต้องติดตามดูว่าสหรัฐอเมริกาจะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง ‘ความเป็นธรรม’ และ ‘ความหลากหลาย’ ในระบบการศึกษาได้อย่างไรในอนาคต”

‘โจชัว เซิร์กซี’ ซัดประตูชัยให้ ‘แมนยู’ เอาชนะ ‘ฟูแล่ม’ 1-0 ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ประเดิมเก็บ 3 แต้ม ผงาดลุ้นแชมป์ เจ้าตัวเผย!! นัดนี้เหมือนฝัน มันยอดเยี่ยมมาก

(17 ส.ค.67) ‘โจชัว เซิร์กซี’ ยอมรับเหมือนฝันที่สามารถทำประตูแรกได้ทันที ในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก กับ ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ และทีมคว้าชัยชนะเหนือ ‘ฟูแล่ม’

แนวรุกที่เพิ่งย้ายมาจาก โบโลญญ่า ถูกเปลี่ยนลงไปแทน เมสัน เมาท์ ในช่วงครึ่งหลังนาที 61 และก็สามารถใส่ชื่อเป็นซูเปอร์ซับ ในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก นัดแรกได้ทันที โดยประตูชัยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในนาที 87 ช่วยให้ทีม ‘ปีศาจแดง’ประเดิมเก็บ 3 แต้มในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยการชนะฟูแล่ม 1-0 หลังจบเกมเซิร์กซี กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ได้เผยถึงความรู้สึกหลังยิงประตูได้ทันทีในการลงเล่นในลีกสูงสุดอังกฤษครั้งแรก

‘คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ชนะได้ในเกมแรกในบ้าน และทำประตูได้ด้วย’

‘มีคนบอกผมว่า การทำประตู (ที่ฝั่งอัฒจันทร์ สเตรทฟอร์ด เอนด์ คือหนึ่งในความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด’

‘ผมขอบคุณ และโชคดีมากที่ได้สัมผัสประสบการณ์นี้ในเกมแรกของผม มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือเราชนะ นั่นคือทั้งหมดที่เราต้องการ ผมไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาได้ มันดีมากๆ มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์เลย’

"ผมได้รับการต้อนรับที่ดีมากๆ นี่คือทีมที่ยอดเยี่ยม เราต้องการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้ได้ มันน่าทึ่ง มันเหมือนฝันจริงๆ" ดาวเตะวัย 23 ปีกล่าวทิ้งท้าย

‘อเมริกา’ อนุญาต ‘จีน’ ทดสอบ ‘แท็กซี่ไร้คนขับ’ รับส่งผู้โดยสารในรัฐแคลิฟอร์เนีย เผย!! ทำงานผ่านระบบ AI ที่เชื่อมต่อ ‘รถ-คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง’ ในระบบคลาวด์

(17 ส.ค.67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่า วีไรด์ (WeRide) สตาร์ตอัปแท็กซี่ไร้คนขับ (Robotaxi) สัญชาติจีน ได้รับอนุญาตจากทางการรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐอเมริกา ให้ทดสอบให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับโดยมีผู้โดยสารได้แล้ว โดยจะเริ่มทดสอบด้วยรถไร้คนขับจำนวน 12 คัน 

ข้อมูลแท็กซี่ไร้คนขับ WeRide
ตามข้อมูลจาก WeRide แท็กซี่ไร้คนขับจะใช้รถจากค่าย จีเอซี (GAC) หรือนิสสัน (Nissan) แล้วแต่พื้นที่ให้บริการ ซึ่งมาพร้อมกับการติดตั้งระบบไร้คนขับ ประกอบไปด้วยเรดาร์ เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวรอบคันรถ กล้องวัดระยะความลึกหรือไลดาร์ (LiDAR) และกล้องรอบคันแบบ 360 องศา สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โดยระบบต่าง ๆ จะทำงานร่วมกันผ่านระบบ AI ที่เชื่อมต่อระหว่างรถกับคอมพิวเตอร์ส่วนกลางในระบบคลาวด์ โดยทาง WeRide ระบุว่า ระบบไร้คนขับได้รับการฝึกในสถานการณ์จำลองต่าง ๆ ที่รวมปัจจัยนอกตัวรถ ทั้งทางเดินเท้า คน จักรยาน อาคาร แม้แต่สภาพอากาศกว่า 230,000 ครั้ง สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะมีจักรยานหรือรถยนต์ตัดหน้าด้วยความแม่นยำร้อยละ 97 กับ 98 ตามลำดับ และมีระยะเวลาตอบสนองที่ 10 มิลลิวินาที และความคลาดเคลื่อนในการกะระยะไม่เกิน 5 เซนติเมตร

การเติบโตของบริษัท WeRide
ทั้งนี้ จากรายงานข่าวระบุว่า WeRide ได้ยื่นคำร้องขอกับคณะกรรมการกำกับกิจการสาธารณะของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือ CPUC (California Public Utilities Commission) เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเป็นคำขอทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับที่มีคนขับสำรองในตำแหน่งคนขับ และแบบไร้คนขับโดยไม่มีคนขับนั่งอยู่ภายในตัวรถ เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากที่อนุญาต โดยให้บริการเฉพาะกลุ่มทดลอง และไม่มีการเก็บค่าโดยสารใด ๆ 

การอนุญาตให้ WeRide ทดสอบแท็กซี่ไร้คนขับ ส่งผลให้มีการประเมินมูลค่าบริษัทสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 175,000 ล้านบาท โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2017 WeRide ได้ให้บริการในบางเมืองของจีน รวมถึงในพื้นที่บางส่วนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และอยู่ระหว่างการยื่นเรื่องขออนุญาตทดสอบในสิงคโปร์อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top