Thursday, 15 May 2025
World

'ชาติมุสลิม' คว่ำบาตร ‘โค้ก-เป๊ปซี่’ หนุน ‘น้ำอัดลมท้องถิ่น’ โตช่วงสงคราม หลังทั้งสองยักษ์ถูกมองเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึง 'อเมริกา-อิสราเอล'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ยอดขายปีนี้ของ 'โค้ก' ในอียิปต์ตกต่ำ สวนทางกับแบรนด์ท้องถิ่น 'V7' ในอียิปต์ ที่สามารถส่งออกโคล่าไปยังตะวันออกกลางได้มากกว่าโค้ก 3 เท่า และขยายตลาดในภูมิภาคได้มากกว่าปีก่อน ขณะที่ 'เป๊ปซี่' ที่เคยเติบโตอย่างรวดเร็วในตะวันออกกลาง ก็ทำยอดขายได้ไม่ดี หลังจากเกิดสงครามในกาซาเมื่อเดือน ต.ค. 2566

ด้าน ซันบาล ฮัสซัน ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่งในปากีสถาน สะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า เธอได้ตัดเครื่องดื่มโค้กและเป๊ปซี่ออกจากเมนูอาหารในงานแต่งงานของเธอเมื่อเดือน เม.ย. เพราะเธอไม่อยากรู้สึกว่าเงินของเธอตกไปถึงคลังภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของอิสราเอล

ทั้งนี้ ผู้บริโภคจำนวนมากในโลกมุสลิมพยายามหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ของ 'โคคา-โคล่า' และ 'เป๊ปซี่โค' โดยอ้างว่าสหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันที่อิสราเอลทำสงครามกับฮามาส ส่งผลให้มีการตัดสินใจซื้อสินค้าจากตัวเลือกที่แตกต่างไป เพราะทัศนคติทางการเมือง ซึ่งการคว่ำบาตรดังกล่าวส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เฉพาะแห่ง เช่น เลบานอน, ปากีสถาน และอียิปต์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง เป๊ปซี่โค ออกมายืนยันถึงเรื่องนี้ว่า ตัวบริษัทฯ หรือ แบรนด์ใด ๆ ภายใต้บริษัท ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือกองทัพสหรัฐฯ ในเรื่องของความขัดแย้ง ขณะที่ 'โคคา-โคล่า' ก็เผยว่า บริษัทฯ ไม่ได้ให้เงินทุนสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในอิสราเอลหรือประเทศอื่น ๆ ใด ๆ

สำหรับรายได้ของทั้ง 2 บริษัท มีการเปิดเผย ระบุว่า รายได้ทั้งหมดของเป๊ปซี่โคในตลาดแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ อยู่ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 และในปีเดียวกันนั้น รายได้ของโคคา-โคล่า ในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาอยู่ที่ 8,000 ล้านดอลลาร์ 

แต่ในช่วง 6 เดือน หลังจากฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลวันที่ 7 ต.ค. 67 ยอดขายเครื่องดื่มเป๊ปซี่โคในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้แทบไม่เติบโต เมื่อเทียบไตรมาส 2565/66 ขณะที่ยอดขายโค้กในอียิปต์ ลดลงสองหลักในช่วง 6 เดือนจนถึง 28 มิ.ย. 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566

อย่างไรก็ตาม การคว่ำบาตรไม่ได้ทำให้แบรนด์เครื่องดื่มอเมริกันรายได้หดเพียงอย่างเดียว แต่เงินเฟ้อ และความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจในปากีสถาน, อียิปต์ และบังกลาเทศ ได้บั่นทอนอำนาจซื้อของผู้บริโภคตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามแล้ว และทำให้แบรนด์ท้องถิ่นน่าสนใจมากกว่า

โดย กัสซิม ชรอฟฟ์ ผู้ก่อตั้งคราฟ มาร์ต (Krave Mart) แอปพลิเคชันดิลิเวอรีชั้นนำในปากีสถาน เผยว่า คู่แข่งในท้องถิ่นอย่างโคล่าเน็กซ์ (Cola Next) และปาโคลา (Pakola) ได้รับความนิยมมากขึ้น จนมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมราว 12% ซึ่งก่อนที่แบรนด์น้ำอัดลมสหรัฐฯ ถูกบอยคอต แบรนด์ท้องถิ่นสองรายมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันราว 2.5% เท่านั้น

ขณะที่โมฮัมเหม็ด นูร์ อดีตผู้บริหารโคคา-โคล่า ที่ลาออกเมื่อปี 2563 หลังทำงานมานาน 28 ปี และกลายเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องดื่มอียิปต์ 'V7' เปิดเผยว่า ธุรกิจส่งออกเครื่องดื่ม V7 เติบโต 3 เท่าในปีนี้ เมื่อเทียบกับปี 2566 และตอนนี้แบรนด์สามารถจำหน่ายสินค้าได้มากถึง 21 ประเทศ แถมยอดขายในอียิปต์ตั้งแต่ ก.ค. 2566 ก็เติบโตขึ้นถึง 40%

อย่างไรก็ตาม ‘โค้ก-เป๊ปซี่’ ก็ยังมองบวกตลาดมุสลิม โดยในฝั่ง โคคา-โคล่า ยังคงลงทุนเพิ่มอีก 22 ล้านดอลลาร์ในปากีสถานเมื่อเดือน เม.ย. เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีให้ดีขึ้น ขณะที่ตัวแทนบริษัทเป๊ปซี่โคยืนยันกับรอยเตอร์สว่า บริษัทได้กลับมาเปิดแบรนด์น้ำอัดลม 'ทีม' (Teem) ในตลาดปากีสถานอีกครั้ง และผลิตภัณฑ์พิมพ์คำว่า 'Made in Pakistan' บนฉลากไว้อย่างโดดเด่น

นอกจากนี้ โคคา-โคล่า และ เป๊ปซี่ ก็ยังคงนำแบรนด์เข้าไปในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ด้วยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนท้องถิ่น ผ่านการนำผลิตภัณฑ์ร่วมสนับสนุนองค์กรการกุศล นักดนตรี และทีมกีฬาคริกเก็ต ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โค้กและเป๊ปซี่ยังคงรักษาฐานลูกค้าในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมในระยะยาว แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย

'ยุโรป' ทดสอบ 'ไฮเปอร์ลูป' สำเร็จเป็นครั้งแรก ที่ความเร็ว 30 กม./ชม. คาด!! พัฒนาสู่ 100 กม./ชม. ในสิ้นปีนี้ และ 700 กม./ชม.ในปี 2030

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ความฝันที่จะเดินทางภาคพื้นดินระหว่างเมืองต่าง ๆ ของยุโรปด้วยความเร็วมากกว่า 700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขยับเข้าใกล้ไปอีกก้าว หลังจากการทดสอบยาน ณ ศูนย์ไฮเปอร์ลูปยุโรป ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์ (9 ก.ย.) เป็นการทดสอบต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติ 300 คน ในนั้นรวมถึงเจ้าชายคอนสแตนติน แห่งเนเธอร์แลนด์ ที่ทอดพระเนตรผ่านจอยักษ์

แคปซูลลอยได้ ลายสีเทาอ่อนและเทาเข้ม ลอยอยู่ภายในอุโมงค์สีขาวความยาว 420 เมตร ตามคำสั่งของศูนย์ควบคุมภารกิจ ก่อนพุ่งออกไปด้วยแรงขับเคลื่อนพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การทดสอบครั้งนี้ไม่มีมนุษย์อยู่ในแคปซูลแต่อย่างใด

ณ เวลานี้ แคปซูลทำความเร็วได้ค่อนข้างต่ำ แค่ราว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ฝ่ายปฏิบัติการหวังว่ามันจะสามารถทำความเร็วแตะระดับ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในสิ้นปี ในขณะที่พวกเขาพยายามเร่งมือหาทางเปิดตัวระบบขนส่งล้ำสมัยนี้ภายในปี 2030

"เราจะพร้อมสำหรับขนส่งผู้โดยสารภายในยาน ราวปี 2030" โรเอล ฟาน เดอ ปาส ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าของ Hardt Hyperloop บริษัทสัญชาติเนเธอร์แลนด์ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี

ฟาน เดอ ปาส เชื่อว่า มีความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีนี้จะเป็นตัวปฏิวัติการเดินทางในยุโรป สามารถเดินทางจากอัมสเตอร์ดัมไปยังเบอร์ลิน เพียง 90 นาที หรือไปมิลาน ใน 2 ชั่วโมง

อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งสเปซเอ็กซ์และเทสลา นำพาไฮเปอร์ลูปเข้าสู่วัฒนธรรมประชานิยม ด้วยเอกสารฉบับหนึ่งในปี 2013 เสนอ ‘การขนส่งชนิดที่ 5’ เชื่อมซานฟรานซิสโกกับลอสแองเจลิส แต่ความพยายามเปิดตัวเทคโนโลยีนี้หลายต่อหลายครั้งประสบความล้มเหลว 

โดย ริชาร์ด แบรนสัน มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ และพวกนักวิจารณ์ต่างพากันพูดว่า คำว่า "hype (เกินจริง)" เป็นคำที่ตรงประเด็นที่สุดของชื่อ ‘ไฮเปอร์ลูป (hyperloop)’

ฟาน เดอ ปาส กล่าวว่า "ไม่ได้จะบอกว่ามันกำลังเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่เรามีภายในยุโรป แต่มันจะเป็นการบูรณาการทวีปแห่งนี้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง"

ก้าวย่างถัดจากนี้จะเป็นการทดสอบภายใต้สภาพแวดล้อมสุญญากาศโดยสมบูรณ์ อากาศเกือบทั้งหมดจะถูกดูดออกจากท่อเพื่อลดแรงต้านของอากาศ และค่อย ๆ เพิ่มความเร็วอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ศูนย์ไฮเปอร์ลูปยุโรป (European Hyperloop Centre) เป็นโรงงานเพียงแห่งเดียวของโลก ที่มีฟีเจอร์ ‘เปลี่ยนเลน’ หรืออุโมงค์สาขาที่แยกออกมาจากเส้นทางหลัก เปิดทางให้นักวิทยาศาสตร์ทดสอบการเปลี่ยนเส้นทางด้วยความเร็ว ซึ่งสำคัญมากสำหรับการสร้างเครือข่ายอุโมงค์ไฮเปอร์ลูป

Hardt Hyperloop หวังเริ่มทำการทดสอบการเปลี่ยนเลนด้วยแคปซูลอย่างเร็วที่สุด และท้ายที่สุดแล้วก็จะสร้างศูนย์อีกแห่งที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อที่สามารถทดสอบแคปซูล ไปให้ถึงระดับความเร็งสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ฟาน เดอ ปาส ระบุว่าเป้าหมายในท้ายที่สุดของไฮเปอร์ลูป คือทดแทนเที่ยวบินยุโรประยะใกล้และการขับรถระยะไกลข้ามทวีป ซึ่งบางทีค่าตั๋วอาจพอ ๆ กับเครื่องบินสายการบินต้นทุนต่ำ

ความสำเร็จในการสร้างเครือข่ายไฮเปอร์ลูปที่ชุมชนอาจเป็นการช่วยรักษาสภาพแวดล้อมอย่างยั่งยืนเช่นกัน โดยระบบไฮเปอร์ลูปใช้พลังงานเพียงแค่ 1 ใน 10 ของธุรกิจการบิน และ 1 ใน 3 ของการขนส่งทางราง และปราศจากเสียงรบกวนโดยสิ้นเชิง เนื่องจากมันเดินทางอยู่ในอุโมงค์ปิด

เครือข่ายอุโมงค์สามารถนำไปวางตามถนนมอเตอร์เวย์สายต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และศูนย์ไฮเปอร์ลูปยุโรป เคยทดลองมาแล้ว ในการสร้างความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม ด้วยการทาสีอุโมงค์ช่วงหนึ่ง ทำให้มันดูเหมือนกับป่า

หนึ่งในความกังวลที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้งก็คือประสบการณ์ของผู้โดยสาร การกรีดร้องขณะที่พุ่งผ่านอุโมงค์แคบ ๆ ด้วยความเร็วเสียง ดังนั้นแนวคิดนี้คงไม่ใช่การเดินทางที่สะดวกสบายสำหรับทุกคน

อย่างไรก็ตาม ทาง ฟาน เดอ ปาส ให้สัญญาว่าการเดินทางด้วยไฮเปอร์ลูปจะเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบาย เขาชี้แจงว่าไฮเปอร์ลูป ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะบรรทุกผู้โดยสารได้ราว 50 คนหรือมากกว่านั้น จะมีระดับการสั่นสะเทือนและสะดวกสบายพอ ๆ กับรถไฟสมัยใหม่

ก่อนหน้านี้ ‘จีน’ ได้ทำการทดสอบไฮเปอร์ลูปในโรงงาน ที่สามารถพุ่งด้วยความเร็วสูงสุด 700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ ฟาน เดอ ปาส ยินดีต่อการแข่งขันในระดับนานาชาติ "เราต้องการการแข่งขันที่ดี และเรากำลังเดินหน้าในภารกิจเดียวกัน เราอยากทำให้การเดินทางในระยะไกลเช่นนี้ ก่อมลพิษเป็นศูนย์" เขาบอกกับเอเอฟพี "เราจับตามองในสิ่งที่คู่แข่งกำลังทำอยู่ และพวกเขาก็มองมาที่เราเช่นกัน และเมื่อรวมกันแล้ว พวกเขากำลังสร้างอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ ขึ้นมา"

อุ้งมือจีน!! จับตาผู้ส่งออกจีนถือดอลลาร์ในมือกว่า 500,000 ล้าน ลุ้น!! หากแปลงเป็นหยวน 'เงินหยวน' จ่อแซงหน้าดอลลาร์ทันที

(10 ก.ย. 67) 'IMCT News Thai Perspective on Global News' เผยสถานการณ์เงินตราโลกในปี 2024 จับตาไปที่เงินดอลลาร์ถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ฯ ที่ผู้ส่งออกจีนครอบครองอยู่ หากแปลงเป็นหยวนทั้งหมดจะส่งให้เงินจีนแข็งค่าขึ้นทันตา จนอาจแซงหน้าดอลลาร์ และก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในการทำธุรกรรมข้ามประเทศได้ เนื่องจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเริ่มไม่นิยมใช้ดอลลาร์แล้ว แต่ปัจจุบันผู้ส่งออกจีนยังลังเลที่จะเก็บหยวนไว้ เพราะอาจผันผวนและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จึงยังไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อดอลลาร์ แต่ถ้าเปลี่ยนใจ เงินจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจตัวใหม่ทันที 

ผู้ส่งออกของจีนมีเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในครอบครองรวมกันสูงถึงราว 500,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 16.5 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2024 ซึ่งเป็นผลจากการค้าขายระหว่างประเทศ หากพวกเขาพร้อมใจกันเปลี่ยนเงินดอลลาร์ที่ถือครองเหล่านี้มาเป็นเงินหยวนจีนแทน ค่าเงินหยวนก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นทันทีจากแรงซื้อเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งจะทำให้จีนก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ และกลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่จะมาท้าทายสถานะของดอลลาร์สหรัฐได้

ท่ามกลางการอ่อนแรงลงของค่าเงินสหรัฐฯ สะท้อนผ่านดัชนี DXY ที่ร่วงลงมาอยู่ที่ราว 100 จุด และเสี่ยงที่จะยังหดตัวต่อไปเรื่อย ๆ ประกอบกับความพยายามของกลุ่ม BRICS ที่ต้องการดันบทบาทของเงินหยวนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ถ้าหยวนเป็นที่นิยมในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ดอลลาร์ก็มีสิทธิ์แพ้ภัยในทันที เพราะปริมาณดอลลาร์ฯ มหาศาลจะไหลย้อนกลับสหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการใช้ลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก

แม้ในเวลานี้ผู้ส่งออกจีนอาจจะยังชะลอการเปลี่ยนเงินดอลลาร์ เพราะยังได้ประโยชน์จากการถือครองสกุลเงินหลักของโลก และกังวลกับความผันผวนของเงินหยวนที่ยังผูกโยงกับเศรษฐกิจในประเทศ แต่สักวันหนึ่ง หากทุกคนลงความเห็นที่จะเทขายดอลลาร์พร้อมกัน เพื่อถือครองเงินหยวนแทน นั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะทำให้สกุลเงินจีนแข็งแกร่งจนก้าวขึ้นแท่นเงินตราหลักของโลกได้อย่างรวดเร็ว #imctnews รายงาน

‘นิวซีแลนด์’ หมดขลัง ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ เผชิญหน้า ‘วิกฤติสมองไหล’ ‘หนุ่ม-สาว’ ย้ายประเทศหลักแสนต่อปี เหตุ!! ‘งานน้อย-เงินเฟ้อ-ค่าครองชีพสูง’

‘นิวซีแลนด์’ เคยถูกขนานนามว่า ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ ประเทศในฝันที่หลายคนอยากใช้ชีวิตอยู่ ด้วยภาพลักษณ์ประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีความเจริญ กินดี อยู่ดี มีเสรีภาพ 

แต่ทว่าวันนี้ ‘นิวซีแลนด์’ กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เมื่อคนหนุ่ม-สาว วัยทำงาน ไม่อยากอยู่นิวซีแลนด์อีกแล้ว และตัดสินใจย้ายออกไปตั้งรกรากในประเทศอื่นอย่างต่อเนื่อง 

จากตัวเลขล่าสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีคนนิวซีแลนด์ย้ายประเทศมากถึง 131,200 คน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นพลเมืองชาวนิวซีแลนด์แท้ ๆ เกือบ 70% เลยทีเดียว แถมมากกว่า 50% ของผู้ย้ายถิ่นเป็นคนวัยหนุ่ม-สาว อายุระหว่าง 20-39 ปี โดยเฉพาะช่วงวัย 25-29 ปี ที่เป็นกลุ่ม First Jobber หรือเด็กจบใหม่ที่เริ่มหางานทำ เป็นกลุ่มที่ย้ายประเทศมากที่สุด 

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ปัจจัยที่ทำให้มีพลเมืองชาวนิวซีแลนด์ทิ้งถิ่นฐานของตนไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยยาวมาตั้งแต่ช่วงการระบาด Covid-19 ที่ส่งผลถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และค่าครองชีพสูงขึ้นมาก ซึ่งสวนทางกับโอกาสการทำงาน และ ปริมาณการจ้างงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานวัยหนุ่ม-สาวที่มีทักษะ และการศึกษาสูง แต่ประสบปัญหาการว่างงาน หรือ มองไม่เห็นความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในประเทศของตน

วิลสัน ออง วัย 32 ปี ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในธุรกิจแฟชั่นค้าปลีกที่กำลังวางแผนย้ายออกเพื่อไปหางานใหม่ในต่างแดนกล่าวว่า เพื่อน ๆ รอบตัว ล้วนย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว และตัวเขาก็กำลังจะตามเพื่อนไปเร็ว ๆ นี้เช่นกัน เพราะสำหรับคนหนุ่ม-สาว นิวซีแลนด์แล้ว คุณภาพของงานที่ทำสำคัญที่สุด และพวกเขารู้สึกว่าโอกาสในการทำงานที่นิวซีแลนด์มีจำกัดกว่าหลายประเทศชั้นนำอื่น ๆ 

สอดคล้องกับความเห็นของ นิค ทัฟเฟลย์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของธนาคาร ASB ที่เห็นว่าคนรุ่นใหม่นิวซีแลนด์ ปรารถนาที่จะออกไปหาประสบการณ์ใช้ชีวิตต่างแดนมากขึ้น ซึ่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยราบรื่นนักหลังวิกฤติโรคระบาดเป็นตัวเร่งที่ทำให้คนรุ่น Gen Y และ Gen Z ของนิวซีแลนด์ตัดสินใจย้ายประเทศกันมากขึ้น

ซึ่งในประเทศที่มีประชากรเบาบางเพียง 5 ล้านคนเศษนั้น การที่คนหนุ่ม-สาว พร้อมใจกันย้ายประเทศทะลุหลักแสนคนต่อปี อาจเรียกได้ว่าเป็น Exodus หรือ การอพยพหนีภัยครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ 

ชามูบีล ยาคุบ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน New Zealand Institute of Economic Research ได้นิยามสถานการณ์สมองไหลของนิวซีแลนด์ว่า เป็น Economic refugees หรือผู้ลี้ภัยเชิงเศรษฐกิจ และตราบใดที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ไม่สามารถแก้ปัญหาตลาดแรงงานในประเทศ และความสมดุลระหว่างรายได้ และ ค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ การลี้ภัยเชิงเศรษฐกิจของคนหนุ่ม-สาวนิวซีแลนด์ก็จะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่จบสิ้น

อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่แรงงานจะไหลเทไปสู่ตลาดแรงงานที่ค่าตอบแทนสูงกว่า ที่ก็เป็นปัญหาในหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย 

แต่สำหรับนิวซีแลนด์นั้น อาจจะมีปัญหาที่หนักหนากว่าประเทศอื่น เพราะนอกจากประชากรจะน้อยแล้ว ยังมีประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘ออสเตรเลีย’ ที่มีเป้าหมายที่จะดึงดูดแรงงานหนุ่มสาวทักษะสูงจากนิวซีแลนด์โดยตรง ด้วยการออกวีซ่าพิเศษให้แก่ชาวนิวซีแลนด์อย่างเต็มที่ และสามารถโอนสัญชาติได้ทันทีหากพำนักในออสเตรเลียตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป 

รัฐบาลออสเตรเลียถึงกับซื้อโฆษณาเต็มหน้าสื่อของนิวซีแลนด์ เชิญชวนให้แรงงานชาวกีวีย้ายไปอยู่ออสเตรเลียอย่างเปิดเผย ด้วยสโลแกนว่า "warmer days and higher pays" - "อากาศดีกว่า และ ค่าแรงสูงกว่า" 

แต่รัฐบาลนิวซีแลนด์ก็ต้องยอมรับความจริงว่า เศรษฐกิจนิวซีแลนด์กำลังถดถอย ส่งผลต่อโครงการก่อสร้างชะลอตัวลงอย่างมาก นั่นทำให้นิวซีแลนด์กำลังสูญเสียวิศวกร หัวหน้าช่างก่อสร้าง และแรงงานฝีมือของตนให้แก่ออสเตรเลีย ที่จ่ายค่าแรงสูงกว่า การอยู่ทำงานในเมืองศูนย์กลางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดอย่างโอ๊กแลนด์ถึง 60%

แต่ยังโชคดีที่นิวซีแลนด์สามารถชดเชยการสูญเสียพลเมืองของตนได้ด้วยการรับผู้ย้ายถิ่นฐานจากประเทศอื่นเข้ามาได้ จากตัวเลขล่าสุดในรอบ 1 ปี จนถึงเดือนมิถุนายนของปีนี้ (2567) มีชาวต่างชาติย้ายมาอยู่นิวซีแลนด์ราว 128,500 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย, ฟิลิปปินส์, จีน และ หมู่เกาะฟิจิ 

ทำให้ตัวชี้วัดการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของประชากรในปัจจุบันของนิวซีแลนด์ กลายเป็นอัตราการย้ายถิ่นฐานเข้า-ออก ของประเทศในแต่ละปี แทนที่จะเป็นตัวเลขจากอัตราการเกิด-ตายของประชากรไปเสียแล้ว แต่ทั้งนี้ เราไม่สามารถประเมินจำนวนประชากรด้วยมิติเชิงปริมาณแต่เพียงอย่างเดียว 

เพราะหากพิจารณาในเชิงคุณภาพแล้ว สิ่งที่เป็นคำถามมากที่สุดคือ ผู้ย้ายถิ่นต่างชาติที่เข้ามาสามารถชดเชยกับกลุ่มประชากรที่นิวซีแลนด์สูญเสียไปให้กับประเทศเพื่อนบ้านได้หรือไม่ และทำอย่างไร ที่จะหาแรงจูงใจให้พลเมืองหนุ่มสาวชาวนิวซีแลนด์ ทักษะสูงให้อยู่ในประเทศได้ เพราะนิยาม ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ ของนิวซีแลนด์ ไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องปากท้อง และความทะเยอทะยานเพื่ออนาคตของหนุ่มสาวยุคใหม่ได้เสมอไป 

ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลโดนไล่ออก เพราะรับช็อกโกแลตจากเด็กนักเรียน

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ‘หวัง’ ครูใหญ่ประจำโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในนครฉงชิ่ง ยื่นฟ้องศาลหลังจากที่เธอถูกไล่ออก เพราะรับช็อกโกแลตจากเด็กนักเรียน 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่ 10 ก.ย.2023 ซึ่งถือเป็นวันครูของจีน โดยตามธรรมเนียมเด็ก ๆ มักจะมีการส่งของขวัญ หรือการ์ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อฉลองวันครู เช่นเดียวกับหวังที่ได้รับช็อกโกแลต มูลค่าประมาณ 6.16 หยวน (ประมาณ 30.8 บาท) จากนักเรียน

รายงานระบุว่า ต่อมา หวังได้นำช็อกโกแลตดังกล่าวไปแบ่งให้เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนกลับไล่เธอออก โดยให้เหตุผลว่า เธอรับของขวัญจากนักเรียน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎของกระทรวงศึกษาธิการที่ระบุไว้ว่า “ห้ามครูร้องขอ หรือรับของขวัญ หรือเงินจากนักเรียน หรือผู้ปกครองไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม”

ด้านหวังที่รู้สึกไม่เป็นธรรมและไม่เห็นด้วย จึงยื่นฟ้องต่อศาลประชาชนเขตจิ่วหลงโพ โดยในการพิจารณาครั้งแรก ทางโรงเรียนชี้แจงว่า การรับของขวัญไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใด ก็ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งยังสร้างความเสื่อมเสียให้ทางโรงเรียน

ต่อมาในช่วงเดือน มี.ค. ศาลได้มีคำสั่งตัดสินว่า การที่โรงเรียนอนุบาลไล่หวังออกนั้นผิดกฎหมาย และสั่งให้จ่ายค่าชดเชย เนื่องจากช็อกโกแลตที่หวังรับมานั้นเป็นเพียงสิ่งที่แสดงถึงความรักและความเคารพของนักเรียนที่มีต่อครู ดังนั้น การรับช็อกโกแลตจึงไม่ควรถือว่าเป็นการรับของขวัญ

ภายหลังโรงเรียนอนุบาลได้มีการยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจะมีคำสั่งตัดสินโดยยืนยันตามคำตัดสินเดิม

เรื่องราวการถูกไล่ออกของหวังกลายเป็นกระแสบนโซเชียล โดยมีผู้เข้าชมบนติ๊กต็อกเวอร์ชันจีนกว่า 7.2 ล้านครั้ง พร้อมคอมเมนต์ เช่น “น่าขันสิ้นดี! เธอถูกไล่ออกเพราะรับของขวัญมูลค่าเพียง 6 หยวน?” / “ในฐานะครู ฉันรู้สึกผิดหวัง บทลงโทษนั้นร้ายแรงมาก”

'หนุ่มสาวเกาหลีใต้' ลังเล!! การ 'แต่งงาน' มากขึ้น หลังเศรษฐกิจไม่แน่นอน-ราคาบ้านสูง-ว่างงานพุ่ง

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า สำนักงานสถิติของเกาหลีใต้ที่ได้รายงานว่า คนหนุ่มสาวในเกาหลีใต้ลังเลจะแต่งงานกันมากขึ้นในปี 2022 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

รายงานระบุว่า คนหนุ่มสาวช่วงวัย 25-39 ปี ที่มีคู่สมรสคิดเป็นร้อยละ 33.7 ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มอายุดังกล่าว มีจำนวนลดลงในปี 2022 โดยลดลง 2.4 จุดจากปีก่อนหน้า และต่ำกว่าปี 2020 ที่มีอยู่ร้อยละ 38.5 

ทั้งนี้ คนหนุ่มสาวในเกาหลีใต้เริ่มลังเลจะแต่งงานและมีลูกกันมากขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เช่น ราคาบ้านที่อยู่อาศัยที่สูง ปัญหาการว่างงานที่หนักขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการศึกษาที่สูง 

นอกจากนี้ ในปี 2022 ร้อยละ 74.7 ของคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาวมีลูกอยู่ที่ร้อยละ 74.7 ลดลงจากปี 2021 ที่มีอยู่ร้อยละ 75.6 และร้อยละ 76.6 ในปี 2020

ส้วนตัวเลขสัดส่วนของผู้มีอายุ 25-39 ปี ที่ไม่มีคู่สมรสและอาศัยอยู่กับพ่อแม่ในปี 2022 อยู่ที่ร้อยละ 50.6

‘Huawei’ เปิดตัว Mate XT สมาร์ตโฟน 'จอพับ 3 ทบ' รุ่นแรกของโลก ชู!! เทคโนโลยี ‘กลไกบานพับคู่’ พร้อมคุณสมบัติ ‘หน้าจอโค้ง’

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวานนี้ (10 ก.ย.67) ‘หัวเหวย’ (Huawei) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน เปิดตัวสมาร์ตโฟนแบบจอพับสามทบรุ่นแรกของโลก รุ่น Mate XT ในนคร ‘เซินเจิ้น’ มณฑล ‘กว่างตง’ (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของประเทศจีน ซึ่งมาพร้อมกับการพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น กลไกบานพับคู่ และคุณสมบัติหน้าจอโค้ง

‘อวี๋เฉิงตง’ กรรมการบริหารของหัวเหวย กล่าวว่าเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างต่อเนื่องเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการพัฒนาสมาร์ตโฟนจอพับ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

ไอดีซี (IDC) บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก เผยว่าตลาดโทรศัพท์มือถือจอพับของจีนมียอดการจัดส่งเติบโตร้อยละ 114.5 เมื่อปี 2023 ด้วยจำนวนกว่า 7 ล้านเครื่อง

เริ่มแล้ว!! ดีเบต ‘ทรัมป์ VS แฮร์ริส’ เลือกตั้งชิงผู้นำสหรัฐฯ มีแต่ 'ซัด-สวน-แขวะ' ปม 'การเมือง-เศรษฐกิจ-ความมั่นคง'

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศึกดีเบตรอบแรกระหว่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ เริ่มเปิดฉากขึ้นในเวลา 21.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (ET) ที่เมือง ‘ฟิลาเดเฟีย’ รัฐ ‘เพนซิลเวเนีย’ โดยมีสถานีโทรทัศน์ ‘ABC News’ เป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางคำถามว่า ทรัมป์และแฮร์ริส ซึ่งไม่เคยพบเจอกันตัวเป็นๆ มาก่อนจะทักทายกันอย่างไร? ซึ่งปรากฏว่าแฮร์ริสจบข้อสงสัยด้วยการเป็นฝ่ายเดินไปหาทรัมป์ที่โพเดียมของเขา และยื่นมือทักทายพร้อมแนะนำตัวเองว่า ‘กมลา แฮร์ริส’ ซึ่งถือเป็นการจับมือในศึกดีเบตระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

รอยเตอร์ชี้ว่าท่าทีของแฮร์ริสเป็นการส่งสัญญาณ ‘ลดการ์ด’ ให้กับชายซึ่งใช้เวลาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดูหมิ่นเหยียดหยามเธอทั้งในแง่ของเพศและเชื้อชาติ

แฮร์ริส ซึ่งเป็นอดีตอัยการวัย 59 ปี พุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนต่างๆ ของทรัมป์ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนทำให้ทรัมป์ในวัย 78 ปีออกอาการโมโหอย่างเห็นได้ชัด และพยายามตอบโต้ด้วยการอ้างข้อมูลบิดเบือนต่างๆ โดยในช่วงหนึ่งของการอภิปราย แฮร์ริสได้กล่าวถึงการปราศรัยหาเสียงของทรัมป์ โดยเยาะเย้ยว่าคนส่วนใหญ่ ‘มักจะกลับก่อน’ เพราะว่า ‘ทนความเบื่อไม่ไหว’

ทรัมป์ก็ตอกกลับทันควันว่า “ในการปราศรัยของผม เรามีการปราศรัยขนาดใหญ่ที่สุด และเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ” พร้อมทั้งกล่าวหาว่า แฮร์ริส ‘จัดรถบัส’ ไปขนคนเข้ามาฟังการปราศรัยของตัวเอง

พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังอ้างทฤษฎีสมคบคิดไร้หลักฐานที่ระบุว่า ผู้อพยพผิดกฎหมายชาวเฮติในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ‘กินสัตว์เลี้ยง’ ของประชาชนในพื้นที่ โดยข้อมูลนี้ถูกแชร์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ และถูกนำมาโหมกระพือโดย ‘เจ. ดี. แวนซ์’ ซึ่งเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์เอง

“ที่สปริงฟิลด์ คนพวกนั้นกินสุนัข พวกที่อพยพย้ายเข้ามา พวกเขากินแมว” ทรัมป์ กล่าว “พวกนั้นกินสัตว์เลี้ยงของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง”

เจ้าหน้าที่เมืองสปริงฟิลด์เคยออกมาชี้แจงแล้วว่าข้อครหาเหล่านั้นไม่เป็นความจริง และผู้ดำเนินรายการของ ABC ก็รีบโต้แย้งทันทีหลังจากที่ทรัมป์พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ขณะที่แฮร์ริสแสดงออกด้วยการหัวเราะและเย้ยหยันอีกฝ่ายว่า “พูดจาสุดโต่ง”

แฮร์ริสซึ่งเป็นอดีตอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังพยายามขุดคุ้ยพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์ขึ้นมาโจมตี โดยเฉพาะเรื่องที่เขาพยายามล้มผลเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งตลอด 1 ชั่วโมงแรกของการดีเบตดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์นี้จะได้ผลไม่น้อย และบีบให้ ทรัมป์ต้องพยายามหาทางแก้ต่างให้กับตัวเอง

ทรัมป์กล่าวว่าตนเอง ‘ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง’ กับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 นอกเหนือไปจาก “พวกเขาขอให้ผมขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์” และยังคงอ้างเหมือนเดิมว่าตนเองคือผู้ที่ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020

แฮร์ริสยกพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์มาเป็นเหตุผลว่าถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่

“โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกชาวอเมริกัน 81 ล้านคนไล่ลงจากเก้าอี้ ขอให้ทุกท่านเข้าใจชัดเจนตามนี้ด้วย และเห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหาในการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงข้อนี้ แต่เราไม่สามารถยอมให้สหรัฐฯ มีประธานาธิบดีที่พยายามล้มล้างเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นอย่างเสรีและเป็นธรรม อย่างที่เขาเคยพยายามทำมาในอดีตได้” แฮร์ริส กล่าว

รองประธานาธิบดีหญิงผู้นี้ยังจิกกัดทรัมป์ด้วยการบอกว่าผู้นำทั่วโลกต่าง ‘หัวเราะเยาะ’ เขา และมองว่าเขา ‘สร้างความอับอาย’ ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสำนวนภาษาเดียวกันกับที่ทรัมป์มักจะพูดเย้ยหยัน ‘โจ ไบเดน’ ระหว่างที่เดินสายหาเสียง

ด้านทรัมป์ก็หันมาเล่นงานแฮร์ริสด้วยการอ้างว่าเธอ ‘ไม่เคยได้รับคะแนนโหวต’ ในการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และยังอ้างว่าเธอก้าวขึ้นมาแทนที่ไบเดน ตามแผน ‘รัฐประหาร’ (coup) ของคนในพรรค

“เขาเกลียดเธอ” ทรัมป์อ้างว่าไบเดนรู้สึกเช่นนั้น “เขาทนเธอไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม การโต้เถียงเช่นนี้ดูเหมือนจะยิ่งไปเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดของแฮร์ริสที่ว่า ทรัมป์ขาดความสามารถในการ ‘ควบคุมอารมณ์’ ซึ่งประธานาธิบดีควรจะมี

ผู้สมัครทั้งสองยังแลกหมัดกันในประเด็นด้านเศรษฐกิจ ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมสูงกว่าแฮร์ริส ในด้านนี้

แฮร์ริสได้แจกแจงนโยบายต่างๆ ที่เธอได้นำเสนอตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น การให้ประโยชน์ทางภาษีแก่ครอบครัวและผู้ประกอบการรายย่อย เป็นต้น ขณะเดียวกันก็โจมตีแผนของทรัมป์ ในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยบอกว่ามันไม่ต่างอะไรกับการรีดภาษีการขาย (sales tax) เอากับชนชั้นกลาง

“โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เราต้องเผชิญปัญหาการว่างงานรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)” แฮร์ริสกล่าว โดยอ้างถึงตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯ ซึ่งพุ่งสูงสุด 14.8% ในเดือน เม.ย. ปี 2020 และลงมาอยู่ที่ 6.4% ในขณะที่ทรัมป์พ้นตำแหน่ง

ด้านทรัมป์ก็วิพากษ์วิจารณ์แฮร์ริสเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในรัฐบาลไบเดน โดยระบุว่า “เงินเฟ้อถือเป็นหายนะสำหรับประชาชน สำหรับกลุ่มชนชั้นกลาง และคนทุกๆ กลุ่ม” จากนั้นก็รีบเปลี่ยนไปสู่ประเด็นเรื่องผู้อพยพ โดยอ้างแบบไร้หลักฐานยืนยันว่ามีผู้อพยพ ‘จากโรงพยาบาลบ้า’ (insane asylums) หลบหนีข้ามพรมแดนจากเม็กซิโกเข้ามายังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก

ผู้สมัครทั้ง 2 รายยังแสดงมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับประเด็นการทำแท้ง ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางของแฮร์ริสมากกว่า

ทรัมป์อ้างไปถึงคำพิพากษาของศาลสูงสุดในปี 2022 ที่ยกเลิกสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำแท้ง และให้แต่ละรัฐมีอำนาจตัดสินใจในประเด็นนี้เอง โดยเขาอ้างว่า “ผมเองมีส่วนในการผลักดันเรื่องนี้ และใช้ความกล้าหาญในการทำสิ่งนี้”

ด้านแฮร์ริสแสดงความไม่พอใจต่อข้อกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ว่าการที่สิทธิทำแท้งกลายเป็นเรื่องของแต่ละรัฐถือเป็นผลลัพธ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

“นี่คือสิ่งที่ประชาชนต้องการงั้นหรือ? คนจำนวนมากถูกปฏิเสธรับเข้าห้องฉุกเฉิน เพราะพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลัวว่าจะติดคุกเนี่ยนะ?” แฮร์ริสตั้งคำถาม

เมื่อถูกถามว่าจะใช้สิทธิ ‘วีโต’ หรือไม่หากสภาคองเกรสผ่านกฎหมายแบนการทำแท้ง? ทรัมป์ยืนยันว่า “สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น” แต่ก็ปฏิเสธที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา

ทรัมป์และแฮร์ริสยังกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าพยายามใช้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็น ‘อาวุธ’ โจมตีฝ่ายตรงข้าม โดย ทรัมป์นั้นอ้างว่าการที่ตนถูกยื่นฟ้องฐานสมคบคิดล้มผลเลือกตั้งเมื่อปี 2020 และจัดการเอกสารชั้นความลับอย่างไม่เหมาะสม รวมถึงเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ที่เคยมีสัมพันธ์สวาทด้วยนั้น ทั้งหมดเป็น ‘แผนสมคบคิด’ ที่ แฮร์ริสและไบเดนร่วมมือกันสร้างขึ้นมา ซึ่งก็เป็นการกล่าวหาแบบไม่มีหลักฐานตามเคย

ด้านแฮร์ริสฟาดกลับด้วยการชี้ว่า ทรัมป์ข่มขู่จะใช้กฎหมายเอาผิดกับบรรดาศัตรูทางการเมือง หากได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

“โปรดเข้าใจด้วยว่า เขาคือคนที่เคยออกมาพูดอย่างเปิดเผยว่าจะฉีก --- นี่ดิฉันเอ่ยตามที่เขาพูดนะ --- จะฉีกรัฐธรรมนูญ” เธอกล่าว

ทรัมป์ยังคงอ้างซ้ำๆ เหมือนเดิมว่าการที่ตนแพ้ศึกเลือกตั้งในปี 2020 ก็เพราะ ‘ถูกโกง’ พร้อมทั้งกล่าวหาแฮร์ริสว่าเป็นพวก ‘มาร์กซิสต์’ และอ้างด้วยว่าผู้อพยพเป็นต้นเหตุทำให้สถิติอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น

ในประเด็นสงครามอิสราเอล-กาซา แฮร์ริสประกาศว่า “สงครามจำเป็นต้องยุติลงทันที และมันจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อตกลงหยุดยิง และเราจำเป็นต้องช่วยตัวประกันทั้งหมดออกมา” ขณะที่ทรัมป์ระบุว่าแฮร์ริส “เกลียดชังอิสราเอล ถ้าเธอได้เป็นประธานาธิบดี ผมเชื่อว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะไม่มีชาติอิสราเอลเหลืออยู่แน่นอน”

แฮร์ริสเถียงกลับทันควันว่า “นี่ไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย ตลอดชีวิตและการทำงานของดิฉันสนับสนุนอิสราเอลและประชาชนชาวอิสราเอลเรื่อยมา”

‘OpenAI’ วางแผนเปิดตัวแชตบอต ‘Strawberry’ โดดเด่น ‘คิดเป็นเหตุเป็นผล’ แตกต่างจาก AI ตัวอื่น

(11 ก.ย. 67) ดิ อินฟอร์เมชัน (The Information) เว็บไซต์ข่าวด้านเทคโนโลยีรายงานว่า โอเพนเอไอ (OpenAI) วางแผนที่จะเปิดตัว ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เน้นการใช้เหตุผล ภายในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

รายงานดังกล่าวระบุว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) จะแตกต่างจาก AI การสนทนาอื่น ๆ ตรงที่สามารถ ‘คิดก่อนตอบ’ แทนที่จะตอบคำถามในทันที โดยจะเน้นการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล สำหรับคำถามด้านคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์

และจากข้อมูลที่มีในตอนนี้ ระบุได้ว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ยังรองรับเฉพาะข้อความตัวหนังสือ และให้คำตอบเป็นตัวหนังสือเท่านั้น จึงยังไม่ใช่โมเดล AI แบบสื่อผสมผสาน (Multimodal)

อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดว่าผู้ใช้งานจะได้ใช้ ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ในรูปแบบใด และต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ ส่วนทางด้าน OpenAI ก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อรายงานข่าวนี้

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#3 เยือน KTRV บริษัทออกแบบ-ผลิตระบบขีปนาวุธสุดล้ำของรัสเซีย

หลังจากเยี่ยมชมและรับประทานอาหารกลางวันที่บริษัท United Shipbuilding Corporation (USC) แล้ว ทีมงานของบริษัท ROSOBORONEXPORT ก็พาเดินย่อยอาหารไปยังอาคารของบริษัท Tactical Missiles Corporation (KTRV) ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบและผลิตระบบขีปนาวุธของสหพันธรัฐรัสเซีย โดยออกแบบและผลิตขีปนาวุธทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น อากาศสู่อากาศ อากาศสู่พื้น พื้นสู่อากาศ พื้นสู่พื้น Smart Bombs และตอร์ปิโด เพื่อใช้สำหรับปฏิบัติการบนอากาศยาน เรือรบผิวน้ำ เรือดำน้ำ และกองกำลังภาคพื้นดิน

KTRV ก่อตั้งขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานเดิมของบริษัท Zvezda-Strela โดยรัฐกฤษฎีกาหมายเลข 84 ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2002 ด้วย Zvezda-Strela เป็นผู้ออกแบบและผลิตระบบขีปนาวุธทางการทหารรายใหญ่ ประกอบด้วยสำนักงานออกแบบการทดลอง Zvezda (OKB) สำนักงานออกแบบการผลิตแบบต่อเนื่อง (SKB) โรงงานหลัก Strela ในระหว่างกระบวนการปรับโครงสร้างใหม่ บริษัทได้รับโอนหุ้นจากองค์กรที่รวมอยู่ใน Defense Industry Complex การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคม 2003

โดยมีการพัฒนาและการผลิตผลิตภัณฑ์พลเรือนและการใช้งานคู่ที่มีเทคโนโลยีสูงสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่นำไปสู่การก่อตั้งบริษัทคือ การรักษาและพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยและการผลิตขีปนาวุธ การจัดหาและเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ การระดมทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับขีปนาวุธนำวิถีที่มีประสิทธิภาพสูง และการผลิตระบบอาวุธบนอากาศ บนพื้นดิน และบนทะเล รวมถึงการเสริมสร้างตำแหน่งทางทหารของรัสเซียในตลาดอาวุธโลก รัฐกฤษฎีกาฉบับที่ 591 และฉบับที่ 930 ได้ทำให้บริษัทขยายตัวมากขึ้น และปัจจุบันได้มีการรวบรวมเอาบริษัทต่าง ๆ มากมายหลายบริษัทนี้เข้ามาอยู่ด้วย

Tactical Missiles Corporation (KTRV) เข้าร่วมงาน International Military-Technical Forum 'ARMY-2024' ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 12 ถึง 14 สิงหาคม โดยมี Boris Obnosov เป็นหัวหน้าคณะ KTRV จัดแสดงอาวุธทางอากาศที่มีความแม่นยำสูงที่ศูนย์สาธิต KTRV นำเสนอขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ (RVV-BD, RVV-SD, RVV-MD และ RVV-MD2) ขีปนาวุธอากาศสู่พื้นอเนกประสงค์ (Kh-MD-E, Grom-E1, Kh-38MLE, Kh-38MTE, Kh-69, X-29TE และ X-59MK รุ่นปรับปรุง) 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงขีปนาวุธต่อต้านเรดาร์ Kh-31PD และ X-58UShKE ขีปนาวุธต่อต้านเรือ Kh-31AD Kh-35UE และ X-59MK ขีปนาวุธต่อต้านเรือดำน้ำทางอากาศ APR-3ME รวมถึงระเบิดอากาศอัจฉริยะขนาด 250, 500 และ 1,500 กิโลกรัม และอาวุธร่อน Grom-E2 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีระบบขีปนาวุธเพื่อป้องกันโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง ได้แก่ Bastion ที่มีขีปนาวุธร่อนต่อต้านเรือ Yakhont, Bal-E และ Rubezh-ME ที่มีขีปนาวุธ Kh-35UE ระบบต่อต้านเรือดำน้ำขนาดเล็ก Paket-E/NK พร้อมระบบต่อต้านตอร์ปิโด ตอร์ปิโดไฟฟ้า ET-1E และ TE-2 ตอร์ปิโดขนาดเล็กสากล UMT ตอร์ปิโดเทอร์มอลขนาดกะทัดรัด MTT และตอร์ปิโดนำวิถีความลึกอเนกประสงค์ UGST นอกจากนี้ ผู้เยี่ยมชมศูนย์สาธิตยังได้จัดแสดงระบบอาวุธ Shkval-E ที่มีจรวดใต้น้ำความเร็วสูงอีกด้วย

ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MDM-2

ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ KTRV ที่ใช้เพื่อป้องกันอาณาเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นน้ำของท่าเรือและฐานทัพเรือ ได้แก่ ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MDM-1, MDM-2 และ MDM-3 ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MShM อุปกรณ์ตรวจจับเสียงขับเคลื่อนด้วยตัวเอง MG-74ME ยานยนต์ใต้น้ำขับเคลื่อนด้วยตัวเองของระบบบูรณาการ Alexandrite-ISPUM-E ที่ใช้ค้นหาและทำลายทุ่นระเบิด

ระบบควบคุมการยิงบนเรือ Uran-E และระบบอาวุธขีปนาวุธต่อต้านเรือรบแบบ KH-35e/ue

ทั้งนี้ บริษัทในเครือของ KTRV ยังมีส่วนร่วมในการออกแบบและผลิตอุปกรณ์เรดาร์หลากหลายประเภท ได้แก่ ระบบควบคุมการยิงบนเรือของระบบอาวุธขีปนาวุธ «Uran-E» และระบบเรดาร์กำหนดเป้าหมายบนเรือที่ได้รับการอัปเกรด 3C-25E ระบบเรดาร์ MRK-50UE สำหรับเรือดำน้ำเพื่อเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมผิวน้ำและอากาศที่มีความน่าจะเป็นต่ำมากในการสกัดกั้นด้วยเรดาร์ และสำหรับการกำหนดเป้าหมายขีปนาวุธและตอร์ปิโด รวมไปถึงยานพาหนะขนส่งนักดำน้ำรายบุคคล 'Coral' สถานีโซนาร์ Mayak-s สำหรับตรวจจับวัตถุใต้น้ำขนาดเล็ก คอมเพล็กซ์ป้องกัน 'Corvet' สำหรับหน่วยป้องกันภัยทางทะเลและชายฝั่งที่สำคัญเป็นพิเศษ

ตอร์ปิโดแบบต่าง ๆ ที่ออกแบบและผลิตโดย KTRV

นอกเหนือจากอาวุธต่าง ๆ แล้ว KTRV ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์สำหรับใช้งานสองแบบและสำหรับพลเรือนสำหรับการบิน เรือ การขนส่งทางรถไฟและถนน ยา โรงกลั่น โรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมโลหะและเคมี ในศาลา 'B' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงผลิตภัณฑ์พลเรือน KTRV แยกกัน ได้แก่ สถานีชาร์จไฟฟ้าความเร็วสูง EZS-150 สำหรับรถบัสไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนหลากหลายประเภท แพลตฟอร์มไฟฟ้าอเนกประสงค์ HARD-E สำหรับที่อยู่อาศัยและบริการชุมชน เครื่องจำลองพลร่ม รวมถึงแบบจำลองอุปกรณ์แรงขับกลับสำหรับเครื่องยนต์เครื่องบิน PD-8 และ PD-14 นวัตกรรมใหม่คือ เรือเดินทะเลที่มีลำตัวแบบผสม

ผู้เขียนกับขีปนาวุธโจมตีแบบ X-69 ซึ่งออกแบบมาเพื่อปล่อยจากเครื่องบินแบบ Su-57

Tactical Missiles Corporation (KTRV) จึงเป็นบริษัทที่มีโครงสร้างแบบบูรณาการซึ่งรวมเอาบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของรัสเซียกว่าห้าสิบแห่งเข้าด้วยกัน พื้นที่กิจกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่ การพัฒนา การผลิต การปรับปรุงอาวุธการบินที่มีความแม่นยำสูงในประเภทต่าง ๆ ระบบอาวุธทางทะเลแบบรวม จรวดและอวกาศ ตลอดจนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การบำรุงรักษา การซ่อมแซม และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ทางทหาร การฝึกอบรมบุคลากรตามสัญญาการบริการที่ครอบคลุมให้กับลูกค้า และภายใต้มาตรการ Sanction จากชาติตะวันตก บริษัทฯ ได้ยึดแนวคิด 'การพึ่งพาตนเอง' นำไปสู่การปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบ จนทำให้บริษัทฯ ยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top