Monday, 19 May 2025
World

‘Lazada’ สั่งปลดพนักงานนับร้อยทั่วอาเซียน หวยออก ‘สิงคโปร์’ ถูกปลดออกมากที่สุด

(5 ม.ค. 67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า ‘ลาซาด้า’ (Lazada) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือบิ๊กเทคสัญชาติจีน ‘อาลีบาบา’ (Alibaba) ได้เลิกจ้างพนักงานทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายร้อยชีวิตเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า การเลิกจ้างครั้งนี้ส่งผลกระทบกับพนักงานในสิงคโปร์มากที่สุด แต่ส่งผลกระทบถึงพนักงานในประเทศอื่น ๆ ที่ Lazada ได้ให้บริการเช่นกัน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือพนักงานที่อยู่ในฝ่ายการขาย ค้าปลีก และการตลาด

ตัวแทนของ Lazada สิงคโปร์ กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า บริษัทกำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อเร่งการทำงานแบบเชิงรุก และพัฒนาบริการให้คล่องตัวมากขึ้น พร้อมต่อการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ตัวแทนรายดังกล่าวยังไม่ยืนยันเกี่ยวกับรายละเอียดการปรับลดพนักงานในครั้งนี้

ทั้งนี้ การปลดพนักงานของ Lazada เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นช้อปปี้ (Shopee) และ TikTok Shop ที่บุกตลาดเข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมทั้งมีทิศทางการเติบโตของแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง

‘สาวมะกัน’ ร่ำไห้!! ท้อแท้กับชีวิต เงินไม่พอใช้ แม้ดิ้นรนทำงาน 3 อย่าง และมีรายได้ ‘6 หลัก’

(5 ม.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Thailand Vision’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

เอ๊ะมันช่างคุ้น ๆ สาวมะกัน เครียดจัด ร้องไห้ลง Tiktok เผยทำงาน 3 อย่าง แต่เงินยังไม่พอใช้

ชาวติ๊กต็อกเก้อมะกัน ต้องเศร้าไปตาม ๆ กัน เมื่อหญิงสาวชาวอเมริกันรายหนึ่ง เผยความจริงสุดช้ำใจ เกี่ยวกับสถานะการเงินของเธอ

"มันไม่ไหวจริงๆ" เสียงสะอื้นของหญิงสาวชาวอเมริกันคนหนึ่งสะท้อนความยากลำบากในการดำเนินชีวิต เธอเผยแพร่คลิปวิดีโอใน TikTok เล่าถึงความเครียดด้านการเงิน แม้จะมีงานประจำถึง 3 อย่าง แต่รายได้ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย

"ฉันมีงาน 3 อย่าง แต่ก็ยังต้องดิ้นรน" เธอเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เงินต้นเดือนไม่พอใช้ จนต้องพึ่งบัตรเครดิต มันแย่สุดๆ"

จอร์แดน สคีราห์ หญิงสาววัย 29 ปี จากรัฐแอริโซนา เริ่มทำงานตั้งแต่ 15 ปี ปัจจุบันมีรายได้ ‘ระดับหกหลัก’ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

"ฉันเคยคิดจะลาออกจากงานประจำที่ดี เพื่อกลับไปเป็นพนักงานเสิร์ฟ เผื่อจะได้ใช้เสน่ห์หาเงินมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ" เธอกล่าว "ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ ไม่รู้จะทำยังไง"

สคีราห์เล่าต่อว่า คะแนนเครดิตของเธอก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน "เครดิตฉันเคยดีมาก จ่ายบัตรเต็มตลอด แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว"

"งานประจำไม่พอ งานเสริมก็ไม่พอ งานพิเศษก็ไม่แน่นอนว่าจะได้เงินตรงเวลา ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ ไม่รู้จะทำยังไง"

แม้เผชิญกับแรงกดดันด้านการเงิน สคีราห์ยืนยันว่า "สิ่งเดียวที่ฉันจะไม่ยอมแพ้คือการทำเล็บ มันเป็นสิ่งที่ฉันทำมาตลอดชีวิต มันทำให้ฉันมีความสุข"

เธอเสริมว่า เธอยังฉีดโบท็อกซ์ "ประมาณ 3 ครั้งต่อปี" และเติมฟิลเลอร์ปาก "ปีละครั้ง"

"ใครเคยเจออะไรแบบนี้บ้าง?" เธอทิ้งคำถามไว้ท้ายคลิป

โดยคลิปดังกล่าวมีผู้ชมกว่า 3 ล้านคน หลายคนแสดงความเห็นใจ อาทิ

- ฉันเป็นพยาบาลทำฟัน รายได้ดี แต่ก็ยังอยู่แบบเดือนชนเดือน
- เข้าใจเลย ฉันอายุ 32 ทำงานด้านการเงิน รายได้ดี ไม่มีลูก ไม่ได้อยู่คอนโดหรู ก็ยังอยู่แบบเดือนชนเดือน สู้ๆ นะ
- ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน ฉันอายุ 32 ปี โสด และกำลังดิ้นรน ไม่รู้พ่อแม่เลี้ยงลูกยังไง
- ใครโดนปี 2023 กระแทกเต็มๆ บ้าง?

‘กลุ่ม IS’ ยอมรับ!! อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด 2 ครั้ง ในวันงานพิธีรำลึก ‘นายพล กาเซม โซเลมานี’

(5 ม.ค. 67) สื่อต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อนในพิธีรำลึกครบรอบวันตายของ พล.อ.กาเซม โซเลมานี อดีตผู้บัญชาการหน่วยคุดส์ (Quds) ของอิหร่าน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 100 คน และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก

ในถ้อยแถลงที่โพสต์เทเลแกรม ไอเอสอ้างว่าสมาชิกนักรบ 2 รายได้จุดชนวนเข็มขัดระเบิดท่ามกลางฝูงชนที่กำลังเข้าร่วมพิธีรำลึก บริเวณสุสานในเมืองเคอร์มาน (Kerman) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอิหร่านเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

พิธีรำลึกครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีการเสียชีวิตของ โซเลมานี ซึ่งถูกกองทัพสหรัฐฯ ส่งโดรนเข้าไปลอบสังหารที่อิรักเมื่อปี 2020

จอห์น เคอร์บีย์ โฆษกทำเนียบขาว บอกกับสื่อมวลชนว่า สหรัฐฯ “ไม่อยู่ในสถานะที่จะตั้งข้อสงสัย” กับคำกล่าวอ้างผลงานของไอเอส ขณะที่เตหะรานประกาศจะแก้แค้นเหตุโจมตีครั้งเลวร้ายซึ่งทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายมากที่สุดในยุคหลังการปฏิวัติอิสลามปี 1979

เหตุระเบิดครั้งนี้นอกจากจะคร่าชีวิตคนไปเกือบร้อย ยังทำให้มีผู้บาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 284 คน รวมถึงเด็กๆ

“ทหารของ โซเลมานี จะหยิบยื่นการแก้แค้นที่สาสมต่อพวกเขา” โมฮัมหมัด มอคเบอร์ รองประธานาธิบดีคนที่หนึ่งของอิหร่าน ให้สัมภาษณ์สื่อที่เมืองเคอร์มาน

ทางการอิหร่านยังเรียกร้องให้ผู้คนออกมารวมตัวกันครั้งใหญ่ในวันศุกร์ ซึ่งจะมีการจัดพิธีศพให้แก่เหยื่อจากเหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อน

กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติแห่งอิหร่าน (IRGC) ประณามเหตุโจมตีครั้งนี้ว่าเป็นการกระทำอัน “ขี้ขลาดตาขาว” ที่ “หวังสร้างความระส่ำระสาย และบ่อนทำลายความรักและการอุทิศตนที่คนอิหร่านมีต่อสาธารณรัฐอิสลาม”

ประธานาธิบดี เอบราฮิม ไรซี แห่งอิหร่าน ประณามเหตุระเบิดครั้งนี้ว่าเป็น “อาชญากรรมที่ชั่วร้ายและไร้ความเป็นมนุษย์” ขณะที่ อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่านก็ประกาศกร้าวว่าจะต้อง “แก้แค้น”

ด้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้แถลงประณาม “การก่อการร้ายที่ขี้ขลาดตาขาว” ในอิหร่าน พร้อมแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต และรัฐบาลอิหร่านด้วย

แม้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้บงการและแรงจูงใจในการก่อเหตุยังไม่มีการเปิดเผยแน่ชัด แต่ แอรอน เซลิน (Aeron Zelin) ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวอชิงตันเพื่อนโยบายตะวันออกใกล้ (Washington Institute for Near East Policy) ระบุว่า ตนจะไม่ประหลาดใจเลยหากสุดท้ายพบว่าเป็นฝีมือของกลุ่ม ISIS-Khorasan หรือ ISIS-K ซึ่งเป็นเครือข่ายไอเอสที่มีฐานอยู่ในอัฟกานิสถาน

เซลิน ชี้ว่า รัฐบาลอิหร่านเคยออกมากล่าวหา ISIS-K ว่าอยู่เบื้องหลังแผนโจมตีหลายครั้งที่ถูกสกัดเอาไว้ได้ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกจับกุมจะเป็นชาวอิหร่าน ชาวเอเชียกลาง และชาวอัฟกันที่มาจากเครือข่ายไอเอสในอัฟกานิสถาน มากกว่าเครือข่ายไอเอสในอิรักและซีเรีย

กลุ่มไอเอสมีความชิงชังชาวชีอะห์ซึ่งเป็นศาสนาอิสลามนิกายหลักในอิหร่าน และมุสลิมชีอะห์ก็ตกเป็นเป้าหมายโจมตีบ่อยครั้งในอัฟกานิสถาน เนื่องจากไอเอสมองว่าเป็นพวกละทิ้งศาสนา (apostates) อีกทั้งนักรบอิสลามิสต์กลุ่มนี้ก็ข่มขู่โจมตีอิหร่านมานานหลายปีแล้ว

การถูกกลุ่มตอลิบานไล่กวาดล้างส่งผลให้ ISIS-K อ่อนกำลังลงมากในอัฟกานิสถาน และสมาชิกบางส่วนต้องอพยพย้ายไปยังประเทศข้างเคียง ทว่ากลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ยังคงวางแผนปฏิบัติการภายนอกประเทศอยู่ ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 

เปิด ‘8 ลำดับ’ ลูกเรือ JAL​ ช่วยอพยพผู้โดยสารให้รอดทั้งลำ ก่อนเครื่องบินจะจมอยู่ในเปลวเพลิง หลังเกิดเหตุชนกันบนรันเวย์

(5 ม.ค.67) เกียวโดนิวส์ ​รายงาน​ การตัดสินใจอย่างรวดเร็วของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินและความร่วมมือของผู้โดยสาร​ คือปัจจัยสำคัญการอพยพผู้คน 379 คน​ รอดตายจากเครื่องบินเจแปนแอร์ไลน์ที่กำลังลุกไหม้ที่สนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียว เป็นปฏิบัติ​การที่สื่อต่างประเทศเทียบราวปาฏิหาริย์

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทั้ง 9 คนเอาชนะอุปสรรคในระหว่างการนำคนออกจากเครื่องบินอย่างฉุกเฉิน​ หลังจากการชนกันบนรันเวย์

อุปสรรคคือ​ ทางออกสามารถใช้งานได้เพียง 3 ใน 8 ทาง ลูกเรือจึงต้องอพยพออกจากลำตัวเครื่องบินสูง 67 เมตรอย่างรวดเร็ว และเนื่องจากระบบการสื่อสารขัดข้อง​ พนักงานต้อนรับจึงสื่อสารข้อมูลกับห้องนักบินได้เพียงจำกัด ตามที่เจ้าหน้าที่ของสายการบินระบุ

“ฉันรู้สึกตกใจเหมือนมีคนเหยียบเบรก จากนั้นฉันก็เห็นเปลวไฟพลุ่งขึ้นนอกหน้าต่าง” ผู้โดยสารรายหนึ่งอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโดยสารไม่นานหลังจากที่เที่ยวบิน 516 ลงจอดและชนเครื่องบินอีกลำหนึ่งบนรันเวย์เมื่อเวลาประมาณ 5.47 น. บ่ายวันอังคาร

ลำดับแรก พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเรียกร้องให้ผู้โดยสารที่ตื่นตกใจอยู่ในความสงบ ตามขั้นตอนป้องกันความตื่นตระหนกในกรณีฉุกเฉิน

ลำดับที่สอง หลังจากยืนยันรายงานของลูกเรือว่าเครื่องยนต์ด้านซ้ายเกิดไฟไหม้ หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแจ้งห้องนักบินเพื่ออนุมัติ​คำสั่งให้ดำเนินการอพยพฉุกเฉิน

ลำดับที่สาม พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินประเมินวิธีหลบหนีอย่างรวดเร็ว​ ขณะที่ควันเข้าไปในห้องโดยสารและเด็กๆ เริ่มร้องไห้เพื่อให้ทางออกเปิด พนักงานขอให้ผู้โดยสารหมอบหรือก้มลงให้ชิดพื้นเพื่อหลีกเลี่ยงการสูดควันที่ลอยทั่ว

ลำดับที่สี่​ เมื่อสำรวจพบว่าทางออกทั้งสองที่ด้านหน้าเครื่องบินสามารถใช้งานได้ ลูกเรือก็เริ่มนำผู้โดยสารไปข้างหน้าเพื่ออพยพโดยใช้สไลด์ฉุกเฉิน

ลำดับที่ห้า​ ที่ด้านหลังของเครื่องบิน พนักงานสำรวจด้านนอกพบว่ามีเปลวไฟลุกทางด้านขวา​ เหลือเพียงด้านซ้าย​ทางออกเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ และยังพอมีพื้นที่เพียงพอบนพื้นสำหรับวางสไลด์ลง

แต่ระบบสื่อสารกับกัปตันบนเครื่องบินไม่ทำงาน ขณะนั้นควันเข้ามาในห้องโดยสารเพิ่มมากขึ้น พนักงานจึงตัดสินใจเปิดทางออกฉุกเฉินด้านหลังซ้ายและปล่อยสไลด์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากห้องนักบิน

ลำดับที่หก​ ทุกเสี้ยววินาทีคือชีวิต นักศึกษาวิทยาลัยจากโตเกียวได้ยินพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเตือนผู้โดยสารคนอื่นๆ อย่าพยายามหยิบสัมภาระออกจากช่องเก็บเหนือศีรษะ พวกเขาปฏิบัติตามและมุ่งหน้าไปยังทางออกอย่างรวดเร็วโดยมีเพียงของใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ เช่น สมาร์ทโฟน

ลำดับที่เจ็ด ผู้ที่มาถึงพื้นก่อนอย่างปลอดภัยจะช่วยผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างของสไลเดอร์

ลำดับสุดท้าย กัปตันตรวจดูทุกแถวจากด้านหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าผู้โดยสารคนสุดท้ายได้ออกไปแล้ว จึงลงจากทางออกฉุกเฉินด้านหลังเมื่อเวลา 18.05 น. ไม่กี่นาทีก่อนที่เครื่องบินจะจมอยู่ในเปลวเพลิงทั้งลำ

ชิเกรุ ทาคาโนะ อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การหลบหนีเป็นไปอย่างราบรื่นเกิดขึ้นได้ทั้งจากการตอบสนองของลูกเรือและ “ผู้โดยสารที่ให้ความร่วมมือแม้ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้”

‘เทสลา’ จ่อเรียกคืนรถยนต์หลายรุ่นกว่า 1.6 ล้านคัน ในจีน หลังพบซอฟต์แวร์มีปัญหา หวั่นกระทบระบบช่วยขับขี่-ล็อกรถยนต์

เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 67 สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ‘เทสลา’ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังของนายอีลอน มัสก์ เตรียมที่จะเรียกคืนรถยนต์จำนวนกว่า 1.6 ล้านคัน ในจีน ตามรายงานของสำนักงานบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งชาติจีน (เอสเอเอ็มอาร์) เมื่อวันที่ 5 มกราคม หลังพบปัญหาที่ซอฟต์แวร์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายขณะขับขี่รถยนต์

การเรียกคืนดังกล่าว ซึ่งมีสาเหตุมาจากการพบปัญหาที่ระบบช่วยขับขี่และระบบล็อกรถยนต์ จะดำเนินการผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์รถยนต์ ผ่านระบบทางอากาศระยะไกล (over-the-air: OTA)

เอสเอเอ็มอาร์ ระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ผ่านทางออนไลน์ว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีการเรียกคืนรถยนต์เทสลาจำนวนทั้งสิ้น 1,610,105 คัน รุ่น Model S, Model X และ Model 3 ที่ถูกนำเข้ามาในประเทศ และรถยนต์รุ่น Model 3 และ Model Y ที่ถูกผลิตในประเทศ ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม 2014 และ 20 ธันวาคม 2023”

ทางหน่วยงานยังให้คำแนะนำแก่เจ้าของรถยนต์ที่เข้าข่ายจะถูกเรียกคืนว่า หากระบบช่วยเหลือพวงมาลัยอัตโนมัติถูกเปิดขึ้น ผู้ขับขี่อาจใช้งานฟังก์ชันช่วยขับขี่ระดับ 2 รวมกันในทางที่ผิด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและอันตรายได้

นอกจากนั้นแล้ว การเรียกคืนรถยนต์ดังกล่าวยังรวมถึงรถยนต์เทสลาที่ถูกนำเข้าจำนวน 7,538 คัน ที่ถูกผลิตระหว่างวันที่ 26 ตุลาคม 2022-16 พฤศจิกายน 2023 หลังพบปัญหาที่ระบบควบคุมการล็อกรถอีกด้วย

‘Ho Yik-king’ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง ปลิดชีพตนในอังกฤษ หลังชีวิตในแดนผู้ดี แทบไม่มีอะไรดั่งฝัน ‘ต่ำชั้นกว่าพลเมืองในประเทศ’

นักเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชฮ่องกง… ฆ่าตัวตายในอังกฤษ!!

เรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอันเป็นชีวิตจริงของหญิงสาวนักเคลื่อนไหว ผู้เรียกร้องเอกราชฮ่องกงจากจีน ‘Ho Yik-king’ (โฮ ยิก-คิง) ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยและระหว่างการศึกษาในมหาวิทยาลัยฮ่องกง เธอประพฤติตัวดีเสมอมา หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเอเชียศึกษาและนานาชาติ ด้วยความชื่นชอบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เธอจึงได้ศึกษาเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยเจนีวาจนสำเร็จปริญญาโท

ในปี 2018 ฮ่องกงต้องประสบกับการประท้วงอันความสับสนอลหม่านภายใน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเสนอให้แก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลหัวรุนแรงในฮ่องกง ซึ่งต่อต้านรัฐบาลจีน และเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการคัดค้านการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว กลุ่มบุคคลหัวรุนแรงเหล่านี้ จึงได้จัดการประท้วงอย่างต่อเนื่องบนท้องถนนย่านใจกลางเมืองฮ่องกง และเมื่อไม่มีการตอบโต้จากรัฐบาลฮ่องกง กลุ่มผู้ประท้วงจึงได้เพิ่มความรุนแรงในการประท้วงของพวกเขา โดยหันไปใช้วิธีทำลายล้าง หรือแม้แต่โจมตีต่อประชาชนชาวฮ่องกงทั่วไป

ในช่วงเวลานี้ ภายใต้อิทธิพลของบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอ ‘Ho Yik-king’ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องการเรียกร้องเอกราชของฮ่องกงโดยสมบูรณ์ และได้เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างแข็งขัน ที่สุดเธอจึงกลายเป็นบุคคลสำคัญในหมู่คนหัวรุนแรงเหล่านี้ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อแสดงมุมมองที่รุนแรง และมีส่วนร่วมในการเผชิญหน้ากับรัฐบาลฮ่องกง เชื่อกันว่า เธอได้การสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษในการเรียกร้องเอกราชให้ฮ่องกง และเธอถูกรัฐบาลฮ่องกงพยายามจับกุม

หลังจากเธอขายทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองในฮ่องกงแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลอังกฤษ โดยเธอได้รับพาสปอร์ต ‘BNO’ (British National Overseas) อย่างไรก็ตาม หลังจากเธอเดินทางไปอยู่ในอังกฤษแล้ว เธอแทบไม่ได้รับการดูแลอะไรจากรัฐบาลอังกฤษเลย จะไปหางานทำ หรือเปิดบัญชีธนาคารก็ทำไม่ได้ เพราะพาสปอร์ต BNO ไม่สามารถทำให้เธอมีสิทธิเช่นเดียวกับพลเมืองอังกฤษ และสิ่งที่ทำให้เธอต้องประหลาดใจที่สุด คือ เธอไม่สามารถจ่ายค่าเช่าห้องอันแสนแพงได้ ทั้งยังต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการทานอาหารเพียงวันละมื้อเดียว ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้

ชีวิตของ Ho Yik-king จึงเป็นเพียงแค่เบี้ยตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ที่รัฐบาลอังกฤษไม่ได้ให้ค่า ครั้นเธอจะกลับฮ่องกงก็จะต้องติดคุก ปริญญา 2 ใบของเธอ ไม่ได้ช่วยให้เธอได้ตาสว่างแต่อย่างใด ด้วยเพราะตำราที่เธอเรียนจนได้ปริญญา 2 ใบนั้น เขียนโดยชาติตะวันตกทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับบุคคลที่มีภูมิทางการศึกษาดี แต่เลือกเส้นทางและความเชื่อในทางที่ผิด และเมื่อสืบค้นเรื่องราวของเธอใน Google แล้วจะพบเพียงหนึ่งเรื่องใน YouTube คือ https://www.youtube.com/watch?v=vFbjcZEfxFY และใน X มีผู้ใช้ชื่อว่า Richard Seeto @richseeto ได้นำเรื่องราวของเธอใน YouTube ไปลง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นราวกับว่า เธอไม่เคยมีตัวตนปรากฏอยู่เลย

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล

‘จีน’ เดินหน้าใช้งาน ‘สายเคเบิลภาคพื้นดิน’ ครั้งแรก ชี้!! ก่อสร้างง่าย-ต้นทุนต่ำ ช่วยเชื่อมพลังงานระหว่างเกาะ

(6 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว, หางโจว รายงานข่าว บริษัท การไฟฟ้าแห่งประเทศจีน จำกัด สาขามณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน ว่า โครงการวางสายเคเบิลภาคพื้นดิน ขนาด 10 กิโลโวลต์ ลอดช่องทางใต้ก้นทะเลในน่านน้ำทางตอนเหนือของเมืองโจวซาน ได้เสร็จสิ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ม.ค. ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า สายเคเบิลภาคพื้นดินความยาว 1 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างเกาะโจวซานและเกาะซ่างหยวนซาน ทำหน้าที่สายแทนเคเบิลใต้น้ำที่มีแนวโน้มเกิดความเสียหายจากการทอดสมอเรือ โดยมีข้อดีด้านต้นทุนต่ำกว่าและการก่อสร้างง่ายกว่า จึงเหมาะกับการส่งพลังงานระยะทางสั้นระหว่างเกาะ

‘หลี่เจิน’ หัวหน้าบริษัทออกแบบประจำโครงการนี้ เผยว่า การจ่ายพลังงานระหว่างเกาะต่างๆ ในจีนพึ่งพาการส่งผ่านสายเคเบิลใต้น้ำเป็นหลัก ส่วนสายเคเบิลภาคพื้นดินถูกฝังไว้ลึกกว่าความลึกของการทอดสมอเรือ ทำให้ลดความเสี่ยงเกิดความเสียหายจากการทอดสมอเรือ

วิธีการวางสายเคเบิลภาคพื้นดินนี้ ซึ่งนับเป็นการใช้งานครั้งแรกในจีน จะถูกประยุกต์ใช้กับการส่งพลังงานระยะทางสั้นและระยะทางปานกลางไม่เกิน 2 กิโลเมตรระหว่างเกาะต่างๆ ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือการส่งพลังงานระยะทางปานกลางและระยะไกลระหว่างเกาะต่างๆ

เปิดคำสารภาพของสาววัย 20 ปี ผู้ก่อเหตุไล่แทงคนบนรถไฟโตเกียว ภัยเงียบแห่งสังคมญี่ปุ่น ภายใต้อาชญากรรมด้วยเหตุจูงใจที่ ‘ไร้เหตุจูงใจ’

ปี 2024 นี้ ไม่น่าจะใช่ปีที่ดีของชาวญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ เพราะมีเหตุการณ์ร้ายแรงตั้งแต่ต้นปี ทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ เครื่องบินชนกัน ยัน ไฟไหม้ตึก

เช่นเดียวกับคดีที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ บนรถไฟฟ้ากลางกรุงโตเกียว เมื่อมีคนร้ายใช้มีดไล่แทงผู้คนบนรถไฟสาย ‘JR Yamanote’ ขณะมุ่งหน้าไปสถานีอากิฮาบาระ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเป็นชาย 4 คน

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในช่วงกลางดึก ราวๆ 23.50 น. ของคืนวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อมีหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปี ใช้มีดทำครัวไล่แทงผู้โดยสารบนขบวนรถไฟสาย JR Yamanote หนึ่งในสายรถไฟหลักชื่อดังของกรุงโตเกียว เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเป็นชาย 4 คน และ 3 ใน 4 คน ถูกแทงบริเวณกลางหลัง และ ทรวงอก มีอาการบาดเจ็บสาหัส ส่วนอีกคนโชคดีได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

หลังเกิดเหตุ ทางการโตเกียวสั่งหยุดเดินรถไฟ Yamanote ที่สถานีอากิฮาบาระชั่วคราว และได้จับกุมหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปี ที่เป็นคนร้าย โดยไม่มีการเปิดเผยชื่อออกสื่อ

และสิ่งที่ได้จากการสอบปากคำคนร้ายสาววัย 20 กว่าๆ นั้น ชวนตะลึงยิ่งกว่าการก่อเหตุของเธอเสียอีก เมื่อเธอให้การรับสารภาพกับตำรวจได้อย่างหน้าตาเฉยว่า “ฉันขึ้นรถไฟมาจากสถานีอุเอโนะ มาเพื่อตั้งใจจะฆ่าคนค่ะ”

ซึ่งเธอมีเจตนามาก่อเหตุจริงๆ เมื่อตำรวจพบหลักฐานเป็นมีดทำครัวที่ใช้ก่อเหตุตกอยู่ภายในรถไฟ และยังพบมีดสำรองอีก 1 เล่มในกระเป๋าของเธอ เรียกได้ว่าเตรียมเผื่อไว้เลย หากมีดเล่มแรกถูกแย่งไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจโตเกียวยังหาข้อสรุปสาเหตุจูงใจในการก่อเหตุของเธอได้ แต่หญิงสาวยอมรับว่า เธอมีอาการป่วยทางจิต ที่ส่งผลต่อการกระทำของเธอ แต่ถึงจะอ้างความเจ็บป่วยทางจิตใจ ตำรวจก็จำเป็นต้องตั้งข้อหา ‘เจตนาฆ่า’ ไว้ก่อน และเชื่อว่า คนร้ายกับผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 4 คน ไม่เกี่ยวข้องกัน หรือเคยรู้จักกันมาก่อน

อย่างที่รู้กันดีว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร และมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากๆ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กลับมีคดีไล่แทงคนในที่สาธารณะ การลอบวางเพลิง หรือการก่อเหตุด้วยปืน และระเบิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเองเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ารูปแบบการก่อเหตุ ก็คือเหตุจูงใจของคนร้าย เพราะหลายครั้งที่เกิดคดีในญี่ปุ่น มักได้รับคำตอบจากคนร้ายว่า “ก่อเหตุเพราะแค่อยากฆ่าใครสักคนเฉยๆ”

ดังเหตุการณ์ร้ายแรงที่เคยเกิดขึ้นในย่านอากิฮาบาระ เช่นกัน เมื่อเดือนมิถุนายน 2008 ‘นายคาโต้ โทโมฮิโระ’ ชายหนุ่มวัย 25 ปี ได้ขับรถไล่ชนผู้คนขณะกำลังข้ามถนนในย่านนี้เป็นจำนวนมาก แล้วยังเอามีดออกมาไล่แทงผู้คนบนท้องถนน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 7 คน และบาดเจ็บอีกนับ 10 คน

หลังก่อเหตุ ตำรวจพบหลักฐานในโทรศัพท์มือถือของเขา เป็นข้อความที่นอกเหนือจากการแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง อกหัก แฟนทิ้ง ตกงาน พ่อแม่ไม่รัก ยังมีข้อความที่พิมพ์อย่างชัดเจนว่า “ฉันตั้งใจจะฆ่าคนที่อากิฮาบาระ”

คาโต้ โทโมฮิโระ ถูกตัดสินประหารชีวิตและเพิ่งจะประหารไปเมื่อปี 2022 นี้เอง…

ส่วนอีกคดีที่สะเทือนญี่ปุ่นไม่แพ้กัน คือ เหตุไล่แทงที่เมืองซากะมิฮาระ ในจังหวัดคานาคาวะ เมื่อปี 2016 โดย ‘นายอุเมะมัทสุ ซาโตชิ’ หนุ่มวัย 26 ปี อดีตลูกจ้างศูนย์พยาบาลผู้สูงอายุ ก่อเหตุใช้มีดที่พกมาเป็นจำนวนมาก บุกเข้าไปแทงคนชราภายในศูนย์พักพิง เสียชีวิตไปถึง 19 คน 
ต่อมา นายซาโตชิ ได้เขียนคำรับสารภาพว่า เขาตั้งใจก่อเหตุสังหารคนชรา และ คนพิการ เพื่อประโยชน์ของประเทศญี่ปุ่น และ รักษาสันติภาพของโลก ทั้งยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ และ ป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3!!

การก่ออาชญากรรมด้วยเหตุจูงใจ ที่ไร้เหตุจูงใจ จึงไม่ต่างจากภัยเงียบในสังคมของคนญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่า คนที่ยืนรอรถไฟอยู่ข้างๆ เราในวันนี้ มีอารมณ์อยากฆ่าใครบางคนขึ้นมาหรือเปล่า…

‘เกาหลีใต้’ ฮึ่ม!! ซ้อมรบด้วยกระสุนจริงตอบโต้ ‘เกาหลีเหนือ’ หลังรัวยิงปืนใหญ่ กว่า 60 นัด ใกล้ชายแดนพิพาททางทะเล

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลียังคงตึงเครียด ล่าสุด เสนาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ แถลงอ้างว่า กองทัพเกาหลีเหนือได้ยิงปืนใหญ่มากกว่า 60 นัด ใกล้กับเกาะยอนพยองขึ้นอีกเมื่อวันเสาร์ที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา 1 วันหลังจากทั้ง 2 ฝ่ายต่างซ้อมรบด้วยกระสุนจริงใกล้กับชายแดนทางทะเลที่มีข้อโต้แย้งกัน

“กองกำลังเกาหลีเหนือได้ทำการยิงปืนใหญ่มากกว่า 60 นัด จากพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะยอนพยองระหว่างเวลาประมาณ 16.00-17.00 น. ของวันนี้” เสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ระบุ พร้อมเตือนเกาหลีเหนือให้หยุดการกระทำดังกล่าวที่คุกคามสันติภาพ และเพิ่มความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี

การยิงปืนใหญ่ครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ ดำเนินมาต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ยิงปืนใหญ่ราว 200 นัด ในการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงใกล้กับชายแดนทางตะวันตก ของเกาะยอนพยองและเกาะแบงยอง ซึ่งจุดความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะดังกล่าว ที่ต้องหาที่หลบภัยเพื่อความปลอดภัย และทำให้กองทัพเกาหลีใต้ทำการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงเป็นการตอบโต้

‘ด่านมองโกเลีย’ รับรองรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป 3,294 เที่ยวในปี 2023 หนุนขนส่งสินค้านับ 1,000 รายการ ดันระเบียงเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, ฮูฮอต รายงานว่า ‘ด่านเอ้อร์เหลียนฮ่าวเท่อ’ ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน ได้รับรองการเดินรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป ในปี 2023 จำนวน 3,294 เที่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.8 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานระบุว่า ด่านเอ้อร์เหลียนฮ่าวเท่อรับรองการขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก ในปี 2023 รวม 4.08 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.5 เมื่อเทียบปีต่อปี และรับรองการขนส่งสินค้า 375,000 ทีอียู (TEU : หน่วยนับตู้คอนเทนเนอร์ยาว 20 ฟุต) เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.4

อนึ่ง ด่านเอ้อร์เหลียนฮ่าวเท่อ เป็นด่านบกขนาดใหญ่ที่สุดบนพรมแดนจีนและมองโกเลีย และเป็นด่านเข้า-ออกแห่งเดียวบนระเบียงตอนกลางของการบริการรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป

สินค้าที่ขนส่งโดยรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป ซึ่งเดินรถผ่านด่านเอ้อร์เหลียนฮ่าวเท่อ ประกอบด้วย รองเท้าและเสื้อผ้า, ผลิตภัณฑ์จักรกลและไฟฟ้า, ยานพาหนะและชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ราว 1,000 รายการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top