Monday, 19 May 2025
World

‘ตร.เนปาล’ บุกรวบ ‘บุดดาบอย’ ผู้นำทางจิตวิญญาณชื่อดัง ข้อหาข่มขืนผู้เยาว์ และเอี่ยวการหายตัวไปของผู้ติดตาม

(11 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราม พหาทุร พามชาน (Ram Bahadur Bomjan) ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวเนปาล วัย 33 ปี หรือที่รู้จักกันในชื่อ บุดดาบอย (Buddha Boy) ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์ และเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ติดตามของเขาอย่างน้อย 4 ราย

ตามรายงานของสำนักงานสืบสวนกลาง ระบุว่า พามชานถูกรวบตัวได้เมื่อวันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา จากบ้านของเขาในพื้นที่กาฐมาณฑุ เมืองหลวงของเนปาล พร้อมใส่กุญแจมือ และแถลงต่อหน้าสื่อมวลชน โดยมีการเปิดเผยว่า เขาพยายามหลบหนีโดยการกระโดดจากหน้าต่างชั้น 2 เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ไม่สำเร็จ และถูกจับกุมได้ในที่สุด

พามชานถูกจับกุมด้วยข้อหาข่มขืนผู้เยาว์วัย 14 ปี ที่อาศรมในเมืองซาร์ลาฮี ทางตอนใต้ของเมืองหลวง รวมทั้งข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดและการประพฤติมิชอบย้อนหลังไปกว่า 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2553 เขาถูกยื่นฟ้องหลายสิบครั้งเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย มีการระบุว่า เขาทุบตีเหยื่อซึ่งเป็นผู้ติดตาม เหตุเพราะรบกวนสมาธิของเขา ทั้งยังมีแม่ชีวัย 18 ปี อ้างว่าถูกเขาข่มขืนที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2561 และในปีถัดมา มีรายงานว่าสาวก 4 รายของเขา หายตัวไปจากอาศรมแห่งหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่ทราบชะตากรรม

ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังได้ยึดของกลางเป็นธนบัตรเนปาลจำนวนมาก มีมูลค่าเทียบเท่าประมาณ 227,000 ดอลลาร์ (ราว 7.9 ล้านบาท) และธนบัตรสกุลเงินต่างประเทศอื่น ๆ มูลค่าประมาณ 23,000 ดอลลาร์ (ราว 8 แสนบาท) หลังจากนี้ คาดว่าพามชานจะถูกนำตัวไปขึ้นศาลทางตอนใต้ของเนปาล เพื่อรับฟังคำตัดสิน

‘ดร.เสรี’ ชี้!! ปีนี้มีสิทธิร้อนเพิ่ม ผลพวงที่ส่งต่อมาจากปี 2023

(11 ม.ค. 67) รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ รองประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า #โลกร้อนสุด 2023 อะไรจะเกิดขึ้นตามมาในปี 2024 นอกเหนือการควบคุม

ปี 2023 เป็นปีที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีการคาดการณ์ไว้ว่าจะเป็นปีที่ร้อนที่สุด แต่อุณหภูมิเฉลี่ยกลับเพิ่มขึ้นกว่า 1.48oC เมื่อ 100 ปีที่แล้ว และสูงกว่าปี 2016 ที่เคยเป็นสถิติสูงสุด ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งมาจากปรากฏการณ์ El Nino ที่กำลังเกิดขึ้น และคาดการณ์ว่าจะแตะระดับสูงสุด ในเดือนมกราคมปีนี้ ดังนั้นการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงสภาพอากาศสุดขั้วต่างๆจึงเกิดตามมาโดยไม่สามารถควบคุมได้ ดังตัวอย่างการเกิดคลื่นความร้อน และไฟป่าในแคนาดา US และยุโรป น้ำท่วมใหญ่ในแอฟริกาตะวันออก รวมทั้งน้ำท่วมรุนแรงในภาคใต้ประเทศไทย

จากข้อมูลอุณหภูมิเฉลี่ยรายวันในปี 2023 ยังบ่งชี้ว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายน อุณหภูมิเฉลี่ยรายวันทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (173 วันที่อุณหภูมิสูงเกิน 1.5 oC) ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีการใช้พลังงานฟอสซิล ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงยังคงไม่มั่นใจว่าเหตุการณ์ความรุนแรงจากสภาพอากาศสุดขั้วใด จะเกิดขึ้นบ้าง และจะเกิดขึ้นเมื่อไรในอนาคต แม้แต่การคาดการณ์ปริมาณฝนยังมีความคลาดเคลื่อนสูง และไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าในระยะยาวเป็นรายเดือน รายฤดูกาล เป็นต้น เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลก็ยังสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เหมือนกัน

ดังนั้นด้วยโมเมนตัม และการถ่ายทอดพลังงานความร้อนต่อเนื่องจากปี 2023 ทำให้ปี 2024 จึงเป็นปีที่มีความเสี่ยงสูงที่จะร้อนกว่าปี 2023 การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิดังกล่าวบ่งชี้การเกิดขีดจำกัด 1.5oC ตามข้อตกลงปารีสซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในรอบ 20-30 ปี และอาจจะแตะ 3oC จากการประเมินรายงาน NDC (National Determined Contribution) ของแต่ละประเทศที่ส่งมาในปัจจุบัน ดังนั้นเหตุการณ์ความรุนแรงจากสภาพอากาศสุดขั้วจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และต้องเฝ้าระวังกันต่อไป 

‘ปูติน’ กร้าว!! ‘รัสเซีย’ สามารถพึ่งพาตนเองได้ทุกแง่มุม ย้ำ!! พร้อมก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและมั่นใจ

(11 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) ที่ผ่านมา วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่ารัสเซียได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นประเทศที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกแง่มุม

ทำเนียบเครมลินของรัสเซีย อ้างอิงคำกล่าวของปูตินระหว่างการพบปะกับผู้อยู่อาศัยในเมืองอะนาดีร์ ในเขตปกครองตนเองชูคอตคาของรัสเซีย โดยระบุว่าแนวคิดหลักที่รัสเซียพิสูจน์ต่อตนเองและคนทั้งโลก คือการที่รัสเซียเป็นประเทศที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในทุกแง่มุม

ปูตินระบุว่ากลุ่มประเทศชั้นนำของยุโรปกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยชี้ว่าขณะที่เศรษฐกิจของรัสเซียกำลังเติบโต แต่เศรษฐกิจของยุโรปกลับกำลังประสบกับสภาวะถดถอย ซึ่งทำให้การพึ่งพารัสเซียของยุโรปแข็งแกร่งกว่าการพึ่งพายุโรปของรัสเซีย

ทั้งนี้ ปูตินระบุว่ารัสเซียยังคงเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ และสิ่งนี้เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดของปีที่ผ่านมา

‘ไทย’ คว้าอันดับ 63 ‘พาสปอร์ตทรงอิทธิพล’ 2024 อันดับดีขึ้นจากปีก่อน ส่วนอันดับ 1 ครองร่วม 6 ชาติ

(11 ม.ค. 67) ‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 63 ในการจัดอันดับดัชนีพาสปอร์ตของเฮนลี่ย์ (Henley Passport Index) ประจำปี 2567 โดยขยับขึ้นจากอันดับ 64 ในปี 2566 และ 70 ในปี 2565

โดยปัจจุบันพาสปอร์ตของไทยสามารถใช้เดินทางสู่จุดหมายต่าง ๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ทั้งสิ้น 82 จุดหมายปลายทาง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย ตุรกี อิรัก และบราซิล ซึ่งเพิ่มจาก 79 ประเทศในปีที่แล้ว

ขณะที่อันดับ 1 ในปีนี้เป็นการครองอันดับร่วมกันถึง 6 ประเทศด้วยกันคือ ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 4 ประเทศ ได้แก่ ‘ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสเปน’ ซึ่งครองอันดับหนึ่งร่วมกับ ‘ญี่ปุ่น’ และ ‘สิงคโปร์’ ขึ้นแท่นพาสปอร์ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

พลเมืองของประเทศเหล่านี้สามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้มากถึง 194 แห่งจาก 227 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะญี่ปุ่นและสิงคโปร์นั้น ครองอันดับ 1 ในดัชนีดังกล่าวมา 5 ปีแล้ว

ทั้งนี้ ดัชนีดังกล่าวจัดอันดับหนังสือเดินทางทั่วโลก โดยประเมินตามจำนวนจุดหมายปลายทางที่ผู้ถือหนังสือเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า

ทางด้านเจ้าของสมญานามเสือเอเชียอย่าง ‘เกาหลีใต้’ ตามมาเป็นอันดับ 2 ร่วมกับ ‘ฟินแลนด์’ และ ‘สวีเดน’ ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 193 แห่ง

ส่วนอีก 4 ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปอย่าง ออสเตรีย เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ครองอันดับ 3 โดยสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ ได้ 192 แห่ง

ขณะที่อันดับที่เหลือใน 10 อันดับแรกส่วนใหญ่ตกเป็นของประเทศในแถบยุโรป โดยพาสปอร์ตของ ‘สหราชอาณาจักร’ ไต่ขึ้นสองอันดับมาอยู่ที่อันดับ 4 ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 191 แห่ง เทียบกับเพียง 188 แห่งในปีที่แล้ว

ผู้ถือหนังสือเดินทางของ ‘ออสเตรเลีย’ และ ’นิวซีแลนด์’ ต่างไต่ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 6 ซึ่งสามารถเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆ โดยไม่ต้องขอวีซ่าได้ 189 แห่ง ส่วนหนังสือเดินทางของ ‘สหรัฐ’ ยังรั้งอันดับ 7 โดยสามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ได้ 188 แห่งโดยไม่ต้องขอวีซ่า

ทั้งนี้ นับมาเป็นเวลาถึงหนึ่งทศวรรษแล้วนับตั้งแต่ที่สหราชอาณาจักรและสหรัฐร่วมกันครองอันดับ 1 ในดัชนีดังกล่าวเมื่อปี 2557

สำหรับ 10 ชาติในกลุ่มประเทศ ‘อาเซียน’ นั้น นำโดยสิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน ไทย และอินโดนีเซีย 

กองทัพ 'อเมริกา+อังกฤษ' โจมตี 'เยเมน' หวังถล่มฐานทัพ 'ฮูตี' เปิดฉากสมรภูมิใหม่เต็มสูบ 'ทางอากาศ-ทางเรือ-เรือดำน้ำ'

(12 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเริ่มปฏิบัติการโจมตีเล่นงานเป้าหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกฮูตีในเยเมน เจ้าหน้าที่อเมริกา 4 รายเปิดเผยกับรอยเตอร์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น นับเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดปฏิบัติการกับพวกติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้ นับตั้งแต่ทางกลุ่มเริ่มเล็งเป้าโจมตีเรือขนส่งสินค้าต่างๆ ในทะเลแดงในช่วงปลายปีที่แล้ว

ฮูตี ซึ่งควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน เล็งเป้าเล่นงานเส้นทางเดินเรือสินค้าในทะเลแดง เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์และกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ปาเลสไตน์ ‘ฮามาส’ ท่ามกลางสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซา การโจมตีก่อความปั่นป่วนแก่การค้าระหว่างประเทศ ในเส้นทางขนส่งสำคัญที่เชื่อมระหว่างยุโรปกับเอเชีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของการขนส่งสินค้าทางเรือทั่วโลก

ปฏิบัติการครั้งนี้เชื่อว่าเป็นปฏิบัติการโจมตีครั้งแรกของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2016 ที่ลงมือเล่นงานพวกกบฏฮูตีในเยเมน

เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่าคาดหมายว่าจะมีการเผยแพร่ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ ซึ่งจะให้รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตี

ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (10 ม.ค.) ผู้นำกลุ่มฮูตี บอกว่าการโจมตีใดๆ ของสหรัฐฯ ที่เล่นงานทางกลุ่ม การโจมตีเหล่านั้นจะไม่ถูกปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ โดยปราศจากการตอบโต้ใดๆ

พวกฮูตี ซึ่งยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน ในสงครามกลางเมือง ได้ประกาศโจมตีเรือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล หรือมุ่งหน้าสู่ท่าเรือของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม จำนวนมากของเรือที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล

กองทัพสหรัฐฯ เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ว่าพวกฮูตีได้ลงมือโจมตีเล่นงานการเดินเรือครั้งที่ 27 นับตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน ด้วยการยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือเข้าใส่เส้นทางการเดินเรือในอ่าวเอเดน

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กองทัพเรือสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้สอยร่วงโดรนและขีปนาวุธจำนวนหลายสิบ ที่กบฏฮูตียิงเข้าใส่ทางใต้ของทะเลแดง

‘พวกฮูตีจำเป็นต้องหยุดการโจมตีเหล่านี้ พวกเขาต้องแบกรับผลสนองกลับ หากว่าไม่ยอมทำตาม’จอห์น เคอร์บี โฆษกความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

บรรณาธิการข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์เดอะไทม์ส ของอังกฤษ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กล่าวอ้างก่อนหน้านี้ไม่นานว่า สหราชอาณาจักรคาดหมายว่าจะร่วมกับสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นทางทหารที่เป็นของพวกฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในเยเมน ‘ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า’

เดอะไทม์ส ของอังกฤษรายงานว่าก่อนหน้านั้นในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาซูแน็ก ได้บรรยายสรุปกับคณะรัฐมนตรี ต่อการขยับเข้าใกล้การเข้าแทรกแซงทางทหาร และสื่อมวลชนอังกฤษแห่งนี้รายงานด้วยว่า บุคคลทางการเมืองอื่นๆ ในนั้นรวมถึง เคียร์ สตาร์เมอร์ หัวหน้าพรรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายค้านของสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฟังรายงานสรุปจากรัฐบาลเช่นกัน

ทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรของ ริชี ซูแน็ก ไม่ตอบคำถามของรอยเตอร์ ที่สอบถามขอความคิดเห็น ส่วนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และทำเนียบขาวก็ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวดังกล่าว ในขณะที่ปกติแล้ว อเมริกาจะไม่แสดงความคิดเห็นต่อแนวโน้มปฏิบัติการทางทหารใดๆ ในอนาคต

‘รายงาน’ ชี้!! นวัตกรรม ‘วิทย์-เทคโนฯ’ เอเชีย ไม่ธรรมดา มีสถานะมั่นคง ไม่แตกต่างจากชาติตะวันตกอีกแล้ว

(12 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานผลจากการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว (BFA) ระบุว่า ในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งระดับโลก สถานะของเอเชียในแวดวงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

หลี่เป่าตง เลขาธิการของการประชุมฯ กล่าวว่า ทวีปเอเชียมีอิทธิพลในด้านนวัตกรรมและการพัฒนาของโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยความรุ่มรวยของทรัพยากรทางปัญญาและประเพณีนวัตกรรมอันมีฐานที่มั่นคง

หลี่กล่าวว่ากลุ่มประเทศเอเชียกำลังก้าวตามทันนานาประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือในหลากหลายด้านสำคัญ ท่ามกลางการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งใหม่ อีกทั้งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ปริมาณ คุณภาพ และระดับเชิงอุตสาหกรรมของนวัตกรรม

หลี่ เสริมว่า นวัตกรรมทางเทคโนโลยีของจีนในด้านการดูแลสุขภาพ, ชีวเภสัชกรรม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ, วัสดุใหม่ และการผลิตขั้นสูง จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ พร้อมระบุว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกได้ลดช่องว่างความแตกต่างกับทวีปยุโรป

รายงานดัชนีนวัตกรรมโลก ปี 2023 ที่เผยแพร่โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ระบุว่าประเทศเอเชีย 5 แห่ง ได้แก่ สิงคโปร์, จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และอิสราเอล ติดอันดับเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม 15 ประเทศที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก

อนึ่ง รายงานนวัตกรรมการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว ปี 2023 ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) ในนครกว่างโจวของจีน รวบรวมโดยสถาบันการประชุมฯ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเซาธ์ ไชน่า

‘RCEP’ หนุน ‘ไทย-จีน’ เสริมความร่วมมือด้าน ‘งานแสดงสินค้า’ เปิดประตูเชื่อมการค้า 2 ประเทศ แบ่งปันโอกาสเติบโตทางธุรกิจ

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, หนานชาง รายงานว่า เมื่อไม่นานนี้ นายดวงเด็ด ย้วยความดี ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมงานจัดแสดงสินค้าเพื่อความร่วมมือระดับนานาชาติ (CEFCO) ครั้งที่ 19 ในนครหนานชาง มณฑลเจียงซีทางตะวันออกของจีน

นายดวงเด็ด กล่าวว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่มีผลบังคับใช้สองปีแล้ว ได้ช่วยส่งเสริมการค้าระหว่างจีนกับไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมการจัดแสดงสินค้า และนำพาโอกาสการพัฒนาใหม่ๆ มาสู่ 2 ประเทศ ซึ่งไทยพร้อมเดินหน้าทำงานกับทุกฝ่ายอย่างรอบด้านเพื่อสร้างผลประโยชน์จากความตกลงฯ เพิ่มขึ้น

ไทยนั้นอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอาเซียน ทำให้เป็นทำเลทองของการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ โดยมีระบบขนส่งที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างโดดเด่น การเดินทางจากไทยไปยังตลาดอื่นๆ ในอาเซียนมีความสะดวกง่ายดาย จึงเกื้อหนุนการดำเนินงานของเหล่าผู้จัดแสดงสินค้าให้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันไทยมีการจัดงานแสดงสินค้าที่โดดเด่นในด้านการผลิตอัจฉริยะ เทคโนโลยีอัจฉริยะ และอุตสาหกรรมอัญมณี ซึ่งนายดวงเด็ดหวังว่า จีนและไทยจะร่วมมือกันในด้านเหล่านี้เพิ่มขึ้น พร้อมต้อนรับจีนเข้ามาจัดงานแสดงสินค้าใหม่ๆ โดยไทยจะให้การสนับสนุนทางนโยบายสิทธิพิเศษ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีเฉพาะทาง

นายดวงเด็ด เสริมว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของไทยในปี 2023 ด้วยปริมาณการค้าทวิภาคีสูงถึง 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 4.73 ล้านล้านบาท) โดยจีนนำเข้าสินค้าจากไทยสูงถึง 5.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.98 ล้านล้านบาท) ขณะไทยนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 7.85 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.75 ล้านล้านบาท)

อนึ่ง การประชุมงานจัดแสดงสินค้าเพื่อความร่วมมือระดับนานาชาติ ครั้งที่ 19 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10-12 ม.ค. 67 ภายใต้หัวข้อ ‘แบ่งปันอย่างเปิดกว้าง เชื่อมโยงสู่ทั่วโลก’ โดยมีตัวแทนจากกว่า 10 ประเทศและภูมิภาค อาทิ ไทย, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ เข้าร่วมมากกว่า 500 คน

‘Citigroup’ จ่อปลดพนักงาน 20,000 คน ภายใน 2 ปีหน้า หลังเผชิญวิกฤตขาดทุนหนัก เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี!!

(13 ม.ค.67) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ‘ซิตี้กรุ๊ป’ จะเลิกจ้างพนักงาน 20,000 คน ในอีก 2 ปีข้างหน้า โดย ‘มาร์ค มาสัน’ กล่าวว่า การลดจำนวนลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทรายงานผลการขาดทุนสุทธิ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 62,900 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ซึ่งเป็นไตรมาสที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 15 ปี

ธนาคารคาดว่าการลดจำนวนพนักงานจะช่วยประหยัดเงินได้ 2.5 พันล้านดอลลาร์ในระยะยาว หรือราว 87,300 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธนาคารรายงานการสูญเสียกำไรมหาศาล ที่ 1.16 ดอลลาร์ต่อหุ้นในไตรมาสที่ 4 ซึ่งต่ำกว่าประมาณการที่ขาดทุน 11 เซนต์ต่อหุ้น

ซิตี้กล่าวว่า มีค่าใช้จ่ายประเภทครั้งเดียวหลายครั้งที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่าย 1.7 พันล้านดอลลาร์ ที่ธนาคารต้องจ่าย เกี่ยวข้องกับวิกฤตธนาคารในภูมิภาค เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว การสูญเสีย 880 ล้านดอลลาร์ในอาร์เจนตินา และ 800 ล้านดอลลาร์ ในต้นทุนการปรับโครงสร้าง ที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้าง ประมาณ 7,000 คนในปี 2566

นอกเหนือจากการลดพนักงาน 20,000 ตำแหน่ง ในส่วนการดำเนินงานของบริษัทแล้ว ธนาคารยังจะปลดพนักงาน 40,000 คน ในเม็กซิโก ผ่านการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งจะทำให้จำนวนพนักงานทั้งหมดของบริษัทเหลือประมาณ 180,000 คนจาก 240,000 คน

บริษัทยังกล่าวว่า คาดว่าจะจ่ายเงินชดเชยและค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กรมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์

ด้านโฆษกของผู้ให้กู้ยืมรายหนึ่งในสหรัฐฯ เผยว่า การปลดพนักงานจะเกิดขึ้นทั่วโลก และปฏิเสธที่จะแจกแจงตัวเลขตามภูมิภาค

ทั้งนี้ ‘เจน เฟรเซอร์’ ซีอีโอของซิตี้กรุ๊ป ได้ประกาศความพยายามในการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ครั้งแรกเมื่อกันยายนปีที่แล้ว โดยวางแผนที่จะจัดความเป็นผู้นำของธนาคารใหม่ เพิ่มความับผิดชอบ และว่าจะต้องมีพนักงานที่น้อยลง

เทรนด์ใหม่มาแรง กำลังฮิตในหมู่กลุ่มวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น ที่นิยม ‘ลบเพื่อน-ลบแอ็กเคานต์โซเชียล’ ทิ้งจนเกลี้ยง!!

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 67 ได้มีผู้ใช้งานติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘pharmaota’ หรือ ‘เภสัชโอตะ’ โพสต์คลิปวิดีโอเล่าถึงกรณี ‘เทรนด์รีเซ็ตความสัมพันธ์’ ซึ่งเทรนด์ใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่นขณะนี้ โดยระบุว่า…

เทรนด์ใหม่ของวัยรุ่นญี่ปุ่น!! ลบเพื่อนในโซเชียลเกลี้ยง ซึ่งเทรนด์ใหม่ในหมู่วัยรุ่นญี่ปุ่นที่กำลังได้รับความนิยมนี้ เรียกว่า ‘เทรนด์รีเซ็ตความสัมพันธ์’ โดยวัยรุ่นญี่ปุ่นจะทําการลบแอ็กเคานต์โซเชียล และลบเพื่อนของเขาทุกคนในโซเชียลออกทั้งหมด!!

เมื่อลองไปถามเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาได้ตอบว่า เขาลบเพื่อนของเขาในโซเชียลเกลี้ยงเลย โดยเขาได้ให้เหตุผลว่า “เพื่อนๆ ในโซเชียลของเขานั้นไม่ได้ทําการติดต่อกันเลย ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทําไม”

ส่วนวัยรุ่นอีกคนได้เล่าให้ฟังว่า “อยู่ดีๆ ก็โดนเพื่อนที่คบกันมาอย่างยาวนานลบแอ็กเคานต์ทิ้งหมดเลย พอถามว่าลบทําไม เขาก็บอกว่า แค่อยากลบเฉยๆ”

ด้านวัยรุ่นสาวอีกคนบอกว่า “เธอจะทําการลบแอ็กเคานต์โซเชียลทิ้งทุกๆ 3 เดือน เพราะว่าเพื่อนที่มีในตอนนี้ไม่ได้ทําการติดต่อกัน ไม่ได้พบเจอกัน ก็เลยลบซะดีกว่า”

คนสุดท้ายได้บอกว่า “อยากสร้างสังคมใหม่ๆ บ้าง ก็เลยลบแอ็กเคานต์เดิมออกหมด” ซึ่งเธอก็ได้ทําการสร้างแอ็กเคานต์ใหม่และหาเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งพอขอดูเพื่อนในโทรศัพท์ของเธอนั้น ก็ต้องตกใจ เพราะว่ามีเพื่อนอยู่เพียงแค่ 7 คนเท่านั้น!!

เมื่อลองถามว่า “รู้สึกเบื่อไหม? กับการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ ตลอด” น้องเขาก็ตอบออกมาตรงๆ ว่า “เบื่อค่ะ”

และจากการสํารวจก็พบว่าวัยรุ่นในปัจจุบันนี้ นิยมลบเพื่อน ลบแอ็กเคานต์บนโซเชียล มากถึง 40% เลยทีเดียว!!

‘ไล่ ชิงเต๋อ’ สร้าง ปวศ.คว้าชัยเลือกตั้ง ปธน.ไต้หวัน 3 สมัยติด พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาชาติโดยสันติ ด้านผู้นำทั่วโลกแห่ยินดี

เมื่อวันที่ 13 ม.ค.67 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ‘นายไล่ ชิงเต๋อ’ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ได้คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน หลังจากที่ ‘นายโหว โหย่วอี๋’ ผู้สมัครจากพรรคก๊กมินตั๋ง (เคเอ็มที) ประกาศความพ่ายแพ้ ทำให้พรรคดีพีพีสร้างประวัติศาสตร์เป็นพรรคการเมืองแรก ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน 3 สมัยติดต่อกัน

‘ประธานาธิบดีโจ ไบเดน’ ของสหรัฐฯ กล่าวก่อนทราบผลเลือกตั้งเมื่อถูกตามถึงความเห็นของเขาต่อการเลือกตั้งไต้หวัน ที่มีขึ้นในวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า สหรัฐฯ ไม่ได้สนับสนุนเอกราชไต้หวัน แต่ก็บอกด้วยว่า เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับประเทศใดๆ ก็ตาม ที่จะเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง

ขณะที่ ‘นายเดวิด คาเมรอน’ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ได้แสดงความยินดีกับชัยชนะของนายไล่ และแสดงความคาดหวังว่าจีนและไต้หวันจะพยายาม เพื่อหาทางแก้ไขความแตกต่างด้วยสันติวิธีอีกครั้ง

“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงประชาธิปไตยที่มีชีวิตชีวาของไต้หวัน ผมหวังว่าทั้งสองฝ่ายของช่องแคบไต้หวันจะพยายามอีกครั้ง เพื่อแก้ไขความแตกต่างอย่างสันติ ผ่านการเจรจาที่สร้างสรรค์ โดยไม่มีการคุกคาม ใช้กำลัง หรือการบีบบังคับ” แถลงการณ์ของคาเมรอนระบุ

ด้าน ‘โยโกะ คามิกาวะ’ รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น แสดงความยินดีต่อชัยชนะของนายไล่ และต่อการเลือกตั้งที่เป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมแสดงความคาดหวังว่าปัญหารอบๆ ไต้หวันจะได้รับการแก้ไขอย่างสันติผ่านการพูดคุย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค

“สำหรับญี่ปุ่น ไต้หวันเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งและเป็นเพื่อนคนสำคัญ ไต้หวันมีค่านิยมพื้นฐานร่วมกันและมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด รวมถึงการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชน” คามิกาวะระบุ พร้อมย้ำถึงแนวปฏิบัติตามปกติของญี่ปุ่นต่อไต้หวันด้วย

‘มาเรีย ซาคาโรวา’ โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย แสดงความเห็นหลังการลงคะแนนเลือกตั้งว่า รัสเซียยังมองว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน

เช่นเดียวกับสำนักกิจการไต้หวันของจีนแผ่นดินใหญ่ที่ย้ำว่า ชัยชนะของนายไล่จะไม่เปลี่ยนภูมิทัศน์พื้นฐานของความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบแต่อย่างใด

ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ผ่านสำนักข่าวซินหัว ‘นายเฉิน ปินหัว’ โฆษกสำนักกิจการไต้หวัน ระบุว่า ผลเลือกตั้งแสดงให้เห็นว่า พรรคดีพีพีไม่ใช่ตัวแทนความเห็นกระแสหลักบนเกาะไต้หวันแต่อย่างใด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top