Monday, 19 May 2025
World

‘หนุ่มจีน’ ถูกพ่อหลอก ‘บ้านจน-ติดหนี้’ ลำบากกว่า 20 ปี สุดท้ายเฉลยว่าบ้านรวยระดับเศรษฐี แถมมีบริษัทใหญ่โต!!

เมื่อไม่นานนี้ นายจาง จื่อหลง ลูกชายของ นายจาง อวี้ย์ตง เจ้าของบริษัทผลิตขนมชื่อดังของจีน เปิเผยว่า เขาถูกพ่อแท้ๆ หลอกมากว่า 20 ปี!!

โดยนายจาง จื่อหลง เข้าใจมาตลอดว่า ครอบครัวของตนมีฐานะยากจน เนื่องจากพ่อของเขาพร่ำบอกเสมอว่ามีหนี้สิน หนำซ้ำบ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆ ในอำเภอผิงเจียง เมืองเย่ว์หยาง มณฑลหูหนาน

ดังนั้น ขณะที่เรียนมหาวิทยาลัย นายจาง จื่อหลง จึงมีความฝันว่า หลังจากเรียนจบเขาจะหางานที่ได้รับเงินเดือนมากกว่า 6,000 หยวน (ประมาณ 30,000 บาท) เพื่อหาเงินมาช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อ

ทว่าอะไรๆ ก็ไม่ได้เป็นดังหวัง เนื่องจากนายจาง จื่อหลงไม่สามารถหางานได้ตามที่ต้องการ นานวันเข้าพ่อของเขาก็เริ่มทนไม่ไหว เรียกให้เขากลับมาช่วยงานที่บ้าน

“พ่อผมบอกว่าหางานไม่ได้ก็กลับมา ผมบอกพ่อว่า กลับไปแล้วจะไปทำอะไร บริษัทของพ่อขาดทุนทุกปี สู้ผมไปหางานที่มั่นคงทำจะดีกว่า” จางจื่อหลง กล่าว

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็ต้องกลับบ้านตามคำขอ และเมื่อได้เห็นบริษัทของพ่อซึ่งใหญ่กว่าที่คิด ทั้งยังได้รู้ว่า ตึกบริษัทพ่อก็ไม่ได้เช่า หากแต่เป็นเจ้าของด้วย เขาก็เข้าใจทันทีว่า ตนเองถูกพ่อหลอกมาตลอด 20 ปี!!

หลังจากความจริงถูกเปิดเผย พ่อของเขาก็ไม่คิดปกปิดฐานะที่แท้จริงอีกต่อไป ทั้งครอบครัวจึงย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา ซึ่งแค่ค่าตกแต่งเพียงอย่างเดียวก็ปาเข้าไปกว่า 10 ล้านหยวน (ประมาณ 50 ล้านบาท) แล้ว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน นายจาง จื่อหลง ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการขายของในโต่วอิน หรือติ๊กต็อกเวอร์ชันจีนให้บริษัท โดยความฝันอันสูงสุดของเขาในตอนนี้ คือการพาบริษัทของพ่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ เช่น
- “เรื่องแบบนี้ช่วยเกิดขึ้นกับฉันบ้างจะได้ไหม?”
- “ฉันจะไปถามพ่อตอนนี้เลยว่าพ่อปกปิดไม่ให้ฉันรู้ว่าบ้านเรารวยหรือเปล่า?”
- “ความปรารถนาอันสูงสุดของฉันคือ การที่จู่ๆ วันหนึ่งพ่อกับแม่ก็เดินมาบอกว่า ความจริงแล้วครอบครัวของเราไม่ได้ยากจน เรามีบ้านหลายหลังและมีทรัพย์สินหลายร้อยล้าน”

'ซุน ซ่ง' นักคณิตศาสตร์ชื่อดังของจีน กลับคืนสู่มาตุภูมิ หลังใช้เวลากว่าทศวรรษเป็นอาจารย์อยู่ ม.ชื่อดัง ที่สหรัฐฯ

(8 ม.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'Jaroensook Limbanchongkit Pone' ได้โพสต์ข้อความ ในหัวข้อ *** กลับสู่มาตุภูมิ *** ระบุว่า...

'ซุน ซ่ง' นักคณิตศาสตร์ชื่อดังของ #จีน ได้โยกย้ายกลับมาสู่บ้านเกิด คือ จีน หลังจากใช้เวลากว่าทศวรรษไปเป็นอาจารย์อยู่ที่ #สหรัฐอเมริกา โดยเขาจะจะเข้าร่วมเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่จีนในตำแหน่งศาสตราจารย์เต็มเวลา

นักคณิตศาสตร์ชื่อดังชาวจีนวัย 36 ปีรายนี้ ได้เริ่มบทบาทของเขาในฐานะอาจารย์ประจำของสถาบันการศึกษาขั้นสูงทางคณิตศาสตร์ (#IASM) ที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงเมื่อต้นเดือนมกราคมนี้

โดยก่อนมาอยู่จีน เขาไปเป็นศาสตราจารย์ในภาควิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้รับรางวัลมากมายจากผลงานของเขา เช่น รางวัล Oswald Veblen สาขาเรขาคณิต และรางวัล New Horizons สาขาคณิตศาสตร์

Star mathematician Sun Song leaves US for China.

After more than a decade of research and teaching in the United States, Chinese-born maths star Sun Song has joined a university in eastern China as a full-time professor.

The 36-year-old geometer started his role as a permanent faculty member at the Institute for Advanced Study in Mathematics (IASM) at Zhejiang University earlier this month, according to the university’s official WeChat account.

Before the new appointment, Sun was a professor in the department of mathematics at the University of California, Berkeley. He has received multiple awards for his work, such as the Oswald Veblen Prize in Geometry and the New Horizons in Mathematics Prize. 

การค้า ‘ไทย-จีน’ สดใส!! หลังเติบโตใต้ปีก RCEP หนุนสินค้าไทยจนได้รับความนิยมสูงในครัวเรือนจีน

เมื่อวานนี้ (7 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ อากาศหนาวเย็นขึ้นทั่วจีน ทว่าบนโต๊ะอาหารของหลายครัวเรือนกลับอบอุ่นไปด้วยกลิ่นหอมจากหม้อไฟไก่อุ่นๆ ซึ่งใช้น้ำมะพร้าวน้ำหอมของไทยเป็นน้ำซุป

มะพร้าวน้ำหอมจากอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นหอมและความหวาน ด้วยอานิสงส์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มะพร้าวน้ำหอมไทยจึงได้รับความกระแสความนิยมอย่างรวดเร็วในตลาดจีนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยถูกใช้ในการประกอบอาหารอย่างแพร่หลาย อาทิ เค้ก กาแฟ และอาหารที่ใช้เนื้อไก่ ทำให้ยอดจำหน่ายเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สองปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ในไทยเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2022 ผัก ผลไม้ สิ่งทอ ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ของไทยต่างได้รับประโยชน์จากความตกลงดังกล่าว การค้าภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่ม อัตราภาษีที่ลดลงตลอดจนกรอบการค้าข้ามภูมิภาคที่ได้มาตรฐาน กระตุ้นการเติบโตด้านการค้าและการลงทุนในกลุ่มประเทศสมาชิก และทำให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมระหว่างจีน-อาเซียนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

สำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีน ระบุว่า อาเซียนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน ในช่วง 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน) ของปี 2023 ด้วยมูลค่าการค้าจีน-อาเซียนที่ 5.8 ล้านล้านหยวน (ราว 28.76 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบปีต่อปี

ยกตัวอย่างจากตลาดค้าส่งผลไม้หนานหนิง ไห่จี๋ซิง ตลาดค้าส่งผลไม้ใหญ่สุดในกว่างซี ก็คับคั่งด้วยรถบรรทุกผลไม้จอดเรียงรายอยู่หน้าตลาดเพื่อรอลำเลียงสินค้า ตั้งแต่ต้นปี โม่เจียหมิง ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนำเข้าผลไม้แห่งหนึ่ง กล่าวว่าปีนี้บริษัทฯ จะพึ่งพาช่องทางการตลาดที่หลากหลายและราคาที่ดี อันเป็นผลประโยชน์จากนโยบายความตกลงฯ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ พร้อมเสริมว่ามะพร้าวน้ำหอมไทยที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นำพาโอกาสมาให้บริษัทฯ ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ แผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ ที่คืบหน้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้การค้าจีน-ไทยใกล้ชิดกันมากขึ้น โอกาสจากการระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศสายใหม่ และการบังคับใช้ความตกลงฯ ทำให้รูปแบบการค้าและการขนส่งมีความหลากหลายยิ่งขึ้น สินค้าไทยเข้าสู่ครัวเรือนทั่วจีนด้วยราคาถูกขึ้น และสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ตจีน ทั้งข้าวหอมมะลิ เครื่องปรุงรส เครื่องสำอาง ยา หมอนยางพารา ครีมกันแดด ฯลฯ

หลิวเสียง รองผู้อำนวยการสำนักพาณิชย์เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง กล่าวว่าการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนต่อด้านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนระหว่างจีน-อาเซียน ผ่านรูปแบบและคอนเทนต์ที่หลากหลายก็มีส่วนส่งเสริมอุตสาหกรรมของทั้งสองฝ่าย

ขณะเดียวกัน หลายปีที่ผ่านมากว่างซีก็มุ่งสร้างฐานอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจีน-อาเซียน ซึ่งมีเขตนำร่องอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนระดับประเทศที่ได้รับการอนุมัติแล้วรวม 4 แห่ง และมีเมืองที่เข้าร่วมโครงการนำร่องนำเข้าสินค้าค้าปลีกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนแล้ว 8 เมือง ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าและส่งออกเติบโตอย่างรวดเร็ว

‘ออสเตรเลีย’ ออกกฎหมายแบน ‘การชูมือแบบนาซี’ ในประเทศ หวังไม่ให้มีที่ยืนสำหรับคนที่เชิดชู ฝ่าฝืน!! จำคุกสูงสุด 12 เดือน

(8 ม.ค. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลออสเตรเลียได้ออกกฎหมายแบนการชูมือคารวะแบบนาซี ตลอดจนการแสดงหรือการจำหน่ายสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ (8 ม.ค.) เป็นต้นไป กฎหมายนี้เกิดขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์ต่อต้านชาวยิวเพิ่มขึ้นจากสงครามระหว่างอิสราเอล-กาซา

กฎหมายดังกล่าวระบุว่า การชูมือคารวะแบบนาซี หรือการแสดงสัญลักษณ์สวัสติกะหรือสัญลักษณ์ประจำหน่วยชุทซ์ชตัฟเฟิล (SS) ในที่สาธารณะ ตลอดจนการจำหน่ายและแลกเปลี่ยนสัญลักษณ์เหล่านี้ ถือเป็นความผิดต้องโทษจำคุกสูงสุด 12 เดือน

นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังห้ามการแสดงหรือค้าขายแลกเปลี่ยนสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรก่อการร้ายที่ถูกแบน เช่น กลุ่มรัฐอิสลาม (IS), ฮามาส หรือพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (PKK) อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้มีข้อยกเว้นสำหรับการใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ การศึกษาหรือศิลปะ

นายมาร์ก เดรย์ฟัส อัยการสูงสุด กล่าวในแถลงการณ์ว่า กฎหมายนี้ส่งสารชัดเจนว่า ในออสเตรเลียไม่มีพื้นที่ให้สำหรับผู้ยกย่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวหรือการก่อการร้าย

“นี่เป็นกฎหมายฉบับแรกในลักษณะนี้ และจะทำให้แน่ใจว่า ไม่มีใครในออสเตรเลียสามารถยกย่องหรือแสวงหาผลกำไรจากการกระทำและสัญลักษณ์ที่เชิดชูพวกนาซีและอุดมการณ์ชั่วร้ายของพวกมัน”

ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวได้รับการเสนอในเดือนมิ.ย.และผ่านความเห็นชอบในเดือนธ.ค. 2566 โดยกฎหมายนี้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นท่ามกลางกระแสต่อต้านชาวยิวและศาสนาอิสลามที่เพิ่มขึ้นหลังจากเหตุการณ์การโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ซึ่งทางการอิสราเอลรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,200 ราย และถูกจับเป็นตัวประกัน 240 ราย

ตัวอย่างกระแสเกลียดชังชาวยิวที่ปรากฏในออสเตรเลียได้แก่กรณีคลิปวิดีโอแสดงภาพชายกลุ่มเล็ก ๆ ในม็อบสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ที่ชุมนุมกันนอกซิดนีย์โอเปราเฮาส์เมื่อเดือนต.ค. โดยมีการตะโกนว่า ‘gas the Jews’ (จับพวกยิวไปรมแก๊ส)

‘FAA’ สั่งระงับบิน!! โบอิ้ง 737 แม็กซ์ 9 จำนวน 171 ลำ หลังชิ้นส่วนหลุดกลางอากาศ เพื่อตรวจเช็กความปลอดภัย

(8 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อะแลสกา แอร์ไลน์ กล่าวว่า ได้ยกเลิกเที่ยวบิน 170 เที่ยวเมื่อวานนี้และอีก 60 เที่ยวบินในวันนี้ หลังจากที่สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ หรือ เอฟเอเอ สั่งให้พักการใช้งานเครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ 9 จำนวน 171 ลำเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย

อะแลสกา แอร์ไลน์ ซึ่งมีสำนักงานในนครซีแอตเติ้ล กล่าวว่า การยกเลิกเที่ยวบินจะดำเนินต่อไปตลอดช่วงครึ่งแรกของสัปดาห์นี้ การยกเลิกเที่ยวบินเมื่อวานนี้ กระทบกับผู้โดยสารเกือบ 25,000 คน อะแลสกา แอร์ไลน์ มีเครื่องบิน 737 แม็กซ์ 9 ใช้งานจำนวน 65 ลำ

เอฟเอเอ สั่งการเมื่อวันเสาร์ ให้ระงับการบินเครื่องบินรุ่นนี้ 171 ลำ ที่ติดตั้งแผ่นด้านข้างลำตัวเครื่องบินแบบเดียวกัน หลังจากเครื่องบินของอะแลสกา แอร์ไลน์ ต้องลงจอดฉุกเฉินเมื่อแผ่นผนังของลำตัวเครื่องบินชิ้นหนึ่งหลุดปลิวหล่นจากตัวเครื่องบิน ทำให้เครื่องบินที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองออนแทริโอ ต้องกลับไปลงที่สนามบินในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอนและลงจอดฉุกเฉินแต่ผู้โดยสาร 171 คนและลูกเรือ 6 คน ปลอดภัย

เอฟเอเอ กล่าวว่า จะยังคงพักใช้งานเครื่องบินต่อไปจนกว่าเอฟเอเอจะพอใจว่า เครื่องบินมีความปลอดภัย

‘สตาร์ตอัปฝรั่งเศส-อเมริกัน’ ผุด ‘ไบโอพ็อด’ โดมเพื่อการเกษตร เตรียมปลูกพืชบนอวกาศ รับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในอนาคต

(8 ม.ค. 67) รายงานข่าวจาก บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อินเทอร์สเตลลาร์ แล็บ สตาร์ทอัพสัญชาติฝรั่งเศส-อเมริกัน ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และในนครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ออกแบบโดมเพื่อการเกษตรที่มีชื่อเรียกว่า ‘ไบโอพ็อด’ (BioPod) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเกษตรกรสร้างผลผลิตในท้องถิ่น และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง

บาร์บารา เบลวีซี ผู้ก่อตั้งบริษัท ยกตัวอย่างว่า ในแง่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น การทดลองปลูกต้นวานิลลาภายในโดมไบโอพ็อด จะเป็นการช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งวานิลลาจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง

“นอกจากนี้ เรายังใช้ทรัพยากรนํ้าอย่างมีประโยชน์มากขึ้นเทียบกับการเกษตรแบบดั้งเดิม เพราะด้วยวิธีการใหม่นี้ 99% ของนํ้า จะถูกรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ อีกทั้งยังเป็นการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศไปเพิ่มระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในโดม” เบลวีซีอธิบาย

การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ยังช่วยให้สามารถใช้พื้นที่สำหรับการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นการใช้พื้นที่แนวตั้งมากกว่าแนวขยายรูปทรงภายนอกของโดมไบโอพ็อด มีลักษณะกลมรี ตัวฐานใช้วัสดุที่สามารถถอดประกอบได้ง่าย พื้นชั้นล่างสุดจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์ระบบภายใน ส่วนหลังคาด้านบนใช้เป็นวัสดุโพลิเมอร์เป่าลมให้พองออกได้คล้ายกับโดม

ด้านในประกอบไปด้วยระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ รวมถึงแสง และนํ้า นอกจากนี้ยังมีระบบหมุนเวียนรีไซเคิลทั้งนํ้าและอากาศกลับมาใช้ใหม่ เพื่อความยั่งยืนอีกด้วย

ด้วยแนวคิดให้เป็นโมดูลผลิตอาหารแบบยั่งยืน ภายในโดมซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยขนาด 55 ตารางเมตร ได้รับการออกแบบให้มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงบนอวกาศ โดยตั้งสมมุติฐาน ถ้ามนุษย์ตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์ อุณหภูมิที่นั่นเมื่อแสงอาทิตย์ส่องอาจจะร้อนได้ถึง 127 องศาเซลเซียส หรือลดลงต่ำสุดได้ถึง -173 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน

‘ไบโอพ็อด’ โดมปลูกพืชบนดวงจันทร์

ทั้งนี้ จากความร่วมมือกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ นาซ่า (NASA) จะมีการนำโดมเพื่อการเกษตรไบโอพ็อดนี้ ออกไปทดลองปลูกพืชในอวกาศด้วย โดยมีกำหนดใช้งานบนดวงจันทร์ภายในปี 2027เป้าหมายเพื่อพัฒนาเรือนปลูกพืชสำหรับใช้งานในอวกาศ รองรับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในอนาคต ซึ่งอาจจะเป็นดวงจันทร์ที่นาซ่ากำลังมีโครงการนำมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ภายในปี 2024 นี้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผู้บริหารของอินเทอร์สเตลลาร์ แล็บ ได้เข้าร่วมการประชุมสภาพภูมิอากาศ COP28 ที่จัดโดยสหประชาชาติที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อแนะนำโครงการและระดมทุนสำหรับ

โครงการนี้ โดยคาดว่าเมื่อบริษัทผลิตโดมไบโอพ็อดออกจำหน่ายเพื่อการพาณิชย์ จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 350,000 ดอลลาร์ หรือราว 12 ล้านบาท

ผู้บริหารของบริษัทกล่าวว่า หลายภูมิภาคทั่วโลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการผสมพันธุ์ดัดแปรพันธุกรรมอาจนำไปสู่การปรับปรุงพืชให้สามารถทนทานต่อความร้อนได้ดีขึ้น แต่พืชบางชนิดเช่น มันฝรั่ง ก็มีความเสี่ยงที่ผลผลิตจะลดลงเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ดังนั้น การนำไบโอพ็อดไปใช้ในพื้นที่ดังกล่าวสามารถทำหน้าที่เป็นวิธีหนึ่งในการรับรองว่าพืชผลบางชนิดจะปลอดภัยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ ไบโอพ็อดยังสามารถปกป้องและอนุรักษ์พืชที่อยู่นอกแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพืชนั้นๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า นี่คืออีกเครื่องมือหนึ่งของมนุษย์ในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพทางการเกษตร นอกเหนือไปจากธนาคารเมล็ดพันธุ์และสวนพฤกษศาสตร์

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาไบโอพ็อด เป็นเพียงขั้นตอนแรกของภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในการช่วยให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเลือกอยู่ไม่ว่าจะเป็นบนโลก ในอวกาศ หรือบนดวงจันทร์ แนวคิดของอินเทอร์สเตลลาร์ แล็บ ซึ่งเป็นเจ้าของนวัตกรรมนั้น ต้องการให้ไบโอพ็อด สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ การทำฟาร์มอย่างยั่งยืน และการจัดการทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อเป็นหลักประกันว่า มนุษย์จะมีความมั่นคงทางอาหาร ไม่ว่าพวกเขาเลือกจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ หรือแม้แต่บนดาวเคราะห์

‘ภูเขาอู๋จื่อซาน’ ผุดไอเดียสร้างเอกลักษณ์ ‘อาชีพซุนหงอคง’ ไม่ต้องมีพลังวิเศษ แค่ชอบกินกล้วย ทำรายได้พุ่งกว่า 30,000 บาท

(8 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เผยอาชีพสุดแปลกที่กำลังเปิดรับสมัครในจีนจนเป็นที่ฮือฮาบนโลกโซเชียล โดยอาชีพแปลกนี้คือ ซุนหงอคง คุณสมบัติไม่มีอะไรมากเพียงแค่เป็นแฟนตัวยงของตำนานจีนเรื่อง เห้งเจีย หรือที่เรียกว่า ซุนหงอคง และมีใจรักในการกินกล้วยฟรีที่ไม่จำกัดจำนวนเท่านั้น

ตามรายงานเผยว่า ภูเขาอู๋จื่อซานในเหอเป่ย์ ภูเขาห้านิ้ว ทางตอนเหนือของจีน กำลังมองหาพนักงานมาแต่งตัวเป็นซุนหงอคง โดยผู้สมัครต้องแต่งกายเป็นซุนหงอคง อยู่ในช่องว่างของถ้ำตรงด้านล่างของภูเขา และกินอาหารที่นักท่องเที่ยวป้อนให้เท่านั้น รับรายได้จุกๆ 842 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือราว 30,000 บาท

อีกทั้งผู้สมัครไม่จำเป็นต้องเป็นนักกายกรรม มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือสามารถขี่บนก้อนเมฆได้ เพียงแค่เป็นแฟนตัวยงของตำนานจีนเรื่อง เห้งเจีย หรือที่เรียกว่า ซุนหงอคง (Sun Wukong) และมีใจรักในการกินกล้วยฟรีแค่นั้น

สำหรับอาหารที่นักท่องเที่ยว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มักนำมาป้อนให้ซุนหงอคงค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิล บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมถึงกล้วยจำนวนมาก โดยซุนหงอคงต้องรับประทานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ทางด้านผู้จัดการของอู๋จื่อซานเหอเป่ย์กล่าวด้วยว่า ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ ขอแค่หลงใหลในตัวละครซุนหงอคง มีพรสวรรค์ด้านการแสดง และเป็นคนที่สดใสร่าเริง นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ง่ายเท่านั้นก็เพียงพอ

ผู้จัดการกล่าวเสริมด้วยว่า ตอนนี้ที่ภูเขาห้านิ้วมีพนักงานซุนหงอคงประจำอยู่ที่นี่ 2 คนแล้ว ต้องการรับเพิ่มเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนใครที่สนใจแต่กังวลว่าจะต้องกินอาหารมากเกินไป จริงๆ แล้วพนักงานไม่ต้องกินของที่นักท่องเที่ยวป้อนทั้งหมด สามารถเก็บกล้วยไว้แบ่งกับเพื่อนร่วมงานหลังเลิกกะได้

ทั้งนี้ ผู้สมัครไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศที่หนาวเย็นในถ้ำ เพราะทางบริษัทได้ติดตั้งเครื่องทำความร้อนภายในถ้ำเรียบร้อย รับรองว่าอากาศอบอุ่นแน่นอน

'จีน' คว่ำบาตร 5 บริษัทค้าอาวุธอเมริกัน  ตอบโต้นโยบายขายอาวุธให้ไต้หวันของสหรัฐฯ

เมื่อวันอาทิตย์ (7 ม.ค.67) ที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งประกาศคว่ำบาตร 5 บริษัทค้าอาวุธสัญชาติอเมริกันทันที เพื่อตอบโต้นโยบายสนับสนุนอาวุธให้กับไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นการยุยงปลุกปั่นการแบ่งแยกดินแดนของเกาะไต้หวันอย่างจงใจ ขัดต่อหลักการนโยบายจีนเดียวของจีนแผ่นดินใหญ่ 

โดยบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ คว่ำบาตรโดยรัฐบาลปักกิ่ง ได้แก่...

- BAE Systems Land and Armaments
- Alliant Techsystems Operations
- AeroVironment
- ViaSat 
- Data Link Solutions 

กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ระบุชัดเจนในแถลงการณ์ว่า มาตรการคว่ำบาตรนี้ จะประกอบด้วยการอายัดทรัพย์สินของบริษัทเหล่านั้นในจีน รวมถึงสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ของทั้งองค์กร และตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการห้ามองค์กรและบุคคลของจีนทำธุรกรรมและให้ความร่วมมือองค์กรทั้ง 5 แห่งนี้ด้วย 

รัฐมนตรีต่างประเทศจีนยังเสริมอีกว่า การขายอาวุธของสหรัฐฯ ให้กับไต้หวันที่ถือว่าเป็นภูมิภาคส่วนหนึ่งของจีน ส่งผลเสียร้ายแรงต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลจีนที่จะต้องปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง สิทธิ และผลประโยชน์ขององค์กรและพลเมืองของจีนตามกฎหมาย 

มาตรการคว่ำบาตรของจีนในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้อนุมัติงบประมาณช่วยเหลือด้านการทหารแก่ไต้หวันมูลค่า 300 ล้านเหรียญ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ที่ครอบคลุมถึงการสนับสนุนด้านยุทโธปกรณ์ การฝึกอบรม และการซ่อมบำรุง เพื่อเสริมศักยภาพด้านการสั่งการ ควบคุม และการสื่อสารให้แก่กองทัพไต้หวัน

กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยังย้ำอีกว่า งบช่วยเหลือด้านการทหาร และ การขายอาวุธของสหรัฐฯให้ไต้หวัน จะช่วยให้ไต้หวันขยายขีดความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลจีนปักกิ่งต้องออกมาตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรบริษัทค้าอาวุธทั้ง 5 แห่งของสหรัฐอเมริกาในวันนี้ แม้นักวิเคราะห์ตะวันตกจะมองว่าการคว่ำบาตรของจีนเป็นเพียงการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตอาวุธของสหรัฐฯ ไม่สามารถขายอาวุธให้กับรัฐบาลจีนได้อยู่แล้ว 

แต่อย่างน้อยก็เป็นการส่งสัญญาณแสดงความไม่พอใจจากรัฐบาลปักกิ่ง ถึงสหรัฐฯ ที่พยายามใช้ไต้หวันเป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้งกับจีน ที่อาจลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารอย่างจริงจังระหว่างชาติมหาอำนาจตะวันตก กับ จีน ในเขตพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน ซึ่งการขายอาวุธของสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งรูปแบบของความพยายามในการแทรกแซงกิจการภายในของจีน ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีน และ ไต้หวัน 

รัฐบาลจีนจึงจำเป็นต้องตอบโต้ ผ่านนโยบายคว่ำบาตรที่สหรัฐอเมริกาชอบใช้กดดันประเทศที่เป็นอริกับตนอยู่เสมอ แต่อาจไม่เห็นผลมากนัก เพราะตราบใดที่การครอบครองอาวุธ หมายถึงการรักษาสันติภาพในมุมมองของสหรัฐฯ และรัฐบาลไต้หวันเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน ก็คงคลี่คลายได้ยาก

หุ้น ‘Nvidia’ พุ่งแตะ!! 6.4% และปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังประกาศเปิดตัวการ์ดจอ AI หวังมัดใจผู้ชื่นชอบวิดีโอเกม

(9 ม.ค. 67) หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลกจากสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ (8 ม.ค.) หลังอินวิเดียเปิดตัวหน่วยประมวลผลภาพกราฟิก (GPU) หรือ การ์ดจอ รุ่นใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ทั้งนี้ หุ้นอินวิเดียปรับตัวขึ้น 6.4% ปิดที่ 522.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นในวันจันทร์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังอินวิเดียประกาศเปิดตัวการ์ดจอรุ่น GeForce RTX 40 SUPER Series โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเอาใจกลุ่มผู้ชื่นชอบวิดีโอเกม

นอกจากนี้ ก่อนถึงกำหนดจัดงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค (Consumer Electronics Show) ในลาสเวกัส อินวิเดียยังได้ประกาศเปิดตัวชิ้นส่วนและซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI

หุ้นอินวิเดียพุ่งขึ้นกว่า 3 เท่าตัวในปี 2566 เนื่องจากถูกมองว่าเป็นผู้นำในแวดวงซัพพลายเออร์ด้านการประมวลผลที่ใช้ในการคำนวณ AI

ด้าน แอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า หุ้นอินวิเดียมีปริมาณการซื้อขายมูลค่ากว่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในวันจันทร์ ซึ่งสูงที่สุดในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดของอินวิเดียอยู่ที่เกือบ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

การปรับตัวขึ้นครั้งล่าสุดของหุ้นอินวิเดียหนุนให้ดัชนีชิปเซมิคอนดักเตอร์ PHLX พุ่งขึ้น 3.3%

ปิดตำนาน 'เบคเคนเบาเออร์' แข้งเทพแห่งเมืองเบียร์ในวัย 78 ผู้คว้าแชมป์บอลโลกในฐานะ 'นักเตะ-โค้ช' คนที่ 2 ของโลก

(9 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาครอบครัวเบ็คเคนเบาเออร์ เผยข้อความผ่าน ‘ดีพีเอ’ สำนักข่าวชื่อดัง ว่า “เรามีความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่จะประกาศให้ทราบว่า ฟรานซ์ เบคเคนเบาเออร์ เสียชีวิตลงแล้วด้วยอาการสงบ เมื่อวานนี้ (วันอาทิตย์) โดยมีสมาชิกครอบครัวอยู่ดูใจ และในช่วงเวลานี้ เราอยากขอร้องทุกท่านให้เราได้อยู่กับความเศร้าครั้งนี้ด้วยความสงบ และของดตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น”

สำหรับ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ถูกยกย่องให้เป็นตำนานของวงการลูกหนังเยอรมนี ลงสนามให้อินทรีเหล็กไป 103 นัด เคยพาเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย ในปี 1974 ในฐานะกัปตันทีม แชมป์ยูโรเปียน แชมเปียนชิพ หรือฟุตบอลยูโร 1 สมัย ในปี 1972 ก่อนจะแขวนสตั๊ดแล้วผันตัวมาเป็นกุนซือ พาเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย ในปี 1990 กลายเป็นคนที่ 2 ของโลกที่คว้าแชมป์ทั้งในฐานะนักฟุตบอลและโค้ช ต่อจาก มาริโอ ซากัลโล ของบราซิล

ในส่วนของสโมสร ‘ไกเซอร์ฟรานซ์’ ลงสนามให้ ‘เสือใต้’ บาเยิร์น มิวนิค 582 นัด พาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ หรือยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มาครองถึง 3 สมัยติดต่อกัน ในช่วงระหว่างปี 1973/74, 1974/75 และ 1975/76 คว้าแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี 4 สมัย ก่อนโยกไปค้าแข้งกับ นิวยอร์ก คอสมอส ในสหรัฐฯ ร่วมทีมกับ เปเล ตำนานดาวเตะทีมชาติบราซิลผู้ล่วงลับ ย้ายมาฮัมบูร์กในช่วงสั้นๆ ก่อนไปแขวนสตั๊ดกับ นิวยอร์ก คอสมอส อีกครั้งในปี 1983


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top