Monday, 19 May 2025
World

‘สี จิ้นผิง’ ยอมรับ!! ผ่านสุนทรพจน์อวยพรปีใหม่ ‘เศรษฐกิจจีน’ กำลังอยู่ในช่วง ‘ยากลำบาก’

(3 ม.ค. 67) CNN ของสหรัฐฯรายงานว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เข้ารับตำแหน่งในฐานะผู้นำประเทศเมื่อปี 2013 ที่เขาได้ออกมายอมรับถึงสภาพปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจีนว่ามีอยู่จริง

เป็นการเปิดเผยผ่านสุนทรพจน์อวยพรปีใหม่ประจำปี 2024 ในวันอาทิตย์(31 ธ.ค)นี้มีใจความว่า

“มีบางบริษัทกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ประชาชนบางคนกำลังมีปัญหาในการหางานทำและเพื่อทำให้สามารถอิ่มท้องและอยู่ได้ไปวันๆ”

และเขาต่อว่า “ทั้งหมดเหล่านี้ยังคงเป็นปราการด่านหน้าอยู่ในใจของผม” ผู้นำจีนชี้ว่า “พวกเราจะทำให้เข้มแข็งและเพิ่มความแข็งแกร่งต่อโมเมนตัมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของพวกเรา”

ทั้งนี้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่สีจะขึ้นกล่าวสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน NBS (National Bureau of Statistics) ได้เผยแพร่ดัชนีประจำเดือนผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ PMI(Purchasing Managers Index) ซึ่งดัชนีที่ว่านี้เพื่อสำรวจธุรกิจเอกชนทั่วโลก หากดัชนี PMI สูงกว่า/ต่ำกว่า ระดับ 50 หมายถึง แนวโน้มเศรษฐกิจและภาวะธุรกิจโดยรวมมีทิศทางดีขึ้น/แย่ลง

ซึ่งจากการเปิดเผยแสดงถึงความเคลื่อนไหวทางอุตสาหกรรมจีนลดลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่เดือนธันวาคม

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน NBS กล่าวผ่านแถลงการณ์มีใจความว่า ตัวเลขดัชนีอุตสาหกรรมจีนอย่างเป็นทางการตกไปที่ 49 ในเดือนที่ผ่านมา ต่ำกว่า 49.4 ในเดือนพฤศจิกายน

CNN รายงานว่าซึ่งหากตัวเลขดัชนีสูงกว่า 50 แสดงถึงการขยายตัวและหากต่ำกว่า 50 แสดงถึงการหดตัว ซึ่งตัวเลข PMI เดือนธันวาคมยังเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันแสดงการหดตัวทางอุตสาหกรรม

เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายจากปัญหาอุปสงค์(demand) ที่อ่อนตัว การว่างงานเพิ่มขึ้นและความไม่มั่นใจทางธุรกิจ

การกวาดล้างของรัฐบาลจีนทางธุรกิจโดยใช้ข้ออ้างเหตุผลทางความมั่นคงจีนนั้นทำให้นักลงทุนต่างประเทศหนี

ทั้งนี้ในวันเสาร์(30 ธ.ค)ธนาคารกลางจีนได้ประกาศไฟเขียวยกเลิกการควบคุมของผู้ถือหุ้นของบริษัท Alipay ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลทางการเงินยักษ์ใหญ่ของจีนที่สามารถพบได้ในต่างประเทศรวมในไทย โดย Alipay เป็นของ Ant Group ที่มีเศรษฐีพันล้านจีน แจ็ก หม่า เป็นผู้ก่อตั้งร่วม

ซึ่งการไฟเขียวนี้ CNN หมายความว่า แจ็ก หม่านั้นยกเลิกการควบคุมในบริษัทนี้อย่างเป็นทางการ

‘อีลอน มัสก์’ ทำมูลค่าทางการตลาด ‘X’ หายไป 71% นับตั้งแต่ทุ่มเงิน 44 พันล้านดอลลาร์ เข้าซื้อกิจการ

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค.67) มูลค่าทางการตลาดของทวิตเตอร์ลดลงไปกว่า 71% นับตั้งแต่โดนเจ้าของเทสลา อีลอน มัสก์ ซื้อออกจากตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อตุลาคมปี 2022 ในดีล 44 พันล้านดอลลาร์ ก่อนจะเริ่มต้นปลดพนักงานครั้งใหญ่ เปลี่ยนชื่อแพลตฟอร์มเป็น X และผจญมรสุมต่างๆ นานา โดนใบเหลืองเตือนจาก EU ข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และมัสก์โดนกระแสทวีตเหยียดยิวเล่นงานจนโฆษณาหนี

เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานในวันอังคาร (2 ม.ค.) ว่า บริษัทการลงทุน Fidelity เปิดเผยว่าตั้งแต่หลังจากมหาเศรษฐีพันล้านเจ้าของเทสลา อีลอน มัสก์ ซื้อบริษัททวิตเตอร์ไปเมื่อตุลาคมปี 2022 ได้ในราคา 44 พันล้านดอลลาร์ พบว่ามูลค่าหุ้นตกลงไปกว่า 71.5%

Fidelity ซึ่งถือหุ้นอยู่ในทวิตเตอร์เปิดเผยในการรายงานของสื่อ Axios ของสหรัฐฯ ได้ประเมินว่า แพลตฟอร์ม X ในชื่อปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ราว 12.5 พันล้านดอลลาร์ ในการเปิดเผย

ทวิตเตอร์นั้นถูกเปลี่ยนชื่อเป็น X เมื่อกรกฎาคมปี 2023 และยังคงประสบปัญหามาโดยตลอด ตัวเลขผู้ใช้ประจำเดือนตกลงไป 15% ในปีแรกตั้งแต่มัสก์ซื้อท่ามกลางความวิตกการเพิ่มขึ้นของวาทะแสดงความเกลียดชัง หรือ hate speech บนแพลตฟอร์มซึ่งหลังจากที่มัสก์ซื้อทวิตเตอร์ออกมาจากตลาดหลักทรัพย์ เขาสั่งปลดพนักงานออกไปไม่ต่ำกว่า 50% และลดการตรวจสอบลง ส่งผลทำให้ในกันยายนปีที่ผ่านมา สหภาพยุโรป EU ออกคำเตือนไปยังอีลอน มัสก์ หลังจากพบว่าแพลตฟอร์ม X ของเขามีอัตราสูงสุดของการโพสต์ข้อมูลปลอมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมด

และล่าสุด อีลอน มัสก์ยังทำให้ X โดนแห่ถอนโฆษณาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังนับตั้งแต่มัสก์ได้ทวีตให้การสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดเหยียดชาวยิว อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส และส่งผลทำให้เจ้าของเทสลาออกมาตอบโต้การแห่ถอนโฆษณาจาก X ด้วยการกล่าวว่า “ขอให้บริษัทพวกนั้นไปลงนรกซะ” ระหว่างการให้สัมภาษณ์อยู่ในเมืองนิวยอร์ก ซิตี

มัสก์ซึ่งถูกนิตยสารฟ็อบส์จัดให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกมีความมั่งคั่ง 251 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อครั้งที่เขาซื้อทวิตเตอร์ไปเขาแสดงเหตุผลว่า “เป็นการซื้อเพื่อช่วยมนุษยชาติ”

และมัสก์ที่มีแนวคิดทางการเมืองนิยมฝ่ายขวาและพรรครีพับลิกันได้สั่งยกเลิกการแบนบุคคลทางการเมืองอื้อฉาวของสหรัฐฯ ทั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และนักจัดรายการวิทยุเจ้าของเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิด อเล็กซ์ โจนส์ (Alex Jones) ซึ่งบุคคลทั้งสองต่างมีคดีติดตัว

‘สหรัฐฯ’ อ่วม!! ‘หนี้สาธารณะ’ ทะลุ 34 ล้านล้านดอลล์ครั้งแรก นับเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล หลังตัวเลขพุ่งเร็วจนน่าห่วง

(4 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ รายงานว่าหนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ พุ่งสูงกว่า 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.164 พันล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรก เพิ่มจาก 33.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.161 พันล้านล้านบาท) เมื่อวันพฤหัสบดี (28 ธ.ค.)

มายา แมคกิเนียส ประธานคณะกรรมการฝ่ายความรับผิดชอบด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า หนี้สาธารณะแตะระดับ 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.164 พันล้านล้านบาท) เมื่อวันศุกร์ (29 ธ.ค.) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากพุ่งแตะระดับ 33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.13 พันล้านล้านบาท) เพียงราวสามเดือน และถือเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างมาก

“สิ่งที่น่าเศร้าคือผู้นำทางการเมืองของเราไม่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ทางการคลัง” แมคกิเนียส กล่าว

ตัวเลขหนี้ล่าสุดถูกเปิดเผยขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสเตรียมแย่งชิงการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลกลาง โดยปัจจุบันงบประมาณสำหรับหน่วยงานและโครงการของรัฐบาลกลางบางส่วนจะหมดอายุในเดือนมกราคมนี้

‘SpaceX’ ลุยส่ง ‘ดาวเทียม’ ชุดแรกขึ้นวงโคจร หวังส่งสัญญาณโทรศัพท์มาสู่สมาร์ทโฟนโดยตรง

(4 ม.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความ ‘SpaceX’ ส่งดาวเทียมชุดแรกขึ้นสู่วงโคจร เพื่อเตรียมส่งสัญญาณโทรศัพท์สู่สมาร์ทโฟนโดยตรง โดยมีเนื้อหาดังนี้…

T-Mobile บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในสหรัฐฯ ประกาศว่าจรวด Falcon 9 ของ SpaceX ได้ส่งดาวเทียม 6 ดวง ขึ้นสู่วงโคจร ซึ่งเป็นดาวเทียมชุดแรกที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณโทรศัพท์ตรงสู่พื้นโลกไปที่อุปกรณ์สมาร์ทโฟน

เป้าหมายคือการเชื่อมต่อผู้ใช้งานแบบ Direct to Cell (D2C) ให้ได้ทุกที่ในโลก แม้อยู่ในจุดที่ไม่มีสัญญาณ โดยนอกจาก T-Mobile แล้ว SpaceX ยังร่วมทดสอบบริการนี้กับผู้ให้บริการโทรศัพท์อีก 6 ราย ใน 6 ประเทศ ได้แก่ Optus (ออสเตรเลีย), Rogers (แคนาดา), One NZ (นิวซีแลนด์), KDDI (ญี่ปุ่น), Salt (สวิตเซอร์แลนด์) และ Entel (ชิลี)

D2C ในช่วงแรกจะทดสอบด้วยการส่งข้อความตัวหนังสือก่อน จากนั้นจึงขยายมาทดสอบบริการคุยเสียง และการรับส่งข้อมูล ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ด้าน ‘Elon Musk’ CEO ของ SpaceX ให้ข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน X ของเขาว่า การส่งลำแสงจากดาวเทียมแต่ละครั้งรองรับข้อมูลประมาณ 7Mb ทำให้เป็นทางออกที่ดีในพื้นที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แต่ยังห่างไกลจากการเป็นคู่แข่งผู้ให้บริการเครือข่ายภาคพื้น

กรณีศึกษาอพยพผู้โดยสารสายการบินเจแปนฯ ได้อย่าง 'ปลอดภัย-รวดเร็ว' เพราะพนักงานฝึกฝนมาดี ผู้โดยสารก็ปฏิบัติตัวดี เชื่อฟังทุกคำแนะนำ

(4 ม.ค.67) จากกรณีเครื่องบินโดยสารแบบ แอร์บัส A350 ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 516 (JAL) พุ่งชนเครื่องบินตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งที่เตรียมไปช่วยผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหว จนไฟลุกท่วมคาสนามบินฮาเนดะ แต่ส่วนผู้โดยสารและลูกเรือเครื่องบินพาณิชย์ 379 ชีวิตปลอดภัยนั้น เหตุผลสำคัญมาจากผู้โดยสารต่างเร่งไปที่ประตูทางออกฉุกเฉินของเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้โดยที่ไม่ถือสัมภาระอะไรติดตัว ตามคำแนะนำของพนักงานบนเครื่องบิน

ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า การไม่นำสิ่งของมีค่าหรือสัมภาระส่วนตัวไปด้วย ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การอพยพทั้ง 379 คนบนเครื่องเป็นไปได้อย่างราบรื่น ก่อนที่เครื่องบินจะถูกไฟลุกท่วมบนรันเวย์ที่สนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 516 ได้กลายเป็นลูกบอลติดไฟขนาดยักษ์หลังจากชนเข้ากับเครื่องบินของหน่วยยามชายฝั่งขณะกำลังลงจอด โดยผู้ที่อยู่บนเครื่องบินซึ่งลำเล็กกว่าของหน่วยยามชายฝั่ง 5 จาก 6 คน เสียชีวิต

การอพยพผู้คนอย่างไร้ที่ติของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินและผู้ที่เคยเป็นลูกเรือของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์บอกกับบีบีซีว่า การอพยพที่ราบรื่นดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้เพราะพนักงานบนเครื่องได้นำการฝึกฝนที่ได้ทำมาอย่างเข้มงวดมาใช้ ส่วนผู้โดยสารก็ปฏิบัติตัวอย่างดีและเชื่อฟังคำสั่งด้านความปลอดภัย

“ผมไม่เห็นผู้โดยสารสักคนที่ลงเครื่องมาแล้วมีกระเป๋าติดตัวเลยสักคน...ถ้าคนบนเครื่องพยายามที่จะขนสัมภาระของตัวเองลงมาด้วยนั่นจะเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก เพราะว่ามันจะทำให้การอพยพเป็นไปได้ช้าลง” ศาสตราจารย์เอ็ด กาแล ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากมหาวิทยาลัยกรีนิช กล่าว

ศาสตราจารย์กาแล ยังบอกด้วยว่า สถานะของเครื่องบินแอร์บัส A350 ลำดังกล่าว ยังทำให้การอพยพคนบนเครื่องเป็นไปได้ยากด้วย

“อุบัติเหตุนี้ห่างไกลจากสภาวะในอุดมคติที่คุณอยากให้เกิดขึ้นมาก ส่วนหัวของเครื่องบินทิ่มลงด้านล่าง ซึ่งหมายความว่ามันเป็นการยากสำหรับผู้โดยสารในเครื่องที่จะเคลื่อนที่” เขากล่าว

ทั้งนี้ มีสไลเดอร์ตรงทางออกฉุกเฉินเพียง 3 อันเท่านั้นที่ใช้การได้ แต่มันก็ไม่ได้ถูกกางอย่างเหมาะสมเนื่องจากลักษณะการลงจอดของเครื่องบิน สไลเดอร์ฉุกเฉินดังกล่าวยังชันมากด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ทางเจแปนแอร์ไลน์ยังระบุด้วยว่า ระบบกระจายเสียงในเครื่องบินลำดังกล่าวยังทำงานผิดปกติในระหว่างการอพยพด้วย ดังนั้นลูกเรือบนเครื่องจึงต้องใช้โทรโข่งและการตะโกนเอาแทน

ทางสายการบินยังระบุด้วยว่า มีผู้โดยสารหนึ่งคนที่มีรอยบอบช้ำ และอีก 13 คนที่ต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์

สายการบินเจแปนแอร์ไลน์เที่ยวบินดังกล่าว เดินทางออกจากสนามบินในซัปโปโรในเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น และลงจอดที่ฮาเนดะก่อนเวลา 18.00 น. เพียงไม่นาน สำหรับเครื่องบินของยามชายฝั่งที่ลำเล็กกว่านั้น มีแผนที่จะนำสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปให้เหยื่อจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันปีใหม่ ทั้งนี้ ยังคงมีการสืบสวนสาเหตุของการชนกันครั้งนี้อยู่

อดีตลูกเรือของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์คนหนึ่งบอกกับบีบีซีว่า ผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าวถือว่า “โชคดีอย่างสุดๆ”

“ฉันรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย แต่เมื่อฉันเริ่มคิดเกี่ยวกับขั้นตอนในการอพยพเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ฉันก็รู้สึกประหม่าและกลัวขึ้นมาทันที” เธอกล่าว “ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องบินทั้งสองลำชนกันแบบไหน รวมถึงว่าไฟไหม้ลุกลามอย่างไร มันอาจจบลงด้วยเรื่องเศร้ากว่านี้ก็ได้”

ในสถานการณ์จริง มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ผู้โดยสารไม่ตื่นตระหนก อดีตลูกเรือที่ขอไม่เปิดเผยนาม ระบุ

“แต่สิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จมันยากกว่าที่ใครจะจินตนาการออก ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถพาทุกคนหนีออกมาได้ เป็นผลมาจากการร่วมมือกันอย่างดีระหว่างลูกเรือและผู้โดยสารที่ปฏิบัติตามคำแนะนำ” เธอกล่าว

อดีตลูกเรือสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ผู้นี้ยังระบุด้วยว่า ลูกเรือทุกคนต้องผ่านการฝึกการช่วยเหลือและอพยพที่เข้มงวดกว่า 3 สัปดาห์ ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติงานบนสายการบินพาณิชย์ และการฝึกฝนดังกล่าวยังต้องฝึกซ้ำอยู่ทุกปี

“เราต้องผ่านการสอบข้อเขียน การอภิปรายกรณีศึกษา และการฝึกฝนสถานการณ์จำลองหลายๆ แบบ อย่างเช่นในสถานการณ์ที่เครื่องบินต้องลงจอดในน้ำ หรือถ้าเกิดมีไฟไหม้ในเครื่อง พนักงานหน่วยอื่นๆ ที่ดูแลรักษาเครื่องบินก็ต้องเข้าร่วมการฝึกนี้เช่นเดียวกัน” อดีตลูกเรือที่ออกจากบริษัทมา 10 ปีแล้ว กล่าว

นักบินอีกคนหนึ่งซึ่งทำงานในสายการบินหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีโดยไม่ขอเปิดเผยตัวตนเช่นกันว่า การฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่ลูกเรือต้องทำ ช่วยให้การอพยพเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“ผมต้องบอกว่ามันน่าทึ่งมาก ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีนี้คือ การฝึกฝนถูกนำมาใช้จริง คุณไม่มีเวลาคิดในสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นคุณแค่ทำไปตามสิ่งที่ได้ฝึกฝนมา” เขากล่าว

ทั้งนี้ สำหรับเครื่องบินโดยสารใดๆ ก็ตาม เพื่อที่จะได้รับใบอนุญาตในระดับนานาชาติให้ทำการบินได้ ผู้ผลิตเครื่องบินจะต้องแสดงให้เห็นว่าทุกคนที่อยู่บนเครื่องสามารถออกจากเครื่องบินได้ภายในเวลา 90 วินาที โดยการทดสอบเวลาในการอพยพบางครั้งมีการใช้ผู้โดยสารจริงมาทดสอบด้วย เขาระบุเพิ่มเติม

นักบินคนนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า การควบคุมความปลอดภัยด้านการบินเข้มงวดขึ้นอย่างมากหลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันและความผิดพลาดในอุบัติเหตุครั้งก่อนๆ

ยกตัวอย่างเช่น การชนกันของเครื่องบินโบอิ้ง 747 สองลำที่สนามบินลอส โรดีโอ ในสเปนในปี 1977 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 583 คนและถือเป็นอุบัติเหตุด้านการบินที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นตอนที่นักบินต้องปฏิบัติ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการสื่อสารทางวิทยุ ทั้งนี้ การชนกันดังกล่าวพบว่าเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างลูกเรือและเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ

สายการบินเจแปนแอร์ไลน์เคยพบเจอกับหายนะเช่นกันในเดือน ส.ค. 1985 เมื่อเที่ยวบิน 123 ที่มุ่งไปโอซากา บินชนภูเขาหลังจากออกจากสนามบินฮาเนดะในโตเกียวได้ไม่นาน สำหรับสาเหตุครั้งนั้นพบว่าเกิดจากการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ไม่สมบูรณ์โดยโบอิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินลำดังกล่าว ในอุบัติเหตุครั้งนั้น มีเพียง 4 คนจากคนบนเครื่องทั้งหมด 524 คนที่รอดชีวิต

ในปี 2006 เจแปนแอร์ไลน์ได้เปิดสถานที่ที่คล้ายกับพิพิธภัณฑ์ใกล้กับสนามบินฮาเนดะ และจัดแสดงซากความเสียหายจากอุบัติเหตุครั้งดังกล่าว โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความตระหนักด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานของสายการบิน

“ต่อหน้าความเจ็บปวดและความเศร้าโศกของครอบครัวผู้สูญเสีย และความไม่เชื่อใจของสาธารณชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของสายการบิน (หลังเกิดอุบัติเหตุในปี 1985) เราให้คำมั่นว่าเราจะไม่ยอมให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ระบุ

“พนักงานทุกคนตระหนักดีกว่า ผู้โดยสารฝากชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่าไว้กับงานของเรา”

‘โยอิจิ ทากาฮาชิ’ ผู้วาดมังงะในตำนาน ‘กัปตันซึบาสะ’  ประกาศรีไทร์จากวงการการ์ตูนอย่างเป็นทางการ

(4 ม.ค.67) กลายเป็นข่าวใหญ่ของวงการมังงะญี่ปุ่นในทันที เมื่อ อ.โยอิจิ ทากาฮาชิ (Yoichi Takahashi) นักวาดมังงะรุ่นเก๋า เจ้าของผลงานมังงะฟุตบอลชื่อดังระดับโลกอย่าง กัปตันซึบาสะ (Captain Tsubasa) ประกาศรีไทร์จากวงการการ์ตูนอย่างเป็นทางการ ปิดฉากตำนาน 43 ปี ด้วยปัญหาสุขภาพ

โดยทางเว็บไซต์ คอมมิคบุ๊ค (comicbook) ได้ออกมารายงานว่า เหตุผลที่ อ.โยอิจิ ทากาฮาชิ ตัดสินใจเลิกเขียนมังงะมาจากอายุที่มากขึ้นของเขา (64 ปี) ทำให้อาจาร์ย์ทำงานออกมาได้ช้าลงอย่างมาก รวมไปถึงสายตาที่ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดและวาดลงเล่นได้เท่าเดิมอีกด้วย

อ.โยอิจิ ได้เผยว่า “ผมคิดว่าผมยังมีสุขภาพที่ดี แต่ด้วยอายุที่มากขึ้นมันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ผมจะวาดภาพได้ช้าลง และสายตาก็ไม่ดีเหมือนก่อน” พร้อมกล่าวอีกว่า การจากไปอย่างกะทันหันของ อ.มิตสึชิม่า ชินจิ เจ้าของผลงานชื่อดังอย่าง ‘อิคคิวซัง’ ที่เสียชีวิตไปเมื่อต้นปี 2022 ที่ผ่านมา คือ อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้อาจารย์ตัดสินใจแขวนปากกาในครั้งนี้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม อ.โยอิจิ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า เขาได้เตรียมร่างต้นฉบับในภาค ‘ศึกฟุตบอลโลกครั้งสุดท้าย’ ไว้คร่าวๆ แล้ว เผื่อในอนาคตจะมีนักวาดมังงะ หรือ เทคโนโลยี AI มาสานต่อความฝันให้สำเร็จในที่สุด

“แม้จะเป็นแบบฉบับร่าง แต่ถ้าผมทิ้งเรื่องราวไว้ บางทีในอนาคตด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า AI อาจจะสามารถสร้างมังงะ กัปตันซึบาซะ ตามสถานการณ์ได้ หรือถ้าผมได้จากโลกนี้ไปแล้วนักวาดคนอื่นๆ จะสามารถทำต่อไปได้”

อ.โยอิจิ กล่าวอีกว่า “ในฐานะนักเขียนการมีซีรีส์กัปตันซึบาสะ ทั้งมังงะและอนิเมะ เป็นหนึ่งในความปรารถนาของผมและหากเรื่องราวทั้งหมดจนถึง ซึบาสะยกถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลก ได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมะจริงๆ นั่นคงจะเป็นอะไรที่พิเศษสำหรับผมมากครับ”

อย่างไรก็ตาม แม้จะรีไทร์งานเขียน แต่เชื่อว่า ทาง อ.โยอิจิ คงยังไม่ทิ้งจิตวิญญาณอีกส่วนของ กัปตันซึบาสะ โดยอาจหันไปมุ่งมั่นกับการพาทีมฟุตบอลในชีวิตจริงอย่าง ‘นันคัตสึ เอสซี’ ทีมฟุตบอลบ้านเกิดที่เขามีส่วนร่วมตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ก่อนจะกลายมาเป็นเจ้าของในปี 2019 และได้ตั้งชื่อตามทีมโรงเรียนในสึบาสะในการ์ตูน ให้เลื่อนชั้นขึ้นชั้น เจลีก ดิวิชัน 1 ให้ได้อีกด้วย

สำหรับ Captain Tsubasa: Rising Sun และ Captain Tsubasa: Memories จะจบลงในนิตยสาร Captain Tsubasa Magazine ฉบับที่ 20 ในเดือนเมษายน 2024 นี้

‘อิหร่าน’ เดือด!! ประกาศแก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการอย่างถึงที่สุด หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดกลางงานรำลึก ‘กาเซม โซเลมานี’

สื่ออิหร่านรายงานข่าวด่วน เหตุลอบวางระเบิดถึง 2 ครั้งในงานรำลึกการเสียชีวิตของนายพล กาเซม โซเลมานี ผู้นำของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน (IRCG) ที่เมืองเคอร์มาน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 95 คน รัฐบาลอิหร่านประกาศ จะแก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการอย่างถึงที่สุด

ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเกิดเหตุระเบิดถึง 2 ครั้ง ใกล้กับอนุสรณ์สถานของนายพล กาเซม โซเลมานี ที่มีการจัดงานรำลึกประจำปีให้กับอดีตผู้นำสูงของกองกำลัง IRCG ที่ถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยโดรนพิฆาตของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2020 ขณะกำลังเดินทางเยือนอิรัก โดยงานรำลึกในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4

สื่ออิหร่านรายงานว่า เหตุระเบิดลูกแรก เกิดขึ้นช่วง 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ในบริเวณด้านหน้าสุสานผู้พลีชีพ ใกล้ ๆ กับมัสยิด Saheb al-Zaman ส่วนระเบิดลูกที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากนั้น 15 นาที และห่างจากระเบิดจุดแรกเพียง 700 เมตรเท่านั้น โดยมีเจตนาสังหารผู้คนที่กำลังวิ่งหนีอย่างโกลาหลหลังจากเกิดเหตุระเบิดลูกแรก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 95 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 200 คน ถือเป็นการก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดในอิหร่าน ในรอบ 42 ปี 

ด้านผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ คาเมเนอี สาบานว่าจะล้างแค้น กลุ่มอาชญากรที่ก่อเหตุระเบิดนองเลือดครั้งนี้อย่างถึงที่สุด หลายประเทศ รวมถึงรัสเซียและตุรกี ออกมาประณามการโจมตีดังกล่าว ในขณะที่เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้สอบสวนหาตัวผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ให้ได้

แต่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใด ออกมาแสดงตนอ้างตัวเป็นผู้ความรับผิดชอบ แต่คาดเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนอาหรับ หรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายจิฮัด และ ISIS เมื่อพิจารณาจากรูปแบบการก่อเหตุ และ การก่อความไม่สงบหลายครั้งในอิหร่านที่ผ่านมา 

แต่ก็มีไม่น้อยที่ตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของหน่วยลับจากอิสราเอล และ สหรัฐอเมริกา เนื่องจาก อิหร่าน ประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอล และ สหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นประเทศหลักที่ผลักดันให้เกิด กลุ่ม Axis of Resistance - พันธมิตรแห่งการต่อต้าน เพื่อสนับสนุนกลุ่มฮามาส ในการต่อต้านการรุกรานของอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์

ด้าน แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกมาแถลงผ่านห้องประชุมผู้สื่อข่าวว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการโจมตีในเมืองเคอร์มาน และไม่มีเหตุผลที่ต้องทำด้วย จึงขอให้เลิกสงสัยสหรัฐอเมริกา และ อิสราเอล เสีย 

เชื่อได้ว่า การก่อเหตุระเบิดรุนแรงในงานรำลึกนายพล กาเซม โซเลมานี มีเป้าหมายเพื่อทำลายขวัญของชาวอิหร่าน ที่จะมาเยือนสุสานของเขา แต่รัฐบาลอิหร่านยังยืนยันที่จะจัดงานรำลึกเป็นประจำทุกปี แม้อาจเสี่ยงเป็นเป้าหมายของการก่อเหตุรุนแรง ส่วนหนึ่งก็เพื่อยกย่องผู้นำของกองกำลัง IRCG แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการตอกย้ำพฤติกรรมก่อการร้ายข้ามชาติของสหรัฐอเมริกาให้ยังอยู่ในความทรงจำของชาวอิหร่านนั่นเอง 

คุณยายวัย 84 ถักเสื้อกันหนาวกว่า 1,500 ตัวแจกฟรีมานาน 15 ปี เผย!! อยากอบอุ่นหัวใจ 'เด็ก-คนยากไร้' ที่ไร้เงินซื้อเสื้อกันยามหนาว

(5 ม.ค. 67) สื่อต่างประเทศรายงานข่าว เรื่องราวอันแสนอบอุ่นของคุณยาย 'หานชุ่ยจวี๋' วัย 84 ปี จากหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ผู้มีงานอดิเรกเป็นการถักเสื้อสเวตเตอร์ และนำไปบริจาคให้เด็กยากจนทั่วทั้งประเทศจีน

ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา คุณยายหานบริจาคเสื้อสเวตเตอร์ไปมากกว่า 1,500 ตัว จนได้รับฉายาว่า 'คุณยายสเวตเตอร์'

จุดเริ่มต้นในการถักเสื้อสเวตเตอร์ของคุณยายหานมาจากความบังเอิญ เมื่อลูกสาวของคุณยายเปิดไปเจอคลิปวิดีโอของเด็กยากจนที่สวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ต้องอดทนต่อความหนาวเหน็บในฤดูหนาว เนื่องจากไม่มีเงินซื้อเสื้อกันหนาว

“เด็กพวกนี้น่าสงสารเกินไป ที่บ้านมีขนแกะเหลืออยู่ ฉันจะถักเสื้อสเวตเตอร์ส่งไปให้พวกเขาสักหน่อย!” คุณยายหาน กล่าว

จากนั้นคุณยายหานก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตั้งใจถักเสื้อสเวตเตอร์ให้เด็กๆ โดย 2-3 เดือนต่อมา เสื้อสเวตเตอร์ฝีมือคุณยายหานทั้ง 36 ตัวก็ถูกจัดส่งไปยังโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง โดยนักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ล้วนเป็นลูกของแรงงานต่างถิ่นจากพื้นที่ห่างไกล

เด็กๆ ที่ได้รับเสื้อสเวตเตอร์ต่างดีใจเป็นอย่างมาก ทำให้คุณยายหานปลื้มใจสุดๆ นับแต่นั้นมา คุณยายหานก็ไม่หยุดถักเสื้อสเวตเตอร์เลย โดยคุณยายหานจะพกอุปกรณ์สำหรับถักเสื้อสเวตเตอร์ไปทุกที่

เรียกว่าทุกครั้งที่มีโอกาส คุณยายหานก็ไม่พลาดที่จะหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาถักเสื้อสเวตเตอร์ ถึงขนาดที่เข้าโรงพยาบาลก็ยังไม่เว้น หรือกระทั่งไปเที่ยวเกาหลีใต้กับเพื่อนๆ คุณยายหานก็ยังไปนั่งถักเสื้อสเวตเตอร์ที่ชายหาดมาแล้ว

“ตราบใดที่ร่างกายของฉันยังไหวอยู่ ฉันก็จะถักเสื้อสเวตเตอร์ต่อไป” คุณยายหานกล่าว

ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่เสื้อสเวตเตอร์ของคุณยายหานจะถูกนำไปบริจาคให้เด็กๆ เท่านั้น แต่ยังถูกบริจาคให้คนพิการและผู้ประสบภัยทางภัยพิบัติต่างๆ ด้วย

ความใจดีของคุณยายหาน สร้างความประทับใจให้ใครหลายคน และทำให้คุณยายได้รับคำชมมากมายจากชาวเน็ต เช่น “คุณยายคนนี้ทำให้ฤดูหนาวอบอุ่นขึ้น ฉันรู้สึกซาบซึ้งในความใจดีและมีน้ำใจของคุณยายมาก ขอให้คุณยายมีสุขภาพดี” “ช่างเต็มไปด้วยพลังบวก ขอคารวะคุณยาย” และ "คุณยายเป็นคนที่มีจิตใจดีอย่างแท้จริง...น้อยคนนักที่จะทำกิจกรรมเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ขอบคุณ 'คุณยายสเวตเตอร์'!”

'ไซเบอร์ทรัก' ชนรถคู่กรณีกลางถนนรัฐแคลิฟอร์เนีย อีกฝ่ายพังยับ ด้าน ตำรวจเทกซัสถาม 'อีลอน มัสก์' ขอใช้เป็นรถตำรวจได้ไหม?

(5 ม.ค. 67) รอยเตอร์ส รายงาน ภายหลังรถไซเบอร์ทรักของเทสลา (Tesla Cybertruck) เกิดอุบัติเหตุชนกับรถคู่กรณีที่ 'พาโล อัลโต' (Palo Alto) รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้กลายเป็นเรื่องโจษจันไปทั่ว หลังภาพที่ปรากฏพบรถเก๋งฝ่ายตรงข้าม (โตโยต้า) อยู่ในสภาพยับเยิน แต่รถกระบะไฟฟ้าของเทสลานั้นแค่บุบ ขณะที่ตำรวจรัฐเทกซัสเกิดความสนใจและส่งทวีตหา 'อีลอน มัสก์' ว่า "ไซเบอร์ทรักเป็นรถตำรวจได้ไหม"

สำหรับเหตุการณ์นี้ ตำรวจทางหลวงรัฐแคลิฟอร์เนีย CHP ที่เดินทางไปจุดเกิดเหตุบนถนนสกายไลน์ บูเลวาร์ด (Skyline Boulevard) ในพาโล อัลโต (Palo Alto) ยืนยันว่า คนขับไซเบอร์ทรักเป็นวิศวกรเทสลาจากซานฟรานซิสโก และช่วงเกิดเหตุรถไม่ได้ใช้ระบบขับอัตโนมัติ

ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น มาจากรถโตโยต้าที่ผู้ขับขี่วัย 17 ปี ได้ขับรถชนขอบแนวดินข้างทางและส่งผลทำให้รถพุ่งกลับเข้าไปบนถนนในเลนตรงข้ามและชนกับรถไซเบอร์ทรัก โดยตามการรายงานสภาพในพื้นที่พบว่า สภาพอากาศไม่แจ่มใสและถนนเปียกชื้น

หลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ตำรวจเมืองโรเซนเบิร์ก (Rosenberg) รัฐเทกซัส ได้ทวีตถาม 'อีลอน มัสก์'อย่างติดตลกเมื่อวันอังคาร (2 ม.ค.67) ที่ผ่านมา (อ้างอิงจาก NDTV ของอินเดีย) ว่า "คิดว่าไซเบอร์ทรักซึ่งมีสนนราคาสูงลิ่วถึง 60,990 ดอลลาร์ จะเป็นรถตำรวจได้ไหม?" ด้าน มัสก์ ก็ได้ตอบทวีตกลับมาด้วยว่า "100" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการตอบรับในเชิงเห็นด้วย 100% นั่นเอง

ก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ เคยออกมาประกาศบนแพลตฟอร์ม X ว่า "ผมเชื่อมั่นอย่างสูงว่า ไซเบอร์ทรักจะเป็นรถที่มีความปลอดภัยมากที่สุดสำหรับคนขับรถเองและสำหรับคนใช้ถนน"

สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงรายเดียว คือ ผู้ขับขี่รถเก๋งโตโยต้า ซึ่งปฏิเสธการไปโรงพยาบาล ส่วนภายในรถกระบะไฟฟ้าไซเบอร์ทรัก (Tesla Cybertruck) ซึ่งพบว่ามีผู้ที่โดยสารมาในรถด้วย 3 คน ปลอดภัยดี

เหตุการณ์นี้ ได้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกในทันที เพราะเหมือนมีคนมาช่วยพิสูจน์ความแข็งแกร่งของ Tesla Cybertruck กันจริงๆ ให้เห็นแล้ว

เวียดนามปรับ TikToker ฐานโพสต์ข้อมูลเท็จ 'นครวัด' อยู่เมืองไทย ด้านนักสิทธิฯ บอกไร้สาระ แค่ทำไปเพราะกลัวพนมเปญขุ่นเคือง

(5 ม.ค. 67) รายงานข่าวจากสำนักข่าว Nikkei Asia ระบุว่า ทางการเวียดนามได้สั่งปรับอินฟลูฯ TikTok จำนวน 300 ดอลลาร์ (ประมาณ 10,350 บาท) จากกรณีโพสต์คลิปใน TikTok ความยาว 90 วินาที ซึ่งมีเนื้อหาเป็นภาพนครวัดที่ทับด้วยธงชาติไทย

เวียดนามลงโทษ 'ฮวา ก๊วก อันห์' (Hua Quoc Anh) อินฟลูเอนเซอร์ชาวเวียดนาม โทษฐานที่เขาโพสต์คลิปข้อมูลเท็จ นำเสนอว่า นครวัดของประเทศกัมพูชา ตั้งอยู่ในประเทศไทย 

โดยปัจจุบันคลิปวิดีโอถูกลบไปแล้ว ซึ่งข่าวรายงานว่า มีรูปภาพพระราชวงศ์ของไทยและคำทักทาย "สวัสดี ประเทศไทย" คู่ภาพถ่ายปราสาทอันเป็นเอกลักษณ์ของนครวัด

อย่างไรก็ตาม 'ฟิล โรเบิร์ตสัน' (Phil Robertson) รองผู้อำนวยการ ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ประจำภูมิภาคเอเชีย ให้สัมภาษณ์ว่า “นี่เป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ ฮานอยควรปกป้องเสรีภาพในการพูด แทนที่จะกังวลว่าพนมเปญจะขุ่นเคือง เพราะคงไม่มีใครเชื่อจริง ๆ ว่าเสียมราฐเป็นของประเทศไทยหรอก”

“ดังนั้นขั้นตอนที่เหมาะสม น่าจะเป็นการหัวเราะเยาะกับความไม่รู้ของอินฟลูฯ รายนี้ แทนที่จะหันไปใช้บทลงโทษทางอาญามากกว่า” โรเบิร์ตสันแสดงความเห็นเพิ่มเติม

ปัจจุบัน TikTok ถือเป็นโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเวียดนาม แต่ทางรัฐบาลในยุคปัจจุบันก็เป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่เข้มงวดกับการใช้งานอย่างมาก โดยเฉพาะกับการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย อย่างกรณีนครวัด ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการเรียกเก็บค่าปรับ หากแต่มักมีการเรียกปรับและเซ็นเซอร์เรื่องราวที่ละเอียดอ่อน เช่น การเมือง หรือสิทธิมนุษยชน อยู่บ่อยครั้ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top