Monday, 19 May 2025
World

'อินโดฯ' สั่งบล็อก X.com ของ 'อีลอน' หลังเข้าใจผิด คิดว่า X เป็น 'เว็บโป๊'

คลั่ง X จนเป็นเหตุ ถึงขนาดที่ อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง SpaceX ได้ตัดสินใจเปลี่ยนโลโก้ และ รีแบรนด์แพลตฟอร์มโซเชียลชื่อดังอย่าง Twitter ด้วยตัวอักษร X พร้อมเปิดเว็บไซต์ X.com เพื่อเป็นช่องทางเข้าถึงบัญชี Twitter ด้วย

แต่ทว่า วันนี้ กระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศของอินโดนีเซีย มีคำสั่งให้บล็อกเว็บไซต์ X.com ของอีลอน มัสก์ เสียแล้ว เนื่องจากพบว่า เว็บไซต์ที่มีตัวอักษร X มักถูกใช้ในการเผยแพร่เนื้อหาลามกอนาจาร และ การเล่นพนันผิดกฎหมายในอินโดนีเซีย

อีกทั้งตอนนี้รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายปราบปรามเว็บไซท์ที่เผยแพร่หนังโป๊ และ เว็บพนันอย่างหนัก ทำให้ X.com ของอีลอน มัสก์ ติดร่างแหไปด้วย เพราะในระบบตรวจจับของทางการอินโดนีเซียยังเข้าใจว่า X.com คือ 'เว็บโป๊'

ดังนั้น การบล็อก X.com ของรัฐบาลอินโดนีเซีย จะส่งผลให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์ในประเทศราว 24 ล้านบัญชี จากประชากรชาวอินโดนีเซียทั้งหมดกว่า 270 ล้านคน ไม่สามารถใช้ Twitter ได้

ทั้งนี้ อุซมาน กันซอง อธิบดีกรมสารสนเทศและการสื่อสารสาธารณะ กล่าวว่าทางรัฐบาลได้ติดต่อทาง X.com และตัวแทนของทาง Twitter เพื่อออกหนังสือชี้แจงถึงกิจการ และเนื้อหาที่จะเผยแพร่บนเว็บไซต์ เพื่อพิจารณาปลดล็อกต่อไป

ฉะนั้น เรื่องนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งความยุ่งยากที่ผู้บริหาร Twitter ต้องจัดการ และสร้างความเข้าใจในตัวตน และ โลโก้ใหม่ล่าสุดแทนสัญลักษณ์นกสีฟ้า แต่ยังไม่อาจหยุดยั้งความหลงใหลในตัวอักษร X ของอีลอน มัสก์ ได้

หากย้อนกลับไปในปี 1999 ที่เป็นยุคที่เรียกว่า dot-com generation ธุรกิจในโลกอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู อีลอน มัสก์ และเพื่อนๆ ได้แก่ แฮริส ฟริคเกอร์, คริสโตเฟอร์ เพยน์ และ เอ็ด โฮ ได้ก่อตั้งเว็บไซต์ที่ชื่อว่า X.com ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยตั้งใจให้เป็นธนาคารออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่จะรวมบริการฝาก-ถอน เงินกู้ สินเชื่อ ประกันภัย ไว้ในที่เดียวกัน แม้จะมีหลายคนติงว่า ตัวอักษร X มักถูกโยงให้นึกถึงคอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ แต่อีลอน มัสก์ ชอบชื่อนี้มาก และยืนยันที่จะเปิดโดเมน ด้วยชื่อนี้ให้ได้

และต่อมา X.com ได้ควบรวมกิจการกับ Confinity Inc. บริษัทซอฟต์แวร์ด้านธุรกรรมการเงิน และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Paypal ผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์ในเวลาต่อมา จนมาในปี 2017 อีลอน มัสก์ ยอมควักกระเป๋าซื้อโดเมน X.com คืนมาจาก Paypal ซึ่งเขาได้โพสต์ความรู้สึกผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาในตอนนั้นว่า ยังไม่มีแผนว่าจะเอาโดเมน X.com มาทำอะไร แต่ชื่อโดเมนนี้มีคุณค่าทางจิตใจกับสำหรับเขา

่มาวันนี้ อีลอน มัสก์ มีแผนสำหรับ X.com ที่จะคืนชีพด้วยการนำมาสวมแทนแบรนด์ Twitter เสียเลย และขั้นต่อไป อีลอน มัสก์ ตั้งใจที่จะต่อยอดให้ Twitter เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มโซเชียล โดยเปลี่ยนให้เป็นแอปพลิเคชันที่ทำได้ทุกอย่าง อาทิ บริการชำระเงิน และ ธนาคารดิจิทัล

แต่ปัญหาคือ ภาพจำของคนทั่วไปกับตัวอักษร X ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมักถูกใช้ในเว็บไซต์ลามกอนาจาร หรือมีเนื้อหาต้องห้าม ผิดกฎหมาย หรือแม้กระทั่งการดูหมิ่นศาสนา ซึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรงในอินโดนีเซีย ประเทศที่มีชุมชนชาวมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

จึงเป็นเหตุให้ X.com ขออีลอน มัสก์ ถูกเบรกอย่างกะทันหันในอินโดนีเซีย และมีแนวโน้มที่จะถูกจับตาเป็นพิเศษ ถึงเนื้อหาที่เผยแพร่ใน Twitter หลังจากที่สวมแบรนด์ X อีกด้วย

ดังนั้น ความท้าทายของอีลอน มัสก์ จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชื่อ Twitter เป็น X อย่างเดียว แต่จำเป็นต้องรีแบรนด์ ภาพลักษณ์ของตัวอักษร X ในสายตาชาวโลกด้วย

‘ฮุนเซน’ ประกาศลาออก ส่งไม้ต่อให้ลูกชาย หลังนั่งผู้นำประเทศกัมพูชานานเกือบ 40 ปี

‘ฮุนเซน’ ผู้นำประเทศกัมพูชา ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังปกครองคนเดียวเป็นระยะเวลานานเกือบ 40 ปี ส่งไม้ต่อให้บุตรชายขึ้นตำแหน่งแทน หลังพรรคประชาชนกัมพูชา ชนะแบบแลนด์สไลด์

(26 ก.ค.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 26 ก.ค. ว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ เมื่อวันพุธที่ 25 กรกฏาคมที่ผ่านมา ว่า จะไม่ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ หลังพรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ‘ชนะแบบแลนด์สไลด์’ ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา ด้วยจำนวน 120 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนอีก 5 ที่เหลือเป็นของพรรคฟุนซินเปก

ทั้งนี้ ผู้นำกัมพูชา วัย 70 ปี กล่าวว่า พล.อ.ฮุน มาเนต บุตรชายคนโต วัย 45 ปี ซึ่งได้รับเลือกตั้งครั้งนี้เป็นสมัยแรก จะเป็นผู้นำการจัดตั้งรัฐบาล และว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป โดยในระหว่างนี้ สมเด็จฮุน เซน จะยังคงรักษาการในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล

‘ตอลิบาน’ สั่งปิด ‘ร้านเสริมสวย-ทำผม’ ทุกแห่งในอัฟกานิสถาน ชี้!! เป็นเหตุเพิ่มภาระแก่ครอบครัวยากจน-ขัดต่อหลักศาสนา

(27 ก.ค. 66) คาบูล (เอเอฟพี/รอยเตอร์) ร้านเสริมสวยและร้านทำผมจำนวนมากทั่วอัฟกานิสถานปิดเป็นการถาวรตั้งแต่เมื่อวันอังคาร ตามคำสั่งของรัฐบาลตอลิบานที่ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน

เจ้าของร้านเสริมสวยและร้านทำผมหลายแห่งในกรุงคาบูล เริ่มเก็บข้าวของแกะแผ่นโฆษณาที่ติดบริเวณด้านหน้าร้านออก เพื่อเตรียมปิดกิจการเป็นการถาวร เช่นเดียวกับร้านเสริมสวยทั่วประเทศที่จำเป็นต้องเลิกกิจการ หลังจากกระทรวงส่งเสริมศีลธรรมและป้องกันสิ่งชั่วร้ายของอัฟกานิสถาน มีคำสั่งเมื่อปลายเดือนมิถุนายนให้ร้านเสริมสวยทุกแห่งทั่วประเทศปิดร้านภายในวันที่ 25 กรกฎาคม ให้เหตุผลว่าเงินที่ใช้จ่ายไปกับการเสริมสวยเป็นภาระให้แก่ครอบครัวยากจน และการเสริมสวยบางอย่างขัดต่อหลักศาสนา กระทรวงระบุว่า การแต่งหน้ามากเกินไปเป็นอุปสรรคต่อการชำระล้างก่อนละหมาด และได้ห้ามการต่อขนตาและการทอผมด้วย

ร้านเสริมสวยผุดขึ้นทั่วกรุงคาบูลและหลายเมืองในอัฟกานิสถานตลอดช่วง 20 ปี ที่กองกำลังนานาชาตินำโดยสหรัฐฯ เข้ายึดครองอัฟกานิสถาน โดยเป็นทั้งสถานที่พบปะสังสรรค์และแหล่งทำมาหากินของบรรดาผู้หญิง หอการค้าและอุตสาหกรรมสตรีอัฟกานิสถานประเมินว่า คำสั่งปิดร้านเสริมสวย 12,000 แห่งเป็นการถาวรจะทำให้ผู้หญิงกว่า 60,000 คนสูญเสียรายได้ สัปดาห์ที่แล้ว ทางการได้ยิงปืนขึ้นฟ้าและใช้สายดับเพลิงฉีดสลายกลุ่มผู้หฯิงจำนวนหนึ่งที่ชุมนุมประท้วงคำสั่งปิดร้านเสริมสวย

บรรดาเจ้าของกิจการร้านเสริมสวยและร้านทำผม บอกว่าปลงกับชีวิต เคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มาแล้วสมัยตอลิบานเรืองอำนาจเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้ง อีกคนบอกว่าขอเรียกร้องให้ตอลิบานเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงได้ทำมาหากินบ้าง เพราะผู้หญิงก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมอัฟกันเหมือนกับผู้ชาย

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ยึดอำนาจและตั้งตนขึ้นเป็นรัฐบาลในเดือนสิงหาคม 2021 รัฐบาลตอลิบานได้สั่งห้ามเด็กหญิงและสตรีไปโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ห้ามไปสวนสาธารณะ สวนสนุก สถานออกกำลังกาย และสั่งให้ต้องปกปิดร่างกายเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ รวมถึงต้องมีผู้ชายที่เป็นคนในครอบครัวอยู่ด้วยหากต้องเดินทางไกล

'ปูติน' ย้ำ!! ธนาคารทางเลือก BRICS จำเป็น  เกมต่อกร 'วอชิงตัน' ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ

การจัดตั้งสถาบันการเงินทางเลือกเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ความพยายามดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงเวลาที่วอชิงตันใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นอาวุธ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวในวันพุธ (26 ก.ค.) ระหว่างการประชุมร่วมกับ ดิลมา รูสเซฟฟ์ ประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) ที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มบริกส์ (BRICS)

อดีตประธานาธิบดีหญิงของบราซิล ซึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานอดีตธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่ม BRICS เมื่อเดือนมีนาคม เดินทางเยือนเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อพบปะกับ ปูติน ก่อนหน้าการประชุมซัมมิตรัสเซีย-แอฟริกาในสัปดาห์นี้

"ผมไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ ด้วยประสบการณ์มากมายของคุณและความรู้ในขอบเขตนี้ คุณจะทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาสถาบันแห่งนี้ ที่ผมคิดว่ามันมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน" ปูตินบอกกับรูสเซฟฟ์ "ในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน มันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย เนื่องด้วยสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับการเงินโลก และการใช้ดอลลาร์เป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง"

ปูติน เน้นย้ำว่ากลุ่มเศรษฐกิจ BRICS ที่ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ไม่ได้มีเป้าหมายที่ใครอย่างเฉพาะเจาะจง แต่กำลังทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ร่วม ในนั้นรวมถึงด้านการเงิน เขาชี้ว่าสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้ยกระดับใช้สกุลเงินท้องถิ่นชำระบัญชีทางการค้าระหว่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

รูสเซฟฟ์ เห็นด้วยว่าบรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายควรทำแนวทางนี้ไปใช้ในวงกว้าง เธอยังบอกอีกว่าความท้าทายใหญ่หลวงที่มีต่อเหล่าชาติกำลังพัฒนาคือศักยภาพในการเพิ่มงบประมาณสำหรับโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ไล่ตั้งแต่การบริการสังคม ไปจนถึงประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเด็นนี้ เธออ้างว่าถูกละเลิกเพิกเฉย เนื่องจากทุกคนมุ่งเน้นไปยังปัญหาหนี้สิน

สหรัฐฯ มีสัดส่วนคิดเป็น 20% ของผลผลิตทางเศรษฐกิจโลก แต่มากกว่า 50% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกถือครองในสกุลเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้ว สัดส่วนการถือครองสกุลเงินดอลลาร์ลดลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา หลังมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเล่นงานรัสเซีย ต่อความขัดแย้งในยูเครน ในนั้นรวมถึงอายัดทุนสำรองระหว่างประเทศและสกัดการเข้าถึงระบบชำระเงิน SWIFT ก่อความกังวลแก่ชาติต่าง ๆ ว่าพวกเขาอาจตกเป็นเป้าหมายของมาตรการลักษณะเดียวกันในอนาคต

เมื่อเดือนตุลาคม ปูตินอ้างว่าสหรัฐฯ "บั่นทอนความน่าเชื่อถือสถาบันทุนสำรองระหว่างประเทศด้วยการใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธ แรกเริ่มคือปล่อยมลพิษทางการเงิน จากนั้นก็ขโมยเงินของรัสเซีย" และนับตั้งแต่นั้น เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังอเมริกา ยอมรับว่ามาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ อาจผลักบางประเทศละทิ้งดอลลาร์

"ประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งยุคสมัยการครองโลกของดอลลาร์สหรัฐกำลังมาถึงจุดจบ" อันเดรย์ คอสติน ประธานธนาคารวีทีบีแบงก์ของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนที่แล้ว

ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ตะวันตกส่วนใหญ่ มองไม่เห็นว่าจะมีสกุลเงินอื่นใดที่มีศักยภาพพอจะก้าวมาแทนที่ดอลลาร์ แต่ ปูติน แย้มเมื่อเดือนมิถุนายน ว่า BRICS กำลังดำเนินการเกี่ยวกับสกุลเงินสำรองของตนเอง บางทีอาจอยู่บนพื้นฐานของตะกร้าสินค้าโภคภัณฑ์

โชว์แสนยานุภาพ!! ‘ผู้นำคิม’ เปิดคลังแสง อวดโฉมอาวุธ ‘รมว.กห.รัสเซีย’ ยัน!! โสมแดงพร้อมหนุนมอสโก ร่วมต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

(27 ก.ค. 66) สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) รายงานว่า นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ พานายเซอร์เกย์ ซอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ที่อยู่ระหว่างเดินทางเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการ ชมการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารของเกาหลีเหนือ

ซอยกูเยือนเกาหลีเหนือเพื่อร่วมงานฉลองครบรอบ 70 ปีของการสิ้นสุดสงครามเกาหลี ที่เกาหลีเหนือเฉลิมฉลองในชื่อ “วันแห่งชัยชนะ” การเยือนของซอยกูถือเป็นการเยือนเกาหลีเหนือครั้งแรกโดยรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย นับตั้งแต่การล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียต

ผู้นำคิมนำซอยกูเยี่ยมชมนิทรรศการอาวุธและยุทโธปกรณ์ทางทหารชนิดใหม่ ที่มีการจัดแสดงขีปนาวุธหลายชนิด รวมถึงเครื่องยิงแบบหลายเพลา ทั้งยังมีภาพที่นักวิเคราะห์ระบุว่าดูเหมือนจะเป็นโดรนชนิดใหม่อีกด้วย ทั้งยังบอกด้วยว่า การชมขีปนาวุธของเกาหลีเหนือของซอยกูเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า รัสเซียยอมรับโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

เคซีเอ็นเอรายงานว่า ซอยกูได้มอบจดหมายจากประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ให้กับผู้นำคิม ขณะที่คิมได้ขอบคุณปูตินที่ส่งคณะผู้แทนทหารมาเยือนเกาหลีเหนือ ซึ่งถือเป็นการเปิดบ้านต้อนรับคณะผู้แทนต่างประเทศครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

“ผู้นำคิมได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่เป็นข้อห่วงกังวลร่วมกัน ในการต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตย การพัฒนา และผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ จากการปฎิบัติโดยพลการตามอำเภอใจของพวกจักรวรรดินิยม เพื่อการบรรลุซึ่งความยุติธรรมและสันติภาพระหว่างประเทศ” เคซีเอ็นเอระบุ

เคซีเอ็นเอยังรายงานด้วยว่า ผู้นำคิมได้แสดงความเชื่อของเขาซ้ำว่า กองทัพและประชาชนรัสเซียจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในการต่อสู้เพื่อสร้างประเทศที่ทรงพลัง

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า นายคัง ซุน นัม รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีเหนือ กล่าวว่า เกาหลีเหนือสนับสนุนการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของรัสเซียอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องอธิปไตยของตน

‘หนุ่มเม็กซิโก’ สลัดคราบคุณพ่อหน้าโหด สวมชุดกระโปรงสีชมพูจัดเต็ม  หลังลูกสาวชวนไปดูหนัง ‘บาร์บี้’ ทำเอาโลกโซเชียลอดเอ็นดูไม่ได้!!

เป็นที่รู้กันดีว่าหากพูดถึง ‘บาร์บี้’ ต้องนึกถึงสีชมพู หลายคนจึงพากันแต่งตัวสีชมพูต้อนรับการฉายภาพยนตร์บาร์บี้ คุณพ่อคนนี้ก็เช่นกัน บอกเลยว่าแต่งตัวจัดเต็ม สลัดคราบโหดไปเสียสนิท

เมื่อไม่นานนี้ ‘เอลีซาร์ โรดริเกซ เอร์นานเดซ’ คุณพ่อจากรัฐตาเมาลิปัส ของเม็กซิโก ได้โพสต์ภาพแบ่งปันความประทับใจ เมื่อเขาพาลูกสาวตัวน้อยไปชมบาร์บี้ และทั้งคู่ได้ใส่ชุดสีชมพูเหมือนกัน

โดยคุณพ่อเล่าว่า ลูกสาวขอให้เขาพาไปดูบาร์บี้ที่โรงภาพยนตร์ และอยากให้เขาใส่ชุดสีชมพูด้วย ซึ่งลูกสาวมีการเอ่ยถามว่า พ่อจะรู้สึกอายมั้ยถ้าต้องใส่สีชมพู เขาจึงตอบไปว่า คนที่ต้องอายคือลูกต่างหาก

จากภาพ เขาสวมเสื้อกล้ามรัดรูปสีชมพูและกระโปรงสั้นสีชมพู ส่วนด้านบนสวมหมวกคาวบอยและใส่รองเท้าบูท ส่วนลูกสาวตัวน้อยสวมเสื้อสีชมพูและกระโปรงที่มีดีไซน์เหมือนกับกระโปรงของเขา

ภาพครั้งนี้ได้กลายเป็นไวรัล มีการแชร์และแสดงความคิดเห็นนับพัน ทั้งนี้คุณพ่อได้ชี้แจงว่าเขาไม่ได้อยากมีชื่อเสียง เพียงแค่ทำตามคำขอของลูกเท่านั้น

“ที่ผมโพสต์ไป ผมไม่ได้หวังชื่อเสียงหรืออะไร ผมแค่ทำตามคำขอของลูกสาว และผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อลูก ซึ่งลูกมีความสุขมาก เชื่อผมเถอะ การสวมชุดสีชมพูกับกระโปรงฟู ๆ ไม่ได้ทำให้คุณดูเป็นผู้ชายน้อยลงเลย” คุณพ่อชาวเม็กซิโก กล่าว

‘อดีต จนท.ข่าวกรอง’ แฉ!! โครงการลับ UFO ของรัฐบาลสหรัฐฯ จ่อซุกซ่อนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ หวั่นกระทบความมั่นคงประเทศ

เมื่อไม่นานนี้ คณะกรรมมาธิการควบคุมและตรวจสอบประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือ ‘UAPs’ ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อของ UFO หรือวัตถุบินไม่ทราบชนิด

โดยอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองประจำกองทัพอากาศที่ร่วมให้ข้อมูลในเรื่องนี้อ้างว่า สหรัฐฯ ได้เก็บซากชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์จากบริเวณจุดตกของวัตถุบินที่ไม่สามารถระบุชนิดลำหนึ่ง

การเปิดเผยดังกล่าวมาจาก ‘เดวิด กรัช’ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของกองทัพอากาศที่เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมมาธิการควบคุมและตรวจสอบประจำสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งดูแลการตรวจสอบด้านความมั่นคงและกิจการต่างประเทศด้วย

กรัช ระบุว่าสหรัฐฯ ได้ดำเนินการโครงการลับมาเป็นเวลาหลายสิบปี เพื่อเก็บกู้และศึกษาโครงสร้างของวัตถุบินไม่ทราบชนิดที่ตกลงมา และสามารถเก็บชิ้นส่วนทางชีวภาพที่ไม่ใช่มนุษย์ได้จากจุดตกของวัตถุบินลำหนึ่งที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ ซึ่งเป็นการตอบคำถามจากสมาชิกคณะกรรมาธิการที่ต้องการทราบว่า รัฐบาลมีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลกหรือไม่

ขณะที่ ‘ไรอัน เกรฟส์’ (Ryan Graves) อดีตนักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่า จำนวนปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือ UAP ที่ถูกรายงานนั้นต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เนื่องจากนักบินกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของตัวเอง

เกรฟส์ เตือนว่าหาก ปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้เกี่ยวข้องกับโดรนจากประเทศอื่น ก็นับว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนต่อความมั่นคงของประเทศ แต่หากไม่ใช่ก็เข้าข่ายประเด็นทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเป็นเรื่องของความปลอดภัยภัยด้านการบิน

อีกคนที่เข้าชี้แจงเรื่องนี้ คือ ‘เดวิด เฟรเวอร์’ (DAVID FRAVOR) อดีตนายทหารระดับผู้บัญชาการของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่เคยสัมผัสกับปรากฏการณ์ปริศนาด้วยตัวเองเมื่อปี 2004

เฟรเวอร์ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่วัตถุบินที่ไม่สามารถระบุได้เหล่านี้ อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงเพราะมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าสหรัฐฯ มาก โดยสามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ ไปที่สถานที่ใดก็ได้ รวมทั้งอวกาศ โดยใช้เวลาขึ้นบินหรือลงจอดไม่กี่วินาที และ จะทำอะไรก็ได้

อย่างไรก็ตาม รายงานที่เปิดเผยโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อปี 2021 ยืนยันว่า ไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้กับวัตถุจากนอกโลก

โดยหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงานหลายฉบับเกี่ยวกับการพบเห็นปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยบางส่วนยังไม่สามารหาคำตอบได้ขณะที่บางส่วนได้ข้อสรุปว่าเป็นสิ่งของหรือสัตว์ เช่น บอลลูน โดรน ถุงพลาสติกที่ถูกลมพัดลอยขึ้นสู่อากาศ หรือ นก

‘ญี่ปุ่น’ ลั่น!! เกาหลีเหนือเป็น ‘ภัยคุกคาม’ สุดร้ายแรง หลังกรุงเปียงยางโชว์ยุทโธปกรณ์ ฉลองวันแห่งชัยชนะ

(28 ก.ค. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ญี่ปุ่นได้ระบุในสมุดปกขาว หรือเอกสารรายงานประจำปีที่รัฐบาลออก เพื่อชี้แจงรายละเอียดภัยคุกคามทางทหารและแผนการ เพื่อรับประกันความมั่นคงของประเทศว่า เกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติมากกว่าที่เคยเป็นมา จากการที่เปียงยางซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ได้ยั่วยุประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยการทดสอบขีปนาวุธซ้ำแล้วซ้ำเล่าและถ้อยวาจาที่เป็นปฏิปักษ์

ในเอกสารดังกล่าว กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นกล่าวถึงการเพิ่มงบประมาณในการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ เนื่องจากโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งวิกฤตการณ์ ทั้งการที่จีนมีแสนยานุภาพทางทหารที่เพิ่มขึ้น สงครามการรุกรานของรัสเซียในยูเครน รวมถึงภัยคุกคามเกาหลีเหนือที่กลายเป็นปัญหาสำคัญสำหรับญี่ปุ่น

คณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ อนุมัติสมุดปกขาวนี้เมื่อเช้าวันนี้ (28 ก.ค.) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธในละแวกใกล้เคียงถี่มากขึ้น สอดคล้องกับที่รายงานดังกล่าวระบุว่า “เชื่อว่าเกาหลีเหนือมีความสามารถในการโจมตีญี่ปุ่นด้วยขีปนาวุธที่มีการติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์”

ในขณะเดียวกัน เคซีเอ็นเอ สำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือรายงานในวันเดียวกันว่า คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ตรวจตราขบวนพาเหรดแสดงแสนยานุภาพทางทหารของประเทศ โดยมีการสาธิตโดรนรุ่นใหม่และจัดแสดงขีปนาวุธพิสัยข้ามทวีป (ICBM) ที่มีความสามารถด้านนิวเคลียร์ ทั้งยังกล่าวเปิดงานอย่างอบอุ่นเพื่อฉลองวันครบรอบสิ้นสุดสงครามเกาหลี

เคซีเอ็นเอรายงานว่า ในการเดินขบวนดังกล่าว ได้มีการบินสาธิตของเครื่องบินสอดแนมไร้คนขับเชิงกลยุทธ์และโดรนโจมตีอเนกประสงค์รุ่นใหม่ รวมถึงยังมีการนำฮวาซอง-18 (Hwasong-18) ซึ่งเป็นขีปนาวุธ ICBM ใหม่ล่าสุดที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งและถูกทดสอบไปเมื่อเดือนเมษายนและกรกฎาคมปีนี้มาอวดโฉมในงานเช่นกัน สร้างความปิติยินดีและความตื่นเต้นให้กับผู้ชมที่ร่วมงาน โดยปกติแล้ว คณะผู้แทนระดับสูงของรัสเซียและจีนเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองดังกล่าว เนื่องในวันครบรอบ 70 ปีของการสงบศึกในสงครามเกาหลี ที่เกาหลีเหนือเฉลิมฉลองในชื่อ ‘วันแห่งชัยชนะ’

‘ทุเรียนไทย’ กลิ่นหอมขจรขจายทั่วนครฮาร์บิน ตอนเหนือของจีน ด้วยการขนส่งก้าวหน้า โดย ‘ขบวนด่วน’ ของทางรถไฟจีน-ลาว

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, ฮาร์บิน รายงานว่า ณ ตลาดค้าส่งสินค้าเกษตรฮาต๋า ซึ่งเป็นศูนย์กลางจัดจำหน่ายผักผลไม้ที่พลุกพล่านที่สุด ในมณฑลเฮยหลงเจียงทางตอนเหนือสุดของจีน มีรถบรรทุกทุเรียน 1,000 กล่อง ถูกรุมล้อมด้วยพ่อค้าแม่ขายที่มารอรับสินค้า โดย ‘เสี่ยวเหิง’ เป็นพ่อค้าคนหนึ่งที่ร่วมรอรับทุเรียน เพื่อขนขึ้นรถส่วนตัวพร้อมกับผลไม้เมืองร้อนอื่นๆ อย่างฝรั่งและมะม่วง

‘เสี่ยวเหิง’ ผู้ค้าขายผลไม้มานานกว่า 10 ปี เล่าว่าเขาเริ่มต้นขายผลไม้ปี 2013 ตอนนั้นชาวฮาร์บินชอบรับประทานทุเรียนกันแล้ว แต่ยังมีของขายไม่มากและราคาไม่ถูก แถมการขนส่งที่ใช้เวลานานทำให้ทุเรียนที่ขนส่งมาถึงเปลือกแห้งและดำ ต่างจากปัจจุบันที่ล่าสุดได้ยินว่าขนส่งด้วย ‘ขบวนด่วน’ บนทางรถไฟจีน-ลาว ทั้งมีคุณภาพดีและราคาลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนๆ

ย้อนกลับเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผลไม้เมืองร้อนจากไทยที่วางจำหน่ายในนครฮาร์บิน เมืองเอกของเฮยหลงเจียง ต้องผ่านมือเหล่าพ่อค้าคนกลางในกว่างโจว เสิ่นหยาง ปักกิ่ง และอื่นๆ เพราะไม่มีช่องทางซื้อขายโดยตรง ทำให้ราคาพุ่งสูง ขณะเดียวกันรูปลักษณ์และรสชาติของผลไม้แย่ลงเพราะใช้ระยะเวลาขนส่งยาวนาน

ทว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของจีน ช่วยลดระยะเวลาขนส่งลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณภาพของผลไม้นำเข้าดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แม้แต่เฮยหลงเจียงที่เป็นมณฑลทางเหนือสุดของจีน ยังสามารถเพลิดเพลินกับผลไม้เมืองร้อนเลิศรสที่ส่งมาจากกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไทย มาเลเซีย และลาว

หากวันนี้ลองเยี่ยมเยือนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ในนครฮาร์บิน คุณจะได้พบทุเรียนหมอนทองสุกพร้อมรับประทานวางเรียงรายดึงดูดลูกค้ามาเลือกซื้อจำนวนมาก โดยมีราคาช่วงโปรโมชันอยู่ที่ราว 43.8 หยวน (ราว 210 บาท) ต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าราคาค้าปลีกในท้องตลาดอย่างมาก

พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้เผยว่า ทุเรียนมีราคาถูกเช่นนี้เพราะต้นทุนการขนส่งลดลง โดยทุเรียนจากไทยถูกขนส่งสู่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ก่อนจะถูกกระจายไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกันที่นี่มีบริการปลอกเปลือกทุเรียนฟรีและตรวจดูคุณภาพทุเรียนก่อนจ่ายเงิน เพื่อรับประกับความสดใหม่ทุกลูก

อนึ่ง ทางรถไฟจีน-ลาว ถือเป็นโครงการสำคัญของการร่วมสร้าง ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (BRI) ที่มีคุณภาพสูง และกลายเป็นช่องทางโลจิสติกส์ที่สะดวกระหว่างจีนและอาเซียน โดยทางรถไฟสายนี้ช่วยให้ขนส่งทุเรียนจากไทยถึงคุนหมิงภายใน 3 วัน ซึ่งช่วยให้ไทยสามารถส่งออกทุเรียนที่สุกมากขึ้นและรสชาติดีขึ้นได้

ปัจจุบันไทยมีทุเรียนกว่า 200 สายพันธุ์ และถือเป็นประเทศส่งออกทุเรียนสดมากที่สุดในโลก โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ของไทย ระบุว่าจีนเป็นตลาดส่งออกทุเรียนไทยขนาดใหญ่ที่สุดในปี 2022 ครองส่วนแบ่งร้อยละ 96 ของทุเรียนไทยส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 3.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.05 แสนล้านบาท)

ด้าน ‘ขบวนด่วน’ บนทางรถไฟจีน-ลาว ช่วยลดระยะเวลาขนส่งทุเรียนสู่จีนอย่างมาก โดยกลุ่มสื่อไทยรายงานว่า ‘รถไฟขบวนทุเรียน’ จากสถานีมาบตาพุดไปยังนครกว่างโจวของจีน ทำสถิติขนส่งผลไม้จากไทยสู่จีนเร็วที่สุดครั้งใหม่ และการเน่าเสียระหว่างการขนส่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

เสี่ยวเหิง เผยทิ้งท้ายว่า เขาขายทุเรียนได้หลายร้อยลูกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยเขายังมี ‘บริการหลังการขาย’ อย่างเช่น การแลกคืนทันทีหากพบทุเรียนด้อยคุณภาพ ขณะการรับประกันอุปทานและการพัฒนาโลจิสติกส์ช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่เสี่ยวเหิง และเกื้อหนุน ‘กลิ่นหอม’ ของทุเรียนไทยขจรขจายทั่วดินแดนตอนเหนือสุดของจีน

‘McDonald’s’ สาขาหนึ่งในญี่ปุ่น ประกาศห้ามเด็กทั้งโรงเรียนเข้าร้าน เหตุมี นร.บางกลุ่มเข้ามาก่อกวนลูกค้าในร้าน แถมคุณครูยังเพิกเฉย!!

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีร้าน ‘McDonald’s’ สาขาหนึ่งในจังหวัดคะนะงะวะของประเทศญี่ปุ่น กลายเป็นไวรัล เพราะมีผู้ไปพบเห็นว่าร้านขึ้นป้ายประกาศแบนนักเรียนทั้งหมดจากโรงเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่ง เนื่องจากเด็กโรงเรียนนี้มาทำ ‘พฤติกรรมก่อกวน’ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้รบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ และอาจเป็นอันตรายต่อพนักงาน จนทางร้านรับไม่ได้!! เห็นแล้วก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้เลยว่าทางร้านเจออะไรเข้าไปถึงถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้!!

ว่ากันว่าทางร้านนั้นประกาศไม่ต้อนรับเด็กโรงเรียนดังกล่าวมาเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว แต่เพิ่งมาเป็นข่าวจนกลายเป็นไวรัล หลังมีผู้นำประกาศดังกล่าวมาโพสต์แชร์บนโลกออนไลน์ ทำให้บางคนจะมองว่าไม่ควรจะแบนนักเรียนแบบเหมาเข่งแบบนี้ และควรแบนเฉพาะนักเรียนที่ก่อกวนร้าน

แต่หลายคนดูเหมือนจะเห็นใจทางร้านมากกว่า เพราะมองว่าร้าน McDonald’s คงจะจับตามองนักเรียนเป็นรายคนไม่ไหว และเนื่องจากเครื่องแบบแต่ละโรงเรียนนั้นมีเอกลักษณ์ จึงเห็นได้ว่าเด็กโรงเรียนไหนทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ กันอยู่บ่อยครั้ง จึงง่ายกว่าที่จะแบนโรงเรียนนั้น ๆ ไปเสียเลย และชื่นชมที่ทางร้านปกป้องสวัสดิภาพของพนักงานและสิทธิ์ของลูกค้าคนอื่น ๆ

ขณะเดียวกัน ความเห็นส่วนหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์รองครูใหญ่ของโรงเรียนดังกล่าว เพราะดูเหมือนจะเพิกเฉยไม่สนใจคำร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียนที่ร้าน McDonald’s แห่งนี้ ให้ร้านไปแจ้งตำรวจแทน และปฏิเสธไม่แสดงความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เนื่องจากคณะกรรมการการศึกษาสั่งมา แต่บอกแค่ว่านักเรียนของโรงเรียนได้รับการว่ากล่าวตักเตือนแล้ว

ทั้งนี้ ชาวเน็ตบางคนบอกว่ารู้จักเด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ และอ้างว่าบางคนมาสั่งอาหารที่ร้านแล้วนั่งแช่ยาว ๆ บางคนก็ไม่ซื้ออะไรเลยเพราะเอาข้าวกล่องจากที่อื่นมากินเอง แล้วใช้ Wi-Fi ฟรีของร้านเพื่อเรียนออนไลน์ด้วยแทบเล็ตของโรงเรียน บางทีก็คุยโหวกเหวกเสียงดังและเล่นเกม เหมือนยึดร้านเป็นของตัวเอง ทำให้รบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ อย่างมาก และมีรายงานด้วยว่าเคยมีเหตุถึงขั้นต้องเรียกตำรวจและคุณครูมาห้ามนักเรียนเกเรเหล่านี้

ก็อาจจะไม่แฟร์เสียทีเดียวสำหรับนักเรียนโรงเรียนนี้คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ก่อกวนทางร้าน แต่หากทางร้านเจอกับพฤติกรรมแบบนี้บ่อย ๆ และขอความร่วมมือจากทางโรงเรียนไม่ได้ผล ก็คงต้องเข้มงวดมากขึ้นเพื่อไม่ให้คนส่วนมากได้รับผลกระทบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top