Monday, 19 May 2025
World

'รัฐบาลทหารไนเจอร์' ดับเครื่องชนฝรั่งเศส ระงับการส่งออก 'แร่ยูเรเนียม-ทองคำ' แล้ว

(2 ส.ค. 66) กลายเป็นความสัมพันธ์ที่หวานอม ขมกลืนกันไปเสียแล้วระหว่างฝรั่งเศส และ ไนเจอร์ ประเทศที่เคยอยู่ใต้อาณานิคม และเป็นพันธมิตรมาอย่างยาวนาน มาวันนี้ ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นเหมือนเซ็นใบหย่าเสียแล้ว หลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารล้มผู้นำไนเจอร์คนล่าสุด โมฮัมเหม็ด บาซูม โดยคณะปฏิวัติจากสภาพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมา

สร้างความยุ่งยากใจให้กับรัฐบาลฝรั่งเศสไม่น้อย เพราะ เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เคยฝากความหวังไว้อย่างมากกับ โมฮัมเหม็ด บาซูม ผู้นำไนเจอร์ ว่าจะเป็นเสาหลักให้กับฝรั่งเศสในแอฟริกา หลังจากที่ฝรั่งเศสเสียมาลีไปแล้วจากการรัฐประหารโค่นล้ม รัฐบาลของ อิบราฮิม บูบาการ์ คีตา อดีตผู้นำมาลีศิษย์เก่าฝรั่งเศสในปี 2020

ตามมาด้วยการรัฐประหารที่บูร์กีนา ฟาโซ ที่ได้ยกเลิกข้อตกลงด้านการทหารกับฝรั่งเศสไปแล้วเมื่อต้นปี 2023 โดยกล่าวว่า กองทัพของบูร์กินา ฟาโซ สามารถป้องกันตนเองจากผู้ก่อการร้ายในประเทศได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากองทัพฝรั่งเศสอีกต่อไป

ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องสั่งให้ถอนฐานทัพของตนจากทั้งมาลี และ บูร์กินา ฟาโซ ไปปักหลักใหม่ที่ไนเจอร์ แต่ยังไม่ทันได้ข้ามปี ไนเจอร์ก็หนีไม่พ้นคลื่นกระแสรัฐประหารในภูมิภาคซาเฮลจนได้

และเมื่อไนเจอร์ กลายเป็นประเทศที่ปกครองด้วยรัฐบาลทหาร ขัดกับหลักการของฝรั่งเศส จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ทางฝรั่งเศสต้องแสดงจุดยืนด้วยการประกาศตัดความช่วยเหลือด้านการเงิน และ การทหารที่เคยให้แก่ไนเจอร์ทั้งหมด มีผลทันทีตั้งแต่ประกาศ จนกว่าอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด บาซูม ที่ตอนนี้ถูกฝ่ายกองทัพคุมตัว จะกลับคืนสู่ตำแหน่งตามเดิม

แต่วันนี้ รัฐบาลทหารของไนเจอร์ก็ประกาศดับเครื่องชนกับฝรั่งเศสเหมือนกัน ด้วยการสั่งระงับการส่งออกแร่ยูเรเนี่ยม และ ทองคำไปยังฝรั่งเศสทันที อย่างไม่มีกำหนด อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมาก ไปรวมตัวประท้วงกันที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงนีอาเม เพื่อขับไล่กองกำลังฝรั่งเศสออกจากประเทศและที่น่าสังเกตคือ มีหลายคนโบกธงชาติรัสเซียเย้ยออกสื่อเสียด้วย

ไนเจอร์เป็นหนึ่งในผู้ผลิต และ ส่งออกแร่ยูเรเนียมมากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยเฉพาะส่งออกไปยังฝรั่งเศส ที่ใช้แร่ยูเรเนียมที่มาจากไนเจอร์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนถึง 17%

ซึ่งกิจการเหมืองแร่ขนาดใหญ่ของไนเจอร์ตั้งอยู่ที่เมืองอาร์ลิท ที่ห่างจากกรุงนีอาเม ประมาณ 1,100 กิโลเมตร โดยบริษัท SOMAÏR แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกิจการของรัฐ แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดคือ AREVA บริษัทด้านธุรกิจพลังงานนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ถือหุ้นอยู่ถึง 63.4% ส่วนที่เหลือเพียง 36.6% เป็นของรัฐบาลไนเจอร์

ทั้งทองคำ และ ยูเรเนียม เป็นหนึ่งสินค้าส่งออกที่เป็นรายได้หลักของไนเจอร์ทีเดียว โดยกว่า 50% ของแร่ยูเรเนียมที่ผลิตได้ถูกส่งไปเป็นวัตถุดิบในโรงไฟฟ้าของฝรั่งเศส ส่วนอีก 25% ส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรป

แต่ถึงแม้ว่า ไนเจอร์จะตัดการส่งออกยูเรเนียมไปฝรั่งเศส ก็อาจจะยังไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการผลิตพลังงานในฝรั่งเศสมากมายนักในตอนนี้ เพราะโดยปกติทางฝรั่งเศสจะมีสต็อกแร่สำรองตุนไว้เสมอ เผื่อเกิดกรณีที่ไม่คาดฝันอย่าง ภัยธรรมชาติ หรือเหตุผลด้านการเมืองที่ควบคุมไม่ได้อย่างในครั้งนี้ 

ดังนั้น ฝ่ายที่เจ็บก่อนคือ ไนเจอร์ ที่ต้องสูญเสียรายได้จากการส่งออกทั้งยูเรเนียม และ ทองคำ นับพันล้านเหรียญในแต่ละปี และทำให้ไนเจอร์ต้องหาตลาดใหม่มาทดแทน ที่คาดการณ์ว่าคงหนีไม่พ้นจีนอีกเช่นกัน

แต่การเจ็บคราวนี้ของไนเจอร์ ก็อาจเป็นการเจ็บแล้วจบก็ได้ ที่ตอนนี้รัฐบาลไนเจอร์จะได้โอกาสจัดการสัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนในธุรกิจทรัพยากรของประเทศใหม่ ให้ยุติธรรมและเหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่

และหากไนเจอร์สามารถประคองตัวได้นานพอ ผล กระทบย่อมสะท้อนกลับมายังฝรั่งเศสเมื่อต้องเริ่มมองหาแหล่งที่ซื้อแร่ และ ทองคำใหม่ ถึงจะหามาทดแทนได้ไม่ยาก แต่มันจะไม่ใช่ราคาราคาที่เคยได้จากไนเจอร์แน่นอน และจะส่งผลต่อราคาแร่ยูเรเนียมในตลาดโลก รวมถึงค่าใช้จ่ายพลังงานในฝรั่งเศสอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้

และสิ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสเจ็บยิ่งกว่า คือการสูญเสียอิทธิพลที่เคยมีในย่านแอฟริกา ที่ไม่รู้ว่ามหาอำนาจเมืองน้ำหอมจะมีโอกาสได้แก้ตัวอีกไหมในดินแดนกาฬทวีปแห่งนี้ 

‘NASA’ รุกตลาดสตรีมมิ่ง เตรียมเปิดตัว NASA+ ปลายปีนี้  เล็งเสนอเรื่องราวภารกิจบนอวกาศ แถมดูฟรี!! ไม่มีโฆษณาคั่น

เมื่อไม่นานมานี้ NASA องค์กรอวกาศจากสหรัฐอเมริกากำลังเตรียมตัวเข้าสู่วงการสตรีมมิ่ง โดยเปิดตัว NASA+ สตรีมมิ่งที่จะนำเสนอภารกิจและเรื่องราวบนอวกาศแบบไม่มีโฆษณาหรือค่าใช้จ่ายใดๆ ภายในปลายปีนี้

บริการสตรีมมิ่งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง NASA และ เอเจนซี่สัญชาติสหรัฐรายหนึ่งเพื่อผลิตสารคดีหรือซีรีส์ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจและเรื่องราวต่างๆ บนอวกาศขององค์กร NASA 

บริการสตรีมมิ่งนี้ NASA+ ยังเป็นบริการในรูปแบบ On-Demand นั่นคือสามารถเลือกและเริ่มชมเนื้อหาที่ต้องการในเวลาที่ต้องการโดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลาที่มีการถ่ายทอดสด หรืออาจจะไม่จำกัดเวลาการดูตามกำหนด

การเข้ามาในวงการสตรีมมิ่งของ NASA จึงเป็นการตบเท้าเข้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กรและยกระดับบริการสื่อของตนเองให้ก้าวทันโลกและเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น

นี่จึงเป็นถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญนับตั้งแต่ NASA ใช้ NASA TV ถ่ายทอดเนื้อหาวิดีโอ เพื่อการศึกษาสาธารณะ และถ่ายทอดสด การปล่อยจรวดโดยถ่ายทอดในลักษณะของสถานีโทรทัศน์ ตลอด 24 ชั่วโมงและทุกวันทั้งบนเว็บไซต์ NASA และ YouTube การออกอากาศในปัจจุบัน มีการถ่ายทอดสดอย่างต่อเนื่องบน YouTube ตั้งแต่ปี 2018

“การทำให้เว็บไซต์หลักของเราอัปเดตเทคโนโลยีและการปรับปรุงกระบวนการที่ประชาชนเข้าถึงเนื้อหาออนไลน์ของเราเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการทำให้ข้อมูลของหน่วยงานเราเข้าถึงได้ง่าย และมีความปลอดภัย” Jeff Seaton ประธานกรรมการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของ NASA กล่าว

บริการ NASA + จะผูกรวมเข้ากับแอปพลิเคชัน NASA ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดบน iOS และ Android อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับเว็บไซต์และคลังข้อมูลของ NASA ในส่วนของสตรีมมิ่งบนทีวีจะให้บริการใน กล่องสตรีมเช่น Apple TV, Roku และ Fire TV

สวนสัตว์เฉลย!! หลังชาวจีนโวยใช้คนแต่งชุดหมีหลอกนักท่องเที่ยว ชี้!! หมีจริงๆ และร้อน 40 องศา ไม่น่ามีใครกล้าใส่ชุดหนาๆ มาโชว์

กลายเป็นข่าวที่มีกระแสไวรัลไปทั่วโลกแล้วในขณะนี้ เมื่อมีชาวจีนได้โพสต์คลิปหมีตัวหนึ่งที่สวนสัตว์หังโจว ในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน มีอากัปกิริยาคล้ายมนุษย์ ยืนสองขา ตัวตรง แถมยังโบกมือให้นักท่องเที่ยวที่มาชมสวนสัตว์ได้ด้วย ทำให้ชาวจีนเข้าใจว่านี่ไม่ใช่หมี แต่เป็นคนที่สวมชุดหมีไว้หลอกนักท่องเที่ยวว่าเป็นหมีจริง

และกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในโลกออนไลน์ของจีน เมื่อมีผู้คนมาชมคลิปนับล้านครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นหมีจริง หรือ หมีปลอมกันแน่ เพราะรูปร่างของหมีนั้นตัวเล็ก ดูจะต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ ผิดวิสัยหมี

ต่อมาทางสวนสัตว์หังโจว ได้ออกแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษร ยืนยันว่าหมีที่อยู่ในคลิป เป็นหมีจริง มีชื่อว่า ‘แองเจลลา’ เป็นหมีพันธุ์ Malayan Sun Bear คนจีนเรียกว่า 马来熊 หรือ ‘หมีมาเลย์’ ซึ่งคนไทยเรียกว่า ‘หมีหมา’ หรือ ‘หมีคน’ เพราะมีรูปร่างสันทัด และมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหมีทั่วไป

ทางสวนสัตว์กล่าวว่า “เมื่อพูดถึงหมี สิ่งที่คนจีนทั่วไปคิด คือหมีต้องมีรูปร่างสูงใหญ่ มีพละกำลัง แต่ไม่ใช่ว่าหมีทุกตัวจะมีลักษณะแบบนั้น อย่างเช่น หมีมลายูพันธุ์นี้ ที่จัดว่าเป็นหมีที่ตัวเล็กที่สุดในโลก" 

ข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ ของหมีมลายู หรือ ‘หมีหมา’ ในชื่อไทย มักพบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นในเมียนมา, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย หรือทางภาคใต้ของไทย มีขนาดตัวเพียง 100 - 140 เซนติเมตร ชอบนอนตามต้นไม้สูง เมื่อได้กลิ่นแปลกปลอม น่าสงสัย มันจะยืน 2 ขา ชูจมูกสูดดมกลิ่น และยังมีเสียงคล้ายสุนัขเห่า จึงถูกเรียกว่าหมีหมา ปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์

แต่ทั้งนี้ จะหาว่าคนจีน ขี้ระแวง คิดมาก ก็ไม่ได้ เพราะสวนสัตว์จีนบางแห่งเคยมีประวัติย้อมแมว หลอกนักท่องเที่ยวมาแล้วหลายครั้ง อาทิ สวนสัตว์แห่งหนึ่งในเมืองลั่วเหอ มณฑลเหอหนาน เคยนำสุนัขพันธุ์ ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ มาจัดแสดงในกรงที่ระบุว่าเป็นสิงโตแอฟริกามาก่อน  หรือสวนสัตว์ในเมืองซีชาง ในเสฉวน ก็เคยนำสุนัขโกลเด้น รีทริฟเวอร์ มาจัดแสดงในกรงสิงโตอาฟริกาเช่นกัน

มาคราวนี้ ทางสวนสัตว์หังโจว จึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อแก้ข่าวที่สะพัดในโลกออนไลน์ ว่าภาพที่เห็นเป็นหมีมาเลย์จริงๆ ไม่ใช่สุนัข และ ไม่ใช่คนปลอมเป็นหมี เพราะคงไม่มีใครสามารถทนใส่ชุดหมียืนกลางแจ้งในอุณหภูมิที่ร้อนจัดถึง 40 องศาในช่วงหน้าร้อนนี้ได้ โดยทางสวนสัตว์ยินดีให้สื่อเข้ามาสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ได้แบบตัวต่อตัว งดการสัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์

แต่ถ้าใครยังข้องใจ ก็ลองตีตั๋วเข้ามาชมกับตาดูได้ ว่าคุณจะเห็นหมีจริงหรือเปล่า

‘ติอาโก้ เทเซียร่า’ นักมวยบราซิลหัวใจเขมร เตรียมกลับมาหากินในไทย  หลังจบไม่สวยกับกุนขแมร์ งานนี้แฟนมวยรอต้อนรับกันคับคั่ง!!

(3 ส.ค. 66) แว่วว่า ‘ติอาโก้ เทเซียร่า’ นักมวยบราซิลหัวใจเขมร เตรียมหอบผ้าหอบผ่อนกลับประเทศไทยมาหากิน หลังจากแยกทางกับ สหพันธ์กุนขแมร์

ช่องทางโซเชียลของ ครูอรรถ Kruarrt Muaythai โพสต์ว่า "วงในบอกไม่เเน่อาจจะกลับมาทำมาหากินที่สมุยประเทศไทยอีกครั้ง หลังประกาศเเยกทางกับสมาคมกุนขแมร์"

งานนี้รับรองแฟนมวยชาวไทยเตรียมต้อนรับ ติอาโก้ เทเซียร่า หากกลับมาที่เกาะสมุยที่เคยมีค่ายมวย หลังจากไม่พอใจที่นักสู้เชื้อสายบราซิล โอนสัญชาติไปเป็นคนเขมร ทันทีที่มีประเด็น ซีเกมส์ ที่เจ้าภาพกัมพูชาถอดมวยไทย

นอกจากนี้ ติอาโก้ เทเซียร่า ยังสักรอยใหม่ทับคำว่ามวยไทยที่กลางแผ่นหลังอีกด้วย

สหรัฐฯ แบไต๋!! ไม่จำเป็นต้องรบกับจีน แต่ให้พันธมิตรรบแทน ภายใต้แผนพึ่งพาพันธมิตรช่วยขยายขอบเขตกองทัพมะกัน

(3 ส.ค. 66) เพจ 'The World Echo' โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ลุงแซมนี่กล้าหาญจริง ๆ ชอบแอบข้างหลังชาวบ้านแล้วผลักชาตินั้นชาตินี้ให้ออกหน้า ส่วนตัวเองคอยเชิดเบี้ยหมากพลางจิบโค้กอย่างสบายใจ

ล่าสุดเผยไต๋ออกมาว่า สหรัฐฯ จะพึ่งพาพันธมิตรแทนที่จะขยายขอบเขตกองทัพของตนเองครั้งใหญ่ ตอบโต้กรณีเกิดความขัดแย้งด้านทางทหารใด ๆ กับจีนในแปซิฟิก ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคแถบนี้ นั่นไง...

แล้วพันธมิตรของอเมริกาในแถบนี้มีชาติไหนบ้างล่ะ...แปซิฟิกตอนบน ก็มีญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน ถัดลงมามีพี่ปินส์, ออสเตรเลีย, ปาปัวนิวกินี ในขณะที่ไอ้นกอินทรีหัวล้านพยายามอย่างหนักในการแทรกแซงกิจการการเมืองในไทย

พล.อ.โจเซฟ ไรอัน ผู้บัญชาการกองพลที่ 25 ซึ่งมีกำลังพล 12,000 นาย บนเกาะโอวาฮู รัฐฮาวาย ระบุปักกิ่งกำลังอวดข้อได้เปรียบ อ้างถึงการขยายอิทธิพลของกองทัพจีน แสนยานุภาพด้านขีปนาวุธพิสัยไกล และความสะดวกที่ปักกิ่งสามารถประจำการกองกำลังและยุทโธปกรณ์ในแปซิฟิก...แน่ล่ะ!! เพราะชาติที่จีนไปซูเอี๋ยไว้ไม่ไกลจากจีน

ต่างจากอเมริกาที่อยู่ไกลโพ้น แต่กระนั้นก็ยังพยายามเผือกแถวน่านน้ำนี้ไม่หยุดหย่อน ซึ่ง พล.อ.โจเซฟ กล่าวว่าในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง สหรัฐฯ และพันธมิตรจะจำเป็นต้องเดินทางข้ามน่านน้ำสากลหรือดินแดนของหลายประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากชาติเหล่านั้น เช่นเดียวกับการเคลื่อนย้ายและการขนส่งทั้งทางอากาศ ทางบกและทางทะเล

ในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว เป้าหมายลำดับต้น ๆ ของพันธมิตร คือพยายามจำกัดความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของจีน การมีส่วนร่วมในการซ้อมรบ Talisman Sabre ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงพันธสัญญาของอเมริกาที่มีต่อพันธมิตร

‘หนุ่มมะกัน’ หมิ่น ‘ไบเดน’ คุก 5 ปี ปรับ 8 ล้านบาท ส่วน ‘ประเทศไทย’ ให้ยกเลิก-ไม่ติดคุก-หมิ่นกษัตริย์

เมื่อไม่นานมานี้ ไบรอัน เบอร์เลติก ฝรั่งอเมริกันที่เคยออกมาแฉว่าเฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือหนึ่งของอเมริกาในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ จนถูกปิดเพจไปก่อนหน้า ได้ยกกรณีการหมิ่นผู้นำสหรัฐฯ พร้อมโทษที่เด็ดขาด ว่า…

“ชายจากนอร์ทแคโรไลนา โดนข้อหาขู่ฆ่าประธานาธิบดีไบเดน” และนี่คือหัวข้อบทความจาก CNN ซึ่งชายผู้นี้ได้โทรไปข่มขู่ที่ทำเนียบขาว และข้ออ้างของเขาคือ ‘มีสิทธิ’ ทำแบบนั้น เพราะเขามีสิทธิเสรีภาพในการพูดและเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ฟังดูคุ้น ๆ ไหม? มันคุ้นหูมากเพราะว่านั่นคือ ‘คำอ้าง’ ของม็อบต่อต้านรัฐบาลไทยที่มีสหรัฐฯ หนุนหลังใช้เวลาที่พวกเขาหมิ่นประมาท และข่มขู่พระมหากษัตริย์ไทยยังไงล่ะ แต่ถ้าเป็นที่สหรัฐฯ คุณจะโดนโทษจำคุก 5 ปี และปรับเป็นเงิน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หากคุณข่มขู่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

มาดูบทความนี้กันต่อ “พรรคก้าวไกลผลักดันให้มีการยกเลิกโทษหมิ่นเบื้องสูง” ซึ่งข้างล่างบทความนี้ได้เขียนเอาไว้ว่า “ข้อเสนอมีอยู่ว่าคนที่หมิ่นประมาทหรือข่มขู่พระมหากษัตริย์ จะยังต้องระวางโทษจำคุก แต่มากสุด 1 ปี และปรับเป็นเงิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งผมอยากให้ดูข้อความตรงนี้ “หรือข่มขู่พระมหากษัตริย์” หมายความว่าพรรคก้าวไกลต้องการเปลี่ยนกฎหมายของประเทศไทย จนแทบไม่มีโทษอะไรเลยจากการหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งก็เป็นเจตนาของพวกเขาแต่แรกอยู่แล้ว คือการโจมตีและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และพวกเขาตั้งใจจะเปลี่ยนกฎหมายเพื่อทำให้เรื่องนั้นเป็นไปได้ 

และในขณะเดียวกัน ลองมาดูบทความนี้กันต่อ “ก้าวไกล ฟ้องหมิ่นประมาท 'หมอวรงค์-ณฐพร' เรียกค่าเสียหายคนละ 24,062,475 บาท” อยากให้สังเกตตัวเลขตรงนี้ให้ดี เพราะนั่นคือจำนวนเงินที่พวกเขาเรียกร้องจากผู้ที่วิจารณ์พวกเขา แล้วถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพวกเขา พอจะเห็นภาพหรือยังว่าเรื่องทั้งหมดนี่มันเป็นอย่างไร? พวกเขาต้องการจะเปลี่ยนกฎหมายเพื่อเอื้อแก่พวกเขาที่จะสามารถโจมตีและทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขของประเทศให้ได้ แต่กลับยังเอากฎหมายหมิ่นประมาทของประเทศไทยมาฟ้องผู้วิจารณ์และคัดค้าน เป็นจำนวนเงินหลายล้านบาท และนี่คือการกระทำของเผด็จการ ที่เห็นกันซึ่งๆ หน้า ในโลกของความเป็นจริง ขณะที่คำกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน และสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเผด็จการเป็นเพียงนิทานหลอกเด็นเท่านั้น

ผมแค่อยากชี้เรื่องนี้ให้เห็นกันว่าในสหรัฐฯ คุณอาจโดนโทษจำคุกได้ถึง 5 ปี ถ้าคุณข่มขู่ประมุขของรัฐ ซึ่งพรรคก้าวไกลอยากลดเวลาจำคุกนั้นลงให้เหลือแค่ 1 ปี แต่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้คนเลิกโจมตีสถาบันเลยสักนิด ในทางกลับกันมันจะยิ่งกลายเป็นการผลักดันให้ผู้คนโจมตีและข่มขู่สถาบันมากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำไป

มันจะเป็นสังคมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ได้อย่างไร? เมื่อสังคมมีแต่การหมิ่นประมาท และข่มขู่กันเอง ดังนั้นจะเห็นได้ชัดเลยว่าพรรคก้าวไกลไม่สนใจประเทศไทยเลยสักนิด มันชัดเจนมากว่าพวกเขาพยายามจะทำลายประเทศไทย…

‘วัยรุ่นอายุ 23 ปี’ ป่วนกรุงโซล!! ขับรถไล่ชนคนบนทางเท้า ก่อนวิ่งบุกแทงคนในห้าง เจ็บ 7 ราย ตร.รวบตัวได้ใน 10 นาที

(4 ส.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุสะเทือนขวัญ ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยวัย 23 ปี ได้ภายในเวลาเพียง 10 นาที หลังจากได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ชายคนหนึ่งอาละวาดไล่แทงคนที่ห้างสรรพสินค้าติดกับสถานีรถไฟใต้ดินโซฮยอน ในเมืองซองนัม ทางตอนใต้ของกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้

เจ้าหน้าที่ เปิดเผยว่า มีผู้บาดเจ็บจากการถูกแทง 7 คน และอีก 4 คน ถูกผู้ต้องสงสัยขับรถยนต์ไล่ชนบนทางเท้า นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นชายวัย 23 ปี มีนามสกุลว่า ‘ชอย’ โดยแหล่งข่าว บอกว่า เขาเป็นพนักงานเดลิเวอรี

ต่อมาทางผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ผู้ต้องสัยสวมชุดสีดำและสวมแว่นตาดำ เดินแกว่งมีดยาว 50-60 เซนติเมตร ไปมาเข้าไปในห้างสรรพสินค้าหลังรถยนต์จอดนิ่ง ขณะที่บางคน บอกว่า มีผู้ก่อเหตุมากกว่า 1 คน แต่ตำรวจสรุปว่า คนร้ายไม่มีผู้ร่วมก่อเหตุ และเขายังคงไม่ยอมให้การใด ๆ รวมถึง เหตุจูงใจในการลงมือ
 

‘ทรัมป์’ ยืนกรานในศาล ปฏิเสธข้อหา ‘ล้มผลเลือกตั้ง ปี 2020’ ยัน ตนไม่มีความผิด ชี้!! นี่คือแผนกลั่นแกล้งทางการเมือง

(4 ก.ค. 66) อดีตประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ แห่งสหรัฐฯ ยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหาล้มผลเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 ระหว่างเดินทางไปขึ้นศาลที่วอชิงตันเมื่อวานนี้ (3 ส.ค.) พร้อมอ้างว่าทั้งหมดเป็นแผนกลั่นแกล้งทางการเมือง

‘อัยการสหรัฐฯ’ ชี้ว่า คดีนี้ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจาก ทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้นำสหรัฐฯ ในขณะนั้นกลับกระทำการอันบั่นทอนเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยอเมริกันเสียเอง

การไต่สวนซึ่งกินเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงมีขึ้นที่ศาลในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 1 กิโลเมตรจากอาคารรัฐสภา ซึ่ง ทรัมป์ เคยปลุกปั่นให้ผู้สนับสนุนบุกเข้าไปก่อความวุ่นวายขัดขวางการรับรองชัยชนะของ ‘โจ ไบเดน’ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021

อดีตผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ถูกยื่นฟ้องคดีอาญาเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 เดือน และมรสุมทางกฎหมายเหล่านี้ก็คาดว่าจะเป็นทั้งปัจจัยฉุดรั้งและตัวเรียกคะแนนสงสารให้ ทรัมป์ ซึ่งเป็นตัวเต็งชิงประธานาธิบดีที่ยังคงได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในสายรีพับลิกัน

ทรัมป์ วัย 77 ปี ถูกตั้งข้อหารวมทั้งสิ้น 4 กระทง ได้แก่ สมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงสหรัฐฯ สมรู้ร่วมคิดขัดขวางกระบวนการของรัฐ กระทำการขัดขวางกระบวนการของรัฐ และกระทำการขัดขวางสิทธิในการโหวตของพลเมืองอเมริกัน ซึ่งความผิดที่ร้ายแรงที่สุดนั้นมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี

ทรัมป์ ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อหา โดยกล่าวต่อผู้พิพากษาศาลแขวง โมซิลา อุปัทยายา (Moxila A. Upadhyaya) ว่าตนเอง “ไม่มีความผิด” (not guilty)

ในเอกสารคำฟ้องความยาว 45 หน้ากระดาษ อัยการพิเศษ แจ็ค สมิธ กล่าวหา ทรัมป์ และพวกพ้องว่าจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จใส่ร้ายการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม กดดันเจ้าหน้าที่ทั้งระดับท้องถิ่นและรัฐบาลกลางให้เปลี่ยนแปลงผลการนับคะแนน และยังสร้างคณะผู้เลือกตั้ง (electors) ปลอมขึ้นมาเพื่อหวังชิงคะแนนเสียงไปจากโจ ไบเดน

ศาลได้อนุญาตปล่อยตัว ทรัมป์ และให้อิสระในการเดินทางตามปกติ โดยตั้งเงื่อนไขเพียง 1 ข้อก็คือห้ามไม่ให้ติดต่อพูดคุยกับพยานโดยไม่มีทนายความอยู่ด้วย ซึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการในศาล อดีตผู้นำสหรัฐฯ ก็ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวกลับไปยังสนามกอล์ฟที่เมืองเบดมินสเตอร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ทันที

ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า การฟ้องร้องเอาผิดเขาฐานล้มผลเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของแผน ‘ล่าแม่มด’ ที่หวังสกัดไม่ให้เขากลับไปครองเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวได้อีกครั้งในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024

“มันเป็นวันที่น่าเศร้าอย่างยิ่งสำหรับอเมริกา” ทรัมป์ กล่าว พร้อมระบุว่า “นี่คือการเล่นงานศัตรูทางการเมือง”

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ได้ถูกอัยการพิเศษยื่นฟ้องรวมทั้งสิ้น 37 กระทง ฐานจัดการเอกสารชั้นความลับสุดยอดอย่างผิดกฎหมาย โดยขนเอาเอกสารเหล่านั้นไปเก็บไว้ที่คฤหาสน์ส่วนตัวในรัฐฟลอริดาหลังพ้นตำแหน่ง และพยายามขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งติดตามทวงคืนเอกสารเหล่านั้น

อดีตผู้นำสหรัฐฯ รายนี้ยังถูกอัยการแมนฮัตตันยื่นฟ้องดำเนินคดีฐานจ่ายเงินปิดปาก “สตอร์มมี แดเนียลส์” ดาราหนังโป๊ ไม่ให้ออกมาเปิดเผยความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ในช่วงก่อนศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2016

ทรัมป์ ยังคงยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหาในทั้ง 2 คดี และเร็วๆ นี้ก็คาดว่าจะโดนข้อหาเพิ่มอีก เนื่องจากอัยการของรัฐจอร์เจียอยู่ระหว่างสอบสวนความพยายามของ ทรัมป์ ที่จะล้มผลเลือกตั้งที่นั่น และคาดว่าจะมีคำสั่งฟ้องออกมาภายในกลางเดือน ส.ค.

‘ยูเครน’ ส่งโดรนโจมตี ‘ฐานทัพเรือรัสเซีย’ เบื้องต้นเรือรบ 1 ลำ เสียหายหนัก

(4 ส.ค. 66) ยูเครนส่งโดรนทางทะเล 2 ลำเข้าไปโจมตีฐานทัพเรือที่เมืองโนโวรอสซิสก์ (Novorossiysk) ริมทะเลดำ ประเทศรัสเซีย เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ขณะที่แหล่งข่าวเผยว่าปฏิบัติการดังกล่าวส่งผลให้เรือรบรัสเซีย 1 ลำเสียหายอย่างหนัก

เหตุโจมตีครั้งนี้ ยังส่งผลให้ท่าเรือพลเรือน ซึ่งใช้ในการส่งออกธัญพืชรัสเซีย และขนส่งน้ำมันราว 2% ของโลก ต้องหยุดการขนถ่ายสินค้าชั่วคราว ก่อนจะกลับมาเปิดทำการได้ตามปกติ ตามข้อมูลจากบริษัท Caspian Pipeline Consortium ซึ่งเป็นผู้บริหารท่าเรือน้ำมันในเมืองนี้

กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงสั้นๆ วันนี้ (4 ส.ค.) ว่า กองทัพสามารถสกัดการจู่โจมของโดรนยูเครนในน่านน้ำนอกฐานทัพเรือ และโดรนทางทะเลทั้ง 2 ลำถูกยิงทำลาย ทว่าไม่ได้ให้รายละเอียดความเสียหายในฝั่งของรัสเซียเอง

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวกรองในยูเครนให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ว่า ‘เรือ Olenegorsky Gornyak’ ซึ่งเป็นเรือยกพลขึ้นบกของกองทัพรัสเซียถูกโดรนโจมตีจนเสียหายหนัก และไม่สามารถออกปฏิบัติภารกิจได้ 

แหล่งข่าวผู้นี้เผยด้วยว่า ปฏิบัติการโดรนกามิกาเซ่ครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพเรือยูเครน และหน่วยข่าวกรอง SBU

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวซึ่งทราบข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการของท่าเรือแห่งนี้ยืนยันว่า เรือรบรัสเซียขนาดใหญ่ 1 ลำต้องถูกลากจูงเข้าฝั่ง เพราะไม่สามารถใช้พลังงานขับเคลื่อนตัวเองหลังจากที่ได้รับความเสียหาย

จากคลิปวิดีโอซึ่งเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียจะเห็นได้ว่า เรือรบรัสเซียได้รับความเสียหายอย่างหนักบริเวณลำตัวเรือด้านซ้าย แม้ อันเดร คราฟเชนโก เจ้าหน้าที่ประจำเมืองโนโวรอสซิสก์ จะยืนยันผ่านเทเลแกรมว่า เรือ Olenegorsky Gornyak เป็นหนึ่งในเรือรบ 2 ลำ ซึ่งถูกส่งออกไป ‘ตอบสนองอย่างทันทีทันใด’ เพื่อสกัดกั้นการโจมตีของโดรนยูเครนก็ตาม

‘นครซีอัน’ เปิดให้บริการ ‘รถไฟสินค้าจีน-ยุโรป’ สายใหม่ ส่งโซลาร์เซลล์ล็อตแรก 50 ตู้คอนเทนเนอร์ สู่อุซเบกิสถาน

(4 ส.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ซีอัน รายงานว่า ‘รถไฟสินค้าจีน-ยุโรป’ ขบวนหนึ่งที่บรรทุกชิ้นส่วนโซลาร์เซลล์ และมุ่งหน้าสู่ประเทศอุซเบกิสถาน เปิดให้บริการในนครซีอัน มณฑลส่านซี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา

รถไฟดังกล่าวบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ 50 ตู้ ประกอบด้วยชิ้นส่วนโซลาร์เซลล์ขนาด 20 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชุดแรกของโครงการโซลาร์เซลล์ขนาด 1 กิกะวัตต์ ในประเทศอุซเบกิสถาน โดยโครงการนี้เป็นโครงการพลังงานใหม่ขนาดใหญ่แห่งแรก ที่บริษัทสัญชาติจีนได้ดำเนินงานในแถบเอเชียกลาง นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดจีน-เอเชียกลาง (China-Central Asia Summit) เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา

มีการคาดการณ์ว่า รถไฟทั้งหมด 60 ขบวน ซึ่งบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ประมาณ 3,000 ตู้ จะมุ่งหน้าสู่ประเทศอุซเบกิสถาน ผ่านบริการรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป สำหรับโครงการดังกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top