Monday, 19 May 2025
World

‘สหรัฐฯ’ ยืนยัน!! ไม่ได้สูญเสีย 'ศีลธรรม'  แม้จัดหา 'ระเบิดพวง' ให้แก่ยูเครน

(17 ก.ค. 66) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เพิกเฉยต่อคำกล่าวอ้างที่ว่าวอชิงตันอาจสูญเสีย ‘ธรรมอำนาจ’ ด้วยการจัดหาระเบิดลูกปราย หรือระเบิดพวง (cluster bombs) ให้แก่ยูเครน สำหรับใช้เล่นงานกองกำลังรัสเซีย ยืนยันอเมริกายังคงมีอำนาจทางศีลธรรม จากข้อเท็จจริงที่ว่ากำลังให้การสนับสนุนเคียฟต่อกรกับการโจมตีโหดร้ายป่าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน

ซัลลิแวน กล่าวในประเด็นนี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ในวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) ปกป้องการตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เมื่อช่วงต้นเดือน ที่มอบกระสุนคลัสเตอร์ให้แก่เคียฟ แม้ทำเนียบขาวเคยตราหน้าว่าเป็น ‘อาชญากร’ ครั้งที่พวกเขากล่าวหารัสเซียใช้อาวุธดังกล่าว

แม้คลัสเตอร์บอมบ์เป็นอาวุธต้องห้ามภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศฉบับหนึ่งที่ลงนามโดยชาติต่าง ๆ ทั่วโลกมากกว่า 100 ประเทศ แต่ ซัลลิแวน เน้นย้ำว่าทั้งสหรัฐฯ และยูเครน ต่างไม่เคยลงนามในสนธิสัญญานี้

"อำนาจทางศีลธรรมของเราและอำนาจทางศีลธรรมของยูเครน ในความขัดแย้งนี้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเรากำลังสนับสนุนประเทศหนึ่งที่ถูกโจมตีอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยขีปนาวุธและระเบิด ถล่มเมืองต่าง ๆ ของพวกเขา เข่นฆ่าพลเรือน ทำลายโรงเรียน โบสถ์ โรงพยาบาล" ซัลลิแวนบอกกับเอ็นบีซี

"และหากใครมีความคิดที่ว่า การจัดหาอาวุธหนึ่งแก่ยูเครน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถปกป้องแผ่นดินของตนเอง ปกป้องพลเรือนของพวกเขา ด้วยเหตุผลบางประการ เป็นการท้าทายอำนาจทางศีลธรรมของเรา ผมคิดว่าคำถามนั้นเป็นสิ่งน่าสงสัย" ซัลลิแวนระบุ

ชัค ทอดด์ พิธีกรของเอ็นบีซีถามต่อโดยชี้ว่า วอชิงตัน พยายามเป็นผู้นำโลกในความพยายามกำจัดอาวุธโหดร้ายป่าเถื่อนเหล่านี้ "แต่เวลานี้เรายังคงกลับไปค้นสต๊อกของเราและมอบมันให้แก่พันธมิตร" ในเรื่องนี้ ซัลลิแวน ชี้แจงว่ากรณีแวดล้อมเป็นตัวเรียกร้องให้ไบเดนต้องตัดสินใจส่งกระสุนคลัสเตอร์ไปให้ยูเครน แม้ถูกคัดค้านจากสหราชอาณาจักร แคนาดาและพันธมิตรอื่นๆ ในนาโตก็ตาม

"ผมอยากบอกว่าที่เรายกระดับมอบในสิ่งที่ยูเครนต้องการ เพื่อไม่ให้พวกเขาไร้ซึ่งหนทางแห่งการป้องกันตนเอง ยามที่ต้องเผชิญการโจมตีของรัสเซีย" ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติระบุ "ง่ายๆ เลย เราจะไม่ปล่อยให้ยูเครนไร้หนทางในการป้องกันตนเอง"

ไบเดน บ่งชี้ระหว่างให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นเมื่อช่วงต้นเดือน อ้างว่าสืบเนื่องจากสหรัฐฯ และยูเครนขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทั่วไป ทำให้เขาตัดสินใจมอบกระสุนคลัสเตอร์แก่เคียฟ ในฐานะการแก้ปัญหาชั่วคราว

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เน้นระหว่างให้สัมภาษณ์ที่ออกอากาศเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.ค.) เหน็บแนมว่าทำเนียบขาวเองเคยตราหน้าการใช้ระเบิดคลัสเตอร์ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม พร้อมเตือนว่าถ้ากองกำลังยูเครนใช้อาวุธดังกล่าวในสนามรบ รัสเซียขอสงวนสิทธิตอบโต้ด้วยอาวุธแบบเดียวกัน

ระเบิดคลัสเตอร์ถูกแบนโดยทั่วโลก สืบเนื่องจากกระสุนระเบิดขนาดเล็กๆ บางลูกที่มันปลดปล่อยออกมาอาจไม่ทำงาน ซึ่งก่อภัยคุกคามแก่พลเรือน จากข้อมูลพบว่ามีพลเรือนกว่า 86,500 คน ที่เสียชีวิจากคลัสเตอร์บอมบ์นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และมีคนต้องพิการมากกว่านั้นมากมายหลายเท่า

ทางการไครเมียสั่งปิดสะพานฉุกเฉินไม่มีกำหนด หลังเหตุระเบิดสะพาน ทำผู้เสียชีวิต 2 ราย

ยังอยู่ในสถานการณ์สงคราม ที่มีการโจมตี ตอบโต้กันเป็นรายวัน สำหรับฝ่ายรัสเซีย และ ยูเครน ที่ไม่มีใครยอมใคร

ล่าสุดวันนี้มีรายงานเหตุระเบิดที่สะพานไครเมียของรัสเซีย ที่เชื่อมต่อระหว่างคาบสมุทรไครเมีย กับ แคว้นครัสโนดาร์ทางฝั่งรัสเซีย จนทางการไครเมียต้องสั่งปิดสะพานฉุกเฉิน

นายเซอร์เก้ อาคสโยนอฟ ผู้ว่าการไครเมียที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลมอสโควได้ออกมายืนยันผ่าน Telegram ว่าเกิดเหตุระเบิดบริเวณสะพานจริง ที่ตำแหน่งเสาต้นที่ 145 จึงต้องสั่งปิดการจราจรบนสะพานชั่วคราว โดยไม่มีการระบุรายละเอียดชัดเจนถึงสภาพความเสียหายใดๆ

แต่ต่อมาสื่อรัสเซียรายงานเพิ่มเติมว่า เหตุระเบิดที่สะพานไครเมียอาจทำให้ตารางเดินรถไฟต้องเปลี่ยนแปลงฉุกเฉิน อีกทั้งยังรายงานว่า การระเบิดรุนแรงจนได้ยินไกลไปทั่วบริเวณ

ซึ่งล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิตบนสะพานไครเมียแล้วถึง 2 ราย โดย นาย ยาเชสลาฟ แกรดคอฟ ผู้ว่าการเมืองเบลโกรอด ทางตอนใต้ของรัสเซีย รายงานว่าเป็นครอบครัวชาวเมืองเบลโกรอด ที่เป็นพ่อ-แม่ เดินทางพร้อมกับลูกสาว แต่พ่อและแม่เสียชีวิต ส่วนลูกสาวได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่มีรายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน

ด้านกองทัพยูเครนในเมืองโอเดสซา ก็ออกมาโพสต์ภาพความเสียหายของสะพานไครเมียในวันนี้ลงในช่องทาง Telegram แต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นฝีมือของกองทัพยูเครนที่เป็นผู้โจมตีสะพานแห่งนี้

สะพานข้ามช่องแคบเคียร์ช หรือ ที่มักนิยมเรียกว่าสะพานไครเมีย เป็นหนึ่งในผลงานก่อสร้างที่ปูติน ภูมิใจ หลังจากที่รัสเซียผนวกคาบสมุทรไครเมียได้ในปี 2014 ก็เดินหน้าโครงการก่อสร้างสะพานเชื่อม 2 แผ่นดินระหว่างรัสเซีย และ ไครเมียที่มีความยาวกว่า 18 กิโลเมตร

และปัจจุบัน เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในยุโรป เปิดสัญจรทั้งทางรถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป รถบรรทุกขนส่ง และ ทางรถไฟ นับเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าหลักเส้นหนึ่งของรัสเซีย และยังส่งเสริมเศรษฐกิจของคาบสมุทรไครเมีย ที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวรัสเซีย ที่เดินทางมาตากอากาศเป็นจำนวนมากในแต่ละปี

แต่ด้วยสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ทำให้สะพานไครเมียเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักในการโจมตีของฝ่ายต่อต้านรัสเซียเรื่อยมา เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2022 ที่มีข่าวการโจมตีสะพานด้วยระเบิด โดยทางฝ่ายรัสเซียได้ออกมากล่าวหาว่า รัฐบาลยูเครนอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมที่สะพานแห่งนี้ 

ส่วนการโจมตีครั้งล่าสุดในวันนี้ ช่อง Grey Zone Channel ของรัสเซีย รายงานว่า มีการโจมตีถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่ช่วงตี 3 และได้สร้างความเสียหายแก่ตัวตอม่อสะพาน จนทางการไครเมียต้องประกาศปิดสะพาน ทำให้สภาพจราจรระหว่าง 2 ฝั่ง ติดขัดอย่างมาก

จอร์จ บาร์รอส นักวิชาการจากสถาบันสงครามในกรุงวอชิงตัน ดีซี ให้ความเห็นว่า สะพานไครเมียมีความสำคัญกับรัสเซียมากกว่าแค่เส้นทางคมนาคม หรือขนส่งสินค้า เพราะ เป็นเส้นทางบกทางเดียว ที่รัสเซียใช้ลำเลียงพลหลักหมื่นนาย และเสบียงจากถนนเลียบชายฝั่งทะเลอะซอฟ ข้ามมาไครเมีย เพื่อต่อขึ้นไปยังยูเครน ดังนั้นฝ่ายรัสเซียมีปัญหาแน่นอน ถ้าเกิดสะพานไครเมียแห่งนี้เสียหายจนต้องปิด ไม่ว่าจะเพียงแค่ชั่วคราว หรือถาวรก็ตาม

แม้ในเวลานี้ ความเสียหายบนสะพานไครเมียยังคงคลุมเครือ แต่ทางการไครเมียออกมาแถลงว่า ข้าวของที่จำเป็นบนคาบสมุทรไครเมียยังมีเพียงพอ แต่เตือนให้ชาวไครเมียหลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามสะพานในช่วงนี้จนกว่าจะเคลียร์ปัญหาบนสะพานได้ ซึ่งจะช้าหรือเร็ว ยังไม่มีกำหนดชัดเจน

แม้แต่ยักษ์ 10 ตาอย่าง ทศกัณฐ์ ยังมีกล่องดวงใจ ที่ให้ใครแตะต้องไม่ได้ ก็ไม่แปลกใจว่า ผู้นำ 2 ทศวรรษอย่าง วลาดิมีร์ ปูติน จะมีของหวงที่เป็นจุดอ่อนอย่างสะพานไครเมีย หนึ่งในงานภูมิใจของเขา เหมือนกัน เพียงแต่กล่องดวงใจนี้ ขยี้แล้วยักษ์จะตาย หรือ จะร้ายกว่าเดิม เพิ่มเติมคือมหากาพย์ ก็ต้องมาว่ากันต่อไป 

'ปูติน' สั่งยึด 2 กิจการยุโรป 'นม Danone-เบียร์ Carlsberg' โต้ตอบชาติตะวันตกคว่ำบาตรรัสเซียแบบ 'ตาต่อตาฟันต่อฟัน'

วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ลงนามคำสั่งใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ 16 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ให้ทางการรัสเซียเข้าควบคุมกิจการ 2 บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในรัสเซีย ได้แก่ Danone ผู้ผลิตโยเกิร์ตชั้นนำจากฝรั่งเศส และ โรงงานเบียร์ Carlberg ของเดนมาร์ก โดยได้แต่งตั้งหน่วยงานเข้ามาบริหารจัดการชั่วคราวในกิจการทั้ง 2 แห่งแล้ว

ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลมอสโคว์ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำรัสเซียได้ออกกฎหมายเมื่อช่วงต้นปี 2023 ให้สิทธิ์รัฐสามารถยึดทรัพย์สินของบริษัทข้ามชาติ ที่มาจากประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับรัสเซียได้ โดยในช่วงเดือนเมษายน รัฐบาลมอสโคว์ได้ควบคุมกิจการในเครือ Uniper และ Fortum บริษัทด้านพลังงานของ เยอรมนี และฟินแลนด์ ตามลำดับมาแล้ว

มาคราวนี้เป็นคิวของ Danone และ Carlsberg บริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส และ เดนมาร์กบ้าง ที่มีข่าวว่า ทั้ง 2 บริษัทมีแผนที่จะถอนกิจการออกจากรัสเซียอยู่แล้ว และกำลังขายธุรกิจของตนให้กับผู้ประกอบการรายใหม่ แต่โดนรัฐบาลรัสเซียยึดกิจการเสียก่อนในวันนี้ คาดหมายว่าจะโอนกิจการให้กับ Rosimushchestvo หน่วยงานด้านกิจการอสังหาริมทรัพย์ของรัสเซียเป็นผู้ดูแลต่อไป

ด้านบริษัทแม่ของ Danone ในฝรั่งเศส กล่าวว่า ทางบริษัทอยู่ในขั้นตอนขายกิจการของตนในรัสเซียตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2565 ตอนนี้กำลังประเมินสถานการณ์อยู่ และพร้อมปกป้องสิทธิ์ของตนในฐานะหุ้นส่วนของ Danone Russia เท่าที่ทำได้ และสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจต่อในรัสเซีย

ด้านผู้บริหารของ Carlsberg กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการจากทางรัฐบาลรัสเซียเกี่ยวกับคำสั่งประธานาธิบดี ที่จะมีผลต่อกิจการโรงเบียร์ในเครือของบริษัทที่รัสเซีย

บริษัทผู้ผลิตเบียร์ชื่อดังจากเดนมาร์กยังกล่าวอีกว่า Carlsberg ได้แยกกิจการของโรงเบียร์ในรัสเซียออกจากธุรกิจในเครือของบริษัทเรียบร้อยแล้ว และเพิ่งจะเซ็นข้อตกลงที่จะขายกิจการในรัสเซียไปเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ทำสัญญาแล้วเสร็จ ก็มาโดนคำสั่งควบคุมการจากผู้นำรัสเซียเสียก่อน ยอมรับว่าหลังจากนี้การขายทอดกิจการอาจทำได้ยาก

บริษัท Danone Russia นับเป็นบริษัทผู้ผลิตนมที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย มีพนักงานราว 8,000 คน และมีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 1.1 พันล้านเหรียญ ส่วนโรงเบียร์ Carlsberg ในรัสเซีย ที่ทำตลาดภายใต้ชื่อ Baltika ถือเป็นแบรนด์เบียร์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในรัสเซีย มีโรงงานผลิตเบียร์ถึง 8 แห่ง และพนักงานกว่า 8,400 คน

จากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้บริษัทจากรัสเซียถูกคว่ำบาตร และเงินสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียถูกอายัดโดยชาติพันธมิตรตะวันตก เป็นเหตุให้รัฐบาลรัสเซียตอบโต้ด้วยการยึดกิจการของบริษัทข้ามชาติของชาติตะวันตก โดยรัฐบาลลรัสเซียได้ขู่ว่าอาจมีการพิจารณายึดทรัพย์สินของชาติตะวันตกเพิ่มอีก ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวของชาติตะวันตกที่กระทำกับบริษัทของรัสเซียในต่างประเทศเช่นกัน

เป็นมาตรการแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ยึดมา ยึดกลับ ไม่โกง ตามสไตล์ปูติน สิ่งเดียวที่ต้องระวังคือ สายป่านใครจะยาวกว่ากันนั่นเอง 

‘เครื่องบินลำเล็กเซสน่า 208’ พุ่งชนโรงเก็บเครื่องบินในโปแลนด์ สลด!! ดับ 5 บาดเจ็บอีก 8 คาด เกิดจากอากาศที่ไม่ดี-ทัศนวิสัยแย่ 

(18 ก.ค. 66) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เกิดเหตุเครื่องบินเล็กเซสน่า 208 (Cessna 208) ลำหนึ่งบินโหม่งโลก พุ่งชนโรงเก็บเครื่องบินของศูนย์กระโดดร่มในหมู่บ้านคริซินโน (Chrcynno) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงวอร์ซอ เมืองหลวงของโปแลนด์ ไปทางเหนือ 45 กิโลเมตร ท่ามกลางสภาพอากาศที่ไม่ดี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และผู้บาดเจ็บอีก 8 คน

‘โมนิกา โนวคาวสกา-บรินดา’ โฆษกของหน่วยงานดับเพลิงกล่าวว่า นักบินของเครื่องบินลำดังกล่าวและผู้คน 4 คนที่หลบอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินเนื่องจากเกิดพายุขึ้น ได้เสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตกในช่วงบ่ายนี้

ขณะที่ตำรวจกล่าวว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก 8 ราย โดย 2 รายอาการสาหัส สอดคล้องกับที่ ซิลเวสเตอร์ ดาบราวสกี ผู้ว่าการจังหวัด กล่าวว่ามีเด็กที่บาดเจ็บจากเหตุดังกล่าวด้วย

ด้านเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและรถพยาบาลนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลในเมืองโนวี ดวอร์ มาโซเวียซกี (Nowy Dwor Mazowiecki)

‘คาตาร์ซีนา เออร์บาโนวสกี’ โฆษกอีกคนหนึ่งของหน่วยงานดับเพลิงท้องถิ่นกล่าวว่า หน่วยกู้ภัยยังคงตรวจสอบโรงเก็บเครื่องบินเพื่อหาผู้ประสบเหตุเพิ่มเติม

ขณะที่อัยการและตำรวจกำลังสอบสวนสาเหตุของเหตุการณ์น่าสลดนี้ ที่นับเป็นอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินสำหรับกระโดดร่มที่เลวร้ายที่สุดในโปแลนด์นับตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 11 รายจากเหตุเครื่องบินเล็กตกที่เมืองโทโปโลว์ (Topolow) ใกล้เมืองเชสโตโชวา (Czestochowa) ทางตอนใต้

HP แบรนด์ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก  เตรียมย้ายกำลังการผลิตคอมฯ บางส่วนออกจากจีนมายังไทย

(18 ก.ค. 66) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง HP ล่าสุดได้เตรียมย้ายกำลังการผลิตสินค้าบางส่วนออกนอกประเทศจีน โดยย้ายมายังประเทศไทย เม็กซิโก เวียดนาม เนื่องจากต้องการให้ห่วงโซ่การผลิตของบริษัทไม่สะดุด

Nikkei Asia รายงานข่าวว่า HP ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ได้เตรียมย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย และประเทศเม็กซิโก และบริษัทยังเตรียมขยายกำลังการผลิตในประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน รวมถึงทั่วโลกหลังจากนี้

สื่อธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นได้รายงานว่า HP ได้ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ในการย้ายฐานการผลิตมายัง 2 ประเทศนี้ โดยในประเทศไทย HP เตรียมที่จะผลิต Laptop สำหรับตลาดผู้บริโภค ขณะที่ Laptop ที่จำหน่ายให้กับองค์กรต่าง ๆ จะใช้ฐานการผลิตที่เม็กซิโก นอกจากประเทศไทยแล้ว HP ยังเตรียมย้ายกำลังการผลิตมายังเวียดนามในช่วงปีหน้าด้วย

ในปีที่ผ่านมา HP ได้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปมากถึง 55.2 ล้านเครื่อง และในจำนวนดังกล่าวมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ผลิตนอกประเทศจีนอยู่ราว ๆ 3 ถึง 5 ล้านเครื่อง

สำหรับประเทศไทยนั้นมีซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่หลากหลาย ทำให้ HP ตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานการผลิตอีกแห่ง ขณะที่เม็กซิโกถือเป็นฐานการผลิตสินค้าสำคัญในอเมริกาเหนือ และยังมีข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดสำคัญของ HP เนื่องจากคำสั่งซื้อราวๆ 31% ขณะที่ตลาดในประเทศจีนนั้นมีสัดส่วนไม่ถึง 8% ของยอดขายของบริษัท เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Lenovo รวมถึง Huawei ครองตลาดในประเทศจีนแทบเบ็ดเสร็จ

สาเหตุที่ทำให้ HP ต้องย้ายกำลังการผลิตบางส่วนออกนอกประเทศจีน บริษัทได้ให้เหตุผลเนื่องจากต้องการให้ห่วงโซ่การผลิตสินค้าของบริษัทมีความยืดหยุ่น เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของภาคการผลิต และต้องการที่จะตอบสนองลูกค้าที่มีอยู่ทั่วโลก

นอกจากผู้ผลิตอย่าง HP แล้ว Dell ซึ่งเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่อีกรายก็ได้เตรียมที่จะย้ายกำลังการผลิต 20% ของสัดส่วนการผลิตทั้งหมดมายังประเทศเวียดนาม รวมถึงเปลี่ยนผ่านการผลิตสินค้าที่พึ่งพาชิปจากประเทศจีนด้วย ขณะที่ผู้ผลิตรายอื่น เช่น Apple เองก็ตั้งเป้าที่จะกระจายกำลังการผลิตไปยังเวียดนามหรืออินเดียด้วย

อย่างไรก็ดีบริษัทได้กล่าวว่ายังให้ความสำคัญกับฐานการผลิตในเมืองฉงชิ่งของจีนอยู่ โดยฐานการผลิตนี้เปิดตัวในช่วงปี 2008 และเป็นฮับในการผลิต Laptop สำคัญของบริษัทด้วย

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทหลายแห่งได้เตรียมการที่จะย้ายฐานการผลิต หรือแม้แต่ย้ายกำลังการผลิตออกนอกประเทศจีน หลังจากที่จีนได้ใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าทั่วโลก ตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน และยังรวมถึงความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกระทบกับการทำธุรกิจหลังจากนี้ได้

ขุนคลังมะกัน 'ติดดิน-ติดใจ' เมนูเห็ดในร้านพื้นเมืองของจีน คนจีนเห็นเป็นปลื้ม แต่สื่อตะวันตกหาว่าทำตัวด้อยค่าสหรัฐฯ

แม้ว่า เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ วัย 76 ปี จะเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่ยังมีกระแสหนึ่งที่โด่งดัง ไม่เลือนหาย นั่นก็คือ รัฐมนตรีคลังหญิงคนนี้ได้ทำให้ เมนูเห็ดเจี้ยนโส่วชิง (见手青) หรือ เห็ดป่ายูนนาน ฮิตไปทั่วบ้าน ทั่วเมือง ลามข้ามทวีปไปสหรัฐอเมริกา จนทำให้หลายคนสนใจว่าเห็ดชนิดนี้ มีความพิเศษอย่างไร

ทำไม เจเน็ต เยลเลน ถึงชอบ และรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษหลังจากได้กินไปแล้ว?

ต้นกระแสเกิดจากบล็อกเกอร์สาวชื่อดังคนหนึ่งใน Weibo บังเอิญไปเจอ เจเน็ต เยลเลน พร้อมชาวคณะ เข้าไปรับประทานอาหารในร้านจีน สไตล์ยูนนานแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง ที่ชื่อว่า อี่ จั้ว อี่ ว่าง (一坐一忘) ซึ่งเป็นอาหารจีนมื้อแรกที่ได้เดินทางมาถึงกรุงปักกิ่งทีเดียว และสั่งอาหารพื้นเมืองยูนนานมาหลายอย่าง

ด้วยความอยากรู้ว่าอาคันตุกะคนสำคัญจากสหรัฐฯ จะสั่งอะไร เธอจึงแอบชำเลืองไปที่โต๊ะ และก็พบว่า เจเน็ต เยลเลน ชอบเมนูผัดเห็ดเจี้ยนโส่วชิงอย่างมาก และได้สั่งมาถึง 4 จาน ทำให้บล็อกเกอร์สาวจีนถึงกับประหลาดใจ

หลังจากที่มีการแชร์เรื่องราว และภาพถ่ายคณะของเจเน็ต เยลเลน ลงในเพจ Weibo ของเธอเพื่อเป็นหลักฐาน ก็มีชาวเน็ตจีนเข้ามาชื่นชมเป็นจำนวนมาก ว่าคณะรัฐมนตรีคลังจากสหรัฐฯ มีความติดดิน เลือกมาลองกินอาหารจีนพื้นเมืองในภัตตาคารระดับกลางๆ ทั่วไป เป็นมื้อแรกตั้งแต่มาเยือนจีน แถมใช้ตะเกียบเก่งเสียด้วย และยังทำให้เมนูเห็ดเจี้ยนโส่วชิง ที่ปกติก็ได้รับความนิยมในจีนอยู่แล้ว ดังยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับ เจี้ยน โส่ว ชิง เป็นเห็ดป่าชนิดหนึ่ง พบมากในมณฑลยูนนาน เป็นเห็ดขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ มืชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า 'Lanmaoa Asiatica' ผิวด้านนอกเป็นสีแดง ด้านในเป็นสีเหลือง แต่เมื่อใช้มือบีบ หรือ ทุบ เนื้อด้านในจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินคล้ำ ชาวจีนนิยมนำมาปรุงอาหารทั้งแบบสด และ แบบแห้ง

แต่เห็ดชนิดนี้ก็มีอันตรายในตัว เพราะ เจี้ยน โส่ว ชิง มีฤทธิ์คล้ายเห็ดเมา ที่อาจทำให้บางคนที่กินเข้าไป เกิดอาการประสาทหลอนได้ ซึ่งทางสมาคมพฤกษศาสตร์ยูนนาน ก็ได้ขึ้นทะเบียนเห็ดเจี้ยน โส่ว ชิง ในหมวดเห็ดมีพิษเช่นกัน

แต่เห็ดชนิดนี้ ก็ยังเป็นที่นิยม และ สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามตลาดสดของจีน โดยทางจีนได้ให้ข้อมูลวิธีการบริโภคเห็ดเจี้ยน โส่ว ชิง อย่างปลอดภัย ตั้งแต่การเตรียมเห็ดเพื่อประกอบอาหาร และการปรุง โดยย้ำว่า เห็ดชนิดนี้ต้องบริโภคแบบปรุงสุกเท่านั้น

และเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่? สำนักข่าว CNN จึงได้ส่งทีมข่าวท้องถิ่นไปที่ร้านอาหาร อี่ จั้ว อี่ ว่าง เพื่อสอบถามถึงเมนูอาหารที่เจเน็ต เยลเลน และ ชาวคณะได้สั่งมารับประทานในวันนั้น และตั้งคำถามว่าได้เตือนให้ทราบถึงอันตรายของเห็ดชนิดนี้หรือไม่ โดยทางเจ้าของร้านกล่าวว่า ไม่ได้แจ้งว่าเห็ดชนิดนี้มีพิษ แต่ยืนยันว่า เมนูเห็ดทั้งหมดที่ขึ้นโต๊ะเสิร์ฟให้กับคณะของรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ปรุงสุกอย่างดีทุกจาน

แต่ก็ไม่วายที่สื่อตะวันตกจะตั้งข้อสงสัยว่า เจเน็ต เยลเลน ดูอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ เมื่อได้เจอหน้า ทักทายกับคณะรัฐมนตรีจีนที่มารับรอง ในขณะที่จับมือ เธอก็ยังคำนับแล้ว คำนับอีก จนมีชาวอเมริกันหลายคนไม่พอใจที่เห็นเจเน็ต เยลเลน แสดงความอ่อนน้อมกับจีนจนเกินงาม จนทำให้ฝ่ายสหรัฐฯ ดูด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

และสื่อตะวันตกบางสำนัก ยังโทษว่า อาจเป็นเพราะอาหารจานเห็ดยูนนานจะส่งผลต่ออากัปกริยาของรัฐมนตรีคลังหญิง ทำให้ขาดความนิ่ง และสุขุม สมตำแหน่งฐานะตัวแทนชาติมหาอำนาจอย่างที่ควรจะเป็น

แต่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากเห็ดมีพิษ หรือ คิดไปเอง ก็ต้องยอมรับว่า เจเน็ต เยลเลน ทำให้ เจี้ยนโส่วชิง เห็ดป่ายูนนานชนิดนี้ เป็นที่รู้จัก และโด่งดังอย่างมากทั้งในจีน และต่างประเทศ แม้บริบทที่ถกกันจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม

‘นครเซินเจิ้น’ นำร่องใช้ ‘กระเป๋าเงินหยวนดิจิทัล’ ที่แรกในจีน รองรับการชำระเงินรอบด้าน เผย ยอดใช้งานทะลุ 35 ล้านใบแล้ว

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, เซินเจิ้น รายงานว่า มหานครเซินเจิ้นทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเป็นเมืองนำร่องด้านการใช้สกุลเงินดิจิทัลแห่งแรกของจีน มีการเปิดใช้งาน ‘กระเป๋าเงินดิจิทัลของจีน’ หรือ ‘เงินหยวนดิจิทัล’ (e-CNY) จำนวน 35.94 ล้านใบ เมื่อนับถึงสิ้นเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปี 7.6 ล้านใบ

ธนาคารประชาชนจีน สาขากลางของเมืองเซินเจิ้น ระบุว่า ปัจจุบันกิจการในเซินเจิ้นมากกว่า 2.1 ล้านราย ได้รองรับการชำระเงินสกุลเหรินหมินปี้ (RMB) แบบดิจิทัล ครอบคลุม 6 ด้านหลัก ได้แก่ การบริโภคประจำวันในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและโรงแรม ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทางโดยรถประจำทางและรถไฟใต้ดิน และค่าจอดรถและค่าเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ เซินเจิ้นได้ออกแผนงานในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเสนอการร่วมมือกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน เพื่อดำเนินงานนำร่องการชำระเงินด้วยสกุลเงินเหรินหมินปี้ข้ามพรมแดน ด้านเขตความร่วมมืออุตสาหกรรมการบริการสมัยใหม่เฉียนไห่ เซินเจิ้น-ฮ่องกง จะถูกสร้างเป็นเขตสาธิตการใช้สกุลเงินหยวนดิจิทัลข้ามพรมแดน

‘จีน’ เผชิญสภาพอากาศผันผวน ร้อนทะลุ 52 องศาฯ หลังผ่านอากาศหนาว -50 องศาฯ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

(19 ก.ค. 66) เมืองซานเป่าในเขตปกครองตนเองชนชาติซินเจียงอุยกูร์ผจญอากาศร้อนถึง 52.2 องศาเซลเซียส ทั้งที่เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เพิ่งต่อสู้กับอุณหภูมิเย็นติดลบ 50 องศาเซลเซียส

ตั้งแต่เดือนเมษายน หลายประเทศในเอเชียประสบปัญหาอากาศร้อนทำลายสถิติ ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการรับมือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศเปิดเผยว่า เป้าหมายของการรักษาภาวะโลกร้อนในระยะยาวให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อม

อุณหภูมิที่สูงเป็นเวลานานในจีนได้สร้างความเสียหายการเพาะปลูก และก่อให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดภัยแล้วซ้ำรอยกับปีที่แล้ว ซึ่งรุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี

ที่ผ่านมา จีนเผชิญกับอุณหภูมิที่แปรปรวนอย่างมากในแต่ละฤดูกาล อย่างไรก็ดี ความแปรปรวนนั้นเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อเดือนมกราคม อุณหภูมิในเมืองโม่เหอในมณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือ ลดต่ำถึง -53 องศาเซลเซียส ทุบสถิติอากาศหนาวที่สุดของจีน

หลังจากนั้น ฝนตกหนักที่สุดในรอบทศวรรษได้พัดถล่มภาคกลางของจีน ทำลายล้างทุ่งข้าวสาลีในพื้นที่ที่เรียกว่ายุ้งฉางของประเทศ

สหรัฐฯ และจีนกำลังผลักดันความพยายามที่จะต่อสู้กับภาวะโลกร้อนอีกครั้ง โดยนายจอห์น เคอร์รี ทูตพิเศษด้านสภาพอากาศของสหรัฐฯ ในกรุงปักกิ่งจะเข้าหารือกับผู้แทนฝ่ายจีนในสัปดาห์นี้

‘รถรางอัจฉริยะพลังไฮโดรเจน’ คันแรกของจีน เสร็จแล้ว!! เตรียมส่งออกสู่มาเลเซีย เพิ่มประสิทธิภาพการจราจรข้ามพรมแดน


เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ฉางซา รายงานว่า รถรางอัจฉริยะพลังงานไฮโดรเจนที่พัฒนาโดยบริษัท ซีอาร์อาร์ซี จูโจว อิเล็กทริก โลโคโมทีฟ รีเสิร์ช อินสติทูท จำกัด (CRRC Zhuzhou Electric Locomotive Research Institute Co.) ออกจากสถานที่ผลิต ในเมืองจูโจว มณฑลหูหนานทางตอนกลางของจีน และจะถูกส่งออกสู่มาเลเซียในอีกไม่กี่วันนี้ จากท่าเรือเซี่ยงไฮ้

รถรางอัจฉริยะคันนี้จะถูกนำไปใช้สำหรับบริการขนส่งในพื้นที่เขตเมืองของเมืองกูชิง เมืองเอกของรัฐซาราวักในมาเลเซีย โดยเป็นรถรางที่ใช้ระบบไฟฟ้าพลังงานไฮโดรเจนคันแรก ซึ่งมีจุดแข็งด้านระยะการขับขี่ที่ยาวนานขึ้น ระยะเวลาการเติมเชื้อเพลิงสั้นลง อีกทั้งประหยัดพลังงานและปกป้องสิ่งแวดล้อม

รถรางข้างต้นได้รับการปรับปรุงผ่านการออกแบบอัจฉริยะ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของมาเลเซียในการบรรลุระบบขนส่งสาธารณะอัจฉริยะที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยหลังจากส่งถึงมาเลเซียแล้ว รถรางดังกล่าวจะเข้าสู่ขั้นตอนการทดสอบในเมืองกูชิงเป็นเวลา 3 เดือน

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการใช้งานรถรางอัจฉริยะในมาเลเซียจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองกูชิงอย่างมีประสิทธิภาพ นำพารูปแบบการเดินทางที่เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพ และทันสมัยสู่ท้องถิ่น ทั้งช่วยให้การผลิตอัจฉริยะของจีนสามารถส่งมอบบริการแก่กลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
 

ระทึก!! เกิดเหตุกราดยิงกลางเมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกหญิง ดับแล้ว 2 บาดเจ็บอีก 5 ราย!!

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 66 สำนักข่าวบีบีซีและรอยเตอร์รายงานว่า เกิดเหตุกราดยิงในสถานที่ก่อสร้างในเมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกหญิง นัดเปิดสนามระหว่างทีมชาตินอร์เวย์และนิวซีแลนด์จะเริ่มขึ้นที่สนามอีเดน พาร์ค ในเมืองโอ๊คแลนด์ เหตุการณ์ในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ราย บาดเจ็บ 5 คน เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นาย ขณะที่ผู้ก่อเหตุถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

นายแอนดรูว์ คอสเตอร์ ผู้บัญชาการตำรวจนิวซีแลนด์ระบุในการแถลงข่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการระบุตัวตนของผู้ก่อเหตุอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะเป็นชายวัย 24 ที่ทำงานในสถานที่ก่อสร้างที่เป็นจุดเกิดเหตุดังกล่าว โดยผู้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนลูกซองในการกราดยิงพร้อมกับเดินมุ่งหน้าไปในอาคารจุดเกิดเหตุ เมื่อไปถึงชั้นบนของอาคาร มือปืนได้ทำการสาดกระสุนต่อไปก่อนที่จะพบเป็นศพในเวลาต่อมาไม่นาน

ชายคนดังกล่าวต้องโทษกักบริเวณในบ้านพักแต่ได้รับการยกเว้นให้ทำงานในสถานที่ก่อสร้างดังกล่าว นายคอสเตอร์กล่าวว่า “ผู้ก่อเหตุมีประวัติใช้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นหลัก ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าเขามีความเสี่ยงที่จะก่ออันตรายในระดับที่มากกว่าที่ระบุในประวัติของเขา”

นายคริส ฮิปกินส์ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์กล่าวว่า เหตุกราดยิงดังกล่าวไม่ได้ถูกมองว่าเป็นการก่อการร้ายและไม่พบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีมูลเหตุจูงใจมาจากการเมืองหรือคตินิยมแต่อย่างใด ขณะที่การแข่งขันฟุตบอลโลกหญิงที่ประเทศนิวซีแลนด์และออสเตรเลียร่วมกันเป็นเจ้าภาพจะดำเนินต่อไปตามปกติ

ฮิปกินส์กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งชายและหญิงของนิวซีแลนด์ที่ได้เข้าระงับเหตุดังกล่าวอย่างทันท่วงทีเพื่อรักษาชีวิตประชาชน และขอให้สาธารณชนวางใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดการกับภัยคุกคามและไม่มีความเสี่ยงใดหลังเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นแล้ว แต่จะเพิ่มกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเมือง

นายเวย์น บราวน์ นายกเทศมนตรีเมืองโอ๊คแลนด์ ให้ข้อมูลว่า เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันฟุตบอลโลกหญิงแต่อย่างใด และเจ้าหน้าที่ทุกคนของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า และสมาชิกทุกคนของทีมฟุตบอลทุกทีมปลอดภัยดี ด้านฟีฟ่าก็ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิตและทางฟีฟ่ากำลังติดต่อกับทางการนิวซีแลนด์

ทีมฟุตบอลหญิงของทีมชาตินิวซีแลนด์ นอร์เวย์ อิตาลี สหรัฐ เวียดนาม และโปรตุเกส กำลังพักอยู่ในเมืองโอ๊คแลนด์ขณะเกิดเหตุกราดยิง โดยสถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้กับโรงแรมของทีมชาตินอร์เวย์ ทำให้นักเตะของทีมหลายคนใช้โซเชียลมีเดียเพื่อรายงานว่าตนเองปลอดภัยดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top