Monday, 19 May 2025
World

บริษัทรถไฟญี่ปุ่นจ่อใช้ ‘กระจกแปลภาษา’ ในห้องขายตั๋ว ช่วยพนักงานตอบโต้ นทท.ต่างชาติ ได้สะดวก-ราบรื่นขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ สื่อญี่ปุ่น​รายงาน​ว่า บริษัท เซบุเรลเวย์ (Seibu Railway Co.)​ ได้เปิดตัวระบบแปลคำพูดโดยอัตโนมัติแสดงคำที่แปลแล้วบนหน้าจอโปร่งใส

ระบบดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ดำเนินการรถไฟตอบสนองได้อย่างราบรื่นต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนญี่ปุ่นที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากการตกต่ำในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

ระบบนี้ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทการพิมพ์รายใหญ่อย่าง Toppan Inc. หน้าจอโปร่งใส ผู้โดยสารสามารถมองเห็นพนักงานประจำสถานีได้ ในขณะที่การสนทนาระหว่างกัน จะถูกแปลและแสดงผลขึ้นเป็นข้อความแบบเรียลไทม์ สามารถรองรับภาษาต่างประเทศได้ถึง 12 ภาษา รวมถึง ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนด้วย

และวันพุธ (5 ก.ค.) ที่ผ่านมา ที่สถานี เซบุชินจูกุ​ (Seibu Shinjuku)​ ในโตเกียว พนักงานสถานี​ ได้ทดสอบระบบถามพนักงานสถานีด้วยภาษาต่างชาติ​ โดยด้านหลังหน้าจอโปร่งใสแสดงเป็นภาษาอังกฤษที่พูดว่าจะซื้อตั๋วได้ที่ไหน ที่แปลเป็นภาษาญี่ปุ่นแสดงอยู่ด้านฝั่งหน้าจอของพนักงานสถานี

ทั้งนี้บริษัท เซบุเรลเวย์ ตั้งเป้าจะติดตั้งระบบดังกล่าวตามสถานีรถไฟต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงปลายปีนี้

‘Twitter’ ขู่ฟ้อง ‘Meta’ อ้าง Threads ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ด้าน Elon บอก “การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ แต่การโกงไม่ใช่”

(7 ก.ค. 66) หลังสร้างความฮือฮาด้วยยอดผู้ลงทะเบียนเข้าใช้งานวันแรกหลังเปิดตัวกว่า 30 ล้านคน Threads ของ Meta ก็ต้องเผชิญกับการตอบโต้จาก Twitter ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคู่แข่งในโซเชียลมีเดีย หลังทนายยืนขู่ฟ้องฐานละเมิดความลับทางการค้า

‘Alex Spiro’ ทนายความของ Twitter เปิดเผยว่า ได้ยื่นหนังสือไปยัง ‘Mark Zuckerberg’ ซีอีโอของ Meta Platforms ว่าจะฟ้องร้องเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม Threads หากไมยุติการละเมิดความลับทางการค้า

Meta ซึ่งเปิดตัว Threads ในวันพุธและมีผู้ลงชื่อสมัครใช้มากกว่า 30 ล้านคน ดูเหมือนจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับ Twitter ของ Elon Musk โดยใช้ประโยชน์จากผู้ใช้หลายพันล้านคนของ Instagram

ในจดหมายของเขา Spiro กล่าวหาว่า Meta ว่าจ้างอดีตพนักงาน Twitter ที่ “มีและยังคงเข้าถึงความลับทางการค้าของ Twitter และข้อมูลลับสูงอื่นๆ” เว็บไซต์ข่าว Semafor รายงานเป็นครั้งแรก

“Twitter ตั้งใจที่จะบังคับใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเคร่งครัด และเรียกร้องให้ Meta ดำเนินการทันทีเพื่อหยุดใช้ความลับทางการค้าของ Twitter หรือข้อมูลที่เป็นความลับสูงอื่นๆ” Spiro เขียนในจดหมาย

เริ่มแล้ว Twitter ขู่ฟ้อง Meta ฐาน Threads ใช้ความลับทางการค้า

‘Andy Stone’ โฆษกของ Meta กล่าวว่า “ไม่มีใครในทีมวิศวกรของ Threads ที่เป็นอดีตพนักงานของ Twitter และนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ”

ด้านอดีตพนักงานอาวุโสของ Twitter บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่าพวกเขาไม่ทราบว่ามีอดีตพนักงานที่ทำงานใน Threads หรือบุคลากรอาวุโสคนใดที่เข้าทำงานที่ Meta เลย

ในขณะเดียวกัน Musk เจ้าของ Twitter กล่าวว่า “การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ แต่การโกงไม่ใช่” เพื่อตอบกลับทวีตที่อ้างถึงข่าวดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญารวมถึง Mark Lemley ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายของ Stanford กล่าวว่าหากจะมีการฟ้องร้อง Twitter ต้องมีหลักฐานและข้อเท็จจริงมากกว่าที่ระบุมา

“การว่าจ้างอดีตพนักงานของ Twitter (ซึ่ง Twitter ปลดออกหรือถูกไล่ออก) และข้อเท็จจริงที่ว่า Facebook สร้างเว็บไซต์ที่ค่อนข้างคล้ายกันนั้นไม่น่าจะสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ในความลับทางการค้า” เขากล่าว

ด้าน Jeanne Fromer ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า บริษัทที่กล่าวหาว่าขโมยความลับทางการค้าต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาใช้ความพยายามอย่างสมเหตุสมผลในการปกป้องความลับของบริษัท กรณีต่างๆ มักจะวนเวียนอยู่กับระบบรักษาความปลอดภัยที่ถูกหลีกเลี่ยงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เผยกิจวัตร 'เศรษฐีวัย 45' ช่วยสตาฟร่างกายไว้แค่ 18 ถ่ายเลือดจากลูกชายและกินมื้อสุดท้ายของวันไม่เกิน 11 โมง

(7 ก.ค. 66) ไวรัลชาวโลก ‘ไบรอัน จอห์นสัน’ เศรษฐีวัย 45 ปี ที่มีร่างกายเหมือนเด็กอายุ 18 ปี ด้วยวิธีการอันสุดโต่งและราคาสูงถึง 70 ล้านบาทต่อปี

การมีสุขภาพที่ดี หรืออ่อนเยาว์กว่าวัย คงเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนต้องการ หลาย ๆ คนจึงมีวิธีการดูแลสุขภาพของตัวเอง และบางวิธีก็ชวนตะลึงสุด ๆ เช่นที่สำนักข่าว nypost ได้รายงานเรื่องราวของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง ที่ดูแลสุขภาพและร่างกายของตัวเองดีมาก ซึ่งต้องจ่ายกว่า 2 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 70 ล้านบาท)

ชายคนนี้ชื่อว่า ‘ไบรอัน จอห์นสัน’ เจ้าพ่อด้านเทคโนโลยี วัย 45 ปี เขาต้องการให้ตัวเองมีสุขภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลา เลยทุ่มเททุกอย่างเพื่อดูแลมัน

เขากลายเป็นที่ฮือฮาในสังคมออนไลน์ หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันสุดโต่งของเขาซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้อวัยวะสำคัญทั้งหมด คือ สมอง ตับ ไต ฟัน ผิวหนัง ผม องคชาต และไส้ตรง ทำงานเหมือนเดิม ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ตอนนี้มีสภาพร่างกายเหมือนคนอายุ 18

กิจวัตรประจำวันที่ราคาแพงและสุดโต่งของ ไบรอัน นั้นมีมากมายหลายข้อ แต่ที่คนให้ความฮือฮาและสนใจอย่างมากคือ 1.เขากินอาหารมื้อสุดท้ายของวัน ไม่เกิน 11 โมง และ 2. เขาทำการถ่ายเลือดจากลูกชายวัย 17 ปี

นอกจากนี้ยังมีกิจวัตรอื่น ๆ ได้แก่
-รับประทานอาหารวีแกนที่ให้พลังงานรวม 1,977 แคลอรีต่อวัน
-ดื่มน้ำผักที่ผสมครีเอทีนและคอลลาเจนเปปไทด์
-รับประทานอาหารเสริมมากกว่า 100 รายการต่อวัน
-ออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง
-กำลังกายแบบเข้มข้น 3 ครั้งต่อสัปดาห์
-เข้านอนเร็ว และตื่นตี 5 ทุกวัน
-แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน บ้วนปากด้วยทีทรีออยล์และเจลต้านอนุมูลอิสระ
-ก่อนนอน จะสวมแว่นตาที่ป้องกันแสงสีน้ำเงินเป็นเวลาสองชั่วโมง
-ตรวจสุขภาพอย่างละเอียดทุกส่วนในทุกเดือน

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ดีและควรทำ อาจไม่ต้องทำแบบสุดโต่ง หรือเหมือนกับชายมหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ เพราะร่างกายก็ย่อมเป็นไปตามอายุขัย เราคงไม่สามรถยื้อมันได้ตลอดไป

บัตรคอนเสิร์ต 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' ในสิงคโปร์ขายหมดเกลี้ยงทุกรอบ ส่วนราคาเที่ยวบิน-ที่พักพุ่ง!! ด้านนักเศรษฐศาสตร์หวั่นเกิด 'เงินเฟ้อ'

(8 ก.ค.66) บัตรคอนเสิร์ตของ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ นักร้องสาวชาวอเมริกัน ซึ่งเตรียมมาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์ 6 รอบในเดือนมีนาคมปีหน้า จำหน่ายหมดแล้ว หลังเปิดขาย 2 วัน

เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้อง และนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน เตรียมลัดฟ้าบินมาเปิดคอนเสิร์ต ‘ดิ อีราส์ ทัวร์’ (The Eras Tour) ที่สนามกีฬาแห่งชาติของสิงคโปร์ 6 รอบ ในวันที่ 2-4 และ 7-9 มีนาคม ปี 2024

โดย เออีจี พรีเซนต์ส เอเชีย (AEG Presents Asia) ผู้จัดคอนเสิร์ต เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า บัตรเข้าชมการแสดงคอนเสิร์ตดังกล่าว “จำหน่ายหมดแล้ว” หลังจากเปิดขายรอบพรีเซลเมื่อวันพุธ (5 ก.ค.) และรอบทั่วไปสำหรับผู้ที่ได้รับโค้ดกดบัตรเมื่อวานนี้ (7 ก.ค.)

ขณะที่ก่อนหน้านี้ แฟนๆบางส่วนในสิงคโปร์ ตั้งแคมป์ปักหลักต่อคิวนานข้ามวัน บริเวณด้านหน้าที่ทำการไปรษณีย์สิงคโปร์สาขาต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อรอซื้อตั๋วคอนเสิร์ตเทย์เลอร์ สวิฟต์ โดยนักศึกษามหาวิทยาลัย วัย 22 ปี รายหนึ่งเปิดเผยว่า มาต่อแถวตั้งแต่ช่วงเย็นวันพุธ หลังจากพลาดบัตรรอบพรีเซล จึงตัดสินใจรีบมาตั้งแคมป์ที่จุดจำหน่ายบัตร เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ตั๋ว

สิงคโปร์เป็นจุดหมายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่นักร้องสาวชาวอเมริกันรายนี้จะมาเปิดการแสดงสดเป็นเวลา 6 คืนต่อหน้าแฟนๆ ที่โชคดีกว่า 3 แสนคน แต่ ‘สวิฟตี้’ จำนวนมากทั่วภูมิภาคที่มีประชากรกว่า 500 ล้านคน พลาดโอกาสสุดพิเศษนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการคอนเสิร์ตและความบันเทิงที่พุ่งสูงหลังวิกฤตโรคระบาด และอุปสงค์ที่พุ่งสูง ทำให้ราคาบัตร

คอนฯ ปรับตัวขึ้นสูงตาม จนนักเศรษฐศาสตร์บางคนเรียกปรากฏการณ์เงินเฟ้อลักษณะนี้ว่า ‘สวิฟต์เฟลชัน’ (Swiftflation)

ขณะที่ธนาคารกลางของสิงคโปร์ถูกตั้งคำถามว่า คอนเสิร์ตครั้งนี้จะทำให้ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศรุนแรงขึ้นหรือไม่ เนื่องจากมีรายงานว่า ราคาเที่ยวบินและโรงแรมทั่วเกาะพุ่งสูงขึ้นมากในสัปดาห์ที่ ‘เทย์เลอร์’ จะมาเปิดการแสดงที่สิงคโปร์ 

‘คนไทยในต่างแดน’ เผย ยุคเสื่อมโทรมของซานฟรานซิสโก  จากเมืองน่าอยู่สู่แดนสวรรค์ของเหล่า ‘อาชญากรรม-คนไร้บ้าน’

เมื่อไม่นานมานี้ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ‘มัสลา สนศิริ’ หรือที่ในโลกโซเชียลรู้จักกันในชื่อ ‘คุณมอร์ส’ เจ้าของช่องยูทูบ ‘MOSSALA101’ ที่มียอดผู้ติดตามในช่องยูทูบมากกว่า 951,000 คน โดยคอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่คุณมอร์สทำนั้น คือการบอกเล่าและตีแผ่เรื่องราวหลากหลายแง่มุมเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งเรื่องอาหาร การใช้ชีวิต แฟชัน รวมถึงอาชีพของคนไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

ล่าสุด คุณมอร์สได้โพสต์คลิปวิดีโอลงในช่องยูทูบของเธอ เกี่ยวกับการได้พูดคุยกับคนไทยในเมืองซานฟรานซิสโก โดย ‘คุณกอล์ฟ’ 1 ในคนไทยที่ได้มาทำธุรกิจเปิดร้านอาหารอยู่ในซานฟรานซิสโกนั้น ได้เล่าว่า ตนนั้นเป็นพาร์ทเนอร์ของร้าน ‘Farmhouse kitchen thai cuisine’ อาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกมากว่า 17 ปีแล้ว และได้เคยย้ายไปเปิดร้านอาหารอยู่ที่รัฐเท็กซัส 1 ปี แต่สุดท้ายก็ย้ายกลับมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโกเหมือนเดิม โดยคุณกอล์ฟได้เล่าว่า…

“เมื่อก่อนนี้ ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่น่าอยู่ สวยงาม ดูสะอาด และสามารถเดินเที่ยวได้ทุกๆ ที่ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเศร้าใจมาก เพราะ ‘อาชญากรรม’ ที่เกิดขึ้นในซานฟรานซิสโกตอนนี้นั้นมีเยอะมาก เนื่องจากที่นี่เคยออกกฎหมายฉบับหนึ่งว่า หากราคามูลค่าของค่าเสียหายนั้น ไม่เกิน 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตำรวจจะไม่สนใจหรือทำอะไรทั้งนั้น”

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้อาชญากรรมในซานฟรานซิสโกนั้นพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง จนเมืองที่เคยสวยงาม มีสภาพที่เสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไร้ความระเบียบ และเป็นอันตรายต่อชีวิต รวมถึงทรัพย์ของผู้อยู่อาศัย ตลอดจนชีวิตนักท่องเที่ยวเองด้วยเช่นกัน

เมื่อถามว่า ทางร้านอาหารของคุณกอล์ฟเคยเจอเหตุการณ์แย่ๆ หรือไม่? คุณกอล์ฟตอบว่า “ร้านโดนทุบปีละ 4 ครั้ง มีคนเข้ามาขโมยของในร้าน หรือบางครั้งก็มีลูกค้าที่กินแล้วไม่จ่ายเงิน และเหตุการณ์ล่าสุดคือ ไปซื้อของแล้วถูกปล้น ซึ่งในตอนนั้นเรื่องเกิดขึ้นหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ในขณะที่กำลังจะขับรถออกไป ก็มีคนมาเปิดประตูรถออก เพราะเราไม่ได้ล็อกรถ และเขาก็กระชากขโมยเอากระเป๋าไป โดยที่พวกเรายังไม่ทันได้ตั้งตัว” 

เมื่อถามว่า เมืองซานฟรานซิสโกยังน่าอยู่หรือไม่? คุณกอล์ฟตอบว่า “เอาตรงๆ เลยนะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ในตัวเมืองของซานฟรานซิสโกนั้น ไม่น่าอยู่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ แต่คิดว่าร้านค้า การขายสินค้า รวมถึงกิจการต่างๆ อาจจะกลับมาฟื้นขึ้นได้ แต่คงจะต้องตกต่ำจนจมดิ่งให้สุดก่อน ถึงจะกลับมาดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลามากถึง 10-20 ปีเลยก็ได้” 

นอกจากนี้ คุณกอล์ฟ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงผลกระทบ จากความเสื่อมโทรมของตัวเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งทำให้กิจการร้านอาหารของเขานั้นต้องเผชิญวิกฤตอย่างหนัก เพราะยอดขายอาหารตกต่ำลงอย่างมาก เนื่องจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยเดิมที่เริ่มย้ายออกจากตัวเมืองกันมากยิ่งขึ้น เพราะทนกับความเสื่อมโทรม และอาชญากรรมที่พุ่งสูงไม่ไหวอีกต่อไป

“โดยปกติแล้ว ยอดขายอาหารของร้านเราในเมืองซานฟรานซิสโกนั้นไม่เคยแพ้ใคร เรามีร้านอาหารอยู่ทั้งหมด 2 ร้าน คือ ‘Farmhouse kitchen thai cuisine’ กับ ‘Son & Garden San Francisco’ ซึ่งปกติแล้วยอดขายของเราจะสูงที่สุดตลอด ถึงแม้จะว่าร้านอาหารของเราจะเป็นร้านเล็กๆ แต่ยอดขายก็ยังคงถือว่าสูงอยู่ดี แต่ตอนนี้ยอดขายของเรานั้นดิ่งพสุธามาก” 

คุณกอล์ฟ ยังเล่าต่อว่า ตนนั้นมีธุรกิจร้านอาหารอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกก็จริง แต่บ้านที่อาศัยอยู่จริงๆ นั้น ได้ย้ายมาอยู่ที่ ‘เมืองปาซิฟิกา’ (Pacifica) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างออกมาจากซานฟรานซิสโก และเมืองปาซิฟิกานั้นยังเป็นเมืองที่กำจัด ‘กลุ่มคนไร้บ้าน’ (Homeless) อีกด้วย หากพบเจอที่ไหน กลุ่มคนเหล่านั้นจะถูกนำชื่อออกจากระบบของเมืองทันที ในขณะที่เมืองซานฟรานซิสโกไม่มีมาตรการเหล่านี้

“บางครั้งเราก็รู้สึกว่า เราไม่ได้โหดร้ายนะ แต่ว่ามันไม่เหมาะสมจริงๆ อย่างเช่น ปล่อยปะละเลย หรืออ้าแขนรับสำหรับเรื่องพวกนี้มากจนเกินไป มันจะทำให้คนเป็นง่อย ไม่รู้จักทำมาหากิน ขอโทษจริงๆ ที่ต้องพูดอย่างนี้ ในขณะที่พวกเราเป็นคนต่างเชื้อชาติที่ต้องจากบ้านจากเมืองมา ต้องมาทำงานสู้ฟัดกันฟัน ทำตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ล้างจาน หั่นผัก ทำทุกอย่าง หรือต้องส่งเสียตัวเองเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างเราสู้จนสุดใจ แต่คนพวกนี้ดันไม่ทำอะไรเลย และยังได้รับเงินช่วยเหลือ หรือช่วยในเรื่องของความเป็นอยู่อย่างดีจากรัฐบาล แต่ก็ยังก่ออาชญากรรม ซึ่งเมื่อถูกจับได้ไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัว เพื่ออะไร? สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของพวกเราลำบากมากจริงๆ” คุณกอล์ฟ กล่าวทิ้งท้าย

สหรัฐฯ ยืนยันส่ง 'ระเบิดพวง' ให้ยูเครนไล่ยึดดินแดนคืน ด้าน 'ไบเดน' ให้เหตุผล เพราะกระสุนในยูเครนกำลังจะหมด

(9 ก.ค. 66) เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวสหรัฐฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เราทนไม่ได้ หากยูเครนไม่มีกระสุนปืนใหญ่มากเพียงพอในการปกป้องตนเอง โดยในการแถลงข่าวเมื่อวันก่อน (7 ก.ค.) ยืนยันตามข่าวที่ปรากฏในสื่อว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งระเบิดพวง (cluster munitions) ให้แก่ยูเครน เป็นส่วนหนึ่งของชุดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ให้แก่ยูเครน มูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 28,000 ล้านบาท

ซัลลิแวน ย้ำว่า การตัดสินใจนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่จะต้องทำ สหรัฐฯ จะไม่ปล่อยให้ยูเครนอยู่ในสภาพป้องกันตัวเองไม่ได้ ก่อนการตัดสินใจนี้ สหรัฐฯ ได้หารืออย่างใกล้ชิดกับประเทศพันธมิตรหลายประเทศ และบางประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอนุสัญญาออสโล สนับสนุนการตัดสินใจนี้ 

ซัลลิแวน ยืนยันด้วยว่า ทางยูเครนได้รับประกันเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่า จะใช้ระเบิดพวงด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง และจะลดอันตรายที่จะเกิดกับพลเรือนให้น้อยที่สุด และจะไม่ใช้ในดินแดนต่างชาติ จะใช้ปกป้องประเทศเท่านั้น

ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวปกป้องการตัดสินใจส่งระเบิดพวงให้ยูเครนว่า "กระสุนในยูเครนกำลังจะหมด" ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ถามว่าเหตุผลใดสหรัฐฯ จึงตัดสินใจจะส่งระเบิดพวงให้แก่ยูเครน

สหรัฐฯ หวังว่า ระเบิดพวงจะช่วยยูเครนสามารถยึดดินแดนที่ถูกยึดไปในความขัดแย้งกับรัสเซียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 กลับคืนมาได้

อย่างไรก็ตาม ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ยอมรับว่า พลเรือนมีความเสี่ยงจะได้รับอันตรายจากการตกค้างของระเบิดพวงที่ไม่ระเบิด 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศไทย ระเบิดพวง หรือ Cluster Munitions ถูกห้ามใช้ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ตามอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง (Convention on Cluster Munitions: CCM) เป็นระเบิดที่บรรจุลูกระเบิดขนาดเล็กไว้ภายในจำนวนมาก สามารถทิ้งลงจากเครื่องบิน หรือยิงโดยปืนใหญ่ จะระเบิดกลางอากาศ เพื่อปล่อยลูกระเบิดย่อยให้กระจายเป็นวงกว้าง มีอัตราการไม่ระเบิดสูง ทำให้ลูกระเบิดขนาดเล็กตกค้างบนพื้นดิน ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้ในภายหลัง

ดาวดวงใหม่แห่ง 'ลาสเวกัส' ใต้สถาปัตย์ฯ ทรงกลมสุดยิ่งใหญ่ เสริมความแกร่ง 'อุตฯ ท่องเที่ยว-บริการ' สหรัฐฯ ไม่แผ่ว

เมื่อไม่นานมานี้ MSG Sphere มีเจ้าของคือบริษัท Madison Square Garden (MSG) ในนิวยอร์ก ที่ทุ่มงบประมาณในการก่อสร้างสูงถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 8 หมื่นล้านบาท) ออกแบบโดย Populous สตูดิโอสถาปัตยกรรมจากรัฐมิสซูรี ตั้งตระหง่านอยู่บนเส้นขอบฟ้าของลาสเวกัส ดูคล้ายยานอวกาศขนาดมหึมา สีดำและดูลึกลับ จนกระทั่งตกกลางคืน แสงจะเรืองรองผ่องอำไพเหมือนลอยละล่องอยู่ในอวกาศ

อัครสถานบันเทิงและศูนย์กิจกรรมนานาชาติแห่งอนาคตนี้ จะใช้เป็นที่จัดงานดนตรี แสดงคอนเสิร์ต งานเทศกาลภาพยนตร์ การจัดฉายภาพยนตร์จริงๆ และการแข่งขันกีฬาบางประเภท ด้วยหน้าจอสูงเกือบ 80 เมตร จากพื้นจรดเพดาน ทำให้ผู้ชมดื่มด่ำและดำดิ่งไปในภาพยนตร์ได้มากกว่าเคย อีกทั้งลำโพงกว่า 160,000 ตัว ที่กระจายอยู่รอบๆ จะทำให้ไม่ว่าใครจะนั่งแถวบนหรือล่างก็ตามก็สามารถรับฟังเสียงที่มีคุณภาพได้ไม่แตกต่างกัน

ดาวดวงใหม่ของลาสเวกัส มีความจุ 20,000 คน รวมที่นั่ง 17,600 ที่นั่ง และรองรับพื้นที่ยืนอีก 2,400 คน โดย U2 วงดนตรีร็อกระดับตำนานสัญชาติไอริชจากเมืองดับลิน ถูกกำหนดให้เป็นวงแรกที่แสดงคอนเสิร์ตที่นี่ เมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2566

Guy Barnett รองประธานอาวุโสของ MSG Sphere ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจอแอลอีดีที่เป็นเอกลักษณ์นี้ว่า “Exosphere เป็นมากกว่าหน้าจอหรือป้ายโฆษณา แต่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีชีวิต และไม่เหมือนกับจออื่นๆ ที่มีอยู่ในโลก โดยประกอบด้วยจุดประมาณ 1.2 ล้านจุด ซึ่งแต่ละจุดมีไฟแอลอีดี 48 ดวง ที่สามารถแสดงสีต่างๆ ได้มากถึง 256 ล้านสี”

“Exosphere ของ MSG Sphere เปรียบเสมือนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ 360 องศา สำหรับใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของแบรนด์สู่สายตาคนทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะลาสเวกัสเท่านั้น เพราะประสบการณ์พิเศษที่เราสร้างขึ้นจะไร้ขีดจำกัด และโลกจะรับรู้ถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของ Exosphere” David Hopkinson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ MSG Sports กล่าว

“การแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อคืนวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นด้วยกราฟิก Hello World ตามมาด้วยแอนิเมชั่นที่โดดเด่นมากมายตั้งแต่ดอกไม้ไฟสีสันสดใสและฉากใต้น้ำ ไปจนถึงภาพของดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้าและพื้นผิวดวงจันทร์ ทำให้ผู้คนเห็นถึงพลังที่น่าหลงใหลของ Exosphere และแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้สำหรับศิลปิน พันธมิตร และแบรนด์ต่างๆ ในการสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจ เพื่อเชื่อมต่อกับผู้ชมในรูปแบบใหม่ๆ โดยนอกเหนือจากเป็นเครื่องมือสื่อสารการตลาดที่ทรงประสิทธิภาพแล้ว ภายนอกโครงสร้างนี้จะมีการประดับไฟทุกคืนด้วยภาพเคลื่อนไหวและภาพอื่นๆ ที่ดึงดูดสายตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา รวมถึงผู้คนที่อยู่ในรัศมีที่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งบางครั้งก็เชื่อมโยงกับเทศกาลสำคัญๆ ตัวอย่างเช่น มันสามารถแปลงร่างเป็นฟักทองยักษ์ในวันฮาโลวีนและลูกแก้วหิมะในวันคริสต์มาส เป็นต้น”

สำหรับ ‘ลาสเวกัส’ เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงกระฉ่อนโลกในด้านอุตสาหกรรมบันเทิงและการบริการที่มีชีวิตชีวา ต่อไปนี้คือจุดแข็งและบทบาทสำคัญของลาสเวกัส ซึ่ง MSG Sphere จะมีส่วนสำคัญในการเติมเต็มและตอกย้ำความแข็งแกร่งของ Sin City แห่งนี้ ในการเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก และรักษาความโดดเด่นในการส่งมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับผู้มาเยือนต่อไป

>> การท่องเที่ยวและการบริการ : ลาสเวกัสเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปี โดยโรงแรม รีสอร์ต คาสิโน และสถานบันเทิงระดับโลกมีส่วนสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั่วโลก ความสามารถของเมืองในการจัดหาตัวเลือกความบันเทิงที่หลากหลาย รวมถึงการแสดงดนตรี คอนเสิร์ต กิจกรรมกีฬา และการประชุม ทำให้เมืองนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับทั้งนักเดินทางเพื่อที่ต้องการอรรถประโยชน์ทั้งในด้านการพักผ่อน ความสนุกสนาน และการทำธุรกิจ

>> อุตสาหกรรมเกม (คาสิโน) และความบันเทิง : ลาสเวกัสมีชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมเกม (คาสิโน) และความบันเทิง โดยเป็นที่ตั้งของคาสิโนที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก สร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 45% ของจีดีพีของรัฐเนวาดา ชื่อเสียงอันโด่งดังในฐานะเมืองหลวงคาสิโนโลก รวมถึงศักยภาพและความสามารถในการนำเสนอประสบการณ์ความบันเทิงที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ลาสเวกัสมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะเฉพาะตัว

>> การประชุมและงานแสดงสินค้า : ลาสเวกัสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม งานแสดงสินค้า และกิจกรรมองค์กรต่างๆ จำนวนมากตลอดทั้งปี สิ่งอำนวยความสะดวกในศูนย์การประชุมที่กว้างขวางของเมือง เช่น ศูนย์การประชุมลาสเวกัส ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการพบปะสังสรรค์และการประชุมทางธุรกิจขนาดใหญ่ งานเหล่านี้ดึงดูดอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ส่งเสริมธุรกิจและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน

>> การจ้างงานและการสร้างงาน : ภาคการท่องเที่ยวและการบริการในลาสเวกัสเป็นนายจ้างที่สำคัญโดยจัดหางานให้กับผู้อยู่อาศัยทั้งในสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ในหลากหลายตำแหน่งงาน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานโรงแรม ตัวแทนจำหน่าย ผู้ให้ความบันเทิง ผู้จัดงาน และอื่นๆ อีกมากมาย โอกาสการจ้างงานที่สร้างขึ้นจากคาสิโนและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจในท้องถิ่น รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนกว่า 315,000 ชีวิต

>> อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง : การเติบโตและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของลาสเวกัสได้นำไปสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่แข็งแกร่ง เกิดการลงทุนที่สำคัญในโครงการที่อยู่อาศัย การค้าปลีก และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จำนวนมาก

>> การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ : ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลาสเวกัสได้พยายามทำให้เศรษฐกิจมีความหลากหลายนอกเหนือจากการการพึ่งพาคาสิโนและการท่องเที่ยว ด้วยการพยายามดึงดูดธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ พลังงานหมุนเวียน และโลจิสติกส์ การกระจายความเสี่ยงนี้ช่วยลดการพึ่งพาเพียงอุตสาหกรรมเดียวและส่งเสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของลาสเวกัสในระยะยาว

ปังไม่ไหว!! ‘ทีมลูกยางญี่ปุ่น’ โชว์ลุคใส่ ‘กางเกงช้าง’ ของไทย หลังสู้ศึกเนชันส์ลีก 2023 ได้ใจแฟนกีฬาไทยเต็มๆ

(9 ก.ค. 66) วอลเลย์บอลชายทีมชาติญี่ปุ่น ไม่ตกเทรน ‘ใส่กางเกงช้าง’ โชว์เอกลักษณ์ความเป็นไทย ช่วงลุยศึกเนชันส์ลีก 2023 สัปดาห์ที่ 3

นอกจากวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติญี่ปุ่นจะเป็นทีมที่มีแฟนกีฬาชาวไทยเชียร์และให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ขณะที่วอลเลย์บอลชายทีมชาติญี่ปุ่น ก็ได้รับความสนใจไม่ต่างกัน 

ล่าสุด เคนทาโร ทากาฮาชิ บอลเร็ววัย 28 ปี ของทีมญี่ปุ่น (เบอร์ 10) โพสต์ลงอินสตาแกรมส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพที่เจ้าตัวและเพื่อนนักตบลูกยางทีมญี่ปุ่น ‘ใส่กางเกงช้าง’ ที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมในประเทศไทย พร้อมกับข้อความระบุว่า ขอบคุณมากสำหรับการสนับสนุนและทุกคนที่สนับสนุนเราจากญี่ปุ่น #ของขวัญที่ดี

หลังจากนั้นก็มีแฟนกีฬาชาวไทย เข้าไปแสดงความคิดเห็นและอยากให้วอลเลย์บอลชายทีมชาติญี่ปุ่น มีโอกาสเดินทางมาแข่งที่ประเทศไทยบ้าง 

สำหรับทีมวอลเลย์บอลชายทีมชาติญี่ปุ่น กำลังทำการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชันส์ลีก 2023 รอบแรก สัปดาห์ที่ 3 ประเทศฟิลิปปินส์ โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงอยู่อันดับ 1 ของตาราง แข่ง 11 นัด ชนะ 10 แพ้ 1 นัด มี 27 คะแนน

วิเคราะห์!! สหรัฐฯ ขอกลับเข้ายูเนสโก หวั่น!! จีนสยายอิทธิพลแทนที่

(9 ก.ค. 66) รายการ ‘คุยผ่าโลก’ ได้เชิญ ‘อาจารย์สุดาทิพย์ จารุจินดา-อินทร’ มาพูดถึงนัยยะสำคัญในการกลับมาเป็นสมาชิกองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ของสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการถอนตัวออกจากยูเนสโกมาแล้วถึง 2 ครั้ง กลับมาครั้งนี้จะมีความหมายอย่างไร มาฟังกันเลย…

“เหตุผลที่ทำให้อเมริกาทนไม่ได้ เพราะจีนแผ่ขยายอำนาจ ซึ่งหากจะให้เปรียบเปรยก็เหมือนกับว่า แม้แต่สนามหญ้าหน้าสำนักงานยูเนสโก จีนก็บลัฟเป็นเจ้าภาพ ฮุบเข้าไปขยายอาณาเขตไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ถือเป็นการสู้กัน เพราะยูเนสโก มีทั้งด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษาวัฒนธรรม ซอฟต์พาวเวอร์ และตัววิทยาศาสตร์ 

"ทั้งนี้ ในส่วนของสหรัฐฯ นั้น ได้มีการถอนตัวมาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกมาจากการที่ ‘ยูเนสโก’ รับ ‘ปาเลสไตน์’ เข้ามาเป็นสมาชิกในสหประชาชาติ (UN) แม้เขาจะไม่ได้เป็น Full Member แต่ในส่วนยูเนสโกรับเป็น Full Member เลย ทำให้อเมริกาเดือดมาก รวมทั้งอิสราเอลก็โกรธมากเช่นกัน จึงทำให้อิสราเอลและอเมริกาถอนตัวทั้งคู่ อันนี้คือสาเหตุของการถอนตัวครั้งแรก แต่ในที่สุดภายหลังก็ได้ผันตัวกลับเข้าไป ส่วนอีกครั้งหนึ่งในสมัย ‘ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์’ ก็ได้มีคำสั่งให้ถอนออกมาจาก ‘ทีพีพี’ และอเมริกาแทบจะถอนตัวจาก NATO และถอดยูเนสโกตามมาติดๆ

"ทว่า ตอนนี้ ‘จีน’ กับ ‘อเมริกา’ กำลังขับเคี่ยวกันในเรื่องเทคโนโลยี หรือ AI ซึ่งตรงนี้จะเป็นการได้ประโยชน์จากยูเนสโกที่จะส่งผลต่อประเทศจีน ทำให้อเมริกาปล่อยให้จีนแผ่บทบาทนี้ไม่ได้ จึงทำให้ต้องยอมเข้าไป ‘ยูเนสโก’ อีกครั้งหนึ่ง และล่าสุดเพิ่งมีการลงมติไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีทั้งหมด 132 เสียง ที่เห็นชอบ แต่ก็มีอีก 10 ประเทศที่ออกเสียงคัดค้าน ซึ่ง 1 ในนั้นมี ‘อินโดนีเซีย’ อีกด้วย ทำให้เรื่องนี้น่าติดตามต่อไป โดยมีเวทียูเนสโกอีกหนึ่งพื้นที่ในการสู้รบกัน"

‘นายกฯ เนเธอร์แลนด์’ ประกาศยุบสภาฯ-ลาออกสายฟ้าแลบ หลังปัญหา ‘ผู้ลี้ภัย’ ล้นทะลัก ทำระบบสวัสดิการประเทศพัง

(9 ก.ค. 66) ปัญหาผู้ลี้ภัยในยุโรปพ่นพิษ ทำนายกฯ เนเธอร์แลนด์ต้องยุบสภาฯ ลาออก

ปัญหาการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัยในยุโรปกำลังกัดเซาะความแข็งแกร่งของรัฐบาล ในประชาคมยุโรปไปเรื่อยๆ เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ แต่ที่เนเธอร์แลนด์ ดูเหมือนจะปะทุก่อนใคร จนเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรี 3 สมัย อย่าง ‘มาร์ค รัทเทอ’ ต้องประกาศยุบสภาฯ และลาออกฟ้าผ่า

สาเหตุเกิดจากความแตกแยกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่คัดค้านนโยบายจำกัดผู้อพยพต่อปี เพราะปัญหาผู้ลี้ภัยล้นทะลัก ที่รอเข้าประเทศหลายล้านคน ส่วนใหญ่ลี้ภัยจากแอฟริกาเหนือและชาวยูเครน

โดย มาร์ค รัทเทอ มองว่าถ้าไม่ตั้งโควตารับผู้อพยพต่อปี เนเธอร์แลนด์อาจต้องรับผู้ลี้ภัยถึงหลักสิบล้านคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่อาจส่งผลเสียต่อระบบสวัสดิการสังคมในประเทศ

แต่เมื่อ 2 ใน 4 ของพรรคร่วมรัฐบาลคัดค้านนโยบายนี้ มาร์ค รัทเทอ จึงต้องยุบสภาฯ ขอลาออก เพื่อเลือกตั้งใหม่

และความขัดแย้งในเรื่องนโยบายผู้อพยพ กำลังเป็นปัญหาในหลายประเทศในยุโรป ที่อาจส่งผลให้เกิดการพลิกขั้วของรัฐบาล อย่างเช่นในอิตาลีมาแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top